พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับการป้องกันประเทศ
นับแต่ประเทศไทยเริ่มเปิดความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจตะวันตกในตอนปลายรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อเนื่องมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ประเทศไทยก็เริ่มประสบภัยคุกคาม
จากนานาประเทศตะวันตก ทั้งในด้านการทหารและเศรษฐกิจ ทำให้ต้องเสียสิทธิในการเรียกเก็บภาษีอากร
และจำต้องเสียดินแดนบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีถึงภัยคุกคาม จากลัทธิล่าอาณานิคมดังกล่าว
มาแต่ทรงพระเยาว์ เหตุการณ์สำคัญที่น่าจะทรงรำลึกอยู่มิรู้ลืมคือ กรณี ร.ศ.
๑๑๒ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะได้เสด็จออกไปทรงศึกษาวิทยาการ ณ ประเทศอังกฤษเพียงเดือนเศษ
ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงได้รับความโทมนัสอย่างแสนสาหัส
จากเหตุการณ์ดังกล่าวรวมทั้งการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จำต้องทรงสละดินแดนบางส่วนของประเทศ เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้นั้น ก็เพราะการขาดความพร้อมด้านกำลังทหาร
สมดังพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า
"ผู้ใดมีอำนาจวาศนา |
ธรรมดาหาอะไรก็หาได้ |
กำหมัดคือยุติธรรมจงจำไว้ |
ใครหมัดใหญ่ได้เปรียบเรียบเทียบเกลอ |
ใครหมัดย่อมต้องถ่อมกายายอบ |
ต้องคอยหมอบคอยกราบราบเทียวหนอ |
คอยระแวงแขยงอยู่ละเออ |
มิได้กล้าเผยอขึ้นตึงตัง |
มีอำนาจวาศนาวาจาสิทธิ์ |
พูดสิ่งใดไม่ผิดเพราะฤทธิ์ขลัง |
ถึงพูดผิดกำหมัดซัดลงปัง |
กลายเป็นพูดถูกจังไปทั้งเพ |
กำหมัดเล็กลูกเด็กก็เถียงได้ |
จะส่งเสียงเถียงไปไม่ไหวเหว |
ต้องขอยืมหมัดโตไว้โบ๊เบ๊ |
เดินโอ้เอ้วางปึ่งให้ถึงดี"
(๑) |
|
|
ภายหลังจากเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระราชดำริที่จะเร่งรัดปฏิรูปกองทัพสยาม
ให้ทันสมัยทัดเทียมชาติมหาอำนาจ เริ่มจากทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาวิชาการทหารในประเทศยุโรป
พร้อมกับได้ทรงดำเนินพระบรมราชวิเทโศบายทางการเมืองระหว่างประเทศด้วย การผูกมิตรกับประเทศรัสเซีย
เพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลเข้ามาทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกของประเทศไทย
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี ทรงเป็นพระราชโอรส
พระองค์หนึ่งที่โปรดให้เสด็จออกไปศึกษาวิชาการ ณ ประเทศอังกฤษ โดยได้เสด็จออกจากประเทศไทยไปหลังจากเกิดเหตุการณ์
ร.ศ. ๑๑๒ ได้เพียงเดือนเศษ ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๓ พรรษา
ในระหว่างประทับทรงศึกษาวิชาการชั้นต้น ณ ประเทศอังกฤษนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จทิวงคตลงอย่างกระทันหัน เมื่อวันที่
๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
เนื่องจากทรงได้รับสถาปนาเป็นพระรัชทายาท จึงเป็นเหตุให้ต้องทรงเปลี่ยนแนวการศึกษา
ซึ่งแต่เดิมมีพระราชประสงค์ จะให้ทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ต้องทรงเปลี่ยนไปทรงศึกษาวิชาการเพื่อเตรียมพระองค์ที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไป
ในชั้นต้นได้เสด็จเข้าศึกษาวิชาการทหารบก ณ ROYAL MILITARY ACADEMY, SANDHURST
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ วิชาที่ได้ทรงศึกษามี การปกครองของทหาร กฎหมาย ยุทธวิธี วิชาป้อมค่าย
การสำรวจ ภาษาฝรั่งเศส พลศึกษา ห้อยโหน (หรือยิมนาสติค) ขี่ม้า ฯลฯ ทรงเชี่ยวชาญในการขี่ม้าเป็นพิเศษ
เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารแล้วได้เสด็จเข้าประจำการในกองทัพบกอังกฤษ
ทรงดำรงพระยศเป็นนายร้อยโท สังกัดกรมทหารราบเบาเดอรัม (Durham Light Infantry
Regiment) ก่อนที่จะเสด็จไปเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรวิชาเฉพาะต่าง ๆ ของกองทัพอังกฤษอีก
๓ ครั้ง ดังนี้
๑) วิชาปืนเล็ก ที่เมืองไฮท์ ทรงได้รับรางวัลวิชาแม่นปืน ซึ่งแสดงถึงพระปรีชาสามารถมาก
รางวัลนี้มีผู้ที่ได้รับน้อยราย
๒) วิชาทหารภูเขา ที่เมืองโอคแฮมตัน จังหวัดเดวอน
๓) วิชาการทหารปืนใหญ่ ที่ออลเดอร์ช็อต ในระหว่างที่เสด็จเข้าทรงศึกษาในมหาวิทยาลัย
อ๊อกซฟอร์ดแล้ว
ครั้นถึงเวลาอันสมควรได้เสด็จเข้ารับการศึกษาวิชาการพลเรือน ณ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
(Oxford University) ในหลักสูตรพิเศษที่ทางมหาวิทยาลัยจัดถวายพระราชวงศ์อังกฤษ
วิชาที่ทรงศึกษามี อาทิ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการปกครอง ฯลฯ
อนึ่ง ในระหว่างที่ประทับทรงศึกษาสรรพวิทยาการ ณ ประเทศอังกฤษนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้โปรดให้เป็นผู้แทนพระองค์เสด็จไปร่วมในงานบรมราชาภิเษกพระเจ้า อัลฟองโซที่
๑๓ แห่งประเทศเสปน และพระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ ๗ แห่งสหราชอาณาจักร นอกจากนั้นยังได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศต่าง
ๆ ในทวีปยุโรป อาทิ รุสเซีย ออสเตรีย - ฮังการี อียิปต์ อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน
ปอร์ตุเกส และเยอรมนี เพื่อทอดพระเนตรความเจริญและกระชับสัมพันธไมตรีเป็นการส่วนพระองค์ด้วย
ในคราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเบลเยี่ยม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้ทอดพระเนตรป้อมต่าง
ๆ ของประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งในสมัยนั้นถือกันว่าเป็นป้อมที่ทันสมัยที่สุดนั้น
ได้ทรงแสดงพระปรีชาญาณทางการทหารให้ประจักษ์ตั้งแต่ยังทรงมีพระชนมายุเพียง
๒๑ พรรษา ดังที่ นายพลเอก พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดีตหัวหน้ากองทูตทหารในการพระราชสงครามทวีปยุโรปและอาจารย์วิชายุทธศาสตร์และยุทธวิธี
โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ได้บันทึกไว้ว่า
".....เมื่อทรงกล่าวถึงป้อมที่เมืองลิเอซ ถึงสะพานและช่องทางที่ข้าศึกอาจยกเข้ามา
ได้ทรงทำนายไว้ว่าเยอรมันจะต้องยกเข้ามาทางนั้น ได้รับสั่งเรื่องนี้กับข้าพเจ้าใน
ค.ศ. ๑๙๐๑ และใน ค.ศ. ๑๙๑๔ คือ ๑๓ ปีภายหลัง กองทัพเยอรมันก็ได้โจมตีลิเอซตามทางที่ได้ทรงทำนายไว้จริง
ๆ เป็นพยานว่า…ทรงเห็นการณ์ไกลทางยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ยังทรงพระยศทหารเป็นนายร้อยตรีผู้สำเร็จการศึกษามาใหม่
ๆ .....ทรงสามารถเข้าพระทัยหลักสำคัญแห่งตำรับพิชัยสงคราม สมที่จะได้ทรง เป็นมิ่งขวัญและจอมทัพสยามต่อไป....."
(๒)
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร
โดยเสด็จพระราชดำเนินผ่านทางสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ได้แวะทอดพระเนตรความเจริญของบ้านเมือง
ตลอดจนการจัดการทหาร และการศึกษาในประเทศทั้งสอง ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินถึงกรุงเทพมหานครในปลายปี
พ.ศ. ๒๔๔๕ รวมเวลาที่ประทับทรงศึกษาศิลปวิทยาการต่าง ๆ ในสหราชอาณาจักรเป็นเวลาถึง
๙ ปี
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพมหานครแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เสด็จเข้ารับราชการทหารเป็น นายพลเอก และนายพลเรือเอก ตำแหน่งจเรทัพบกและทัพเรือ
และทรงเป็นราชองครักษ์พิเศษ กับทรงดำรงพระยศเป็น นายพันโท ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
(กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
และนายพันเอก ผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์
นอกจากพระราชกิจในหน้าที่นายทหารประจำการดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ยังได้ทรงช่วยเหลือกิจการของสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ
ทรงเป็นที่ปรึกษาสภาร่างกฎหมาย ได้ทรงยกร่างพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร
พ.ศ. ๒๔๔๘ ซึ่งเป็นรากฐานในการเกณฑ์บุคคลเข้ารับราชการทหาร สืบมาตราบจนถึงทุกวันนี้
รวมทั้งได้ทรงร่วมกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
(๓)
จัดวางกำลังกองทัพบกตามรูปแบบการจัดกองกำลังของนานาประเทศ ซึ่งต่อมาเรียกกันว่าโครงสร้างกองทัพบกสยาม
พ.ศ. ๒๔๕๑ ซึ่งได้จัดวางกำลังพลเป็น ๑๐ กองพลกระจายอยู่ในมณฑลต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ดังนี้
กองพลที่ ๑ |
มณฑลกรุงเทพ |
กองพลที่ ๒ |
มณฑลนครไชยศรี |
กองพลที่ ๓ |
มณฑลกรุงเก่า
(อยุธยา) |
กองพลที่ ๔ |
มณฑลราชบุรี |
กองพลที่ ๕ |
มณฑลนครราชสีมา |
กองพลที่ ๖ |
มณฑลนครสวรรค์ |
กองพลที่ ๗ |
มณฑลพิษณุโลก |
กองพลที่ ๘ |
มณฑลพายัพและมณฑลมหาราษฎร์ |
กองพลที่ ๙ |
มณฑลปราจิณบุรี
และมณฑลจันทบุรี |
กองพลที่ ๑๐ |
มณฑลอุบล
มณฑลอุดรและมณฑลร้อยเอ็จ |
ในแต่ละกองพลมีการจัดโครงสร้างอัตรากำลังเป็นหน่วยทหารเหล่าต่าง ๆ ดังนี้
กรมทหารราบ |
๒ กรม |
กรมทหารปืนใหญ่ |
๑ กรม |
กรมทหารม้า หรือทหารพราน (๔) |
๑ กรม |
กรมทหารช่าง |
๑ กรม |
กรมทหารสื่อสาร |
๑ กรม |
แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านงบประมาณของแผ่นดินซึ่งถูกจำกัดด้วยสนธิสัญญาว่าด้วยภาษีร้อยชักสาม
ทำให้ไม่มีงบประมาณพอที่จะจัดซื้ออาวุธ รวมทั้งบรรจุกำลังพลประจำการลงได้เต็มตามอัตราที่กำหนดไว้
แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วก็ตาม
กองพลทั้งสิบนั้น ก็คงมีแต่โครงที่ไม่สามารถบรรจุกำลังรบลงได้ตามอัตราที่กำหนดไว้
ประกอบกับเงื่อนไขของสนธิสัญญา ที่ชาติมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมได้กำหนดให้กองทหารไทยต้องตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไม่น้อยกว่า
๒๕ กิโลเมตร และข้อกำหนดตามสนธิสัญญาลับที่ประเทศไทยทำไว้กับรัฐบาลอังกฤษคราวกู้ยืมเงินจำนวน
๑๕ ล้านปอนด์สเตอริงค์ มาสร้างทางรถไฟสายใต้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
ได้กำหนดให้ดินแดนในคาบสมุทรมลายูของไทย อันประกอบด้วยมณฑลชุมพร มณฑลนครศรีธรรมราช
มณฑลภูเก็ตและมณฑลปัตตานี เป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษ เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว
ซึ่งผลของสัญญาลับฉบับนี้ ทำให้ไม่สามารถจัดตั้งกองทหารประจำการ ในดินแดนภาคใต้ของไทย
นับแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไปจนจรดชายแดนมลายูของอังกฤษ และสนธิสัญญาฉบับนี้
คงมีผลบังคับใช้ต่อเนื่องมาตราบจนถึงสมัยสงครามโลกครั้ง ที่ ๒
แต่ด้วยพระบรมราชปณิธานที่จะทรงนำประเทศไทยสู่การยอมรับจากนานาประเทศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงได้ทรงเตรียมการด้านกำลังสำรองของชาติไว้ตั้งแต่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เริ่มด้วยทรงนำหลักวิชาป้อมค่ายประชิด และทหารพราน ซึ่งทรงพระปรีชาสามารถเป็นพิเศษ
มาฝึกหัดมหาดเล็กข้าในกรมให้นิยม และมีความรอบรู้ในวิชาการทหาร เพื่อเป็นกำลังสำรองของชาติเตรียมพร้อมไว้ในกรณีจำเป็น
ดังพระราชนิพนธ์ที่ว่า.6+
"แม้หวังตั้งสงบ |
จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ |
สัตรูกล้ามาประจัญ |
จักอาจสู้ริปูสลาย" |
ครั้นเมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ก็เริ่มทรงวางรากฐานการป้องกันประเทศ
เริ่มจากโปรดให้ยกกรมวังนอก ซึ่งเป็นส่วนราชการพลเรือนในราชสำนัก ขึ้นเป็นกรมทหารรักษาวัง
เมื่อวันอังคารที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔
กรมทหารรักษาวังนี้ มีฐานะเป็นหน่วยทหารประจำการกรมหนึ่ง มีหน้าที่หลัก คือ
การรักษาการในเขตพระราชฐานแทนทหารประจำการและปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์อีกหน่วยหนึ่ง
แต่อยู่ในบังคับบัญชาของเสนาบดีกระทรวงวัง รวมทั้งการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ ก็โปรดให้ใช้งบประมาณของกระทรวงวังซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น
เมื่อแรกตั้งกรมทหารรักษาวังนั้น โปรดให้จัดอัตรากำลังเป็น ๒ กองพันดังเช่นการจัดอัตรากำลังของหน่วยทหารบกในยุคนั้น
ครั้นความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า จะมีชาติมหาอำนาจชาติหนึ่ง เตรียมการที่จะเสนอขอขุดคอคอดกระ
เพื่อร่นระยะเวลาเดินทางจากคาบสมุทรอินเดียสู่ทะเลจีน รวมทั้งจะมีการขอสัมปทานทำเหมืองแร่ในเขตมณฑลปักษ์ใต้ของไทย
แล้วจะอาศัยเหตุนี้ส่งกำลังทหารเข้ามาโดยอ้างว่าเพื่อคุ้มครองคนของตนที่มาทำเหมืองแร่นั้นแล้ว
ยิ่งทรงพระปริวิตกและทรงห่วงใยในเรื่องกรรมสิทธิ์ของประเทศสยามในดินแดนแถบนี้มากยิ่งขึ้น
ถึงขนาดได้เสด็จ ฯ ประพาสมณฑลปักษ์ใต้ ถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๕๖
และได้ทรงมีพระราชปรารภในที่ประชุมสภาการทัพว่า
"...เมื่อทำสัญญากับอังกฤษครั้งหลัง ในเรื่องรถไฟซึ่งกระทำให้หลักอำนาจกรรมสิทธิ์ของประเทศสยามในแหลมมลายูยังคงอ่อนอยู่
ซึ่งจะแก้ได้ก็เพราะการที่มีกองทหารประจำอยู่เท่านั้น ประเพณีของนา ๆ ประเทศถือว่าในดินแดนที่ประเทศมีกองทหารตั้งอยู่แล้วนั้น
เปนกรรมสิทธิ์อย่างมั่นคง และทางแหลมมลายูนี้เปนดินแดนที่ล่อแหลม ถึงฝ่ายเราจะไม่วิตกในการที่จะใช้คืนเงิน
และดอกเบี้ยแก่เขาไม่ให้ติดค้างได้ ซึ่งเปนเรื่องสำคัญเกี่ยวถึงดินแดนเหล่านี้ก็ดี
แต่ถ้าไม่มีกองทหารตั้งประจำแล้ว อาจจะเปนทางที่เขาจะกล่าวในอย่างอื่นด้วย
ซึ่งเราก็ยังทรงไม่ได้ว่ามีทางใดอีกสักกี่อย่าง ส่วนที่มีตำรวจภูธรนั้นหาได้คือกันอย่างที่มีกองทหารไม่
กับเมื่อได้ตั้งกองทหารขึ้นแล้ว ทรงพระราชดำริห์ว่า จะได้ผลตลอดถึงเหตุการณ์ที่ภูเก็ตอีกด้วย
เพราะที่ภูเก็ตมีพวกต่างประเทศมาอยู่มาก กับมีพวกจีนเปนพื้น ถ้ามีเหตุการณ์ขึ้นซึ่งระงับไม่ทันท่วงที
ก็จะเกิดเรื่องพัวพันกับอังกฤษเปนมูลเหตุแลจีนสมัยใหม่นี้ถึงจะอยู่ในใต้กฎหมายไทยอย่างเดิมก็ดี
แต่จีนสมัยใหม่มีวิธีแปลกเปลี่ยนกับจีนสมัยเก่าอยู่มาก แม้มีเรือรบตรวจระวังอยู่แล้วก็ดี
แต่ถ้าเหตุการณ์นั้นจะต้องส่งทหารเรือขึ้นระงับบนบกก็จะไม่มีกำลังพอ เพราะมีจำนวนคนน้อย
แม้มีกองทหารประจำอยู่ในเมืองที่ใกล้แล้ว ก็อาจจะส่งกันได้ทันท่วงที....."
(๕)
จากพระราชปรารภดังกล่าวจึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้งกองพันที่ ๓ กรมทหารรักษาวังขึ้นอีก
๑ กองพัน มีที่ตั้งกองบังคับการกองพันอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
กับมีส่วนแยกไปตั้งที่จังหวัดระนองและพัทลุง และได้มีพระบรมราชาธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในลายพระราชหัตถเลขาทรงตอบจดหมายเสนาบดีกระทรวงกลาโหม
ที่ ๓๓/๑๑๐๒๔ "เรื่องตั้งทหารในมณฑลนครศรีธรรมราช" ว่า
".....ขอตอบปัญหาที่ตั้งมานั้น หยิบเอาข้อที่เนื่องด้วยการต่างประเทศก่อน
คือ ถ้าประกาศใช้พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ในมณฑลปักษ์ใต้ จะกระทำให้ฝ่ายอังกฤษรู้สึกหวาดเสียวหรือเห็นผิดไปอย่างไรบ้างหรือไม่ฉนี้
ได้ปฤกษาหาฤากับกรมพระเทววงศ์แล้ว มีความเห็นพร้อมกันว่า เห็นจะพอจัดการป้องกันความเข้าใจผิดได้โดยอุบายดังต่อไปนี้
เราได้ประกาศแล้วว่า จะไปตั้งวังอยู่ในมณฑลปักษ์ใต้แห่ง ๑ และอาไศรยเหตุที่จำเปนต้องมีคนถืออาวุธรักษาพระองค์ในเวลาไปประทับที่นั้น
ควรจัดตั้งทหารรักษาวังขึ้นกอง ๑ ดังนี้จะมีใครทักท้วงว่ากระไรก็เห็นว่าจะแก้ได้ถนัด
การที่จะไปจัดตั้งทหารขึ้นที่ในมณฑลนครศรีธรรมราช เมื่ออย่างไร ๆ ก็เปนอันจะต้องเพิ่มเงินขึ้นใหม่อีกแล้ว
ก็ตั้งทหารรักษาวังขึ้นจะเปนการสดวก เพราะจะได้ไม่เสียราชการของกองทัพบก ณ
บัดนี้ และจะกล่าวแก้คำท้วงก็ได้โดยสดวกดังอธิบายมาแล้ว
เห็นควรให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณเกณฑ์ทหารทั้ง ๔ มณฑลทีเดียว..... การที่ต้องประกาศใช้
เพราะต้องการเกณฑ์ทหารรักษาวังนั้นเอง ซึ่งถ้าจะใช้วิธีเกณฑ์อย่างอื่นก็จะผิดหลักกฎหมายที่มีอยู่แล้ว
อีกทั้งจะได้ใช้เกณฑ์คนเปนตำรวจภูธรด้วยทีเดียว
.....ตำรวจภูธรที่จะเกณฑ์นั้น ก็สำหรับใช้รักษาความสงบภายในและรักษาชายแดนด้วย
และทหารรักษาวังนั้น ถึงแม้ว่าน่าที่โดยปรกติจะสำหรับรักษาพระองค์ในเวลาเสด็จลงไปปักษ์ใต้ก็จริงอยู่
แต่ถ้าแม้ว่ามีเหตุการณ์ฉุกละหุก ก็จะพอใช้ป้องกันการจราจลภายในได้เหมือนกัน
ถ้าได้ตั้งทหารรักษาวังขึ้นไว้สักกอง ๑ พอให้ชิน ๆ แล้ว แม้ต่อไปกระลาโหมจะเห็นสมควรจัดตั้งกองพลขึ้นก็คงตั้งได้โดยไม่มีเสียงพูดจาทางเข้าใจผิดไปได้เลย
ส่วนปัญหาที่มีว่า จะควรตั้งกองทหารหรือไม่นั้น กรมพระเทววงศ์ทรงเห็นด้วยกับเราว่า
ควรมี เพราะจะได้เปนพยานให้เห็นชัดว่า ที่ดินแดนในคาบสมุทรมลายูนั้น เรามิได้เพิกเฉยทอดทิ้ง
ยังมีความหวงแหนอยู่จึ่งได้พยายามจัดตั้งกำลังไว้รักษาความสงบภายใน....."
(๖)
ในขณะเดียวกันก็ได้โปรดให้จัดตั้งกองเสือป่าขึ้นเป็นกองอาสาสมัครสมัครในทำนอง
Home Guard ของอังกฤษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้บุคคลพลเรือนไม่ว่าจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์
ข้าราชการ พ่อค้าคหบดีที่มิได้เป็นทหารสมัครเข้าเป็นสมาชิกเสือป่าได้ตามความสมัครใจ
ซึ่งในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกเสือป่านี้ นอกจากผู้สมัครจะต้องชำระเงินค่าสมาชิก
ต้องจัดหาเครื่องแต่งกายของตนเองแล้ว ยังต้องมารับการฝึกหัดตามกำหนดเวลา หากเกียจคร้านจะถูกปรับและยังอาจถูกประจานให้ได้รับความอับอายอีกด้วย
ในการถือน้ำพระพิพัฒสัตยาเสือป่า ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อันถือว่าเป็นวันสถาปนากองเสือป่าขึ้นเป็นครั้งแรก
เมื่อวันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ นั้น มีสมาชิกเข้าร่วมพิธีเพียงร้อยคนเศษ
จากนั้นได้โปรดให้ขยายการรับสมาชิกออกไป ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งปรากฏว่าในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นั้นมีสมาชิกเสือป่าทั่วประเทศ กว่าหมื่นสามพันคน สมาชิกเสือป่าส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั่วทุกจังหวัด
รวมทั้งพ่อค้าคหบดี ซึ่งล้วนเป็นผู้มีการศึกษา การฝึกหัดสั่งสอนจึงเป็นไปได้โดยง่าย
ต่างจากทหารเกณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน การฝึกหัดสั่งสอนจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
สมาชิกเสือป่าที่ได้รับการฝึกอบรมแล้วนอกจาก ".....มีกำลังวังชาขึ้นทันตาเห็น
ผู้ที่เคยต้องคอยประคับประคอง ก็มาแขงแรงขึ้น จนเลี้ยงตัวได้มากขึ้นเปนลำดับ
ที่เคยอ่อนแอก็กลับแขงแรง ที่เคยตามใจตัวอยู่เปนเนืองนิตย์ก็กลับคิดทรมานจิตรของตน
ให้นึกถึงผู้อื่นและนึกถึงคน ที่เคยสำมะเลเทเมาอยู่ก็มาลดหย่อนลง และตั้งใจกลับตัวประพฤติให้เรียบร้อย
ข้อนี้เจ้าพระยายมราชอ้างพยานให้เห็นปรากฏ คือ ร้านขายเหล้าพากันร้องว่าขายตกไป
ยังมิหนำซ้ำ เสือป่าแข่งกันหาชื่อเสียงในทางช่วยกองตระเวณจับผู้ประพฤติชั่วต่าง
ๆ อยู่แทบทุกวัน....."(๗)
นอกจากนั้นในด้านความสามัคคีในหมู่ข้าราชการต่างกระทรวงซึ่งแต่เดิม "ความสามัคคีในหมู่ข้าราชการต่างกระทรวงไม่ใคร่จะมีต่อกัน
เพราะต่างคนต่างคิดแต่จะหาความชอบความดีในแพนกของตน และต่างคนต่างมุ่งนิยมอยู่แต่เฉภาะในตัวบุคคลผู้เป็นนายเหนือตน"(๘)
นั้น ก็ได้รับการเยียวยารักษาจนหายขาดด้วยยาขนานเอกคือ "เสือป่า" นั้นเอง
ในด้านการจัดการปกครองกองเสือป่านั้น ในชั้นต้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงดำรงพระยศเป็นนายกองใหญ่ นายกเสือป่า และผู้บังคับการกรมเสือป่าหลวงรักษาพระองค์
ครั้นเมื่อสมาชิกเสือป่าขยายตัวเพิ่มขึ้นจนมีเสือป่ากระจายอยู่ทั่วประเทศ
จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดแบ่งกองกำลังเสือป่าออกเป็นกรมเสือป่ารักษาดินแดน
แล้วขยายขึ้นเป็นกองเสนาในทำนองเดียวกับกองพลทหารบก โดย
กองเสนาหลวง หมายถึง กองเสือป่าซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาด้วยพระองค์เอง สมาชิกส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าราชสำนัก จัดอัตรากำลังเป็น
กองเสนาน้อยราบหนัก เปรียบได้กับกองพลทหารราบ ประกอบด้วย
กรมเสือป่าราบหลวง
กรมเสือป่าปืนใหญ่หลวง
กรมเสือป่าม้าหลวง
กองเสือป่าเดินข่าวหลวง
กองเสือป่าช่างหลวง
กรมนักเรียนแพทย์เสือป่าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
กองเสนาน้อยราบเบา เปรียบได้กับกองพลน้อยทหารราบเบา ประกอบด้วย
กรมเสือป่าพรานหลวง
กรมนักเรียนเสือป่าหลวง
ในส่วนภูมิภาคก็โปรดให้จัดเป็นกองเสนารักษาดินแดนกระจายกันอยู่ตามมณฑลต่าง
ๆ ทั่วประเทศ มีสมุหเทศาภิบาลซึ่งเป็นผู้บริหารราชการสูงสุดในแต่ละมณฑลทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองเสนาโดยตำแหน่ง
ในด้านการฝึกอบรมสมาชิกเสือป่านั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงฝึกสอนสมาชิกเสือป่า ในส่วนกลางที่สนามเสือป่าด้วยพระองค์เองโดยตลอด
และในระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคมของทุกปี ก็จะทรงนำสมาชิกเสือป่ากองเสนาหลวง
และกองเสือป่ารักษาดินแดนกรุงเทพ ไปฝึกซ้อมรบในพื้นที่จังหวัดนครปฐมและราชบุรี
ร่วมกับกองทหาร กองเสือป่าและลูกเสือในพื้นที่มณฑลนครไชยศรีและมณฑลราชบุรีเป็นประจำทุกปี
ทั้งนี้ เพื่อฝึกหัดให้ทหาร และเสือป่า มีความชำนาญในภูมิประเทศและให้เสือป่าได้รับการฝึกหัดการทำหน้าที่ผู้ช่วยทหารในการสอดแนม
และการลาดตระเวณ รวมถึงการฝึกซ้อมวิธียุทธทั้งเต็มรูปแบบและจรยุทธ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เสือป่ามีความรู้ความสามารถในเชิงการทหาร
สามารถตั้งรับและยันข้าศึกที่ยกกำลังจู่โจมเข้ามา มิให้ล่วงล้ำเข้ามาในพระราชอาณาเขต
เพื่อรอกำลังทหารเคลื่อนพลจากที่ตั้งมาผลัดเปลี่ยน ดังปรากฏแนวพระราชดำรินี้ในบทพระราชนิพนธ์ละครพูดเรื่อง
"หัวใจนักรบ"
นอกจากนั้นการที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปซ้อมรบในพื้นที่จังหวัดนครปฐมและราชบุรีทุกปี
นั้น รวมทั้งการที่ได้โปรดให้จัดวางกำลังพลไว้ในสองมณฑลนี้ ถึงสองกองพลทหารราบ
และยังได้โปรดให้ตัดถนนทรงพล เป็นถนนยุทธศาสตร์ เชื่อมระหว่างพระราชวังสนามจันทร์กับจังหวัดราชบุรี
เพื่อสะดวกแก่การลำเลียงพล ในขณะที่เส้นทางคมนาคมจากกรุงเทพ ฯ ไปสู่นครปฐมกลับโปรดให้ตัดถนนแต่ให้ใช้ทางรถไฟแทนนั้น
คุณมหาดเล็กซึ่งได้เคยรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เล่าไว้ว่า หากมีเหตุการณ์เช่นกรณี ร.ศ. ๑๑๒ หรือการยกพลขึ้นบกในคาบสมุทรมลายู
ก็จะทรงใช้พระราชวังสนามจันทร์เป็นสถานที่มั่นสุดท้ายในการป้องกันประเทศ เพราะชัยภูมิในเขตมณฑลนครไชยศรี
และราชบุรีนั้น อุดมสมบูรณ์ไปด้วยลำคลอง ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมของชาวไทยมาช้านาน
หากถอดรางรถไฟออกเสีย ข้าศึกก็จะต้องกำลังไปทางลำน้ำ ซึ่งสะดวกแก่ฝ่ายเราในการซุ่มโจมตี
หากจะยกพลขึ้นบกในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี ก็ไม่สามารถทำได้เพราะชายหาดแถบนี้ล้วนเป็นดินเลนและโคลนเป็นส่วนใหญ่ไม่สามารถลำเลียงอาวุธหนักเข้ามาได้
หากจะยกทัพข้ามมาทางด่านเจดีย์สามองค์ก็จะต้องผจญกับความยากลำบากของพื้นที่ซึ่งเป็นการยากที่จะจู่โจมเข้ามา โดยฝ่ายเราไม่ทันตั้งรับก่อนได้เลย
อนึ่ง เมื่อเกิดสงครามขึ้นในทวีปยุโรป ซึ่งต่อมาได้ขยายขึ้นเป็นสงครามโลกครั้งที่
๑ นั้น ในระยะแรก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงกำหนดให้ประเทศไทยอยู่ในฝ่ายเป็นกลางไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนี่ง
ทรงรอจนฝ่ายเยอรมนีและออสเตรีย – ฮังการี ซึ่งเรียกกันว่า ฝ่ายมหาอำนาจกลางขยายแนวรบออกไปจนทั่วภาคพื้นยุโรป
ในครั้งนั้น ได้รับการปรึกษาหารือถึงท่าทีของประเทศไทยต่อสถานการณ์สงครามในครั้งนี้
บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ และเสนาบดีทั้งหลายไม่มีใครเห็นด้วยกับพระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่พระองค์เห็นว่าไทยจะต้องเข้ากับฝ่ายที่เป็นธรรม
เพื่อรักษาธรรม ผู้ที่ไม่กล้าลงทุนอะไรย่อมไม่ได้อะไร เกียรติและเสรีภาพของมนุษยชาติ
กำลังถูกคุกคาม ไทยต้องเข้าช่วยรักษาไว้ให้จงได้ จึงได้ทรงประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนีและออสเตรีย
– ฮังการี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงนำประเทศไทยเข้าร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร
และได้โปรดให้เปิดรับสมัครบุคคลจัดเป็นกองทหารอาสา ประกอบไปด้วยกำลังพล ๑,๕๐๐
คน แยกเป็นกองทหารบกรถยนต์ ๑,๐๐๐ คน และกองบินทหารบก ๕๐๐ คน ไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่
๑ นั้นด้วย
กองทหารอาสาได้ออกเดินทางจากประเทศไทยในต้นปี พ.ศ. ๒๔๖๑ เมื่อเดินทางถึงฝรั่งเศสแล้ว
กองทหารบกรถยนต์และกองบินทหารบกต่างก็แยกย้ายเข้ารับการฝึกหัด กองทหารบกรถยนต์
ซึ่งได้รับการฝึกหัดแล้ว ได้เข้าทำการในสนามด้วยความกล้าหาญ ร่วมกับกองทหารฝรั่งเศส
จนได้รับตราครัวซ์ เดอ แกร์ร (Croix de Guerre) ซึ่งเป็นเหรียญกล้าหาญของฝรั่งเศสประดับธงไชยเฉลิมพลเป็นเกียรติยศ
ส่วนกองบินทหารบกเนื่องจากต้องใช้เวลาฝึกอบรมเป็นเวลานาน เมื่อสงครามสงบลงแล้วยังฝึกไม่เสร็จ
แต่เพื่อมิตรภาพอันดีกองทัพฝรั่งเศส ยังได้เอื้อเฟิ้อฝึกฝนนายทหารไทยต่อมาจนสำเร็จ
เป็นนักบิน และช่างซ่อมอากาศยานโดยไม่คิดมูลค่า และสามารถกลับมาจัดตั้งกรมอากาศยานทหารบกขึ้นในกองทัพบกไทย
ก่อนที่จะได้พัฒนามาเป็นกองทัพอากาศในปัจจุบัน
ในด้านการป้องกันพระราชอาณาจักรทางทะเล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงตระหนักดีถึงพระราชอาณาเขต ที่มีชายฝั่งติดทะเล ทั้งทางด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน
เป็นระยะทางยาวกว่าสองพันกิโลเมตร แต่ราชนาวีไทยยังหาได้มีเรือรบขนาดใหญ่
พอที่จะรักษาอธิปไตยในน่านน้ำของเราได ้เมื่อมีข้าราชการกลุ่มหนึ่งทั้งใน
และนอกพระราชสำนัก ร่วมกับประชาชนผู้มีความจงรักภักดี ในเบื้องพระยุคลบาทรวมตัวกันจัดตั้งสมาคม
เพื่อจัดการเรี่ยไรเงินเพื่อซื้อหรือสร้างเรือรบถวายไว้ใช้ในราชการกองทัพเรือ
ในพ.ศ. ๒๔๕๗ เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ได้โปรดพระราชทานนามสมาคมนั้นว่า
ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และโปรดพระราชทานนามเรือที่จะซื้อนั้นว่า
"พระร่วง" ตามพระนามของวีรกษัตริย์อันเป็นที่นิยมนับถือของชาวไทย
พร้อมกันนั้นได้โปรดพระราชทานเงินทุนส่วนพระองค์จำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท เป็นทุนประเดิม
นอกจากนั้นยังได้ทรงจัดการแสดงละครพระราชนิพนธ์ การแสดงภาพเขียน ฯลฯ เพื่อจัดหารายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายพระราชทานไปสมทบในการจัดซื้อเรือพระร่วงอีกหลายคราว
อนึ่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสชายทะเล
มณฑลจันทบุรีโดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี ในการนี้กระทรวงทหารเรือ ได้จัดการซ้อมรบ
และสวนสนามทางเรือ ถวายพระเกียรติยศเป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ไทยในบริเวณอ่าวสัตหีบ
และในโอกาสนี้ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขา อ่าวใหญ่ และหมู่เกาะอันเร้นลับ
เหมาะแก่การจัดตั้งเป็นฐานทัพเรือ เพราะสามารถจอดพักเรือรบเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากยังไม่สมควรแก่เวลาในการสร้างฐานทัพเรือและเพื่อป้องกันปัญหาอื่น
ๆ อันอาจเกิดขึ้นได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศพระบรมราชโองการสงวนที่ดินชายฝั่งทะเลตำบลสัตหีบ
และบริเวณใกล้เคียง ทั้งเกาะใหญ่น้อยตามชายฝั่ง เพื่อสร้างพระราชวัง ต่อมาใน
พ.ศ. ๒๔๖๓ กระทรวงทหารเรือได้สำรวจพื้นที่ชายฝั่งทะเลสัตหีบแล้วเห็นว่า พื้นที่บริเวณอ่าวสัตหีบ
เป็นที่มีชัยภูมิเหมาะสมที่จะจัดเป็นฐานทัพเรือ ต่อมาวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.
๒๔๖๕ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือ
จึงได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพื้นที่อ่าวสัตหีบ ซึ่งโปรดให้สงวนไว้เพื่อใช้ราชการเป็นฐานทัพเรือ
และได้โปรดเกล้า ฯ พระราชทานที่ดินดังกล่าวนั้น ให้ตามความประสงค์ของกระทรวงทหารเรือ
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๕ ดังรายละเอียดปรากฏในลายพระราชหัตถเลขา
ดังนี้
การที่จะเอาสัตหีบเป็นฐานทัพเรือนั้น ก็ตรงตาม |
ความปราถนาของเราอยู่แล้ว,
เพราะที่เราได้สั่งหวง |
ห้ามเรื่องที่ดินไว้ก็ด้วยความตั้งใจ
จะให้เปนเช่นนั้น, |
แต่เมื่อเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา
ที่จะให้เปนฐานทัพเรือ |
และไม่อยากให้โจทย์กันวุ่น,
จึงได้กล่าวไว้ว่า จะต้องการ |
ที่ไว้ทำวัง
สำหรับเผื่อที่จะมีผู้ขอจับจอง ฝ่ายเทศาภิบาล |
จะได้ตอบอนุญาตได้โดยอ้างเหตุว่า"
พระเจ้าอยู่หัว |
ต้องพระประสงค์"
เมื่อบัดนี้ทหารเรือจะต้องการที่นั้น |
ก็ยินดีอนุญาตให้ |
|
(ส่งไปทางมหาดไทยด้วย)
|
|
ราม ร |
|
นอกจากนั้นในตอนปลายรัชกาลยังได้โปรดให้จัดตั้งกรมราชนาวีเสือป่าขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของกองเสือป่า
ทำหน้าที่เป็นกองลาดตระเวณทางลำน้ำ มีการฝึกหัด และจัดรูปแบบการปกครองกองกำลัง
ในทำนองเดียวกับทหารเรือ ประกอบไปด้วยกองพันหลวงราชนาวีเสือป่า และกองพันราชนาวีเสือป่ากระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง
ๆ โดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ติดชายทะเล โดยใช้เรือประมงและเรือที่เดินในลำน้ำเป็นกำลังหลัก
ด้วยพระปรีชาสามารถทางการทหารซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงแสดงให้ปรากฏพระเกียรติคุณ
มาแต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ซึ่งนอกจากจะทรงนำประเทศไทย ให้รอดพ้นจากลัทธิล่าอาณานิคม ทั้งยังช่วยให้ประเทศไทยได้รับก้าวขึ้นสู่การยอมรับจากนานาประเทศ
จนสามารถยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และภาษีร้อยชักสามซึ่งมีผลริดรอนสิทธิของไทย มาเป็นเวลาร่วมร้อยปีลงได้แล้ว
เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๘ สมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ พระราชาธิบดีแห่งประเทศอังกฤษ
ยังได้มีพระราชโทรเลข เชิญให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษ
และในขณะเดียวกันสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ ก็ได้ทรงตอบรับเชิญเป็นนายพลเอก
นายทหารพิเศษของกองทัพบกไทย
"…..การที่พระราชาธิบดีประเทศใด
ๆ ในบูรพทิศจะได้รับเกียรติยศเป็นนายพลพิเศษ ในกองทัพบกของประเทศยุโรป ยังหาได้เคยมีมาแต่ก่อนไม่
และการที่พระราชาธิบดีแห่งมหาประเทศใด ๆ ในยุโรป จะได้ทรงรับพระยศเป็นนายพลพิเศษ ในกองทัพประเทศใด
ๆ ในบูรพทิศนี้ ก็ยังไม่เคยมีมาเลยเหมือนกัน….."
----------------------------
เชิงอรรถ
-
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.วิวาหพระสมุท, หน้า ๒๐๑ - ๒๐๒.
- พลเอก พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา).
“น้ำพระราชหฤทัยของพระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”.
วชิราวุธนุสรณ์ ปีที่ ๕ (๑๑ พฤษจิกายน ๒๕๒๘) หน้าที่ ๔๙
- ในรัชกาลที่ ๖ ทรงได้รับพระราชทานเลื่อนพระยศและอิสริยศักดิ์เป็น จอมพล พระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาธิการกระทรวงกลาโหม
- กรมทหารพรานในสมัยนั้น เปรียบได้กับกรมทหารราบเบาของกองทัพอังกฤษ เป็นหน่วยทหารราบที่ใช้อาวุธประจำกายขนาดเล็ก
สามารถเคลื่อที่ได้รวดเร็วประดุจทหารม้า
- กองดหมายเหตุแห่งชาติ, กอง. ร.๖ ก..๗/๓ เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๖กระทรวงหลาโหม – ทหารเรือ เรื่องจัดการทหารและเกณฑ์ทหารมณฑลปักษ์ใต้ (ลายพระหัตถ์จอมพล พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรี สุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม
กราบทูล นายพลตรี สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๔๕๖)
- จดหมายเหตุแห่งชาติ, กอง. ร.๖ ก..๗/๓ เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๖ กระทรวงกลาโหม
– ทหารเรือ เรื่องจัดการทหาร และเกณฑ์ทหารมณฑลปักษ์ใต้ (ลายพระราชหัตถเลขา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงเสนาบดีกระทรวงกลาโหม, กระทรวงวัง
เรื่องให้ทำความเข้าใจในหน้าที่กรมทหารรักษาวัง)
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
“ปลื้มใจด้วยเสือป่าและลูกเสือ”,
จดหมายเหตุรายวันใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้า ๓๔ - ๓๕.
- เพิ่งอ้าง.หน้า ๓๕
บรรณานุกรม
- จดหมายเหตุแห่งชาติ, กอง. ร.๖ ก..๗/๓ เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่๖ กระทรวงหลาโหม – ทหารเรือ เรื่อง
- จัดการทหารและเกณฑ์ทหารมณฑลปักษ์ใต้ (ลายพระหัตถ์ จอมพล พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรี
- สุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม กราบทูล นายพลตรี สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร
กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์
- สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๔๕๖)
- จดหมายเหตุแห่งชาติ, กอง. ร.๖ ก..๗/๓ เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๖ กระทรวงกลาโหม
– ทหารเรือ
- เรื่องจัดการทหารและเกณฑ์ทหารมณฑลปักษ์ใต้ (ลายพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
- ถึงเสนาบดีกระทรวงกลาโหม, กระทรวงวัง เรื่องให้ทำความเข้าใจในหน้าที่กรมทหารรักษาวัง)
- แต่มจันทร์ วงศ์วิเศษ, นางสาว. การปรับปรุงกองทัพบกของไทยตามแบบตะวันตก ตั้งแต่พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๗๕.
- วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๕๑๙. (อัดสำเนา)
- ภัทริน วรรณแสง ร.น., เรือโทหญิง. “ฐานทัพเรือสัตหีบ”, สารานุกรม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เล่ม ๑. กรุงเทพมหานคร : เจริญวิทย์การพิมพ์, ๒๕๒๔. (คณะกรรมการฉลองวันพระบรมราชสมภพครบ
๘ รอบ และ ๑๐๐ ปี ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานเปิดหอวชิราวุธานุสรณ์วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๔.
- เทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา), พลเอก พระยา. “น้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”.
วชิราวุธานุสรณ์สาร
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๔ (๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘). กรุงเทพมหานคร : ชวนพิมพ์, ๒๕๓๗.
- บุรุษรัตน
. พระนคร : ตีรณสาร, ๒๕๐๑. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
มหาเสวกเอก พระยาบุรุษ รัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๑).
- ประภาส จารุเสถียร, จอมพล. “ความมั่นคงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”,
วชิราวุธานุสรณ์สาร ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๒ (๖ เมษายน ๒๕๓๗). กรุงเทพมหานคร
: ชวนพิมพ์, ๒๕๓๗.
- ปิ่น มาลากุล, หม่อมหลวง. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า.
คณะกรรมการที่ปรึกษา
การก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และค่ายหลวงบ้านไร่จัดพิมพ์ในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และค่ายหลวงบ้านไร่ ที่ตำบลคลองตาคต
อำเภอโพธา - ราม จังหวัดราชบุรี ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๑). กรุงเทพมหานคร : ชวนพิมพ์,
๒๕๓๑.
- มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. จดหมายเหตุรายวัน ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.
- กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๑๗. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.
๒๕๑๗).
- มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทพระ. วิวาหพระสมุท . พระนคร : รุ่งเรืองธรรม,
๒๕๐๕.
- มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทพระ. พระราชดำรัสร้อยครั้ง. กรุงเทพมหานคร
: ชวนพิมพ์, ๒๕๒๙. (คณะกรรมการมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์ในงานพระบรมราชานุสรณ์ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๙).
- สุจิรา ศิริไปล์, นาง. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสงครามโลกครั้งที่๑.
กรุงเทพมหานคร : ชวนพิมพ์, ๒๕๒๘. (คณะกรรมการมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์ในงานพระบรมราชานุสรณ์ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘).
- อมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช), จมื่น. เสือป่าและลูกเสือในประวัติศาสตร์รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอน ๑ - ๔. พระนคร :
องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๔.
- อุดม ทีฆทรัพย์ ร.น., เรือเอก. “ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม”, สารานุกรม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๒. กรุงเทพมหานคร : เจริญวิทย์การพิมพ์,
๒๕๒๔. (คณะกรรมการฉลองวันพระบรมราชสมภพครบ ๘ รอบ และ ๑๐๐ ปี ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานเปิดหอ วชิราวุธานุสรณ์ วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช
๒๕๒๔.
--------------------------
หมายเหตุ : เรียบเรียงจากข้อเขียนของคุณ วรชาติ มีชูบท กรรมการและ ผช.เลขานุการ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบรมราชูปถัมภ์