โคลงโลกนิติ

| หน้าต่อไป |

     โคลงโลกนิติเป็นสุภาษิตเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี นักปราชญ์ในครั้งนั้นได้สรรหา คำสุภาษิตที่เป็นภาษาบาลีและสันสกฤต ที่มีอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ คือ คัมภีร์โลกนิติ คัมภีร์โลกนัย  ตลอดจนคัมภีร์พระธรรมบท แล้วนำมาแปลเป็นภาษาไทย โดยแต่งเป็นคำประพันธ์ คำโคลงทุกคาถา  รวมเรียกว่าโคลงโลกนิติ เป็นสุภาษิตที่บรรพบุรุษของไทยนับถือ นำไปเล่าเรียน สั่งสอน และประพฤติปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง เป็นที่รู้จักกันดี ในหมู่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกสถานะอาชีพต่อเนื่องกันมาช้านานจนถึงปัจจุบัน
     เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๔ ทรงมี        พระราชประสงค์จะให้ จารึกโคลงโลกนิติลงในแผ่นศิลาในวัดพระเชตุพนฯ เป็นธรรมทาน จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร รวบรวมโคลงโลกนิติของเก่ามาชำระแก้ไขใหม่ ให้เรียบร้อยปราณีตและไพเราะ เพราะของเก่าที่คัดลอกต่อ ๆ กันมา ปรากฎว่ามีถ้อยคำที่วิปลาศคลาดเคลื่อนไปมาก
     สุภาษิตที่ปรากฎในโคลงโลกนิติ ล้วนเป็นภาษิตที่นิยมนับถือกันว่า เป็นภาษิตที่เหมาะสม ที่จะใช้เป็นหลักประพฤติปฏิบัติ และนำไปสั่งสอนกันต่อไป

 
 
    ครรโลงโคลงโลกนิตินี้

มีแต่โบราณกาล 
เป็นสุภาษิตสาร 
กลดั่งสร้อยสอดคล้อง
  นมนาน 
เก่าพร้อง 
สอนจิต 
เวี่ยไว้ในกรรณ
 
   ทศนัขนอบน้อมมิ่ง

ไตรรัตน์จัดเบญจางค์  
จักพร้องโลกนิติปาง 
อรรถอื่นอ้างเลศล้อม
  อุตมางค์ 
แจ่มพร้อม 
สดับแต่  เดิมพ่อ 
ต่างต้องคัมภีร์
 
ถวายกรกรรพุ่มเพี้ยง

ไตรรัตน์เรียบไตรทวาร 
โลกนิติสืบสาร 
เตือนจิตสาธุชนเช้า
  บวรมาลย์มิ่งแฮ 
เวียดเกล้า 
ของเก่า 
ค่ำค้ำชูใจ
 
โลกนิติในโลกล้วน

คือบิดามารดาอาจารย์  
เชาเจ้าจ่อมใจบาณ 
เบิกศิลปปรีชาแท้
  แก่นสาร 
เจี่ยวแล้ 
ทิตร่ำ  เรียนแฮ 
เลิศแล้วเมธี
 
ปลาร้าพันห่อด้วย

ใบก็เหม็นคาวปลา 
คือคนหมู่ไปหา 
ได้แต่ร้ายร้ายฟุ้ง
  ใบคา 
คละคลุ้ง 
คบเพื่อน  พาลนา 
เฟื่องให้เสียพงศ์
 
ใบพ้อพันห่อหุ้ม

หอมระรวยรสพา 
คือคนเสพเสน่หา 
ความสุขซาบฤาม้วย
  กฤษณา 
เพริศด้วย 
นักปราชญ์ 
ดุจไม้กลิ่นหอม
 
ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้

ภายนอกแดงดูฉัน 
ภายในย่อมแมลงวัน 
ดุจดังคนใจร้าย
  มีพรรณ 
ชาดบ้าย 
หนอนบ่อน 
นอกนั้นดูงาม
 
ขนุนสุกสล้างแห่ง

ภายนอกเห็นหนามหนา  
ภายในย่อมรสา 
สาธุชนนั้นแล้
  สาขา 
หนั่นแท้ 
เอมโอช 
เลิศด้วยดวงใจ
 
ยางขาวขนเรียบร้อย

ภายนอกหมดใสสี 
กินสัตว์เสพปลามี 
เฉกเช่นชนชาติร้าย
  ดูดี 
เปรียบฝ้าย 
ชีวิต 
นอกนั้นนวลงาม
 
รูปแร้งดูร่างร้าย

ภายนอกเพียงพึงชัง  
เสพสัตว์ที่มรณัง 
ดังจิตสาธุชนกล้า
  รุงรัง 
ชั่วช้า 
นฤโทษ 
กลั่นสร้างทางผล
 
คนพาลผู้บาปแท้

ไปสู่หาบัณทิต 
ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์ 
คือจวักตักเข้า
  ทุรจิต 
ค่ำเช้า 
 บ่ทราบ ใจนา 
ห่อนรู้รสแกง
 
ผู้ใดใจฉลาดล้ำ

ได้สดับปราชญ์เจรจา  
ยินคำบัดเดี๋ยวมา 
คือมลิ้นคนผู้
  ปัญญา 
อาจรู้ 
ซับซาบ ใจนา 
ทราบรู้รสแกง
 
หมูเห็นสีหราชท้า

กูสี่ตีนกูพบ 
อย่ากลัวท่านอย่าหลบ 
ท่านสี่ตีนอย่าได้
  ชวนรบ 
ท่านไซร้ 
หลีกจาก กูนา 
วากเว้วางหนี
 
สีหราชร้องว่าโอ้

ทรชาติครั้นเห็นกู 
ฤามึงใคร่รบดนู 
กูเกลียดมึงกูให้
  พาลหมู 
เกลียดใกล้ 
มึงมาศ  เองนา 
พ่ายแพ้ภัยตัว
 
กบเกิดในสระใต้

ฤาห่อนรู้รสมาลย์ 
ภุมราอยู่ไกลสถาน 
บินโบกมาค้อยค้อย
  บัวบาน 
หนึ่งน้อย 
นับโยชน์  ก็ดี 
เกลือกเคล้าเสาวคนธ์
 
ใจชนใจชั่วช้า

ใจจักสอนใจเอง 
ใจปราชญ์ดัดตามเพลง 
ดุจช่างปืนดัดไม้
  โฉงเฉง 
ไป่ได้ 
พลันง่าย 
แต่งให้ปืนตรง
 
ไม้ค้อมมีลูกน้อม

คือสัปบุรุษสอนตาม 
ไม้ผุดังคนทราม 
ดัดก็หักแหลกแล้
  นวยงาม 
ง่ายแท้ 
สอนยาก 
ห่อนรื้อโดยตาม
 
เป็นคนควรรอบรู้

สองประการนิยม 
หนึ่งพาลหนึ่งอุดม 
สองสิ่งนี้จงให้
  สมาคม 
กล่าวไว้ 
นักปราชญ์ 
เลือกรู้สมาคม
 
คนใดไปเสพด้วย

จักทุกข์ทนเนานาน 
ใครเสพท่วยทรงญาณ 
เสวยสุขล้ำเลิศแท้
  คนพาล 
เนิ่นแท้ 
เปรมปราชญ์ 
เพราะได้สดับดี
 
ได้เห็นนักปราชญ์ไซร้

อยู่ร่วมเรือนหายทุกข์ 
ผู้พาลสั่งสอนปลุก 
ยลเยี่ยงนกแขกเต้า
  เป็นสุข 
ค่ำเช้า 
ใจดั่ง พาลนา 
ตกต้องมือโจร
 
จงนับสัปบุรุษรู้

จะละหลีกพาลอัน 
จงสร้างสืบบุญธรรม์ 
จงนึกนิตย์ชีพคล้าย
  บุญกรรม์ 
ชั่วร้าย 
ทุกเมื่อ 
ดุจด้วยฟองชล
 
คบกากาโหดให้

พาตระกูลเหมหงส์ 
คบคนชั่วจักปลง 
ตราบลูกหลานเหลนม้วย
  เสียพงศ์ 
แหลกด้วย 
ความชอบ  เสียนา 
ไม่ม้วยนินทา
 
มดแดงแมลงป่องไว้

งูจะเข็บพิษวาง 
ทรชนทั่วสรรพางค์ 
เพราะประพฤติมันเกี้ยว
  พิษหาง 
แห่งเขี้ยว 
พิษอยู่ 
เกี่ยงร้ายแกมดี
 
นาคีมีพิษเพี้ยง 
เลื้อยบ่ทำเดโช 
พิษน้อยหยิ่งโยโส 
ชูแต่หางเองอ้า
  สุริโย 
แช่มช้า 
แมลงป่อง 
อวดอ้างฤทธี
 
ความรู้ผู้ปราชญ์นั้น

ฝนทั่งเท่าเข็มเพียร 
คนเกียจเกลียดหน่ายเวียน 
กลอุทกในตระกร้า
  นักเรียน 
ผ่ายหน้า 
วนจิต 
เปี่ยมล้นฤามี
 
กละออมเพ็ญเพียบน้ำ

โอ่งอ่างพร่องชลชิง 
ผู้ปราชญ์ห่อนสุงสิง 
คนโฉดรู้น้อยก้อ
  ฤาติง 
เฟื่องหม้อ 
เยียใหญ่ 
พลอดนั้นประมาณ
 
งาสารฤาห่อนเหี้ยน

คำกล่าวสาธุชนยืน 
ทุรชนกล่าวคำฝืน 
หัวเต่ายาวแล้วสั้น
  หดคืน 
อย่างนั้น 
คำเล่า 
เล่ห์ลิ้นทรชน
 
ทรชนอย่าเคียดแค้น

อย่าห่างศัตรูชิด 
คือไฟถ่านแรงฤทธิ์ 
แม้นดับแล้วบ่ไหม้
  อย่าสนิท 
อย่าใกล้ 
ถือถลาก มือนา 
หม่นต้องมือดำ
 
มิตรพาลอย่าคบให้

พาลใช่มิตรอย่ามัก 
ครั้นคราวเคียดคุมชัก 
รู้เหตุสิ่งใดไซร้
  สนิทนัก 
กล่าวใกล้ 
เอาโทษ ใส่นา 
ส่อสิ้นกลางสนาม
 
หมาใดตัวร้ายขบ

อย่าขบตอบต่อหมา 
ทรชนชาติช่วงทา 
อย่าโกรธอย่าหน้าบึ้ง
  บาทา 
อย่าขึ้ง 
รุณโทษ 
ตอบถ้อยถือความ
 
ลูกสะเดาน้ำผึ้งซาบ

แล้วปลุกปองรสคนธ์ 
ตราบเท่าออกดอกผล 
ขมแห่งสะเดาน้อย
  โทรมปน 
แอบอ้อย 
พวงดก 
หนึ่งรู้โรยรา
 
พริกเผ็ดใครให้เผ็ด

หนามย่อมแหลมเองใคร 
จันทน์กฤษณาไฉน 
วงศ์แห่งนักปราชญ์ได้
  ฉันใด 
เซี่ยมได้ 
ใครอบ  หอมฤา 
เพราะด้วยฉลาดเอง
 
จันทน์แห้งกลิ่นห่อนได้

อ้อยหีบชานยังหวาน 
ช้างเข้าศึกเสี่ยมสาร 
บัณทิตแม้นทุกข์ร้อย
  ดรธาน 
โอชอ้อย 
ยกย่าง งามนา 
เท่ารื้อลืมธรรม
 
ฝูงหงส์หลงเข้าสู่

สีหราชเคียงโคนา 
ม้าต้นระคนลา 
นักปราชญ์พาลพาเต้า
  ฝูงกา 
คลาดเคล้า 
เลวชาติ 
สีนี้ไฉนงาม
 
แมลงวันแสวงเสพด้วย

พาลชาติเสาะกิ่งรก 
ภุมราเห็จเหินหก 
นักปราชญ์ฤาห่อนหม้าย
  ลามก 
เรื่องร้าย 
หาบุษ บานนา 
หมั่นสู้แสวงธรรม
 
เนื้อปองน้ำหญ้าบ่

ลิงบ่ปองรัตน์ปอง 
หมูปองอสุจิของ 
คนเคลิบเคลิ้มบ้าใบ้
  ปองทอง 
ลูกไม้ 
หอมห่อน ปองนา 
ห่อนรู้ปองธรรม
 
กายเกิดพยาธิโรคร้าย

แต่พยศยาไป่วาย 
ชาติเสือห่อนหายลาย 
กล้วยก็กล้วยคงกล้วย
  ยาหาย 
ตราบม้วย 
ลบผ่อง 
กลับกล้ายฤๅมี
 
ขุนเขาสูงร้อยโยชน์

ขุนปราบด้วยโยธา 
จักล้างพยศสา 
ยศศักดิ์ให้เท่าให้
  คณนา 
ราบได้ 
หัสยาก 
พยศนั้นฤาหาย
 
คบคนผู้โฉดเคลิ้ม

หญิงเคียดอย่าระคน 
อย่าคบหมู่ทรชน 
บัณทิตแม้ตกต้อง
  อับผล 
ร่วมห้อง 
สอนยาก 
โทษสู้สมาคม
 
ภูเขาอเนกล้ำ

บมิหนักแผ่นธรณี 
หนักนักแต่กระลี 
อันจักทรงทานได้
  หากมี 
หน่อยไซร้ 
ลวงโลก 
แด่พื้นนรกานต์
 
ภูเขาทั้งแท่งล้วน

ลมพยุพัดพา 
สรรเสริญแลนินทา 
ใจปราชญ์ฤาเฟื่องพื้น
  ศิลา 
บ่ขึ้น 
คนกล่าว 
ห่อนได้จินต์จล
 
ห้ามเพลิงไว้อย่าให้

ห้ามสุริยแสงจันทร์ 
ห้ามอายุให้หัน 
ห้ามดังนี้ไว้ได้
  มีควัน 
ส่องไซร้ 
คืนเล่า 
จึ่งห้ามนินทา
 
ภูเขาเหลือแหล่ล้วน

หามณีจินดา 
ฝูงชนเกิดนานา 
หานักปราชญ์นั้นไซร้
  ศิลา 
ยากได้ 
ในโลก 
เลือกแล้วฤามี
 
ป่าหลวงหลายโยชน์พร้อม

หาแก่นจันทน์กฤษณา 
ฝูงคนเกิดมีมา 
หาปราชญ์ฤาจักได้
  พฤกษา 
ยากไซร้ 
เหลือแหล่ 
ยากแท้ควรสงวน
 
มัจฉามีทั่วท้อง

หาเงือกงูมังกร 
ทั่วด้าวพระนคร 
จักเสาะสัปปุรุษไซร้
  ชโลธร 
ยากได้ 
คนมาก มีนา 
ยากแท้จักมี
 
ดารามีมากร้อย

บ่เปรียบกับดวงจันทร์ 
คนพาลมากอนันต์ 
จะเทียบเท่าปราชญ์ไซร้
  ถึงพัน 
หนึ่งได้ 
ในโลก 
ยากแท้ฤาถึง
 
เหมหงส์เลี้ยงชีพด้วย

ช้างพึ่งพนาดร 
ภุมราบุษบากร 
นักปราชญ์เลี้ยงตัวได้
  สาคร 
ป่าไหม้ (ไม้) 
ครองร่าง ตนนา 
เพื่อด้วยปัญญา
 
นกแร้งบินได้เพื่อ

หมู่จระเข้เต่าปลา 
เข็ญใจพึ่งราชา 
ลูกอ่อนอ้อนกลืนกล้ำ
  เวหา 
พึ่งน้ำ 
จอมราช 
เพื่อน้ำนมแรง
 
ป่าพึ่งพาลพยัคฆ์ร้าย

เสือพึ่งไพรพงพี 
ความชั่วพึ่งความดี 
เรือพึ่งแรงน้ำน้ำ
  ราวี 
เถื่อนถ้ำ 
เท็จพึ่ง จริงนา 
หากรู้คุณเรือ
 
ตีนงูงูไซร้หาก

นมไก่ไก่สำคัญ 
หมู่โจรต่อโจรหัน 
เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้
  เห็นกัน 
ไก่รู้ 
เห็นเล่ห์ กันนา 
ปราชญ์รู้  เชิงกัน
 
มีอายุร้อยหนึ่ง

ศีลชื่อปัญจางค์จัก 
ขวบเดียวเด็กรู้รัก 
พระตรัสสรรเสริญผู้
  นานนัก 
ไป่รู้ 
ษานิจ  ศีลนา 
เด็กนั้นเกิดศรี
 
คนใดยืนอยู่ร้อย

ใจบ่มีปรีชา 
วันเดียวเด็กเกิดมา 
สรรเพชญ์บัณฑูรไว้
  พรรษา 
โหดไร้ 
ใจปราชญ์ 
เด็กนั้นควรยอ
 
คนใดยืนเหยียบร้อย

ความอุตส่าหฤามี 
เด็กเกิดขวบหนึ่งดี 
พระตรัสว่าเด็กน้อย
  ขวบปี 
เท่าก้อย 
เพียรพาก 
นี่เนื้อเวไนย
 
อายุถึงร้อยขวบ

ธัมโมชอันโอฬาร 
เด็กน้อยเกิดประมาณ 
เห็นถ่องธรรมยิ่งผู้
  เจียรกาล 
บ่รู้ 
วันหนึ่ง 
แก่ร้อยพรรษา
 
มีอายุอยู่ร้อย

ความเกิดแลความตาย 
วันเดียวเด็กหญิงชาย 
ลูกอ่อนนั้นยิ่งผู้
  ปีปลาย 
ไป่รู้ 
เห็นเกิด ตายนา 
แก่ร้อยปีปลาย
 
ธิรางค์รู้ธรรมแม้

บ่กล่าวให้หญิงชาย 
ดุจหญิงสกลกาย 
อยู่ร่วมเรือนผัวผู้
  มากหลาย 
ทั่วรู้ 
งามเลิศ 
โหดแท้ขันที
 
เว้นวิจารณ์ว่างเว้น

เว้นที่ถามอันยัง 
เว้นเล่าลิขิตสัง 
เว้นดั่งกล่าวว่าผู้
  สดับฟัง 
ไป่รู้ 
เกตว่าง เว้นนา 
ปราชญ์ได้ฤามี
 
รู้น้อยว่ามากรู้

กลกบเกิดอยู่ใน 
ไป่เห็นชเลไกล 
ชมว่าน้ำบ่อน้อย
  เริงใจ 
สระจ้อย 
กลางสมุทร 
มากล้ำลึกเหลือ
 
รูปชั่วมักแต่งแกล้ง

ใจขลาดมักอาจอง 
น้ำพร่องกละออมคง 
เฉาโฉดโอษฐ์อวดสู้
  เกลาทรง 
อวดสู้ 
กระฉอก ฉานนา 
ว่ารู้ใครเทียม
 
จระเข้คับน่านน้ำ

รถใหญ่กว่ารัถยา 
เสือใหญ่กว่าวนา 
เรือเขื่องคับชเลแล้
  ไฉนหา  ภักษ์เฮย 
ยากแท้ 
ไฉนอยู่ ได้แฮ 
แล่นโล้ไปไฉน
 
มณฑกทำเทียบท้าว

แมวว่ากูพยัคฆี 
นกจอกว่าฤทธี 
คนประดากขุกมีข้า
  ราชสีห์ 
แกว่นกล้า 
กูยิ่ง ครุฑนา 
ยิ่งนั้นแสนทวี
 
หิ่งห้อยส่องก้นสู้

ปัดเทียบเทียมรัตนอัน 
ทองเหลืองหลู่สุวรรณ 
พาลว่าตนเองอ้า
  พระจันทร์ 
เอี่ยมข้า 
ธรรมชาติ 
อาจล้ำเลยกวี
 
เสือผอมกวางวิ่งเข้า

ไป่ว่าเสือมีฤทธิ์ 
เล็บเสือดั่งคมกฤช 
ครั้นปะปามล้มคว่ำ
  โจมขวิด 
เลิศล้ำ 
เสือซ่อน  ไว้นา 
จึ่งรู้จักเสือ
 
ทองเหลืองเปลื้องร้ายห่อน

ขัดเท่าขัดราคี 
นพคุณหมดใสสี 
ถึงบ่แต่งตั้งไว้
  เห็นมี 
เล่าไซร้ 
เสร็จโทษ 
แจ่มแจ้งไพบูลย์
 
พระสมุทรไหวหวาดห้วย

เมรุพลวกปลวกสำรวล 
สีหราชร่ำคร่ำครวญ 
สุริยส่องยามเย็นเข้า
  คลองสรวล 
ร่าเร้า 
สุนัขเยาะ หยันนา 
หิ่งห้อยยินดี
 
แมวล่าหนูแซ่ซี้

หมาล่าวิฬาร์ผัน 
ครูล่าศิษย์และธรรม์ 
เสือล่าป่าแรมร้าง
  จรจรัล 
สู่หล้าง 
คบเพื่อน พาลนา 
หมดไม้ไพรสณฑ์
 
จามรีขนข้องอยู่

ชีพบ่รักรักยศ 
สัตว์โลกซึ่งสมมติ 
ดูเยี่ยงสัตว์นั้นได้
  หยุดปลด 
ยิ่งไซร้ 
มีชาติ 
ยศซ้องสรรเสริญ
 
นพคุณใส่เบ้าสูบ

ค้อนเหล็กรุมรันตี 
บ่เจ็บเท่าธุลี 
เจ็บแต่ท่านชั่งด้วย
  แสนที 
ห่อนม้วย 
สักหยาด 
กล่ำน้อยหัวดำ

| หน้าต่อไป | บน |