| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

แหล่งประวัติศาสตร์
            เขาวัง  อยู่ในเขตอำเภอลานสกา เป็นเมืองยุคแรกเมืองหนึ่งของนครศรีธรรมราช
            เมืองท่าเรือ  เป็นเมืองนครศรีธรรมราช ยุคที่ ๒
            เมืองพระเวียง  เป็นเมืองนครศรีธรรมราช ยุคที่ ๓
            วัดควนสูง  อยู่ในเขตอำเภอฉวาง เป็นที่ฝังมหาสมบัติของเจ้าสามจอม ผู้นำสมบัติมาร่วมบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุ เมื่อปี พ.ศ.๑๗๙๐ และได้สร้างพระวิหารสามจอม ไว้ถวายองค์พระบรมธาตุ ต่อมาพระวิหารนี้ได้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จึงเรียกว่า วิหารธรรมโศกราช
            ทับเจ้าพระยา  เป็นที่ตั้งกองทัพเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๙ ที่หนีพม่าจากสงครามเก้าทัพ ได้อพยพผุ้คนพร้อมทหาร และมหาสมบัติในท้องพระคลังไปอยู่บริเวณนอกเขา มีพื้นที่ประมาณ ๑,๐๐๐  ไร่ ในเขตอำเภอพอปูน ฉวางและกิ่งอำเภอช้างกลางในปัจจุบัน
โบราณสถาน
            เขาคา  เป็นโบราณสถานทางพุทธศาสนาพราหมร์ อยู่ในเขตอำเภอสิชล สันนิษฐานว่า ส้รางขึ้นในราชวงศ์ไศเลนทร์ อาณาจักรศรีวิชัย มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๔ ได้มีการขุดแต่งแล้ว

            หอพระศิวะ  อยู่ในตัวเมืองปัจจุบัน เป็นศาสนาสถานในศาสนาพราหมณ์นิกายไศวะ ภาพในหอมีศิวลึงค์บนแท่นโยนิโทรณะ ภายนอกด้านใต้ของหอ มีเสาชิงช้าจำลองแทนของเดิม ซึ่งมีขนาดใหญ่มากทำด้วยไม้ตะเคียนทอง สำหรับประกอบพิธีโล้ชิงช้า เชิญเสด็จพระอิศวรลงมายังโลกมนุษย์
            หอพระนารายณ์  ตั้งอยู่ตรงข้ามกับหอพระศิวะ เป็นที่ตั้งพระวิษณุศิลา ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของพระนารายณ์ เป็นศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์นิกายไวษยณพ หรือผู้นับถือพระวิษณุ

            กำแพงเมือง  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช สร้างในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ยาว ๕๕ เส้น ๕ วา กว้าง ๑๑ เส้น ๑๐ วา ล้อมรอบเมืองคามพรลิงค์ นายช่างและคนงานเป็นชาวอินเดียฝ่ายใต้ มีประตูเมืองสำคัญอยู่สองประตูคือ ด้านทิศเหนือชื่อ ประตูไชยศักดิ์ ด้านทิศใต้ชื่อประตูไชยสิทธิ์  ต่อมาได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปมาก สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้โปรดให้นายทหารชาวฝรั่งเศสชื่อ เดอลาร์มา มาสร้างขึ้นใหม่ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๒๓๐ - ๒๒๓๕ ในสมัยที่พระยารามเดโชเป็นเจ้าเมือง ปัจจุบันเหลือกำแพงทางด้านทิศเหนืออยู่ประมาณ ๑๐๐ เมตร ส่วนด้านอื่นถูกรื้อไปสร้างถนนราชดำเนิน
โบราณวัตถุ
            ศิลาจารึก  ศิลาจารึกหลักสำคัญของนครศรีธรรมราชคือศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ วัดเสนาเมือง กล่าวถึงการประกาศอิสระภาพของพระเจ้าจันทรภาณุราชา ผู้ครองนครศรีธรรมราช เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๗๗๓ ซึ่งในยุคนี้ เมืองนครศรีธรรมราชมีเมืองบริวาร เป็นเมืองขนาดใหญ่ถึง ๑๒ เมือง แต่ละเมืองใช้รูปนักษัตรเป็นสัญญลักษณ์ประจำเมือง เรียกว่า เมืองสิบสองนักษัตร

            ศิวลึงค์  เป็นรูปเคารพแทนองค์พระศิวหรือพระอิศวร ผู้สถิตย์อยู่บนเขาไกรลาส เป็นเทพสูงสุด หนึ่งในสามองค์ของพราหมณ์ พบอยู่ทั่วไปในชุมชนพราหมณ์นิกายไศวะยุคแรก ที่โมคลาน อำเภอท่าศาลา และที่โบราณสถานเขาคา อำเภอสิชล กับที่ในอำเภอเมือง ฯ สันนิษฐานว่า ศิวลึงค์คือที่มาของชื่ออาณาจักรตามพรลิงค์ของนครศรีธรรมราช

            หัวนะโม  เป็นวัตถุทรงกลม มีตัวอักษร กล่าวกันว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช สร้างหัวนะโมไว้ด้วยพิธีกรรมอันสูงส่งของพราหมณ์  โดยอัญเชิญเทพเจ้าทั้งสามคือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม มาสถิตในหัวนะโม เพื่อเอาไปฝังหว่านรอบเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อป้องกันโรคห่าระบาด  ปัจจุบันหัวนะโม ถือเป็นเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมงคลชื้นเอกของนครศรีธรรมราช
ย่านประวัติศาสตร์
            ท่าวังวรสินธู  เรียกกันว่า ท่าวัง มีอาคารที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงรัชสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นอาคารกึ่งยุโรปกึ่งจีน ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในสิงคโปร์ มลายู และในภาคใต้ ของไทยในสมัยนั้น
            วัดท่าโพธิ์  เป็นแหล่งการศึกษาสำคัญของเมืองนครศรีธรรมราชและเป็นท่าเรือสำคัญ
            ท่าแพ  เป็นที่ตั้งกองทัพภาคที่ ๔ และเป็นสมรภูมิสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่น ในสงครามมหาเอเซียบูรพา เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔
            บริเวณบ้านท่าเรือ  เคยเป็นท่าเรือโบราณและเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณของเมืองนครศรีธรรมราช
ศิลปกรรม
            ประติมากรรม  มีประติมากรรมหลายรูปแบบ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันคือ
                -  เทวรูปในศาสนาพราหมณ์ เช่น พระศิวะ พระนารายณ์ พระพิฆเนศวร์
                -  พระพุทธรูปแกะสลักไม้สมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์
                -  พระพุทธรูปประธาน ในพระวิหารหลวง และพระพุทธรูปในห้องมหาสมบัติ พระบรมราชา หรือพระเจ้าแตงโม เป็นต้น
                -   งานประติมากรรม ทับเกษตรด้านในทางขึ้นพระบรมธาตุเจดีย์
                -  การแกะสลักไม้หน้าจั่วพระอุโบสถวัดสะเรียง ฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลาย
                -  งานแกะสลักรูปหนังตะลุง
            จิตรกรรม ได้แก่ จิตรกรรมภายในอุโบสถวัดชายนา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง ฯ เป็นภาพเขียนสมัยรัตนโกสินทร์
                -  จิตรกรรมบนไม้กระดานคอสองระหว่างเสาในพระอุโบสถเก่า วัดท้าวโคตร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง ฯ
                -  จิตรกรรมฝาผนังอุโบสถลายดอกไม้ร่วง ที่วัดวิหารสูง ตำบลคลัง อำเภอเมือง ฯ
                -  จิตรกรรมที่วิหารเขียน วัดพระมหาธาตุ ฯ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง ฯ
                -  จิตรกรรมในหนังสือบุด ภาพพระบฎ ตู้พระธรรมอีกเป็นจำนวนมาก

            เครื่องถม  เป็นศิลปหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงมากของนครศรีธรรมราช ทำโดยใช้ผงยาถมผสมน้ำประสานทอง ถมลงบนลวดลายที่แกะสลักบนภาชนะ หรือเครื่องประดับ แล้วขัดผิวให้เงางาม
            เครื่องถมนครมีกำเนิดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา การทำเครื่องถมนครมีสองแบบคือ ลงยาถมเรียกว่า ถมเงิน แบบหนึ่ง เป็นแบบที่ทำสืบทอดมาแต่โบราณและลงยาสีเรียกว่า ถมทอง หรือถมตะทอง อีกอย่างหนึ่งเป็นแบบที่มีขึ้นชั้นหลัง เครื่องถมนครได้ทำเป็นภาชนะเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น แหวน กำไล ปิด เชี่ยนหมาก ขันน้ำพานรอง หีบทองลงยา ดาบฝักทอง
            ด้วยเหตุที่เครื่องถมนครเป็นงานที่มีฝีมือดีมาก จึงได้ใช้เป็นเครื่องบรรณาการครั้งสำคัญ ทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายครั้ง กล่าวคือ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงมีรับสั่งให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชส่งช่างถมฝีมือดีไปยังกรุงศรีอยุธยา เพื่อทำไม้กางเขนถมส่งไปพระราชทานสันตปาปาที่กรุงวาติกัน ทำเครื่องถมถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝั่งเศส ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) นำพระเสลี่ยงหรือพระราชยานถมและพระแท่นถม น้อมเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ได้นำเรือพระที่นั่งกราบถม กับพระเก้าอี้ถมซึ่งใช้เป็นพระที่นั่งภัทรบิฐถวายสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ได้ทรงรับสั่งให้เมืองนครศรีธรรมราช ทำเครื่องถมหลายชิ้นส่งไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษ และส่งไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) ทำพระแท่นพุดตานถม เพื่อตั้งในท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำชุดน้ำชาถมทองไปพระราชทานประธานาธิบดีไอเซนฮาวน์ แห่งสหรัฐอเมริกา
            การสืบทอดวิธีทำเครื่องถม เดิมสืบทอดกันแบบพ่อสอนลูก ครูสอนศิษย์ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระรัตนธัชมุนี (ม่วง) เจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชในเวลานั้น ได้ตั้งโรงเรียนช่างถมขึ้น และได้พัฒนาต่อมาเป็นวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช สืบทอดความรู้ในการทำเครื่องถมต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ภาษาและวรรณกรรม
            ภาษาและวรรณกรรมของนครศรีธรรมราชมีหลักฐานเริ่มจากการทำศิลาจารึกในพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๐ จารึกอักษรปัลลวะ หรืออินเดียใต้ เช่น ศิลาจารึกหุบเขาชองคอย ในระยะต่อมาพบจารึกและบันทึกภาษาขอม ภาษาบาลี ภาษาสันสฤกต ภาษาไทยภาคกลาง ภาษายาวีของชาวไทยอิสลาม ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ
            นอกจากนั้นยังมีภาษาปักษ์ใต้ที่มีอิทธิพลต่อสำนวนภาษาในศิลาจารึกสุโขทัย พงศาวดารอยุธยา วรรณคดีสมัยอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์
    ภาษานครศรีธรรมราช
            เป็นภาษาที่ใช้คำสั้น ๆ ตรงกับลักษณ์การใช้สอย ความต้องการและความรู้สึกจึงมักตัดพยางค์หน้า หรือพยางค์หลังออก บางครั้งมีความจำเป็นต้องใช้คำควบกล้ำ ด้วยตรีอักษรหลายตัวเช่น เหล็กขูด ขึ้นพร้าว (ขึ้นมะพร้าว) จอกอ (มะละกอ)
            ได้มีผู้เสนอผลการศึกษาประวัติความเป็นมาของภาษาไทยถิ่นนี้ไว้ว่า ภาษานครศรีธรรมราชเป็นภาษาที่มีวิวัฒนาการมาจากภาษาไทยสาขาสุโขทัย ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่ใช้พูดกันในนครศรีธรรมราชและสงขลา ภาษานครศรีธรรมราชได้วิวัฒนาการเป็นภาษาไทยปัจจุบัน หกถิ่นคือ กระบี่ นครศรีธรรมราช ทุ่งสง ตรัง ควนขนุน (พัทลุง) และหัวไทร แต่บางท่านแย้งว่า นครศรีธรรมราชทำศิลาจารึกหลักแรก เมื่อประมาณพุทธศตววรษที่ ๙ ก่อนศิลาจารึกของสุโขทัยที่ทำขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตววรษที่ ๑๙ ห่างกันประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ดังนั้นสุโขทัยน่าจะได้รับวัฒนธรรมจากนครศรีธรรมราช ซึ่งรวมทั้งภาษาด้วย ภาษาสุโขทัยจึงน่าจะเป็นภาษาที่พัฒนาการมาจากภาษานครศรีธรรมราช ด้วยเหตุนี้คำบางคำในศิลาจารึกที่ชาวกรุงเทพ ฯ อ่านแล้วไม่เข้าใจแต่ชาวนครศรีธรรมราชเข้าใจเช่น ตีน (ปละตีน) หัวนอน (ปละหัวนอน)  โอย รอด ป่าหมาก ป่าพลู จะแจ ค้า หลาย ฯลฯ
                -  ภาษาถิ่น  จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นภาษาย่อยของภาษาไทย ที่ใช้พูดกันมั่วไปในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดใหญ่ มีประชาการจำนวนมาก จึงทำให้ภาษาถิ่นนครศรีธรรมราช มีความแตกต่างกันสามารถแบ่งเป็นภาษาถิ่นย่อย ๆ ได้อีก โดยถ้าใช้เสียงวรรณยุกต์เป็นตัวแบ่ง ก็จะได้เป็นกลุ่มที่มีวรรณยุกต์หกเสียง และกลุ่มที่มีวรรณยุกตเจ็ดเสียง ถ้าใช้พยัญชนะควบกล้ำ มร, มล เป็นตัวแบ่งก็จะได้เป็นกลุ่มที่มีพยัญชนะควบกล้ำ มร, มล กับกลุ่มที่ไม่มีพยัญชนะควบกล้ำ มร, มล และการใช้พยัญชนะตัวสะกด ก เป็นตัวแบ่ง ก็จะได้กลุ่มที่ไม่มี ก สะกด และกลุ่มที่มี ก สะกด
                -  ระบบคำ  มีทั้งคำพยางค์เดียว และหลสยพยางค์ แต่ส่วนใหญ่ถ้าคำในภาษาไทยมาตรฐานเป็นคำหลายพยางค์ ภาษาถิ่นนครศรีธรรมราช มักจะตัดพยางค์ให้เหลือพยางค์เดียว เช่น คลาด เป็น หลาด สบาย เป็น บาย ขนม เป็น หนม
                -  การเรียงคำและประโยค  ส่วนใหญ่ไม่แตกต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน แต่มี่บางคำที่เรียงสลับที่กัน เช่น ข้าวตัก - ตักข้าว
 หลวงตา - ตาหลวง เลือดออก-ออกเลือด
                    การเรียงคำ  มีลักษณะการเรียงคำในภาษาไทยโบราณเหลืออยู่คือ การเรียงคำนับจำนวนนำหน้านาม และคำนามมีลักษณะนามนำหน้า คือ คำนับจำนวน - ลักษณะนาม - นาม เช่น
                    สองบาททอง - ทองสองบาท  สามคันแรก - รถสามคัน   สองตัวหมู - หมูสองตัว
                    สิบลำเรือ - เรือสิบลำ   เงินร้อยหนึ่ง - เงินหนึ่งร้อย
    วรรณกรรม
            วรรณกรรมนครศรีธรรมราชแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้สองประเภทคือ วรรณกรรมมุขปาฐะ และวรรณกรรมลายลักษณ์

            วรรณกรรมมุขปาฐะ  เป็นวรรณกรรมที่ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งด้วยวิธีจดจำและเล่าสืบต่อกันมา ไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ นิทานพื้นบ้าน ภาษิต ปริศนาคำทาย เพลงบอก โนรา หนังตะลุง เพลงกล่อมเด็ก เพลงพื้นบ้าน เพลงเรือ คำร้อยกรองที่ใช้ในพิธีกรรม คำร้อยกรองประกอบการเล่นของเด็ก

            วรรณกรรมลายลักษณ์  เป็นวรรณกรรมที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งออกเป็นวรรณกรรมคำสอน วรรณกรรม ศาสนา วรรณกรรมตำนาน และประวัติศาสตร์ วรรณกรรมตำรา วรรณกรรมนิทาน และวรรณกรรมแบบเรียน
    จารึก

            จารึกที่พบมีอยู่หลายหลัก ศิลาจารึกที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๙   อักษรที่ใช้บันทึกคือ อักษรปัลลวะ บาลีและสันสกฤต เช่น ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย และศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์  นอกจากนี้ยังมีศิลาจารึกหลักสำคัญคือ ศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ และศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ เนื่องจากเป็นศิลาจารึก ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาในระยะแรกของนครศรีธรรมราช ดังนี้
            ศิลาจารึกหลักที่ ๒๓  จารึกด้วยอักษรปัลลวะ เป็นภาษาสันสกฤต มีอักษรจารึกสองด้าน ด้านที่หนึ่งมี ๒๔ บรรทัด ด้านที่สองมี ๔ บรรทัด  ตัวศิลาจารึกทำด้วยหินทรายแดงเป็นแผ่นรูปใบเสมากว้าง ๕๐ เซนติเมตร สูง ๑๐๔ เซนติเมตร หนา ๙ เซนติเมตร สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพบ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐ ครั้งที่พระองค์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงนำจารึกหลักนี้มาจากตำบลเวียงสระ แขวงเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อคราวเสด็จตรวจราชการหัวเมืองชายทะเลตะวันตก ได้ประทานไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และได้นำมาตรวจอ่าน จารึกหลักนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าจารึกวัดเสมาเมือง เนื่องจากได้มีพระสงฆ์รูปหนึ่งเป็นชาวนครศรีธรรมราชเห็นเข้า และจำได้ว่าเคยอยู่ที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
            เนื้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ มีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติความเป็นมาของเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวคือ ตามจารึกระบุ พ.ศ.๑๓๑๘ (มหาศักราช ๖๙๗) กล่าวถึงเรื่องบุญบารมีของพระราชาผู้ทรงคุณอันประเสริฐ  ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ แปลว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัย ผู้เป็นเจ้าแห่งราชาทั้งหลายในโลก ได้ทรงสร้างปราสาทอิฐสามหลังเป็นที่บูชาพระโพธิสัตว์ผู้ถือดอกบัว (พระโพธิสัตว์ปทุมปาณี)  พระผู้ผจญพญามาร (พระพุทธเจ้า) และพระโพธิสัตว์ผู้ถือวชิระ (พระโพธิสัตว์วชิรปาณี)  ทรงเป็นหัวหน้าแห่งราชวงศ์ไศเลนทร นามว่าศรีมหาราช โปรดให้สร้างเรือนอิฐสามหลังเหนือวิมานของพระวิษณุ พระศิวะ และพระอินทร์  พระราชาธิราชองค์นี้เปรียบเสมือนพระวิษณุ ได้รับถวายสมญาว่าพระวิษณุองค์ที่สอง เป็นต้นกำเนิดแห่งไศเลนทรวงศ์ ทรงนามศรีมหาราชา
            คำแปลในด้านที่สองของจารึก กล่าวถึงพระราชาธิราชผู้เป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์ไศเลนทร ผู้ทรงนามศรีมหาราชาและ ได้รับการขนานพระนามว่า พระวิษณุองค์ที่สอง
            การพบศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ อาจแปลความหมายได้หลายประการด้วยกันคือ
                -  เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๔  กรุงศรีวิชัยหรืออาณาจักรศรีวิชัย มีเมืองหลวงอยู่ที่นครศรีธรรมราช
                -  เมืองนครศรีธรรมราชในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีศาสนสถานและ
ประติมากรรมรูปเคารพเนื่องในศาสนาอยู่ไม่น้อย
                -  เมืองนครศรีธรรมราชหรืออาณาจักรตามพรลิงค์ ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ยังไม่มีพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช หรือยังไม่มีพระราชาพระองค์ใดอ้างตน เทียบเท่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช  ยังไม่มีการกล่าวถึงการสร้างพระสถูป เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีแต่การสร้างที่ประดิษฐานให้พระโพธิสัตว์
                -  อาณาจักรตามพรลิงค์ที่เชื่อกันว่า เป็นอาณาจักรโบราณในนครศรีธรรมราช อาจมีอายุไปถึงพุทธศตวรรษที่ ๘ และได้
กลายเป็นอาณาจักรศรีวิชัยในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ โดยมีราชวงศ์ไศเลนทรจากชวาภาคกลางเป็นผู้ปกครอง
                -  การพบศิลาจารึกที่วัดเสมาเมือง แสดงว่าเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๔
                -  การนับถือพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในเมืองนครศรีธรรมราช มีการนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายควบคู่ไปด้วย
                -  ดินแดนแถบนี้ยอมรับนับถือไวษณพนิกายมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑ แลัว
    ตำนาน
                -  ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช  เป็นตำนานอย่างนิทานท้องถิ่นเล่าเรื่อง ความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุ ที่เสด็จมาสู่เมืองนครศรีธรรมราช ตลอดจนการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์  สันนิษฐานว่า แต่งเในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
                -  ตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช แต่งเป็นกลอนสวด ประกอบด้วยกาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘  กล่าวถึงการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์
                -  ตำนานนางเลือดขาว  เป็นตำนานที่เล่ากันแพร่หลายในหลายจังหวัดภาคใต้ คือพัทลุง สงขลา ตรัง และนครศรีธรรมราช  ที่เกิดของตำนานคือบ้านพะเกิด ตำบลปากพะยูน จังหวัดพัทลุง  เมื่อพระนางเลือดขาวกับเจ้าพระยากุมารได้ปกครองเมืองพัทลุงแล้ว ได้ร่วมเดินทางไปกับคณะทูต ของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธสิหิงค์จากลังกามายังนครศรีธรรมราช และได้สร้างสาธารณประโยชน์ไว้ในเมืองนครศรีธรรมราชหลายแห่ง
                -  ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช  เรียบเรียงขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๒๗๗ เนื่องจากพิธีพราหมณ์และผู้ปฏิบัติศาสนาพราหมณ์ ในเมืองนครศรีธรรมราช เริ่มเสื่อมโทรมลง และกำลังจะหายสาบสูญ ขุนพรหมสุทธิชาติ ขุนยศ และขุนสาสุเทพ จึงแต่งขึ้นเพื่อมอบแก่ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อให้ช่วยทำนุบำรุงศาสนาพราหมณ์ตามจารีตสืบไป
    ตำรา
            นครศรีธรรมราชมีตำราต่าง ๆ อันรวบรวมจากสรรพวิชาความรู้ที่สร้างสมกันมาเป็นเวลานาน  เป็นประโยชน์ต่อชุมชนทั้งในด้านระเบียบแบบแผน การเมือง  การปกครอง การทำมาหากิน และพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อความสงบสุขของสังคม ได้แก่ ตำราไสยศาสตร์ ดาราศาตร์ ตำราหมอดู ตำราพิชัยสงคราม ตำราลิลิตโองการแช่งน้ำ ตำราพิธีพราหมณ์ ตำราดูช้างเผือก ตำราคล้องช้างป่า ตำราสวดภานยักษ์ ตำราหนังสือเรียน ตำรายาแผนโบราณ
 

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |