| หน้าแรก | ชาติ | ศาสนา | พระมหากษัตริย์ | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

อุทยานแห่งชาติภูพาน

            อุทยานแห่งชาติภูพาน เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๑๕ และเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ ๗ มีพื้นที่ประมาณ ๖๖๕ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๔๑๖,๐๐๐ ไร่  อยู่ในเขตสองจังหวัดคือ จังหวัดสกลนครในเขตอำเภอเมือง ฯ อำเภอพรรณานิคม อำเภอภูพาน และอำเภอกุดบาก และจังหวัดกาฬสินธุ์ ในเขต อำเภอสมเด็จ อำเภอห้วยผึ้ง และอำเภอกุฉินารายณ์
            ป่าเขาภูพาน หรือที่เรียกกันว่าป่าเขาชมพูพาน สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไป เป็นภูเขาหินปูนมีความสูง เฉลี่ยประมาณ ๕๕๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล ตามสันเขา และไหล่เขาบางแห่งเป็นทุ่งหญ้า บางบริเวณมีหินโผล่พ้นระดับดิน มีความสวยงามตามธรรมชาติ และบางแห่งเป็นหน้าผาสูงชัน ป่าส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรังขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป มีไม้พลวง ไม้เหียง ไม้ส้าน ไม้เต็ง ไม้รัง เป็นพันธุ์ไม้สำคัญ มีป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของป่าเต็งรัง มีป่าดงดิบขึ้นอยู่ตามบริเวณลำห้วย ไม้พื้นล่างประกอบด้วยไม้ไผ่ และหวายต่าง ๆ บริเวณทุ่งหญ้าอันกว้างขวางมีหญ้าเพ็ก หญ้าคา และหญ้าคมบาง ขึ้นอยู่ทั่วไป สัตว์ป่าที่สำรวจพบมีอยู่ประมาณ ๑๖๐ ชนิด เช่น ช้างป่า หมูป่า กระต่ายป่า ลิง ค่าง บ่าง ชะมด กระรอกบิน ไก่ป่า และนกมากกว่า ๗๐ ชนิด เป็นแหล่งต้นน้ำของลำธาร และลำห้วยต่าง ๆ ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำอูน เช่น ห้วยหินลาด ห้วยปุ่น ห้วยโคก ห้วยม่วง ห้วยเลา ห้วยหินปูน ห้วยอีคอน และห้วยวังปลา เป็นต้น
            มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และน่าสนใจอยู่เป็นอันมาก แต่การเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ดังกล่าว ซึ่งกระจายกันอยู่ในพื้นที่ของอุทยาน ฯ ต้องใช้เวลามาก หลายแห่งรถเข้าไปไม่ถึง ต้องใช้วิธีเดินไปตามทางเดินชม และศึกษาธรรมชาติ พอประมวลได้ดังนี้
         ผานางเมิน อยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยาน ฯ ห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ เมตร มีทางรถเข้าไปเกือบถึงบริเวณหน้าผา ผานางเมินเป็นแนวหน้าผาทอดตัวไปทางทิศตะวันตก เป็นจุดชมทิวทัศน์ได้ไกลออกไปทางด้านทิศตะวันตก และเหมาะที่จะไปชมดวงอาทิตย์ตกตอนเย็นได้ดีมาก บริเวณกว้างใหญ่พอสมควร เหมาะแก่การพักผ่อน ชมทิวทัศน์ และตั้งค่ายพัก มีสิ่งอำนวยความสดวกของอุทยาน ฯ พอสมควร

         ถ้ำเสรีไทย  อยู่บนเส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ ที่ไปสู่ตัวจังหวัดสกลนคร โดยมีทางแยกออกไปทางซ้ายมือลึกเข้าไปเล็กน้อยเส้นทางลาดยางอย่างดี สุดเส้นทางที่รถจะเข้าได้แล้ว มีทางเดินเท้าลงไปยังหุบเขาข้างล่าง ประมาณ ๓๐๐ เมตร จะข้ามลำห้วยซึ่งน้ำจะแห้งในฤดูแล้ง จากลำห้วยจะมีทางเดินไปบนลานหินสูงขึ้นไปตามลำดับ อีกประมาณ ๒๐๐ เมตร ก็จะถึงถ้ำเสรีไทยซึ่งปากถ้ำมีขนาดไม่ใหญ่นัก ถ้ำแห่งนี้เมื่อครั้งสงครามมหาเอเซียบูรพา พวกเสรีไทยได้ใช้เป็นแหล่งสะสมอาวุธ เพื่อต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น ยังมีร่องรอยการขุดแต่งเพื่อใช้เป็นที่หลบภัย
         ผาเสวย  อยู่ในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ อยู่ทางซ้ายของเส้นทางหลวง หมายเลข ๒๑๓ เมื่อมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดสกลนคร เป็นหน้าผาที่หันออกไปทางด้านทิศตะวันตก อยู่บริเวณใต้สุดของอุทยาน ฯ เป็นจุดชมวิวธรรมชาติที่สวยงาม ณ ผาแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเยี่ยมพสกนิกร จังหวัดกาฬสินธุ์ และได้เสด็จมาประทับเสวยพระกระยาหารกลางวัน ชาวบ้านจึงเรียกว่า ผาเสวย
         จุดดูนกแก้วมดแดง  เป็นจุดที่อยู่เหนือผาเสวยขึ้นมาทางที่ทำการอุทยาน ฯ ตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน ฯ ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร อยู่เข้าไปทางด้านซ้ายของทางหลวง เป็นจุดที่มีนกอาศัยอยู่หลายชนิด เช่น นกขุนแผน นกขมิ้นท้ายทอยดำ นกกระเบื้องผา ฯลฯ

         น้ำตกคำหอม  อยู่ทางซ้ายของทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ ที่มุ่งเข้าสู่สกลนคร อยู่เลยถ้ำเสรีไทยไปเล็กน้อย และอยู่ใกล้พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ เป็นน้ำตกที่สวยงาม และมีชื่อเสียงของจังหวัดสกลนคร และเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปของจังหวัดใกล้เคียง จะมีน้ำมากในฤดูฝน

         สะพานหินธรรมชาติ  อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน ฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ ที่มุ่งเข้าสู่สกลนคร ประมาณ ๕ กิโลเมตร มีทางลูกรังแยกไปทางซ้ายมืออีกประมาณ ๑.๗ กิโลเมตร อยู่เลยถ้ำเสรีไทยไปทางเหนือ มีลักษณะเป็นสะพานหินที่เชื่อมต่อ ระหว่างหินสองกลุ่ม มีความกว้างประมาณ ๑.๕ เมตร ยาวประมาณ ๘ เมตร ข้างใต้สะพานเป็นเวิ้งถ้ำกว้างขวาง ใช้เป็นที่หลบแดดหลบฝนได้ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แปลกตาอย่างหนึ่ง

        น้ำตกปรีชาสุขสันต์  ตั้งอยู่ทางด้านเหนือสุดของเขตอุทยาน ฯ ทางเข้าอยู่บนเส้นทางหลวงหมายเลข ๒๒ จากสกลนครไปอุดรธานี เป็นน้ำตกที่มีลักษณะพิเศษ คือเป็นลานหินที่ลาดเอียงประมาณ ๓๐ - ๔๐ องศา ยาวประมาณ ๑๒ เมตร มีน้ำไหลผ่านแผ่นหินนี้ตลอดทั้งแผ่นเสมอกัน เหมือนกระดานลื่นธรรมชาติ

        พระธาตุภูเพ็ก  อยู่ทางด้านเหนือสุดของเขตอุทยาน ฯ ระดับเดียวกันกับน้ำตกปรีชาสุขสันต์ ทางเข้าอยู่บนเส้นทางหลวงหมายเลข ๒๒ จากสกลนครไปอุดรธานี เป็นพระธาตุเก่าแก่สมัยขอมมีอำนาจ ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน ที่ระดับความสูงประมาณ ๕๕๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล สร้างด้วยศิลาแลงในลักษณะเทวาลัย ภายในมีพระพุทธรูปโบราณที่เพิ่งขุดค้นพบ

พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์
            บนเส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ ก่อนเข้าสู่ตัวจังหวัดสกลนคร เป็นเส้นทางที่พาดผ่านแนวอุทยานแห่งชาติภูพาน ทางด้านทิศตะวันออกเกือบตลอดแนว นอกจากจุดที่น่าสนใจในเขตอุทยาน ฯ ดังกล่าวแล้ว ยังผ่านพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ซึ่งอยู่ติดกับอุทยาน ฯ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน ฯ ขึ้นไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ ประมาณ ๒๕ กิโลเมตร และอยู่ห่างจากตัวจังหวัดสกลนครประมาณ ๓๐ กิโลเมตร แยกซ้ายออกไปจากเส้นทางเล็กน้อย ผ่านประตูพระตำหนักชั้นนอก เมื่อไปถึงประตูพระตำหนักชั้นในจะมีกองรักษาการณ์อยู่ ผู้เข้าไปชมพระตำหนักจะต้องแลกบัตรประจำตัวเพื่อรับบัตรผ่านเข้าไปชมภายในบริเวณพระตำหนัก ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป ภายในบริเวณพระตำหนักมีไม้ใหญ่ และไม้ดอกเป็นจำนวนมากที่ให้ร่มเงา และความงามให้ชมได้ทั่วบริเวณ ผู้ที่นำรถไปจะมีลานจอดรถอยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้อย่างพอเพียง
สู่ตัวเมืองสกลนคร
            เลยพระตำหนักภูพานไปตามเส้นทางหลวงสายเดิม สู่สกลนครไม่มากนัก จะพบหลักกิโลเมตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดใหญ่กว่าเสาหลักกิโลเมตรธรรมดา ประมาณ ๓ เท่า ตรงบริเวณนั้นถนนจะเลี้ยววนเป็นโค้งไปมาเป็นรูปตัว S และมีลานจอดรถให้ชมบริเวณนั้น ซึ่งมีแปลงไม้ดอกปลูกไว้งดงาม

         พระธาตุเชิงชุม   เมื่อถึงตัวจังหวัดสกลนคร สิ่งแรกที่ควรกระทำคือ ไปนมัสการพระธาตุเชิงชุม ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดเชิงชุมวรวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้หนองหาร ในตัวเมืองสกลนคร มีประวัติว่า พระเจ้าภิงคาระได้สร้างพระเจดีย์ครอบรอยพระพุทธบาทที่ภูเข้าน้ำลอดเชิงชุม อันเป็นที่ชุมนุมรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ ในภัทรกัป คือ พระพุทธเจ้านามพระกกุสันธะ พระพุทธเจ้าพระนามโกนาคมน พระพุทธเจ้าพระนามกัสสป และพระโคตมนีพุทธเจ้า จึงได้ชื่อว่าพระธาตุเชิงชุมที่ ๑ องค์พระธาตุเจดีย์เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงสี่เหลี่ยมสูง ๒๔ เมตรเศษ ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม ส่วนบนเป็นทรงบัวเหลี่ยม ไม่มีลวดลายประดับ ที่ฐานเจดีย์มีซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ซุ้มยอดประตูมีลักษณะเป็นยอดปราสาท ข้างในทึบสร้างด้วยศิลาแลง และหินทรายแดง ส่วนที่เป็นอยู่ปัจจุบันเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ครอบองค์เดิมไว้ ไม่ปรากฏว่าสร้างสมัยใด ประตูด้านทิศตะวันออกเชื่อมติดกับพระวิหาร ภายในพระวิหารประดิษฐานหลวงพ่อพระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนคร

        พระธาตุนารายณ์เจงเวง  ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุนารายณ์เจงเวง อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองประมาณ ๖ กิโลเมตร เป็นพระธาตุเก่าแก่สมัยเดียวกันกับพระธาตุเชิงชุม แต่ศิลปะการก่อสร้างผิดไปคนละแบบ องค์พระธาตุสร้างด้วยศิลาแลงเป็นปรางค์แบบขอม ส่วนที่เป็นฐานก่อด้วยศิลาแลงก้อนขนาดใหญ่ องค์เจดีย์มีรูปทรงสี่เหลี่ยม มีประตูและซุ้มประตูด้านละประตู ภายใต้ซุ้มข้างบนสลักรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ประดับด้วยกนกด้านขด มุมทั้งสี่ด้านขององค์พระธาตุ เป็นรูปนาคห้าเศียร รายละเอียดดูได้จากเรื่องพระธาตุในกลุ่มศาสนา
       หนองหาน  การไปชมหนองหานที่ใกล้ที่สุดก็คือจุดที่อยู่ห่างจากพระธาตุเชิงชุมไม่มาก หนองหานเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ มีน้ำตลอดปีมีพื้นที่ผิวน้ำประมาณ ๑๕๐ ตารางกิโลเมตร นับว่าใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ รองลงจากบึงบรเพ็ด ในภาคกลาง และกว๊านพะเยา ในภาคเหนือ
            จากตัวเมืองสกลนครใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๒๓ มุ่งไปสู่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ระยะทางประมาณ ๗๐ กิโลเมตร แวะไปนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งเป็นพระธาตุเจดีย์ที่สำคัญที่สุดของภาคอีสาน

| หน้าแรก | ชาติ | ศาสนา | พระมหากษัตริย์ | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |