| ย้อนกลับ |

นิราศพระแท่นดงรัง

นิราศรักหักใจอาลัยหวน

ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนาน ๆ ปะ เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์
แต่น้ำจิตต์คิดคนึงถึงทุกวัน จะจากกันเสียทั้งรักพะวักพะวน
ในปีวอกนักษัตร์อัฐศก ชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้อง เฝ้ามอง ๆ มุ่งเขม้นไม่เห็นสมร
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพัน สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม
                                                        .....
พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำ ถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์
เห็นนางในใสสดหมดมณฑิล ทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน
                                                        .....
มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อย ยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง
โทรมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพวง จนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ
เห็นสาว ๆ แม่ค้าน่าประคอง พี่ลอง ๆ ปะตาน่าเอ็นดู
ช่างงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอด ยังไม่ถอดกำไลใส่ต่างหู
น่าสงสารคอนพายมาขายพลู ถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน
                                                        .....
ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบ เย็นระเยียบรกตานิจจาเอ๋ย
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงย พระคุณเอยเย็นเกล้าชาวบุรี
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึก ออกสอึกราญรบไม่หลบหนี
แต่ครั้งก่อนพวกพม่ามาราวี พระตอนตีแตกยับอัปรา
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่า พระผ่านเผ้านิพพานนานนักหนา
เสียดายแต่องค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา ชลนานองเนตรสังเวชวัง
ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้อง เขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในกองไฟ ทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง
ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง พี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนาง เคยสำอางค์ใส่อวดประกวดกัน
พี่เคยขอแหวนยอดน้องถอดให้ มาสวมใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวัน คิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์
มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อย นาวาลอยลับไปไกลสมร
พี่กล้ำกลืนโศกาอนาทร สะท้อนถอนจิตต์ใจไม่สบาย
ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตต์  เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย
ก็ได้สมชมน้องประคองกาย แล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง
มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตต์ พี่ยิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวง ครรไลล่วงเลื่อนลอยนาวามา
มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น หอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา
                                                        .....
เห็นต้นโศกเป็นดอกออกระดะ โศกปะทะสองช้ำทำไฉน
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจ ทำกระไรโศกเราจะเบาบาง
เห็นดงรังริมคลองทั้งสองฟาก ยิ่งรักมากมัวจิตต์พิศวง
                                                        .....
ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอด แทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญ ทำชื่นบานแย้มเยื้อนเป็นเพื่อนกัน
มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้าง ไม่วายว่างวิโยคที่โศกศัลย์
นั่งคนึงถึงนุชสุดรำพัน แล้วผายผันรีบมาในวาริน
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตต์ นั่งพินิจนึกในฤทัยถวิล
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากิน แต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ย ไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซน ไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ
                                                        .....
มาถึงบางขุนกองให้หมองหมาง ระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อ  ไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ
ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมให้ไทยปน โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์
มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมอง คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวัน แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา
นางกลับเป็นจรเข้เที่ยวเร่ร่อน ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ
มาถึงวัดอุทยานสำราญจิตต์ ที่เพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว
เหมือนสวนสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก ว่าโนนดอกสารภีเจ้าพี่เอ๋ย
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย เหมือนพี่เคยชมน้องในห้องนอน
                                                        .....
ถึงบางระนกบางคูเวียงเคียงกันอยู่ เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ
                                                        .....
ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย ดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา
พี่รักน้องถ้าระรองเอาน้ำตา คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ เป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน
ยิ่งคิดถึงแก้วตาที่อาลัย ในจิตต์ใจพี่นี้ไม่มีสบาย
ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย
จะปีนต้นก็ยากลำบากกาย พี่นึกหมายนิ่งอดเหมือนมดแดง
                                                        .....
ถึงบางใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่า ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทร ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนา ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ แล้วเลยต่อไปในวนชลธาร
มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย สกนธ์กายร้อนเริงดังเพลิงผลาญ
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน เปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา
                                                        .....
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตต์ นั่งพินิจแนวทางมากลางหน
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน เมฆหมอกหม่นหมองมัวเหมือนตัวเรา
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ จะเลื่อนลับยุคนธรศิงขรเขา
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา กำสรดเศร้าโศกาเอ้กากาย
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนมีเพื่อนชม
                                                        .....
มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก เป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์
คลองเล็กล้ำน้ำตื้นเห็นพื้นดิน ไม่ได้กินน้ำท่าระอาใจ
ต้องจ้างโยง ๆ เรือเหลือลำบาก ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื่อนไหว
ผูกระนาวยาวยืดเป็นพืดไป ทั้งเจ๊กไทยปนกับสนั่นอึง
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอช้า เป็นราคาประจำลำสลึง
ควายก็เดินดันดังเสียงกังกึง พอเชือกตึงเรือตามเป็นหลามมา
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย  พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา
ดาวประดับวับวาวอร่ามตา ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร
                                                        .....
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาว ทั้งลมว่าวพัดต้องให้หมองหมาง
เห็นเพื่อนเรือเมื่อตอนจะรุ่งราง มีมุ้งกางกอดเมียอยู่เคลียคลอ
                                                        .....
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย
เขาโยงเรือรับรุดไม่หยุดควาย มาจนสายจึงพ้นตำบลโยง
มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ ดูลึกล้ำน่ากลัวจรเข้โขง
พี่นั่งเรือขึ้นไว้มิให้โคลง แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว
มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา
                                                        ......
ยิ่งรำพันตันจิตต์ให้คิดถึง  แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา ไม่รอรารีบรัดผลัดกันแจว
ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น พี่แลเห็นต้นงิ้ว เป็นทิวแถว
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป
มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อย น้ำเนตรย้อยซึมโซมชะโลมไหล
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ พลางครรไลล่องลอยนาวามา
ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ
อันรักมักหลงพะวงรัก ใครจะรักฉกไว้ก็ไม่ไหว
กำลังมืดเมามัวไม่กลัวใคร คงจะไปหารักที่พักพิง
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง อนาถนิ่งนอนนึกรำลึกกัน
                                                        .....
    ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว เห็นแต่แนวดงพฤกษาสลอน
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร สง่างอนช่อฟ้าศาลาสะพาน
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยน ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร
ทั้งสระโกสุมภ์ประทุมมาลย์ บ้างตูมบานเกษรอ่อนละออ
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ
                                                        .....
พระสุริยฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้า รีบเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละออง ไม่ผุดผ่องผิวค้ำระกำใจ
                                                        .....
รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์ พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอาราม แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ
    ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอด ไม่เปล่าปลอดเรือแพแลไสว
สิ้นหนทางคงคาชลาลัย จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
สัปรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า เสียงเฮฮาอึงอื้อหือฤาหรรษ์
เป็นพวกพ้องเข้าประสพสมทบกัน จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม บรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแซร่ไป จะเดินไพรสนุกไม่ทุกข์ร้อน
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย แลดูควายเดินระดับสลับสลอน
เจ้าของหวดด้วยตะพดให้บทจร เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้ง คนเดินมุ่งมาตรมาทั้งหน้าหลัง
ถืออาวุธกันภัยระไวระวัง ไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน
ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์ เป็นตำบลใหญ่โตระโหฐาน
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร  ตำข้าวสารกรอกหม้อไม่พอกิน
ดูเหย้าเรือนเคหา น่าสังเวช เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน ไม่ทิ้งถิ่นทิ้งทางให้ร้างโรย
แต่ตัวเรียมร้างนุชมาสุดเนตร  แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย
                                                        .....
    ถึงประโธนธารามพราหมณ์เขาสร้าง  เป็นพระปรางค์แต่โบราณนานนักหนา
แต่ครั้งดวงพระธาตุพระศาสดา พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่นคง
บรรจุพระทะนานท่องของวิเศษ พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์
จุดธูปเทียนอภิวันด้วยบรรจง ถวายธงแพรผ้าแล้วพาจร
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่ เขาตัดใช้ทุกกอตอสลอน
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มชุก บ้างกอกุกเขี่ยดินกินลุกขุย
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย เห็นร่องคุ้ยรอบข้างหนทางจร
บรรลุถึงพระปฐมประทับหยุด สัปบุรุษเซ็งแซร่แลสลอน
แวะขึ้นไปไหว้พระปฐมประณมกร สโมสรโสมนัสนมัสการ
ต่างระรื่นชื่นจิตต์พิศวง เที่ยวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บุราณ  สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร
มีบันไดขึ้นไปประทักษิณ แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตต์สยอน
