สถานการณ์ ๓ + ๑ จชต. ๑ - ๓๑ ส.ค.๕๔
ด้วยบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการใช้พลังมวลชนในการกดดัน/ต่อรองกับรัฐบาล ทำให้องค์กรเอกชนของอิสลามบางกลุ่มเร่งเคลื่อนไหวปลุกระดมสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นภายในประเทศ ที่น่าวิตกยิ่งคือการเคลื่อนไหวอย่างหนักเพื่อให้เกิดการ“ แบ่งแยก “ ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็นตัวแทนของผู้นับถือศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะสื่อสถาบันอิศรา ซึ่งมีการออกสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลแล้วนำมาวิพากษ์เพื่อกดดัน/ชี้นำให้รัฐบาลเห็นว่า “การแบ่งแยก“ เท่านั้น คือทางออกในการแก้ปัญหาความรุนแรงใน ๓+๑ จชต. แต่ที่น่าวิตกคือ การปลุกกระแสการปกครองตนเองในทุกพื้นที่ที่มีชนกลุ่มน้อยของมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลาม ขณะที่กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติซึ่งได้เคยประสบความสำร็จในการสร้างความแตกแยกในชุมชนหนองจอก กทม.จนสามารถขึ้นโต๊ะเจรจากับรัฐบาลมาแล้ว ขณะนี้ได้เริ่มเข้าไปเคลื่อนไหวอยู่ที่ จ.ระนองซึ่งมีแรงงานพม่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และจ.ภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง รวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงในภาคใต้ฝั่งอันดามัน
สภาวะการปลอดอำนาจรัฐ ความอ่อนแอของทหาร การแสดงท่าทีสยบต่ออิสลามแม้กระทั่งการไม่กล้าบังคับใช้กม.แม้แต่กับนักโทษในคุกที่มีอิสลามปะปนอยู่ และนโยบายนำโจรมาฟอกตัวเพื่อส่งกลับสู่ครอบครัว ล้วนแต่มีส่วนกระตุ้นให้แนวร่วมเหิมเกริมก่อเหตุเพื่อความเป็นต่อในการต่อรองกับรัฐบาลอย่างท้าทายยิ่ง โดยยังคงมุ่งต่อเป้าหมายไทยพุทธ โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ต้น-กลางเดือน และกระจายออกสู่อิสลามในช่วงปลายเดือน ด้วยเหตุนี้ สถิติการก่อเหตุในส.ค.๕๔ จึงสูงขึ้นถึง ๘๕ เหตุการณ์ โดยทั้ง ๓ จชต.มีการก่อเหตุในจำนวนใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ จ.นราธิวาส ซึ่งมีการก่อเหตุ ๓๐ เหตุการณ์นั้น มีทั้งการยิงและการวางระเบิดต่อทั้งเป้าหมายพุทธและอิสลามคละกันไป จ.ปัตตานี ซึ่งการก่อเหตุ ๒๗ เหตุการณ์นั้น ส่วนใหญ่เป็นการประกบยิงเป้าหมายขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยเป้าหมายส่วนใหญ่ คือไทยพุทธ จ.ยะลา ซึ่งมีการก่อเหตุ ๒ ๖ เหตุการณ์นั้น มีทั้งการยิงและการวางระเบิดต่อทั้งเป้าหมายพุทธและอิสลามคละกันไป ส่วน จ.สงขลามีรายงานการก่อเหตุเพียง ๒ เหตุการณ์ ทั้งนี้เป้าหมายของการก่อเหตุพบว่าเป็นเป้าหมายไทยพุทธถึง ๕๑ เหตุการณ์ จากทั้งหมด ๘๕ เหตุการณ์
แนวโน้มของสถานการณ์ ในสภาวะที่รัฐบาลยังไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อสถานการณ์ในภาคใต้ โดยเฉพาะความชัดเจนว่าจะให้มีการแยกการบริหารและการปกครองของ ๓+๑ จชต.ออกจาก ประเทศไทยหรือไม่ และความพยายามฟอกโจรให้เป็นแค่ผู้หลงผิดเพื่อยัดเยียดกลับครอบครัว จะยังเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ก่อเหตุ สื่อ และกลุ่มองค์กรเอกชนอิสลาม ดำเนินการไล่ล่าฆ่า เพื่อกดดันให้ไทยพุทธอพยพละทิ้งที่ดินทำกิน ออกจาก ๓+๑ จชต.และการปลุกระดมให้มีการ “แบ่งแยก” ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ต่อไป อย่างน่าวิตก อย่างไรก็ตามระดับความรุนแรงของการก่อเหตุและการปลุกระดมให้ชนกลุ่มน้อยแยกการปกครอง/สร้างความแตกต่างและแตกแยก ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับจิตสำนึก ความตระหนัก และความตื่นตัวของ จนท.ผู้ปฏิบัติในพื้นที่ และหน่วยงานความมั่นคงในส่วนกลาง ด้วย
สถิติและนัยของการก่อเหตุ
การก่อเหตุในช่วง ๑-๓๑ ส.ค ๕๔ เท่าที่รวบรวมได้ สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุ ๘๕ เหตุการณ์ เพิ่มขึ้นจาก ๖๓ เหตุการณ์ ในช่วงเดียวกันของเดือน ก.ค.๕๔ ทั้งนี้ จ.นราธิวาส ซึ่งมีการก่อเหตุสูงสุด ๓๐ เหตุการณ์ นั้น อ.ระแงะ และ อ.รือเสาะ มีการก่อเหตุสูงสุด พื้นที่ละ ๗ เหตุการณ์ รองลงมาคือ อ.เมือง ๖ เหตุการณ์ จ.ปัตตานี ซึ่งมีผวจ. และ ผกก.เป็นอิสลาม มีการก่อเหตุ ๒๗ เหตุการณ์ โดย อ.หนองจิก เป็นพื้นที่ซึ่งมีการก่อเหตุมากที่สุด ๖ เหตุการณ์ รองลงมาคือ อ.สายบุรี และอ.โคกโพธิ์ มีการก่อเหตุพื้นที่ละ ๔ เหตุการณ์ อนึ่ง อ. โคกโพธิ์ เป็นพื้นที่ซึ่งแนวร่วมมุ่งกระทำต่อเป้าหมายคนไทยพุทธทั้งหมด ส่วน จ.ยะลา ซึ่งมีการก่อเหตุ ๒ ๖ เหตุการณ์นั้น อ.เมืองมีการก่อเหตุสูงสุด ๙ เหตุการณ์ รองลงมาคือ อ.รามัน และ อ.ธารโต พื้นที่ละ ๓ เหตุการณ์ สำหรับ จ. สงขลามีรายงานการก่อเหตุ ๒ ที่ อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย
ทั้งนี้การก่อเหตุทั้ง ๘๕ เหตุการณ์ แยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล ๕๔ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๒ ๖ เหตุการณ์ การกราดยิงฐานปฏิบัติการและการซุ่มโจมตีประเภทละ ๒ เหตุการณ์ และการเผารถและการเผากล้องวงจรปิด ๑ เหตุการณ์ โดยคนไทยพุทธมีการสูญเสีย ๖๕ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๒๑ ราย และบาดเจ็บ ๔๔ ราย สูงกว่าอิสลาม ซึ่งมีการสูญเสียรวม ๔๐ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๒๕ ราย และบาดเจ็บ ๑๕ ราย
ข้อพิจารณา
๑.การก่อเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงรายงานมุ่งเน้นการกระทำต่อไทยพุทธทั้ง จนท.และชาวบ้าน โดยเฉพาะที่ จ.ปัตตานีซึ่งมี ผวจ.และ ผกก.เป็นมลายูอิสลาม ทั้งนี้ จากการก่อเหตุทั้งหมด จำนวน ๘๕ เหตุการณ์นั้น แยกเป็นการก่อเหตุที่เจาะจงต่อเป้าหมายไทยพุทธ ๕๑ เหตุการณ์
๒. การก่อเหตุยังคงมีลักษณะการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ว่าจะต่อเป้าหมาย จนท.หรือชาวบ้าน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการใช้มอเตอร์ไซด์รุมไล่ยิง/ลอบยิงชาวบ้าน และการลอบวาง/ขว้างระเบิด รวมทั้งการระดมยิงฐานแล้วหลบหนีไป
๓. การก่อเหตุที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความเกลียดชังและความมุ่งมั่นในการกำจัดไทยพุทธออกจากพื้นที่อย่างอุกอาจ ท้าทายอำนาจรัฐอย่างยิ่ง ยังคงอยู่ที่ จ.ปัตตานี โดยการก่อเหตุทั้งหมด ๒๗ เหตุการณ์นั้น มุ่งกระทำต่อเป้าหมายไทยพุทธถึง ๑๙ เหตุการณ์ และอย่างโหดเหี้ยมอาทิ เมื่อ ๓ ส.ค.๕๔ คนร้ายตามประกบยิงนายนภดล ศศิมณฑล อายุ ๕๑ ปี ครูไทยพุทธจากโรงเรียนบ้านตันหยงลูโละ อ.เมือง จ.ปัตตานี จนทำให้จักรยานยนต์ล้มลงกลางถนน หลังจากนั้นคนร้ายได้เข้ามาจ่อยิงซ้ำอีก ๔ นัด จนเสียชีวิตคาที่ ต่อมาเมื่อ ๕ ส.ค.๕๔ คนร้ายไล่ยิงไทยพุทธ และจ่อยิงซ้ำ จนทำให้นายอาจหาญ ดอกไม้เงิน อายุ ๔๒ ปี นายอำนวย ดอกไม้เงิน อายุ ๑๙ ปี และนายมนัส ศิริมหา อายุ ๔๐ ปี พ่อค้าขายผ้ามือสองเสียชีวิตทั้งหมด ล่าสุดเมื่อ ๒๓ ส.ค. ๕๔ คนร้ายลอบวางระเบิดพระสงฆ์และชุดคุ้มครองพระสงฆ์ จนทำให้ชาวบ้านและจนท.บาดเจ็บรวม ๑๒ คน
๔. แสดงให้เห็นถึงความฮึกเหิมโดยเชื่อว่า การ “แบ่งแยก” ใกล้จะสำเร็จและเชื่อว่าการแสดงพลังด้วยการก่อเหตุจะนำไปสู่การที่รัฐบาลต้องยอมเจรจาด้วย หรือหากพลาดพลั้งก็เป็นแค่ผู้หลงผิดที่จะถูกส่งกลับครอบครัว ตัวอย่างชัดเจน ได้แก่
๔.๑ การที่กลุ่มคนร้ายมีไม่ต่ำกว่า ๓๐ คน ใช้อาวุธปืนสงคราม บุกยิงชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.)ที่หน้าบ้านนายดอเลาะ เซงมะสู อดีตผู้ใหญ่บ้าน หรือที่รู้จักกันว่า “เลาะ ตะโล๊ะเว” ที่บ้านตะโล๊ะแว หมู่ที่ ๙ ต.ปะแต ทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ๒ ราย และมีอาสาสมัครทหารพราน และชรบ. ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ อีกจำนวน ๑๐ คน จากนั้นคนร้ายได้เทน้ำมันราดจุดไฟเผาบ้าน จนเกิดไฟไหม้บ้านทั้งหลัง เมื่อ ๒๕ ส.ค.๕๔
๔.๒ การที่นายสราวุธ สามะแอ ปลัดป้องกันฝ่ายความมั่นคง อ.รือเสาะ ให้รถ อส.นำหน้าเข้าสู่กับดักจนโดนระเบิดเสียชีวิต ๕ นายและบาดเจ็บอีก ๑ นาย ที่ ม.๔ บ.ซือเลาะ ต.เรียง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อ ๒ ๖ ส.ค.๕๔ …. ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ เมื่อ๑๑ ก.พ. ๒๕๕๔ โดย พ.ต.ท.มานพ วิวรรธนโรจน์ สวป.สภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ได้เข้าไปละหมาดอยู่ในมัสยิดดารุลอีมาน บ้านบูแนกียะ หมู่ ๑ ต.ยี่งอ อ.ยี่งอ โดยสั่งให้ ส.ต.อ.กิตติศักดิ์ สินคำ พลขับรถยนต์ตราโล่ ประจำตำแหน่ง ไทยพุทธไปจอดรถคอยอยู่ด้านหลังของมัสยิดอันเป้นที่ลับตาคน เพื่อให้คนร้าย ๔ คนแต่งกายด้วยชุดดาวะห์ ใช้รถจักรยานยนต์ ๒ คันเป็นพาหนะ ขับเข้าจอดแล้วใช้ปืนสงครามกราดยิงเข้าใส่ ส.ต.อ.กิตติศักดิ์ จนเสียชีวิต
๔.๓ คนร้ายประมาณ ๑๕ คน แต่งกายคล้ายชุดดาวะห์ กราดยิงฐานปฏิบัติการ นพส.๔๒-๑ บ.เกาะแลหนัง ม.๓ ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา ทำให้ อส.เสียชีวิต ๒ นาย และชาวบ้านบาดเจ็บ ๑ นาย เมื่อ ๒๔ ส.ค.๕๔
การเคลื่อนไหวของนักการเมืองและสื่ออิสลาม
การเคลื่อนไหวที่น่าวิตกยิ่งคือการเคลื่อนไหวอย่างหนักเพื่อให้เกิดการ“ แบ่งแยก “ ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็นตัวแทนของผู้นับถือศาสนาอิสลาม โดยสื่อสถาบันอิศรา มีการ
ออกสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลแล้วนำมาวิพากษ์เพื่อกดดัน/ชี้นำให้รัฐบาลเห็นว่า “การแบ่งแยก“ เท่านั้น คือทางออกในการแก้ปัญหาความรุนแรงใน ๓+๑ จชต. แต่ที่อันตรายที่สุดคือการแข่งกันสร้างบทบาทให้เป็นที่รู้จักยอมรับและเป็นที่เกรงขามของรัฐาลในหมู่องค์กรเอกชนอิสลาม อาทิ มูลนิธิวัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวปลุกกระแสการปกครองตนเองในทุกพื้นที่ที่มีชนกลุ่มน้อยเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติซึ่งได้เคยประสบความสำร็จในการสร้างความแตกแยกในชุมชนหนองจอก กทม.จนสามารถขึ้นโต๊ะเจรจากับรัฐบาลมาแล้ว ขณะนี้ได้เริ่มเข้าไปเคลื่อนไหวอยู่ที่ จ.ระนองซึ่งมีแรงงานพม่าอาศัยอยู่เป็นจำนวน และจ.ภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง รวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงในภาคใต้ฝั่งอันดามัน
"นครปัตตานี" กับ "ปัตตานีมหานคร" และทิศทางของ "ปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษ" (สถาบันอิศรา ๑๕ ส.ค.๕๔) .......เพื่อสรุปว่า “ปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ” ซึ่งกำลังกลายเป็นทิศทางที่มิอาจหลีกเลี่ยงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปแล้ว
สำรวจนโยบายดับไฟใต้...รัฐบาลเพื่อไทยจ่อตั้ง กอส.๒ -ทหารชู "อภัยโทษ" (สถาบันอิศรา ๑๕ ส.ค.๕๔) ….. พยายามปลุกเร้าการแบ่งแยกการปกครองโดยการชี้นำให้เห็นว่าการที่เพื่อไทยไม่กล้าที่จะตั้งรัฐปัตตานีก็เพราะเกรงกลัวปชป. ที่หาเสียงต่อต้าน/คัดค้าน/ไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐปัตตานี
มันโซร์ สาและ : ทวงสัญญารัฐบาลใหม่เดินหน้ากระจายอำนาจ-ดัน"ปัตตานีมหานคร" (สถาบันอิศรา ๑๐ ส.ค.๕๔) ....กระตุ้นกระแสให้คนกลุ่มน้อยทั่วประเทศ โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยที่ จ.เชียงใหม่ ลุกขึ้นเรียกร้องขอปกครองตนเองในพื้นที่ซึ่งตนเองเป็นคนส่วนใหญ่ โดยในภาคใต้เสนอโมเดลปัตตานีมหานคร
คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริการกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติสาขาอันดามัน (www.muslim๔peace.net ๑๒ ส.ค.๕๔) ......ขยายความขัดแย้งด้วยการอ้างคำสอนทางศาสนาเพื่อแยกคนอิสลามออกจากสังคมแห่งความหลากหลาย โดยได้มีการจัดตั้งกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติสาขาอันดามันขึ้นเพื่อปฏิบัติ หน้าที่ดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง และใกล้เคียงในภาคใต้ฝั่งอันดามัน
การเคลื่อนไหวซื้อใจมลายูอิสลามของรัฐบาลและข้าราชการ
ในขณะที่รัฐบาลได้เปลี่ยนท่าทีจากการมุ่งมั่นที่จะแยกการปกครอง ๓+๑ จชต. ออกจากส่วนอื่นของประเทศไทย มาเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้ หากกลไกของรัฐ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่เชื่อว่ามลายูอิสลามพอใจ อย่างมุ่งมั่น โดยเฉพาะ สมช.ซึ่งพยายามผลักดันการ “แบ่งแยก” เพื่อรักษาบทบาทของตนในสายตาของรัฐบาลเอาไว้ เช่นเดียวกับ แม่ทัพภาคที่ ๔ ซึ่งพยายามเชื่อว่าโจรเป็นเพียงผู้หลงผิด ซึ่งต้องนำมาสอนอาชีพ ให้เงินทุนและนำกลับสู่ครอบครัว
เลขาฯสมช.เผยระเบียบท้องถิ่นเปิดช่องรับภาคใต้เขตปกครองพิเศษ (/breakingnews.nationchannel.com ๒๙ ส.ค.๕๔) ….. เพื่อโน้มน้าวให้เห้นว่า ภาคใต้ไม่สามารถที่จะเอารูปแบบจากที่อื่นมาปรับใช้กับพื้นที่ดังกล่าวได้ นอกจากเขตปกครองพิเศษ
สำรวจนโยบายดับไฟใต้...รัฐบาลเพื่อไทยจ่อตั้ง กอส.๒ - ทหารชู "อภัยโทษ"( สถาบันอิศรา ๑๕ ส.ค.๕๔ ) …พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ ๔ “กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ไม่ใช่อาชญากรโดยสันดาน แต่ถูกปลูกฝังความเชื่อผิดๆ จึงควรได้รับการอภัยโทษ และนำตัวเข้ารับการอบรมปรับเปลี่ยนทัศนคติ ”
............................................
|