| เป็นแบบฉบับบังคับไว้เป็นกลอน | ไม่แคะค่อนว่าไว้ที่ใจจริง |
| ชื่อว่าโอวาทกษัตรีย์ | ไว้เป็นที่หลักชัยอันใหญ่ยิ่ง |
| เหมือนอาภรณ์ซ้อนใส่ให้เพริดพริ้ง | สำหรับหญิงอันดีมีปัญญา |
| จะปฏิบัติสามีเป็นที่รัก | สามิภักดิ์โดยเที่ยงไม่เดียงสา |
| การกินการนอนนั้นเป็นใหญ่ | ระวังระไวอย่าได้เมินเฉย |
| ของคาวหวานเป็นการของทรามเชย | อย่าละเลยไว้ใจให้ใครทำ |
| สตรีย่อมมีมารยาท | จะทำการก็สะอาดไม่ผลีผลำ |
| สิ่งใดดีที่ไหนสนใจจำ | ปากคำไม่กระเดื่องให้เคืองใจ |
| จัดแจงการเรือนดูรอบคอบ | ถึงทำชอบผัวว่าชั่วก็นิ่งได้ |
| รักษาตัวกลัวผิดระวังไว | ตั้งจิตคิดไว้ให้คนชม |
| บาลีว่าหญิงดีมีสี่อย่าง | ไม่อำพรางย่อมตรัสบริหาร |
| สำแดงไว้ให้เห็นเป็นประธาร | จึ่งพิจารณ์ตามพระพุทธาธิบาย |
| หญิงเหล่าหนึ่งเรียกว่า มาตาภริยา | เสน่หาในสามีไม่เหือดหาย |
| ปฏิบัติเช้าเย็นไม่เว้นวาย | มิได้หน่ายในการบำรุงบำเรอ |
| มารดารักบุตรนั้นฉันใด | เอาใจใส่มิได้แต่งเสนอ |
| รักสนิทจิตสมัครสามีเธอ | เทียบเสมอเทียมบุตรในอุทร |
| ภคินีภริยานั้นพวกหนึ่ง | เร่งรำพึงคิดร่ำคำที่สอน |
| รักสามีเหมือนพี่ร่วมมารดร | โอนอ่อนคำนับน้อมย่อมยำเกรง |
| ทาสีภริยาพวกหนึ่งเล่า | ท่านชักเอามาเปรียบเทียบเหมาะเหม็ง |
| รักสามีเหมือนนายเงินของตัวเอง | ต้องยำเกรงเช้าเย็นเป็นนิรันดร์ |
| สหายิกาภริยาคำรบสี่ | รักสามีดังสหายผ่อนผ่ายผัน |
| สงวนอารมณ์มิได้ข่มขี่กัน | สู้อดกลั้นทุกสิ่งจริงฯ เจียว |
| หญิงดีสี่ตระกูลที่กล่าวมา | สิ้นชีวาสู่สวรรค์อย่าเฉลียว |
| บุญอื่นมิได้สร้างสักอย่างเดียว | กุศลส่งเหนี่ยวแน่วไม่แคล้วเลย |
| หญิงใดทำได้เหมือนอย่างว่า | จะลือชาปรากฎยศศักดิ์ศรี |
| ทรัพย์สินจะไหลมาดังวารี | จะเปรมปรีดิ์เกษมสุขทุกวันคืน |
| คงเป็นเอกอิศรากัญญาหญิง | อันใหญ่ยิ่งล้ำเลิศเฉิดฉัน |
| ทั้งศฤงคารบริวารเอนกอนันต์ | ดั่งดาราล้อมจันทรเมื่อวันเพ็ญ |
| แม้นทำดีผัวรักไม่หักหาย | ไม่เบื่อหน่ายแหนงจิตคิดโฉงเฉง |
| ประพฤติดีจะมีศรีกับตัวเอง | คนทั้งปวงจะยำเยงเกรงกลัว |
| ใช่จะแกล้งแต่งไว้ให้ปฎิบัติ | พระบัญญัติสอนไว้เรื่องเมียผัว |
| อันสามีเป็นราศีของตัว | เหมือนแหวนหัวจะงามเพราะพานรอง |
| หญิงดีจงมีจิตอดสู | พิเคราะห์ดูคำสอนไม่เสกสรรค์ |
| ถ้าทำดีๆ จะมีขึ้นทุกวัน | ทำชั่วๆ นั้นจะพูน |
| งามอื่นหมื่นแสนสักเท่าใด | ไม่งามเหมือนงามใจไม่แกล้งว่า |
| หญิงดีย่อมมีซึ่งอัชฌา | กิริยานั้นเป็นใหญ่ตั้งใจจำ |
| ถึงผัวเเคียดอย่าได้สุมคุมตอบ | ผิดชอบจงมีจิตคิดกลืนกล้ำ |
| อดเสียได้ไม่อกสูมีผู้ยำ | อย่าขืนคำทุ่มเถียงขึ้นเสียงดัง |
| ถึงผัวรักอย่าได้เหลิงระเริงจิต | ระวังผิดจะพานเมื่อภายหลัง |
| รักกายสงวนกายระใวระวัง | คนอื่นชังไม่ชั่วเหมือนผัวตน |
| ของสิ่งใดใจรู้ว่าผัวรัก | อย่าหาญหักตั้งจิตคิดล้างผลาญ |
| ผัวรักรักประกอบจึงชอบการ | ประพฤติได้ไม่รำคาญเคืองอารมณ์ |
| ถ้ามีแขกแปลกหน้ามาหาสู่ | ต้อนรับขับสู้เอาใจเขา |
| ถึงขึ้งเคียดข้าไทที่ในเรา | ด่าทอเล่าดูเหมือนเทียบเปรียบปราย |
| จะพูดจาว่าไรให้พิจารณ์ | ว่าขานอย่าให้ช้ำระส่ำระสาย |
| เขาจะค่อนนินทาเป็นท่าอาย | ว่าหญิงร้ายวาจาไม่น่าฟัง |
| วาจานั้นเป็นใหญ่จงได้คิด | จะชอบผิดจงไตรตราปรึกษาผัว |
| วาจาดีย่อมมีคนเกรงกลัว | วาจาชั่วก็จะมีแต่ที่ชัง |
| ขออภัยจะรำพันซึ่งหญิงพาล | ใช่โวหารแกล้งว่าน่าฉงน |
| พุทธบรรหารประทานแจ้งยุบล | ให้ปราชน์ยลรู้เชิงกษัตรีย์ |
| ภริยาที่ชั่วนั้นมีสาม | พวกหนึ่งนามวัธกาน่าบัดสี |
| ใจร้ายหมายจะฆ่าซึ่งสามี | โดยวีธีแยบยลเป็นกลใน |
| เหมือนจันทโครบพบโจรป่า | เมียฆ่าด้วยอุบายตายแล้วหนี |
| รักโจรป่าแกล้งให้ฆ่าซึ่งสามี | เรื่องนี้ควรนำจำใส่ใจ |
| อนึ่งภริยาชื่อว่าอาญานั้น | ดุดันยกตนเป็นคนใหญ่ |
| บำราบผัวตัวเองไม่เกรงภัย | จะปราศัยฟังไม่ได้ขึ้นกูเอง |
| หนึ่งภริยาชื่อว่าโจรี | เป็นสตรีมายาเที่ยวหาผล |
| ชายมั่งมีทำชอบเข้ามอบตน | ซ้อนกลล่อลวงให้ง่วงงวย |
| เห็นสมรักยักยอกแล้วปอกทรัพย์ | พอผัวหลับแล้วก็รีบเข้าหยิบฉวย |
| แต่งแต่เล่ห์สมคะเนได้ทรัพย์รวย | แล้วก็พวยออกตัวไม่กลัวเกรง |
| ใครได้เมียเสียเช่นเป็นดั่งว่า | ดังภูผาทับอกยกไม่ไหว |
| เวียนระกำซ้ำจิตเป็นนิตย์ไป | ท่านว่าไว้ก็จริงทุกสิ่งอัน |
| อันโจรอื่นหมื่นแสนแม้นหมายลัก | พอยอกยักทุนรอนได้ผ่อนผัน |
| อันโจรีภริยาชั่วช้าครัน | ทำเชิงชั้นเล่ห์กลเป็นพ้นตัว |
| อันใจความสามภริยานี้ | เห็นที่สุดที่พันผูกจะปลูกฝัง |
| หน้าชื่นอกตรมทำอำปลัง | เหลือกำลังที่จะเลี้ยงทำเกี่ยงงอน |
| แม้นว่าหญิงผู้ใดชายผู้หนึ่ง | เร่งรำพึงนึกคำที่ร่ำสอน |
| ไปข้างหน้าจะหาสู่ที่คู่คอน | จงผันผ่อนเลือกฟั้นให้มั่นคง |
| ได้ชั่วช้าก็จะพาให้ตัวชั่ว | จะมัวซัวหมองจิตเป็นพิษสง |
| ได้ที่ดีจะเป็นศรีจำเริญทรง | จะสืบวงศ์พ้นจากที่ยากใจ |
| นอนก็สายครันตะวันโด่ง | น้ำขอดโอ่งล้างหน้าไม่หาใส่ |
| ข้าวปลาใส่บาตรก็ขาดไป | ดัดแต่ไรจับเขม่าทุกเช้าเย็น |
| ผัวไปราชการข้างบ้านอยู่ | เอาไพ่คู่ปักกะลิดมาติดเล่น |
| มีแต่จะคิดออกนอกประเด็น | ไม่ว่างเว้นเลยที่เจ้าหนี้ทวง |
| ที่ดีมีกิริยาผัวมาถึง | ไม่เบื้อนบึ้งบอกกล่าวจัดคาวหวาน |
| ทั้งข้าวน้ำกล้ำกลืนให้ชื่นบาน | ต่อสำราญรื่นเริงเชิงสบาย |
| จึงค่อยพูดค่อยจากับสามี | แต่โดยดีมิให้ช้ำระส่ำระสาย |
| ถ่องแถลงแจงแจกบรรยาย | ตั้งแต่ต้นจนปลายไม่ปิดงำ |
| หญิงอย่างนี้ท่านเรียกว่าแม่เรือน | เหมือนมารดารักบุตรอุปถัมภ์ |
| ไม่เหนื่อยหน่ายการลำบากสู้ตรากตรำ | สิ่งใดรกก็ต้องจำใจจัดแจง |
| บุญไม่หาบบาปไม่หามกรรมเข้าสิง | จึงพูดหยิ่งไปเช่นนี้ไม่มีส่ำ |
| พระบาลีชี้แจงแจ้งไม่จำ | สมเหมือนคำบาลีที่มีมา |
| ว่าแรงบุญแรงกรรมนั้นล่ำสัน | ทั้งสองแรงแข่งกันนั้นหนักหนา |
| ถ้าบุญมากหากบุญนั้นหนุนพา | ถ้ากรรมมากหากจะคร่าไปตามกรรม |
| หนึ่งหงส์ประสงค์แต่มุจลินท์ | ลงอาบกินไม่เบื่อจิตคิดอิ่มหนำ |
| ชาติสุกรฟอนหาภักษาระยำ | จิตประจำตีแปลงแหล่งอาจม |
| หญิงสามานย์สันดานชั่วไม่กลัวผิด | รักแต่ทุจริตคิดหมักหมม |
| ฝ่าแต่เช้าทำตัวออกโสมม | ไม่นิยมยลอย่างในทางดี |
| เช่นสุวาณพรานพาไปป่ากว้าง | ก็หลงทางไปอยู่กับฤาษี |
| ท่าเลี้ยงดูอยู่นั้นเป็นอันดี | วันหนึ่งหนีไปเที่ยวแต่ลำผัง |
| พอจวนจบพบพานสิงหราช | ตกใจหวาดวิ่งหนีไม่เหลียวหลัง |
| กำลังกลัวตัวสั่นไม่ทันยั้ง | ถึงกระทั่งที่สกดพระสิทธา |
| พระนักธรรม์พลันแจ้งในวิญญา | ก็เมตตาตั้งกองกูณฑ์พีธี |
| สำรวมฌานผลาญร่างสุนัขชาติ | แปรเป็นรูปสิงหราชไกรสรสีห์ |
| ก็เหิมฮึกนึกกำเริบเติบทวี | มิได้มีสัมาคารวะ |
| วันหนึ่งเที่ยวไปในไพรป่า | พบนางสิงหราจิตประสงค์ |
| ลดเลี้ยวเกี้ยวนางที่กลางดง | หมายปลงเป็นคู่อยู่ครอบครอง |
| เขาถามเรื่องเบื้องตระกูลประยูรมา | ก็พาซื่อบอกว่าไม่รู้เลย |
| พระดาบสเอามาเลี้ยงแต่ยังเยาว์ | ตัวฉันเล่าไม่ได้ถามความเฉลย |
| ครั้นออกปากคิดกระดากไม่เสบย | ด้วยตนเคยเป็นสุนัขแต่ก่อนมา |
| นึกเฉลียวฉวยเขาเลี้ยวไปไต่ถาม | พระฤาษีจะแจ้งความไม่กังขา |
| จะมิได้ชมดังอารมณ์เจตนา | จำจะฆ่าฤาษีให้สูญความ |
| พระดาบสอยู่ในฌาณประมาณรู้ | มีศัตรูปองจะฆ่าให้ตักษัย |
| ทำคุณมันมันกลับคิดให้มีภัย | ออกมาได้ร้องว่าอ้ายหมาโซ |
| เพศก็กลับฉับเฉี่ยวประเดี๋ยวนั้น | สาสมกันกับที่จิตคิดโง่ ๆ |
| สัญชาติหมาคงเป็นหมาอย่าพุโท | ใจมันโอหังฮึกนึกเคอะคะ |
| เหมือนหญิงชั่วผัวรักแล้วยกย่อง | ได้สมปองเป็นใหญ่ทำใจเปรอะ |
| ไม่ตั้งตัวกลัวกรรมทำเจํอเจ๊อะ | เที่ยวสะเออะลอยหน้าว่าไม่ฟัง |
| ก็สมคำโบราณท่านกล่าวไว้ | จงเกรงภัยใจตรองให้หนักหนา |
| ให้สุขท่านสุขนั้นจะถึงนา | ให้ทุกข์ท่านเหมือนพาทุกข์ใส่ตัวเอง |
| หญิงดีจงมีจิตคิดรัก | อย่าตั้งพักตร์ฝ่าฝืนขืนข่มเหง |
| ที่ควรกลัวถึงดีชั่วก็ต้องเกรง | จงยำเยงผู้เฒ่าอย่าเบาความ |
| ถึงต่ำชาติวาสนาจะหาไม่ | อย่ามีใจข่มเหงจงเกรงขาม |
| ถ้าหยาบช้าครหาจะลามปาม | สงวนงามใส่ตัวให้ผัวชม |
| หญิงดีจงมีมโนนำ | ถ้าขืนทำเช่นนี้จะปี้ป่น |
| รักษาจริตจิตจำนงเป็นมงคล | จะเป็นผลสืบตระกูลประยูรเอย |
| เรื่องที่ทำคำที่ว่ามาทั้งนี้ | ทั้งชั่วดีมีแห่งแหล่งเฉลย |
| ใช่เสแสร้งแกล้งว่ามาเปรียบเปรย | เราย่อมเคยรู้เห็นเช่นนี้มา |
| ที่ไม่ชอบก็ตอบว่าแนมเหน็บ | แคะได้เก็บมาฝ่ายหญิงค่อนติงว่า |
| ที่ชายชั่วสูบฝิ่นกินกัญชา | เสพย์สุราเล่นเบี้ยขายเมียกิน |
| ชายที่ชั่วผัวเช่นนี้มีถมไป | นั่นเป็นไรจึงไม่ว่ามาให้สิ้น |
| จะแถลงแจ้งความในตามได้ | บุราณท่านว่าไว้ไม่หน่ายหนี |
| ทั้งสองฝ่ายชายหญิงสิ่งชั่วดี | ว่าไว้ในที่นี้มีต่อไป |
| อันเรื่องราวอันนี้มีมานาน | เป็นข้อเค้าเล่านิทานตำนานไข |
| หวังแสดงแจ้งคำสอนน้ำใจ | ทั้งชายหญิงสิ่งไรเป็นมงคล |
| จงประพฤติทำตามเนื้อความหลัง | แม้นเชื่อฟังคงเห็นจะเป็นผล |
| อันสิรินี้สำหรับบำรุงตน | ถึงยากจนเข็ญใจอย่าได้กลัว |
| สิริกำเนิดเกิดผลด้วยปรนนิบัติ | ท่านแจ้งจัดว่าไว้ตรองให้ทั่ว |
| ชายหญิงมีปัญหารักษาตัว | หนีชั่วหาความดีให้มีมา |
| จงจำคำร่ำว่าที่พาที | ไว้เป็นที่ห้ามใจและสอนใจ |
| อาจเห็นคุณและโทษที่โหดร้าย | ระมัดกายตามสอนผ่อนจิตได้ |
| เหมือนหนึ่งแว่นแก้วอันแววไว | มาสอดใส่นัยเนตรสังเกตทาง |
| จะเห็นทั่วชั่วดีที่ในโลก | จะดับโศกได้สุขให้ทุกข์สว่าง |
| ขอเคารพจดจำคำที่แต่ง | บอกให้แจ้งความจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
| กาฬปักดิถีเป็นตรีจันทร์ | ปีมะโรงฉอศกสังขยา |
| พอสำเร็จเสร็จคำที่ร่ำมา | ขอให้ถาวรคำที่ร่ำเอย |