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบขันธ์ เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา มีพฤกษาร่มรื่น เป็นพื้นทราย
พี่ชมพลางทางพบอภิวาท สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย
สัปรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย กราบถวายวันทาแล้วลาลง
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส ดูอนาถน้ำจิตต์พิศวง
บริเวณวัดวาเป็นป่าดง ดูงวยงงล่วงมาช้านาน
พระปฐมของบรมกษัตริย์สร้าง เป็นพระปรางค์ใหญ่โตระโหฐาน
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม
เธอหลงฆ่าปิตุรงค์ทิวงคต เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ
เธอทำผิดคิดได้ไม่เป็นธรรม จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก เมื่อยามยากคิดไปฤทัยหมอง
ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายกอง สกุณาร้องรัญจวนถึงนวลระหงส์
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
เสียงจักจั่นแจ้ว ๆ ให้แว่วหวาด หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้านภาลัย วังเวงใจจะมาในราตรี
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก คะนึงนึกถึงน้องให้หมองศรี
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง
บ้างก็กินโภชนากระยาหาร ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง
บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง พอยับยั้งกายตามยามกันดาร
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ ยกมือไหว้เทพาพฤกษาสาณฑ์
อย่าให้มีโภยภัยสิ่งใดพาล นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง จรัสแสงส่องสอดยอดพฤกษา
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นจิตต์
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาท โศกไสยาศน์เกลือกกลับไม่หลับไหล
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่งระหริงร้อง เย็นสมองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน
ต่างคนต่างตื่นขึ้นพร้อมหน้า แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์
ระยะทางกลางไพรยังไกลกัน แทบอาสัญทางทุเรศสังเกตมา
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่ง สะพร่างทิวแถวไม้ไพรพฤกษา
ระบัดลมร่มรื่นพื้นสุธา ดาษดาดอกก็ดวงร่วงราย
บ้างทรงผมหล่นหนักเป็นอัคนิษฐ์  ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย จะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง
                                                        .....
    มาถึงลาดหญ้าไทรให้ใจหาย ตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์ ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ
เห็นลมพัดปัดควันไปปั่นป่วน เหมือนลมหวนป่วนจิตต์พิสมัย
เห็นหนองน้ำขุ่น ๆ สนุ่นไคล เหมือนดวงใจที่พี่ช้ำระกำตรอม
                                                        .....
    มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผี เสียงชะนีโหยไห้พิไลหวน
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญ ให้รัญจวนจรมาในอารัญ
เห็นต้นไทรใหญ่โตระโหถาน สูงตระหง่านเงื้อมป่าอนาสัณฑ์
พี่หยุดยั้งนั่งนบอพภิวันท์  พลางรำพันนึกในฤทัยปอง
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษา พระเทพาอุ้มสมภิรมย์สอง
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้อง พระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา
                                                        .....
    ถึงหนองโพธิ์ ๆ มีที่ริมหนอง ต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบ ที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา
พี่นั่งนบอภิวันทแล้วผันผาย ไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา
เห็นนกไม้ในดงพงพนา ไม่เห็นหน้านิ่มนวลยิ่งครวญคราง
    มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้น แลไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนาง ทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย
                                                        .....
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักษณ์  นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นาน มาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น
                                                        .....
    ถึงหนองกระบอกซอกธารสถานที่ หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชล มีแต่ต้นไม้สล้างข้างลำธาร
ต้นซีกซากโศกไทรมะไฟป่า เคียนมะค่าคางแคแสมสาร
กะเบียนกะบากหมากลิงมะพร้าวตาล สุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึง รีบตะบึงมาในไพรระหงส์
จนเบี่ยงบ่ายชายแสงพระสุริยง อุตส่าห์ทรงการเดิมดำเนินจร
มาถึงห้วยปรากตเขาปลดเกวียน เป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน
ลงอาบน้ำดำเกล้าบันเทาร้อน เห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต
ทั้งสองฟากครื้นครึกล้วนพฤกษา มีเต่าปลาพรั่งพรูอยู่อักโข
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพ ดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล
ตะเพียนทองล่องลอยขึ้นพ้นน้ำ กระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไสว
ตะโกกาปลาสร้อยก็ลอยไป เข้าแฝงใบจอกกะจับให้ลับกาย
ยิ่งชมปลาอาวรณ์ให้ร้อนจิตต์ นึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย
                                                        .....
รำพันพรางทางแลดูพวกเพื่อน ออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม
ลงอาบน้ำดำมุดบ้างผุดจม เอาโคลนตมขว้างกันสนั่นไป
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้อง ขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว
ที่ลางคนกล้าแข็งแรงสุดใจ ก็เล่นไล่เอาเถิดเกิดพะนัน
พวกผู้ชายว่ายจับกันสับสน ได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน
ขยุ้มคลำปะแล้วละกัน เสียงสนั่นเฮฮาในวารี
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่าย ทั้งหญิงชายปรีด์เปรมเกษมศรี
ก็ออกเกวียนพร้อมกันไปทันที เกวียนของพี่ออกหน้าน้องพาจร
ระรวยรื่นชื่นหอมพยอมสด คันธรสโรยร่วงพวงเกสร
ต้องพระพายชายช่ออรชร หมู่ภมรคลึงเคล้าเฝ้าเชยชม
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผา โบราณว่ามีจริงทุกสิ่งสม
หญิงกับชายเป็นคู่ดูอารมณ์ ทั่วปฐมกัปปกัลปพุทธันดร
ใครมีคู่พลัดคู่อยู่ไม่สุข มักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอาวรณ์ ด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย
                                                        .....
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้ พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียว บ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน
ลางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหน  ลางลิงโจนจับคว้าผลาผล
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซน ก็รีบล้นเร็วมาในป่าดอน
พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือ ถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน
ที่ย่านนั้นดูสนุกที่ฝั่งนอน เป็นทรายอ่อนขาวสะอาดไม่บาดตา
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้าง ดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลา เป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหาย ก็ผันผายล่วงลัดพนัสสถาน
พระสุริยง ลงลับพะโยมมาน ก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง
ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย เห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง
พวกชายหญิงสัปรุษก็หยุดยัง เข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัย บ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม
บ้างก่อไฟจุดใต้ตะเกียงตาม ดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบ จนแสงทองสองทวีปสว่างไสว
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
ในระวางนางรักทั้งคู่ค้อม คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา อนิจจาเกิดมาไม่ทันองค์
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฎ แสนกำสรดเศร้าจิตต์พิศวง
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลง คิดถึงองค์สัพพัญญูตัญญาณ
พระองค์โปรดเทวาแลมนุษย์ ให้สูงสุดสิ้นโอฆโลกสงสาร
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพาน โปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน
พระองค์เกิดในบุรินทร์กบิลพัสดุ เป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์
มานิพพานในป่าพนาวัน ถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อน ให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตา แทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ
แลเห็นก้อนโลหิตประดิษฐาน ยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไร แล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวช ถ้าเรืองเดชนิมิตมณฑปเสริม
จะสร้างวัดจัดแจงตบแต่งเติม ไว้เฉลิมโสภาสถาพร
นี่จนจิตต์ฤทธีหามีไม่ ยิ่งคิดไปยิ่งทอดฤทัยถอน
โอ้พระแท่นแผ่นผาอยู่ป่าดอน แต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง
ชื่อกรุงโกสินารายณ์สบายนัก เป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลื่อเลื่อง
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง ไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น ดูดาษดื่นดอกดวงพวงบุปผา
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา คือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน
ของพระยามลราชประสาทไว้ ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตต์สถาน
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ สมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง
แต่บ้านเรือนศูนย์หายกลายเป็นป่า พยัคฆาอาศัยดังใจหวัง
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารัง อนิจจังอนาถจิตต์อนิจจา
เดชะบุญได้นบอภิวาท ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา
รำพันพลางทางก้มบังคมลา ถอยออกมาเที่ยวชมพนมเนิน
ขึ้นคีรีที่ถวายพระเพลิงเผา บันไดเหล่าลดหลั่นเป็นคั่นเขิน
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน  เหมือนเหาะเหิรเห็นรอบขอบมณฑล
ดูทิศทางบูรพาน่าวิเวก เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมม แลดูคนตัวนิด ๆ ติดสุธา
เห็นเขาใหญ่ตะคุ่มชะอุ่มเขียว ดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล
พินิจพลางทางเดินบนเนินผา เห็นศิลาแวววามงามไสว
พรรณรายพรายแพรวดูแววไว และวิไลเลื่อม ๆ ละลานตา
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม เป็นแถวแกมเกิดก้อนชะง่อนผา
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธา พิจารณาสมความตามบาลี
เป็นก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสง คือเครื่องแต่งพระศพพระชินศรี
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฎมี ด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตก อยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนคร ให้ถาวรวันทาบูชาชม
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์ สุดจะคิดขนเหินแผ่นดินถม
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนม เที่ยวเชยชมบุปผาชาติดาษดา
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดล่วง เป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธา ดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย
เห็นสายหยุด ๆ ยืนให้ชื่นจิต ที่ยิ่งคิดถึงนุชยิ่งสุดหมาย
                                                        .....
ไม่มีไม้อื่นปนต่อสล้าง ดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสลัดใบ ที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นก้อง สกุณีร้องเพรียกหูไม่รู้หาย
ประดุจเสียงขำบำเรอราย ร้องถวายพระแท่นในแดนดง
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์  อัศจรรย์จับจิตต์พิศวง
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวง จนเลยหลงลับทางมากลางไพร
เห็นพยอมยางยูงสูงสลอน ดูซับซ้อนโสกสนต้นไสว
ตะลิงปลิงปริงปรางมะทรางไทร มะคำไก่กันเกาะสะเดาดง
กะถินทุ่มชุมแสงดังแกล้งตัด เป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหงส์
ปริงประดู่ปรูเปรียงภุมเสียงดง โลดทะอินทนินและอินจันทร์
เป็นพวงผลหล่นกลาดดูดาษดื่น ระดะพื้นพสุธาพนาสัณฑ์
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชนกัน เสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหค บ้างโผนผกบินจับสลับสลอน
นกกาลิงจับกิ่งกาหลงนอน กระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู
อีลุ้มเหล่าเขาชะวากะทาขัน เบ็ญจวรรณบินถลาเที่ยวหาคู่
นกนางนวลโนรีสีชมพู น่าเอ็นดูแต่เจ้าสาริกาทอง
                                                        .....
พระสุริยายอแสงแฝงคีรี เสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ
เห็นเสือด้อมกวางเดินเนินพนัส เล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย
วิ่งคะนองลองเชิงระเริงใจ เห็นคนไปวิ่งซอกตามตรอกเตริ่น
หมีกระโดดหมูคุดเที่ยวมุดแฝง  แรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน
ชะมดสมันหันหาพากันเดิน ละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน
กะรอกกะแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุด บ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบล ก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย
ครั้นเย็นค่ำย่ำมืดขมุกขมัว พี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย
พระจันทร์ส่องท้องป่าพนาลัย จุดดอกไม้เพลิงวางตามตะเกียง
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตต์หวัง จุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียง ขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูด กรวดก็ฉูดพุ่งปราดอยู่ฉาดฉาน
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญ ประกอบการบูชาประสาจน
บ้างก็เต้นเล่นรำทำสมโภช ด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์ บ้างก็บ่นภาวนาหลับตาไป
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้น  คนฟังยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัย เมื่อจรไปจับน้องวันทองนาง
บ้างก็ร้องสักวาใส่หน้าทับ ลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง
ข้างเสภากุมกรับขยับพลาง แล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์
ปี่พาทย์รับขับขานประสานเสียง ก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตต์พิศวง
คนมานั่งฟังพร้อมล้อมเป็นวง บ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมี ชวนกันตีแต่ระฆังดังหง่างเหง่ง
สัปรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ญ พระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิล
ดารารายพรายพรั่งน้ำค้างย้อย  หวนละห้อยโหยจิตต์คิดถวิล
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดิน เขาหลับสิ้นเสียงเงียบระเยียบเย็น
                                                        .....
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า สกุณาร่ำร้องก้องประสาน
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับพระโยมนาน ระวีวารส่องภพจบสากล
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่น พี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพล ก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา
พี่ปลดเปลื้องเครื่องประดิษฐอุทิศถวาย แล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธา แล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย
ขอเดชะภูษาอานิสงส์ เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้
อย่ามีมารมาผจญเข้าดลใจ เทพไทจงเห็นเป็นพะยาน
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลส จงข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร
ให้สำเร็จประโยชน์ในโพธิญาณ เข้านิพพานพ้นทุกข์สนุกสบาย
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านัก สิ่งไรรักขอให้สมอารมณ์หมาย
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลาย อย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัส อย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรพ์
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกวัน การสิ่งนั้นอย่าได้พบประสพเลย
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระ พี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย
ประดิษฐกลอนอ่อนใจด้วยไกลเชย ไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขา ไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตต์ประวิง อนาถนิ่งนึงถึงตะบึงไป
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด ทำนิราศรักมิตรพิสมัย
ด้วยจิตต์รักกาพย์กลอนอักษรไทย จึงตั้งใจแต่งคำแต่ลำพัง
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวง คนทั้งปวงอย่าว่าฉันบ้าหลัง
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจัง ประดุจดังน้ำจิตต์ฉันคิดกลอน
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่อง ให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร ให้สุนทรลือทั่วธานีเอย
-------------------
| ย้อนกลับ | บน |