ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทย มีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ การทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในแว่นแคว้นทั้ง ๘ กล่าวคือ หลักการราชาภิเษกนั้น มีรดน้ำ แล้วเถลิงราชาอาสน์เป็นอันเสร็จพิธี นอกนั้นเป็นพระราชพิธีส่วนประกอบ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลสมัย
จังหวัดสระบุรี | ตั้งที่พระพุทธบาท |
จังหวัดพิษณุโลก | ตั้งที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ |
จังหวัดสุโขทัย | ตั้งที่วัดมหาธาตุ อำเภอสวรรคโลก |
จังหวัดนครปฐม | ตั้งที่พระปฐมเจดีย์ |
จังหวัดนครศรีรรมราช | ตั้งที่วัดพระมหาธาตุ |
จังหวัดลำพูน | ตั้งที่พระธาตุหริภุญชัย |
จังหวัดนครพนม | ตั้งที่พระธาตุพนม |
จังหวัดน่าน | ตั้งที่พระธาตุแช่แห้ง |
จังหวัดร้อยเอ็ด | ตั้งที่บึงพระลานชัย |
จังหวัดเพชรบุรี | ตั้งที่วัดมหาธาตุ |
จังหวัดชัยนาท | ตั้งที่วัดบรมธาตุ |
จังหวัดฉะเชิงเทรา | ตั้งที่วัดโสธร |
จังหวัดนครราชสีมา | ตั้งที่วัดพระนารายณ์มหาราช |
จังหวัดอุบลราชธานี | ตั้งที่วัดศรีทอง |
จังหวัดจันทบุรี | ตั้งที่วัดพลับ |
จังหวัดปัตตานี | ตั้งที่วัดตานีนรสโมสร |
จังหวัดภูเก็ต | ตั้งที่วัดพระทอง |
จังหวัดสระบุรี
น้ำอภิเษกจากจังหวัดสระบุรี มีอยู่ 2 แห่ง คือ น้ำสรงรอยพระพุทธบาท และน้ำท่าราบ
น้ำอภิเษกจากจังหวัดพิษณุโลกมีอยู่ ๓ แห่งคือ น้ำทะเลแก้ว น้ำสระแก้ว
และน้ำสระสองห้อง
สถานที่ประกอบน้ำอภิเษก คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
น้ำทะเลแก้ว
ทะเลแก้ว
อยู่ในตำบลบ้านกร่าง และตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมืองพิษณุโลก มีขนาดกว้างประมาณ
๓ กิโลเมตร ยาวประมาณ ๔ กิโลเมตร เดิมน้ำลึกประมาณ ๖ เมตร มีทางน้ำติดต่อกับคลองบางแก้ว
ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำยมในอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก บริเวณโดยรอบทะเลแก้วเป็นป่าหญ้า
ป่าพง ป่าอ้อ ป่าละเมาะและป่าโปรง มีนาอยู่บ้างตามขอบ ปัจจุบันน้ำตื้นเขินจนกลายเป็นที่ทำนาไปโดยมาก
มีวัดร้างอยู่หลายวัดทางด้านทิศตะวันตกและด้านทิศเหนือ มีเรื่องเล่าสืบมาว่า
เคยมีผู้พบเรือสำเภา จมอยู่กลางทะเลนี้โดยมีทรากเสากระโดงเรือปรากฎให้เห็น
ทำให้สันนิษฐานได้ว่า แต่ก่อนนี้ทะเลแก้วนี้ เคยกว้างใหญ่และลึกมาก จนถึงกับมีเรือขนาดใหญ่ของชาวจีนเข้าไปค้าขาย
ข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งคือ อาจเป็นเรือของเจ้านายครั้งก่อนมีไว้ประจำสำหรับเสด็จประพาสในทะเลแก้ว
มีเรื่องเล่ามาว่า มีสุกรตัวหนึ่งคาบแก้วดวงหนึ่งจากทะเลแก้วมาวางไว้ในที่สามแห่ง
และในที่สุดไปวางไว้ที่สระแห่งหนึ่ง สระนั้นจึงได้ชื่อว่าสระแก้ว และจุดที่วางแก้ว
๓ แห่ง ก็มีวัดร้างชื่อแก้วอยู่ทั้งสามแห่งจนถึงปัจจุบัน
น้ำสระแก้ว
สระแก้ว
เป็นสระใหญ่ อยู่นอกเมืองพิษณุโลกไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณที่ตั้งโรงพยาบาล
พระพุทธชินราชปัจจุบัน และทางรถไฟสายเหนือใต้ตัดผ่านตอนกลางของสระนี้ แต่เดิมสระนี้มีน้ำขังอยู่เสมอ
มีทางไขน้ำเข้าออกจากแม่น้ำน่าน และมีเกาะกลางสระเหลืออยู่ พอเห็นเค้ามูลได้บ้าง
แต่เมื่อสร้างทางรถไฟสายเหนือผ่านสระนี้แล้ว สระนี้ก็ตื้นเขิน กลายเป็นที่ทำนาได้ในบัดนี้
แต่โบราณมีตำหนักเป็นที่ประทับประพาสของเจ้านายที่ครองเมืองพิษณุโลก พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ก็เคยเสด็จประพาสเกาะนี้
กล่าวกันว่า เป็นที่ทำพิธีสรงสนานของพระมหากษัตริย์ เมื่อมีชัยชนะข้าศึกในครั้งโบราณ
ทางราชการได้พลีกรรมเอาน้ำในสระแก้วนี้ไปทำน้ำอภิเษกภูมิภาค เพื่อใช้ในพิธีบรมราชาภิเษกมาทุกรัชกาล
แต่ปัจจุบันสระนี้ตื้นเขินสกปรก จึงงดใช้น้ำจากสระแก้วนี้
น้ำสระสองห้อง
สระสองห้อง
ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของพระราชวังจันทร์เกษม ซึ่งอยู่ริมลำน้ำน่านทางฝั่งตะวันตก
เหนือศาลากลางจังหวัดขึ้นไปประมาณ ๘ เส้น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
สระแห่งนี้เป็นสระขนาดเขื่อง มีถนนเป็นคันคั่นอยู่ระหว่างกลาง จึงได้ชื่อว่าสระสองห้อง
ปัจจุบันตื้นเขิน และน้ำแห้งจะมีน้ำขังอยู่ก็ต่อเมื่อมีฝนตกใหญ่ เดิมใช้เป็นที่ทรงพระสำราญ
และทางราชการได้เคยทำ พลีกรรมเอาน้ำในสระนี้มาทำน้ำอภิเษกส่วนภูมิภาค มาแล้วแทบทุกรัชกาล
แต่ปัจจุบันน้ำในสระแห้ง บริเวณสระเป็นป่าพงรกร้าง และสกปรก จึงไม่ได้ใช้น้ำในสระแห่งนี้
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำฝั่งตะวันออก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช
อันเป็นพระพุทธรูปโบราณที่งดงามและสำคัญที่สุด วัดนี้เป็นวัดโบราณ สันนิษฐานว่าพระมหาธรรมราชาลิไท
ทรงสร้างพร้อมกับสร้างเมืองพิษณุโลก และได้โปรดให้สร้างพระพุทธรูป ๓ องค์
โดยช่างเมืองสวรรคโลก เมืองหริภุญชัย และเมืองเชียงแสน ร่วมกันสร้างเมื่อปี
พ.ศ.๑๔๙๘ โดยหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ แต่หล่อได้เพียงสององค์คือพระพุทธชินสีห์
และพระศาสดา ต้องมีชีปะขาวผู้หนึ่งมาช่วยหล่อ เมื่อปี พ.ศ.๑๕๐๐
จึงหล่อสำเร็จ วัดนี้นิยมเรียกกันว่า วัดใหญ่
หรือวัดหลวงพ่อ การที่ได้ชื่อว่าวัดพระศรีมหาธาตุ
นั้นเนื่องจากมีพระมหาธาตุรูป พระปรางค์อยู่กลางวัด วัดพระศรีมหาธาตุ เป็นสถานที่ประกอบพิธีทำน้ำอภิเษกมาแต่กาลก่อน