ค นิราศรักหักใจอาลัยหวน
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ | มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน |
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนาน ๆ ปะ | เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์ |
แต่น้ำจิตต์คิดคนึงถึงทุกวัน | จะจากกันเสียทั้งรักพะวักพะวน |
ในปีวอกนักษัตร์อัฐศก | ชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์ |
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน | พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร |
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้อง | เฝ้ามอง ๆ มุ่งเขม้นไม่เห็นสมร |
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร | สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน |
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง | ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์ |
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพัน | สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม |
พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำ | ถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์ |
เห็นนางในใสสดหมดมณฑิล | ทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน |
มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อย | ยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง |
โทรมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพวง | จนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง |
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย | บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ |
เห็นสาว ๆ แม่ค้าน่าประคอง | พี่ลอง ๆ ปะตาน่าเอ็นดู |
ช่างงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอด | ยังไม่ถอดกำไลใส่ต่างหู |
น่าสงสารคอนพายมาขายพลู | ถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน |
ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบ | เย็นระเยียบรกตานิจจาเอ๋ย |
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงย | พระคุณเอยเย็นเกล้าชาวบุรี |
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึก | ออกสอึกราญรบไม่หลบหนี |
แต่ครั้งก่อนพวกพม่ามาราวี | พระตอนตีแตกยับอัปรา |
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่า | พระผ่านเผ้านิพพานนานนักหนา |
เสียดายแต่องค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา | ชลนานองเนตรสังเวชวัง |
ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้อง | เขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล |
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในกองไฟ | ทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง |
ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง | พี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง |
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนาง | เคยสำอางค์ใส่อวดประกวดกัน |
พี่เคยขอแหวนยอดน้องถอดให้ | มาสวมใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ |
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวัน | คิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์ |
มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อย | นาวาลอยลับไปไกลสมร |
พี่กล้ำกลืนโศกาอนาทร | สะท้อนถอนจิตต์ใจไม่สบาย |
ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตต์ | เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย |
ก็ได้สมชมน้องประคองกาย | แล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง |
มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตต์ | พี่ยิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง |
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวง | ครรไลล่วงเลื่อนลอยนาวามา |
มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น | หอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา |
เห็นต้นโศกเป็นดอกออกระดะ | โศกปะทะสองช้ำทำไฉน |
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจ | ทำกระไรโศกเราจะเบาบาง |
เห็นดงรังริมคลองทั้งสองฟาก | ยิ่งรักมากมัวจิตต์พิศวง |
ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอด | แทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร |
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญ | ทำชื่นบานแย้มเยื้อนเป็นเพื่อนกัน |
มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้าง | ไม่วายว่างวิโยคที่โศกศัลย์ |
นั่งคนึงถึงนุชสุดรำพัน | แล้วผายผันรีบมาในวาริน |
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตต์ | นั่งพินิจนึกในฤทัยถวิล |
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากิน | แต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน |
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล |
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซน | ไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ |
มาถึงบางขุนกองให้หมองหมาง | ระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ |
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อ | ไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ |
ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ | จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน |
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมให้ไทยปน | โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์ |
มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมอง | คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์ |
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวัน | แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา |
นางกลับเป็นจรเข้เที่ยวเร่ร่อน | ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา |
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา | อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ |
มาถึงวัดอุทยานสำราญจิตต์ | ที่เพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว |
เหมือนสวนสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย | หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย |
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก | ว่าโนนดอกสารภีเจ้าพี่เอ๋ย |
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย | เหมือนพี่เคยชมน้องในห้องนอน |
ถึงบางระนกบางคูเวียงเคียงกันอยู่ | เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ |
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน | อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ |
ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย | ดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา |
พี่รักน้องถ้าระรองเอาน้ำตา | คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ |
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ | เป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน |
ยิ่งคิดถึงแก้วตาที่อาลัย | ในจิตต์ใจพี่นี้ไม่มีสบาย |
ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย | คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย |
จะปีนต้นก็ยากลำบากกาย | พี่นึกหมายนิ่งอดเหมือนมดแดง |
ถึงบางใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่า | ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร |
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทร | ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ |
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนา | ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ |
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ | แล้วเลยต่อไปในวนชลธาร |
มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย | สกนธ์กายร้อนเริงดังเพลิงผลาญ |
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน | เปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา |
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตต์ | นั่งพินิจแนวทางมากลางหน |
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน | เมฆหมอกหม่นหมองมัวเหมือนตัวเรา |
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ | จะเลื่อนลับยุคนธรศิงขรเขา |
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา | กำสรดเศร้าโศกาเอ้กากาย |
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน | เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย |
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย | มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนมีเพื่อนชม |
มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก | เป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์ |
คลองเล็กล้ำน้ำตื้นเห็นพื้นดิน | ไม่ได้กินน้ำท่าระอาใจ |
ต้องจ้างโยง ๆ เรือเหลือลำบาก | ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื่อนไหว |
ผูกระนาวยาวยืดเป็นพืดไป | ทั้งเจ๊กไทยปนกับสนั่นอึง |
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอช้า | เป็นราคาประจำลำสลึง |
ควายก็เดินดันดังเสียงกังกึง | พอเชือกตึงเรือตามเป็นหลามมา |
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา |
ดาวประดับวับวาวอร่ามตา | ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร |
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาว | ทั้งลมว่าวพัดต้องให้หมองหมาง |
เห็นเพื่อนเรือเมื่อตอนจะรุ่งราง | มีมุ้งกางกอดเมียอยู่เคลียคลอ |
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย | ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย |
เขาโยงเรือรับรุดไม่หยุดควาย | มาจนสายจึงพ้นตำบลโยง |
มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ | ดูลึกล้ำน่ากลัวจรเข้โขง |
พี่นั่งเรือขึ้นไว้มิให้โคลง | แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว |
มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า | ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว |
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว | กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา |
ยิ่งรำพันตันจิตต์ให้คิดถึง | แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร |
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา | ไม่รอรารีบรัดผลัดกันแจว |
ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น | พี่แลเห็นต้นงิ้ว เป็นทิวแถว |
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว | เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป |
มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อย | น้ำเนตรย้อยซึมโซมชะโลมไหล |
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ | พลางครรไลล่องลอยนาวามา |
ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า | เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา |
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา | เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ |
อันรักมักหลงพะวงรัก | ใครจะรักฉกไว้ก็ไม่ไหว |
กำลังมืดเมามัวไม่กลัวใคร | คงจะไปหารักที่พักพิง |
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ | เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง |
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง | อนาถนิ่งนอนนึกรำลึกกัน |
ค ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว | เห็นแต่แนวดงพฤกษาสลอน |
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร | สง่างอนช่อฟ้าศาลาสะพาน |
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยน | ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร |
ทั้งสระโกสุมภ์ประทุมมาลย์ | บ้างตูมบานเกษรอ่อนละออ |
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว | ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ |
พระสุริยฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้า | รีบเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง |
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละออง | ไม่ผุดผ่องผิวค้ำระกำใจ |
รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์ | พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม |
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอาราม | แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ |
ค ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอด | ไม่เปล่าปลอดเรือแพแลไสว |
สิ้นหนทางคงคาชลาลัย | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน |
สัปรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า | เสียงเฮฮาอึงอื้อหือฤาหรรษ์ |
เป็นพวกพ้องเข้าประสพสมทบกัน | จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ |
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม | บรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว |
ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแซร่ไป | จะเดินไพรสนุกไม่ทุกข์ร้อน |
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย | แลดูควายเดินระดับสลับสลอน |
เจ้าของหวดด้วยตะพดให้บทจร | เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง |
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้ง | คนเดินมุ่งมาตรมาทั้งหน้าหลัง |
ถืออาวุธกันภัยระไวระวัง | ไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน |
ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์ | เป็นตำบลใหญ่โตระโหฐาน |
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร | ตำข้าวสารกรอกหม้อไม่พอกิน |
ดูเหย้าเรือนเคหา น่าสังเวช | เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น |
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน | ไม่ทิ้งถิ่นทิ้งทางให้ร้างโรย |
แต่ตัวเรียมร้างนุชมาสุดเนตร | แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย |
ค ถึงประโธนธารามพราหมณ์เขาสร้าง | เป็นพระปรางค์แต่โบราณนานนักหนา |
แต่ครั้งดวงพระธาตุพระศาสดา | พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่นคง |
บรรจุพระทะนานท่องของวิเศษ | พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์ |
จุดธูปเทียนอภิวันด้วยบรรจง | ถวายธงแพรผ้าแล้วพาจร |
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่ | เขาตัดใช้ทุกกอตอสลอน |
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน | บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย |
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มชุก | บ้างกอกุกเขี่ยดินกินลุกขุย |
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย | เห็นร่องคุ้ยรอบข้างหนทางจร |
บรรลุถึงพระปฐมประทับหยุด | สัปบุรุษเซ็งแซร่แลสลอน |
แวะขึ้นไปไหว้พระปฐมประณมกร | สโมสรโสมนัสนมัสการ |
ต่างระรื่นชื่นจิตต์พิศวง | เที่ยวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน |
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บุราณ | สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร |
มีบันไดขึ้นไปประทักษิณ | แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตต์สยอน |
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน | ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา |
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบขันธ์ | เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา |
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา | มีพฤกษาร่มรื่น เป็นพื้นทราย |
พี่ชมพลางทางพบอภิวาท | สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย |
สัปรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย | กราบถวายวันทาแล้วลาลง |
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส | ดูอนาถน้ำจิตต์พิศวง |
บริเวณวัดวาเป็นป่าดง | ดูงวยงงล่วงมาช้านาน |
พระปฐมของบรมกษัตริย์สร้าง | เป็นพระปรางค์ใหญ่โตระโหฐาน |
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน | พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม |
เธอหลงฆ่าปิตุรงค์ทิวงคต | เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ |
เธอทำผิดคิดได้ไม่เป็นธรรม | จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง |
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก | เมื่อยามยากคิดไปฤทัยหมอง |
ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายกอง | สกุณาร้องรัญจวนถึงนวลระหงส์ |
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง | ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย |
เสียงจักจั่นแจ้ว ๆ ให้แว่วหวาด | หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล |
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้านภาลัย | วังเวงใจจะมาในราตรี |
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก | คะนึงนึกถึงน้องให้หมองศรี |
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี | กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง |
บ้างก็กินโภชนากระยาหาร | ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง |
บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง | พอยับยั้งกายตามยามกันดาร |
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ | ยกมือไหว้เทพาพฤกษาสาณฑ์ |
อย่าให้มีโภยภัยสิ่งใดพาล | นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา |
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง | จรัสแสงส่องสอดยอดพฤกษา |
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา | พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นจิตต์ |
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาท | โศกไสยาศน์เกลือกกลับไม่หลับไหล |
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ | ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม |
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่งระหริงร้อง | เย็นสมองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม |
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม | เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน |
ต่างคนต่างตื่นขึ้นพร้อมหน้า | แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์ |
ระยะทางกลางไพรยังไกลกัน | แทบอาสัญทางทุเรศสังเกตมา |
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่ง | สะพร่างทิวแถวไม้ไพรพฤกษา |
ระบัดลมร่มรื่นพื้นสุธา | ดาษดาดอกก็ดวงร่วงราย |
บ้างทรงผมหล่นหนักเป็นอัคนิษฐ์ | ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย |
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย | จะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง |
ค มาถึงลาดหญ้าไทรให้ใจหาย | ตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร |
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์ | ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ |
เห็นลมพัดปัดควันไปปั่นป่วน | เหมือนลมหวนป่วนจิตต์พิสมัย |
เห็นหนองน้ำขุ่น ๆ สนุ่นไคล | เหมือนดวงใจที่พี่ช้ำระกำตรอม |
ค มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผี | เสียงชะนีโหยไห้พิไลหวน |
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญ | ให้รัญจวนจรมาในอารัญ |
เห็นต้นไทรใหญ่โตระโหถาน | สูงตระหง่านเงื้อมป่าอนาสัณฑ์ |
พี่หยุดยั้งนั่งนบอพภิวันท์ | พลางรำพันนึกในฤทัยปอง |
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษา | พระเทพาอุ้มสมภิรมย์สอง |
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้อง | พระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา |
ค ถึงหนองโพธิ์ ๆ มีที่ริมหนอง | ต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย |
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบ | ที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา |
พี่นั่งนบอภิวันทแล้วผันผาย | ไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา |
เห็นนกไม้ในดงพงพนา | ไม่เห็นหน้านิ่มนวลยิ่งครวญคราง |
ค มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้น | แลไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง |
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนาง | ทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย |
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักษณ์ | นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ |
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นาน | มาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น |
ค ถึงหนองกระบอกซอกธารสถานที่ | หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน |
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชล | มีแต่ต้นไม้สล้างข้างลำธาร |
ต้นซีกซากโศกไทรมะไฟป่า | เคียนมะค่าคางแคแสมสาร |
กะเบียนกะบากหมากลิงมะพร้าวตาล | สุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง |
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึง | รีบตะบึงมาในไพรระหงส์ |
จนเบี่ยงบ่ายชายแสงพระสุริยง | อุตส่าห์ทรงการเดิมดำเนินจร |
มาถึงห้วยปรากตเขาปลดเกวียน | เป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน |
ลงอาบน้ำดำเกล้าบันเทาร้อน | เห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต |
ทั้งสองฟากครื้นครึกล้วนพฤกษา | มีเต่าปลาพรั่งพรูอยู่อักโข |
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพ | ดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล |
ตะเพียนทองล่องลอยขึ้นพ้นน้ำ | กระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไสว |
ตะโกกาปลาสร้อยก็ลอยไป | เข้าแฝงใบจอกกะจับให้ลับกาย |
ยิ่งชมปลาอาวรณ์ให้ร้อนจิตต์ | นึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย |
รำพันพรางทางแลดูพวกเพื่อน | ออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม |
ลงอาบน้ำดำมุดบ้างผุดจม | เอาโคลนตมขว้างกันสนั่นไป |
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้อง | ขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว |
ที่ลางคนกล้าแข็งแรงสุดใจ | ก็เล่นไล่เอาเถิดเกิดพะนัน |
พวกผู้ชายว่ายจับกันสับสน | ได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน |
ขยุ้มคลำปะแล้วละกัน | เสียงสนั่นเฮฮาในวารี |
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่าย | ทั้งหญิงชายปรีด์เปรมเกษมศรี |
ก็ออกเกวียนพร้อมกันไปทันที | เกวียนของพี่ออกหน้าน้องพาจร |
ระรวยรื่นชื่นหอมพยอมสด | คันธรสโรยร่วงพวงเกสร |
ต้องพระพายชายช่ออรชร | หมู่ภมรคลึงเคล้าเฝ้าเชยชม |
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผา | โบราณว่ามีจริงทุกสิ่งสม |
หญิงกับชายเป็นคู่ดูอารมณ์ | ทั่วปฐมกัปปกัลปพุทธันดร |
ใครมีคู่พลัดคู่อยู่ไม่สุข | มักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร |
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอาวรณ์ | ด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย |
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้ | พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว |
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียว | บ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน |
ลางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหน | ลางลิงโจนจับคว้าผลาผล |
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซน | ก็รีบล้นเร็วมาในป่าดอน |
พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือ | ถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน |
ที่ย่านนั้นดูสนุกที่ฝั่งนอน | เป็นทรายอ่อนขาวสะอาดไม่บาดตา |
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้าง | ดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา |
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลา | เป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน |
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหาย | ก็ผันผายล่วงลัดพนัสสถาน |
พระสุริยง ลงลับพะโยมมาน | ก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง |
ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย | เห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง |
พวกชายหญิงสัปรุษก็หยุดยัง | เข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม |
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัย | บ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม |
บ้างก่อไฟจุดใต้ตะเกียงตาม | ดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป |
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบ | จนแสงทองสองทวีปสว่างไสว |
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย | ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา |
ในระวางนางรักทั้งคู่ค้อม | คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา |
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา | อนิจจาเกิดมาไม่ทันองค์ |
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฎ | แสนกำสรดเศร้าจิตต์พิศวง |
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลง | คิดถึงองค์สัพพัญญูตัญญาณ |
พระองค์โปรดเทวาแลมนุษย์ | ให้สูงสุดสิ้นโอฆโลกสงสาร |
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพาน | โปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน |
พระองค์เกิดในบุรินทร์กบิลพัสดุ | เป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์ |
มานิพพานในป่าพนาวัน | ถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา |
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อน | ให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา |
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตา | แทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ |
แลเห็นก้อนโลหิตประดิษฐาน | ยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล |
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไร | แล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม |
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวช | ถ้าเรืองเดชนิมิตมณฑปเสริม |
จะสร้างวัดจัดแจงตบแต่งเติม | ไว้เฉลิมโสภาสถาพร |
นี่จนจิตต์ฤทธีหามีไม่ | ยิ่งคิดไปยิ่งทอดฤทัยถอน |
โอ้พระแท่นแผ่นผาอยู่ป่าดอน | แต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง |
ชื่อกรุงโกสินารายณ์สบายนัก | เป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลื่อเลื่อง |
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง | ไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา |
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น | ดูดาษดื่นดอกดวงพวงบุปผา |
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา | คือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน |
ของพระยามลราชประสาทไว้ | ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตต์สถาน |
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ | สมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง |
แต่บ้านเรือนศูนย์หายกลายเป็นป่า | พยัคฆาอาศัยดังใจหวัง |
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารัง | อนิจจังอนาถจิตต์อนิจจา |
เดชะบุญได้นบอภิวาท | ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา |
รำพันพลางทางก้มบังคมลา | ถอยออกมาเที่ยวชมพนมเนิน |
ขึ้นคีรีที่ถวายพระเพลิงเผา | บันไดเหล่าลดหลั่นเป็นคั่นเขิน |
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน | เหมือนเหาะเหิรเห็นรอบขอบมณฑล |
ดูทิศทางบูรพาน่าวิเวก | เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน |
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมม | แลดูคนตัวนิด ๆ ติดสุธา |
เห็นเขาใหญ่ตะคุ่มชะอุ่มเขียว | ดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา |
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า | ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล |
พินิจพลางทางเดินบนเนินผา | เห็นศิลาแวววามงามไสว |
พรรณรายพรายแพรวดูแววไว | และวิไลเลื่อม ๆ ละลานตา |
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม | เป็นแถวแกมเกิดก้อนชะง่อนผา |
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธา | พิจารณาสมความตามบาลี |
เป็นก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสง | คือเครื่องแต่งพระศพพระชินศรี |
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฎมี | ด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน |
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตก | อยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน |
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนคร | ให้ถาวรวันทาบูชาชม |
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์ | สุดจะคิดขนเหินแผ่นดินถม |
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนม | เที่ยวเชยชมบุปผาชาติดาษดา |
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดล่วง | เป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา |
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธา | ดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย |
เห็นสายหยุด ๆ ยืนให้ชื่นจิต | ที่ยิ่งคิดถึงนุชยิ่งสุดหมาย |
ไม่มีไม้อื่นปนต่อสล้าง | ดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว |
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสลัดใบ | ที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย |
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นก้อง | สกุณีร้องเพรียกหูไม่รู้หาย |
ประดุจเสียงขำบำเรอราย | ร้องถวายพระแท่นในแดนดง |
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์ | อัศจรรย์จับจิตต์พิศวง |
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวง | จนเลยหลงลับทางมากลางไพร |
เห็นพยอมยางยูงสูงสลอน | ดูซับซ้อนโสกสนต้นไสว |
ตะลิงปลิงปริงปรางมะทรางไทร | มะคำไก่กันเกาะสะเดาดง |
กะถินทุ่มชุมแสงดังแกล้งตัด | เป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหงส์ |
ปริงประดู่ปรูเปรียงภุมเสียงดง | โลดทะอินทนินและอินจันทร์ |
เป็นพวงผลหล่นกลาดดูดาษดื่น | ระดะพื้นพสุธาพนาสัณฑ์ |
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชนกัน | เสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน |
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหค | บ้างโผนผกบินจับสลับสลอน |
นกกาลิงจับกิ่งกาหลงนอน | กระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู |
อีลุ้มเหล่าเขาชะวากะทาขัน | เบ็ญจวรรณบินถลาเที่ยวหาคู่ |
นกนางนวลโนรีสีชมพู | น่าเอ็นดูแต่เจ้าสาริกาทอง |
พระสุริยายอแสงแฝงคีรี | เสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ |
เห็นเสือด้อมกวางเดินเนินพนัส | เล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย |
วิ่งคะนองลองเชิงระเริงใจ | เห็นคนไปวิ่งซอกตามตรอกเตริ่น |
หมีกระโดดหมูคุดเที่ยวมุดแฝง | แรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน |
ชะมดสมันหันหาพากันเดิน | ละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน |
กะรอกกะแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุด | บ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์ |
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบล | ก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย |
ครั้นเย็นค่ำย่ำมืดขมุกขมัว | พี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย |
พระจันทร์ส่องท้องป่าพนาลัย | จุดดอกไม้เพลิงวางตามตะเกียง |
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตต์หวัง | จุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง |
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียง | ขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน |
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูด | กรวดก็ฉูดพุ่งปราดอยู่ฉาดฉาน |
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญ | ประกอบการบูชาประสาจน |
บ้างก็เต้นเล่นรำทำสมโภช | ด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล |
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์ | บ้างก็บ่นภาวนาหลับตาไป |
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้น | คนฟังยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว |
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัย | เมื่อจรไปจับน้องวันทองนาง |
บ้างก็ร้องสักวาใส่หน้าทับ | ลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง |
ข้างเสภากุมกรับขยับพลาง | แล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์ |
ปี่พาทย์รับขับขานประสานเสียง | ก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตต์พิศวง |
คนมานั่งฟังพร้อมล้อมเป็นวง | บ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง |
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมี | ชวนกันตีแต่ระฆังดังหง่างเหง่ง |
สัปรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ญ | พระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิล |
ดารารายพรายพรั่งน้ำค้างย้อย | หวนละห้อยโหยจิตต์คิดถวิล |
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดิน | เขาหลับสิ้นเสียงเงียบระเยียบเย็น |
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า | สกุณาร่ำร้องก้องประสาน |
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับพระโยมนาน | ระวีวารส่องภพจบสากล |
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่น | พี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล |
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพล | ก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา |
พี่ปลดเปลื้องเครื่องประดิษฐอุทิศถวาย | แล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา |
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธา | แล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย |
ขอเดชะภูษาอานิสงส์ | เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้ |
อย่ามีมารมาผจญเข้าดลใจ | เทพไทจงเห็นเป็นพะยาน |
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลส | จงข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร |
ให้สำเร็จประโยชน์ในโพธิญาณ | เข้านิพพานพ้นทุกข์สนุกสบาย |
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านัก | สิ่งไรรักขอให้สมอารมณ์หมาย |
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลาย | อย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน |
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัส | อย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรพ์ |
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกวัน | การสิ่งนั้นอย่าได้พบประสพเลย |
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระ | พี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย |
ประดิษฐกลอนอ่อนใจด้วยไกลเชย | ไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง |
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขา | ไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง |
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตต์ประวิง | อนาถนิ่งนึงถึงตะบึงไป |
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด | ทำนิราศรักมิตรพิสมัย |
ด้วยจิตต์รักกาพย์กลอนอักษรไทย | จึงตั้งใจแต่งคำแต่ลำพัง |
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวง | คนทั้งปวงอย่าว่าฉันบ้าหลัง |
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจัง | ประดุจดังน้ำจิตต์ฉันคิดกลอน |
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่อง | ให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร |
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร | ให้สุนทรลือทั่วธานีเอย |