สถานการณ์ ๓+๑ จชต. ก.พ.๕๓
๑ - ๒๘ ก.พ.๕๓

         เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ และ เครื่องมือ ที่เรียกว่า จีที ๒๐๐ ได้กลายมาเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพ ในการป้องปรามการก่อเหตุ และควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ในพื้นที่ ที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง ส่งผลให้บรรดาแกนนำแนวร่วม ต้องเคลื่อนไหวหาทางทำลายการใช้ จีที ๒๐๐ ให้ได้ ระหว่างที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการกดดันให้ยกเลิก พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ควบคู่กับการปั่นกระแสการปกครองตัวเองของมลายูอิสลาม ผ่านการนำเสนอ การตั้งนครปัตตานี/การตั้งเขตปกครองพิเศษ โดยการสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า การตั้งศาลชารีอะห์ โดยการสนับสนุนของกระทรวงมหาดไทย และการรุกคืบตั้งเซลปกครองตนเองระดับหมู่บ้านผ่านโครงการชุมชนศรัทธาของหน่วยงานในพื้นที่ ๒ หน่วยงาน ซึ่งจะดำเนินการให้ครบทุกพื้นที่ ใน ๓ +๑ จชต.ภายในปี ๒๕๕๕
          ด้วยเหตุนี้ การก่อเหตุของแนวร่วมในพื้นที่ จึงต้องดำเนินการให้สอดรับกับการเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำ คือการคงสภาพการก่อเหตุเพื่อสนับสนุนการแยกการปกครอง ๓ จชต. ในสภาวะที่การเคลื่อนไหวยังถูกจำกัดด้วยการก่อเหตุกับเป้าหมาย soft target ซึ่งทำได้ง่ายและปลอดภัยที่สุด และการวางระเบิดเพื่อการสนับสนุนแรงกดดันให้มีการยกเลิกการใช้ จีที ๒๐๐ ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บของคนไทยพุทธสูงกว่าอิสลาม ซึ่งเท่าที่รวบรวมได้ พบว่า จ.ยะลามีการก่อเหตุสูงที่สุด ๒๓ เหตุการณ์ ชดเชยกับการก่อเหตุที่ลดลงผิดปกติ และน้อยกว่าอีก ๒ จังหวัด มาตั้งแต่ ก.ย.๕๒ เป็นต้นมา ส่วน จ.ปัตตานีมีการก่อเหตุ ๑๙ เหตุการณ์ ขณะที่ จ.นราธิวาสมีการก่อเหตุ ๑๘ เหตุการณ์ และ จ.สงขลา ๒ เหตุการณ์
         สำหรับ การเคลื่อนไหวของรัฐบาลในช่วงรายงานอาจกล่าวได้ว่าอยู่ภายใต้การชี้นำของมลายูอิสลามโดยสิ้นเชิง เพื่อแลกกับคะแนนเสียง/คะแนนนิยมจากมลายูอิสลาม ซึ่งกำลังส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อขวัญกำลังใจและความปลอดภัยของทั้งจนท. และประชาชน ใน ๓ จชต.โดยเฉพาะ การหนุนช่วยแกนนำแนวร่วมในการทำลายความน่าเชื่อถือของจนท.ผู้ปฏิบัติในพื้นที่ อาทิ การนำใบปลิวกล่าวหา จนท.ไปเผยแพร่ต่อสื่อในรัฐสภา และที่สำคัญคือการประโคมข่าวความไม่น่าเชื่อถือของ จีที ๒๐๐ ก่อนที่จะมีเครื่องมืออื่นมาทดแทน ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำลายขวัญ/กำลังใจแล้ว ยังจะทำให้จนท.จะไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่เป้าหมายได้อีกต่อไป อันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยัง การตรวจ/จับกุม ของ จนท.ที่กำลังสัมฤทธิ์ผลในการควบคุมการเคลื่อนไหวของแนวร่วม อย่างน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง

         แนวโน้มของสถานการณ์   ในสภาวะที่เสถียรภาพของรัฐบาลคลอนแคลนเป็นอย่างยิ่ง จนส่งผลให้รัฐบาลกลายเป็นเครืองมือ และตกเป็นเบี้ยล่างของแกนนำมลายูอิสลามอย่างสิ้นเชิง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ๓ จชต.ได้กลายเป็นเขตปลอดอำนาจรัฐของนายอภิสิทธิ์ ไปแล้วนั้น การควบคุมสถานการณ์ และการเคลื่อนไหวต่างๆรวมทั้งระดับความรุนแรงในการก่อเหตุใน ๓ จชต.จึงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของจนท.ผู้ปฏิบัติในพื้นที่ ในการปฏิบัติงานโดยไม่ต้องสาธยายต่อสาธารณชน แต่อย่างรอบคอบ เป็นสำคัญ แต่ในระดับบนควรตระหนักและติดตามการสร้างเซลปกครองตนเองระดับหมู่บ้าน ที่กำลังรุกคืบอย่างรวดเร็ว และกำลังของแนวร่วมที่จะเพิ่มขึ้นจากการต้องปล่อยตัวผู้ที่ถูกตรวจจับด้วย จีที ๒๐๐ รวมทั้งการต่อรองค่าชดเชย ด้วย

การเคลื่อนไหวของแกนนำแนวร่วม และ sympathizer
         เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ และ เครื่องมือ ที่เรียกว่า จีที ๒๐๐ ได้กลายมาเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพ ในการป้องปรามการก่อเหตุ และควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุในพื้นที่ ที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง ส่งผลให้บรรดาแกนนำแนวร่วม และ sympathizer ต้องเคลื่อนไหวหาทางทำลายการใช้ จีที ๒๐๐ ให้ได้ ระหว่างที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการกดดันให้ยกเลิก พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ควบคู่กับการปั่นกระแสการปกครองตัวเองของมลายูอิสลาม ผ่านการนำเสนอ การตั้งนครปัตตานี/การตั้งเขตปกครองพิเศษ โดยการสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า การตั้งศาลชารีอะห์ โดยการสนับสนุนของกระทรวงมหาดไทย และการรุกคืบตั้งเซลปกครองตนเองระดับหมู่บ้านผ่านโครงการชุมชนศรัทธา โดยมีสื่ออิสลาม เป็นผู้รับช่วงกระจายข่าว ชี้นำ และ discredit จนท.ต่อสังคม
         - การสัมมนา สมาพันธ์องค์กรประชาสังคมเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ ๓ ที่บริเวณหอประชุมอาคารศรีนิบง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อ ๗ ก.พ.๕๓ มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมคณะเดินทางมาเป็นประธาน โดย มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร นายเด่น โต๊ะมีนา อดีต ส.ส.ปัตตานี นาย นายซูการ์โน มะทา ส.ส.พรรคเพื่อไทยจังหวัดยะลา และผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำท้องถิ่น กลุ่มสตรี องค์กรภาคประชาชน เข้าร่วมในการสัมมนา ในครั้งนี้กว่า ๑,๐๐๐ คน ซึ่งในการสัมมนา นั้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้บรรยายพิเศษเกี่ยวกับการจัดตั้งนครปัตตานี และ พล.ท.สมชาย วิรุฬหผล เลขาธิการโครงการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้บรรยายในหัวข้อเรื่อง การสร้างมหานครปัตตานีและนูซันตารา (NUSANTARA) ขณะที่ นายอัศโตรา ซาบัค ประธานจัดงาน ทำให้เชื่อว่า พื้นที่สันติสุขนำร่องซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อ ๓จังหวัด คือ อ.กะพ้อ อ.รือเสาะ อ.รามันไม่มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น
         - สถาบันอิศรา ลงบทความเรียกร้อง / หนุนช่วยการแยกการปกครอง ๓ จชต. การยกเลิกการใช้ จีที ๒๐๐ และการ discredit จนท. อย่างต่อเนื่อง ผ่านบทความต่างๆ อาทิ หมอพรทิพย์ : ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงคือ เหยื่อ! อิศรา ๒ ก.พ.๕๓...ขึ้นบทความให้เกิดความเข้าใจผิด ว่าหมอพรทิพย์กล่าวหารัฐว่าจับคนผิด ขณะที่เนื้อข่าวคือหมอพรทิพย์ต้องการสื่อว่าคนที่ทำผิดใน ๓ จชต.ส่วนใหญ่เป็นเพราะถูกบังคับ นักฟิสิกส์รุมจับโกหก"จีที ๒๐๐" ประชดเทคโนโลยี"ต่างด้าว" เมื่อ ๓ ก.พ.๕๓ เป็นการนำข้อคิดเห็นเฉพาะที่แสดงความไม่เชื่อถือจีที ๒๐๐ ของนักวิชาการจุฬา มาลงตีพิมพ์ เพื่อกดดันให้มีการยกเลิกการใช้ จีที ๒๐๐ ผลทดสอบ "จีที ๒๐๐" ชี้ชัดไร้ประสิทธิภาพ! นายกฯสั่งทำความเข้าใจทุกหน่วย"เสี่ยง"หากใช้ต่อ เมื่อ ๑๖ ก.พ.๕๓ เป็นการนำการให้สัมภาษณ์ของนายกฯมาชี้นำเป็นนัยให้เห็นความไม่ชอบมาพากลตั้งแต่มีการจัดซื้อ ฟังเสียงคนพื้นที่…เมื่อจีที ๒๐๐ กำลังกลายเป็นอดีต เมื่อ ๑๗ ก.พ.๕๓ ซึ่งเป็นการไปเจาะจงสัมภาษณ์ผู้ที่มีทัศนะทางลบต่อ จนท. เตือน จนท.ใช้จีที ๒๐๐ ชี้เป้าบุคคล...ก่อนหน้านี้พออภัย-ใช้ต่อไปผิดแน่! เมื่อ ๑๙ ก.พ.๕๓ เพื่อตอกย้ำว่า จีที ๒๐๐ ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากต้องยกเลิกแล้วจะต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาและจ่ายเงินเยียวยาด้วย เตือน จนท.ใช้จีที ๒๐๐ ชี้เป้าบุคคล...ก่อนหน้านี้พออภัย-ใช้ต่อไปผิดแน่! เมื่อ ๑๙ ก.พ.๕๓ นำการให้สัมภาษณ์ของนายกฯ มาลง เพื่อชี้นำว่านายกฯ กำลังจะยกเลิกการใช้และให้ผู้ใช้รับผิดชอบต่อการใช้เอง ตอบโจทย์ชายแดนใต้...นิติภูมิ นวรัตน์ : ผมชอบเขตปกครองพิเศษ! เมื่อ ๒๑ ก.พ.๕๓ ตะลึงสถิติคดีชายแดนใต้“ยกฟ้อง”๔๐-๖๐% - มาตรา ๒๑ ไร้ความคืบหน้า เมื่อ ๒๒ ก.พ.๕๓ ซึ่งเป็นการนำสถิติจำนวนของผู้ต้องหาคดีความมั่นคง มาตีพิมพ์เพื่อสื่อนัยว่าการตรวจจับของ จนท.ไม่มีประสิทธิภาพ “กลุ่มด้วยใจ”พลังจากหัวใจช้ำของครอบครัวผู้ต้องขังคดีความมั่นคง เมื่อ ๒๔ ก.พ.๕๓ ซึ่งเป็นการไปสัมภาษณ์ผู้หญิงที่สามีถูกจำขัง เพื่อจะส่งนัย ว่าผู้ต้องหาถูกจับอย่างไม่เป็นธรรมและเชื่อมโยงเข้าสู่ จีที ๒๐๐ จัดระนาบการเมืองใหม่-ตั้งเขตปกครองพิเศษ...กับสันติภาพยั่งยืนที่ชายแดนใต้ เมื่อ ๒๔ ก.พ.๕๓ ซึ่งเป็นการนำการสัมมนาระหว่าง ๑๖-๑๗ ม.ค.๕๓ กลับมาชี้นำให้เห็นว่า ๓ จชต.ต้องเป็นเขตปกครองพิเศษจึงจะแก้ปัญหาได้ ผ่ากันจะๆ “การ์ด จีที ๒๐๐” พบแค่กระดาษแผ่นจิ๋ว ไร้กลไกหาระเบิด นายกฯไฟเขียวผ่าเครื่องซ้ำ เมื่อ๒๔ ก.พ.๕๓
         - นิติภูมิ นวรัตน์ พิธีกร และคอลัมนิสต์ “ผมชอบในเรื่องเขตการปกครองพิเศษ เพราะคนที่อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรปกครองตนเอง เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ที่นั่นมีความแตกต่างกับประชาชนในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ความแตกต่างในเรื่องของศาสนา ภาษา วัฒนธรรม แม้แต่อาหารยังแตกต่าง ภาษาพูดก็แตกต่างกัน
         - นาง ..... พยายามที่จะรักษาบทบาทแกนนำอิสลาม ๓ จชต. ไว้ให้ได้ทุกวิถีทาง โดยล่าสุดได้เข้าไปแสดงบทบาทซื้อคะแนนนิยมจากอิสลาม ด้วยการเรียกร้องให้พิสูจน์ประสิทธิภาพ เพื่อที่จะหาทางยกเลิกการใช้ จีที ๒๐๐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของ จนท. ซึ่งเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของเครื่องมือดังกล่าว
         - น.ส. .... ออกแถลงการณ์ระบุว่า การนำเครื่องจีที ๒๐๐ มาใช้ในภารกิจแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้มีการเชิญตัว และจับกุมผู้ต้องสงสัย ซึ่งมีส่วนหนึ่งได้รับการปล่อยตัว ขณะที่ส่วนใหญ่จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
         - องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ๔ องค์กร ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึก เมื่อ ๒๖ ก.พ.๕๓ เรียกร้องให้ยกเลิกการใช้เครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที ๒๐๐ ทั้งหมด ให้ยกเลิกบัญชีดำบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง เนื่องจากการใช้เครื่องจีที ๒๐๐ และ ให้ชดเชยและเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้เครื่องจีที ๒๐๐ อย่างรีบด่วน
         - นาย .... กดดันให้มีการตั้งศาลชารีอะห์ให้ได้ในรัฐบาลชุดที่มีพรรค ปชป.เป็นแกนนำ

มาตรการซื้อใจอิสลามของรัฐบาล
         การขาดเสถียรภาพอย่างยิ่งของรัฐบาล นอกจากจะทำให้รัฐไม่สามารถดูแล ๓+๑ จชต. จนเกิดสภาพพื้นที่ปลอดอำนาจรัฐแล้ว ยังทำให้รัฐบาลต้องอยู่ภายใต้การชี้นำที่ต้องยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของคนส่วนใหญ่ใน ๓ จชต. แม้กระทั่งการทำลายขวัญและกำลังใจของ จนท.ของรัฐ อันจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในที่สุด ก็ตาม โดยเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะช่วยลดภาระการเผชิญหน้ากับรัฐบาลลงได้บ้าง ส่งผลให้การรุกคืบเพื่อปกครองตนเองด้วยหลักศาสนาของคนส่วนใหญ่ใน ๓ จชต. อย่างเงียบๆภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะการใช้ชุมชนศรัทธาเป็นเครื่องมือ กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว อย่างน่าวิตกอย่างยิ่ง
         - พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดีดีเอสไอ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผย เมื่อ ๕ ก.พ.๕๓ “… ครอบครัวของผู้ต้องหามีฐานะยากจน ไม่มีเงินประกันตัวเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว จึงยื่นคำร้องขอรับการสนับสนุนจากกองทุนยุติธรรมรายละ ๘๐๐,๐๐๐ บาท "ผมได้มอบหมายให้สำนักงานคุมประพฤติ จ.นราธิวาส ลงไปสอบประวัติของผู้ต้องหาในพื้นที่ โดยผู้ใหญ่บ้านได้ให้การรับรองว่า ทั้งหมดมีความประพฤติดีและไม่มีพฤติการณ์หลบหนี พร้อมจะขอใช้สิทธิต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป จึงอนุมัติให้สนับสนุนเงินประกันตัว" …… จึงอยากให้โอกาสผู้ต้องหากลับไปใช้ชีวิตปกติกับครอบครัว และขอให้มารายงานต่อตัวศาลตามกำหนด ” อนึ่ง กองทุนยุติธรรมได้อนุมัติเงินจำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาคดีความมั่นคงจำนวน ๓ ราย ได้แก่ นายดือรีซี อุเซ็ง นายซูกิรนัย โละมะ และ นายสาบีลา มะรือสะ ตามคำร้องของครอบครัว โดยผู้ต้องหาทั้งหมดถูกดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดในเขต จ.นราธิวาส
         - นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย กล่าวในการเสวนาเรื่อง “กฎหมายชารีอะห์กับความคาดหวังของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ห้องประชุมสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อ ๑๖ ก.พ.๕๓ .... “นโยบายหลักพรรค ปชป.ได้ทำการศึกษากฎหมายการตั้งศาลชารีอะห์ ซึ่งเป็นความต้องการของมุสลิมมานานแล้ว เคยเสนอให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยดำเนินการ แต่ถูกปฏิเสธ เมื่อ ปชป.เป็นรัฐบาลได้จัดตั้ง ศอ.บต.เพื่อผลักดันศาลชารีอะห์ โดยขณะนี้ ปชป.ได้ยกร่าง พ.ร.บ.การจัดตั้งศาลชารีอะห์เข้าสภาแล้ว เพื่อรอให้สภาประชุมพิจารณาและให้นายกรัฐมนตรีลงนาม และจะพยายามให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้.....”
         - นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรค ปชป. เมื่อ ๑๗ ก.พ.๕๓ นำใบปลิวเรื่อง "ปฎิบัติการก่อการร้าย ลับ ลวง พลาง ของโจร สังกัด ฉก.๑๖" ซึ่งกล่าวหาว่า จนท.ของรัฐ ยิงนายเปาซี ยะโก๊ะ ผู้ใหญ่บ้าน บ.บัวทอง ม. ๒ ต.บ้านแหร อ.ธารโต บาดเจ็บสาหัส มาแถลงข่าวที่รัฐสภา พร้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐ ตามที่ใบปลิวได้กล่าวหา

นัยและสถิติการก่อเหตุ
         การก่อเหตุในช่วง ๑-๒๘ ก.พ.๕๓ เท่าที่รวบรวมได้ แม้จะไม่ครบถ้วน แต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้นัยสำคัญของเหตุการณ์ผิดพลาดไปนั้น สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุ จำนวน ๖๒ เหตุการณ์ ใกล้เคียงกับ ในช่วงเดียวกันของ ม.ค.๕๓ ซี่งมีการก่อเหตุ ๕๙ เหตุการณ์ โดย ยะลา มีการก่อเหตุ มากที่สุด ๒๓ เหตุการณ์ เสมือนชดเชยกับการลดลงอย่างผิดปกติตั้งแต่ ก.ย.๕๒ เป็นต้นมา โดย อ.บันนังสตา มีการก่อเหตุสูงสุด ๘ เหตุการณ์ รองลงมาคือ อ.เมือง และ อ.รามัน พื้นที่ละ ๔ เหตุการณ์ และ อ.กรงปินัง ๓ เหตุการณ์ ส่วน จ.ปัตตานี มีการก่อเหตุ ๑๙ เหตุการณ์ โดยมีลักษณะเร่งสร้างสถิติในช่วงปลายเดือน ทั้งนี้ อ.หนองจิก มีการก่อเหตุมากที่สุด ๕ เหตุการณ์ โดยทั้งหมดเป็นการเจาะจงยิงเฉพาะคนไทยพุทธ ทั้ง ๕ เหตุการณ์ รองลงมาคือ อ.เมือง และ อ.ยะรัง พื้นที่ละ ๔ เหตุการณ์ ขณะที่ จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุ ๑๘ เหตุการณ์ โดย อ.ระแงะ มีการก่อเหตุมากที่สุด ๕ เหตุการณ์ รองลงมาคือ อ. รือเสาะ ๔ เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลา มีการก่อเหตุ เพียง ๒ เหตุการณ์ เท่านั้นที่ อ.จะนะ และ อ.สะบ้าย้อย ทั้งนี้การก่อเหตุทั้ง ๖๒เหตุการณ์ แยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล ๓๙ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๑๗ เหตุการณ์ การซุ่มโจมตี ๕ เหตุการณ์ และการวางเพลิง/เผา ๑ เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม ๑๐๑ คน แยกเป็น พุทธ ๕๖ คน (เสียชีวิต ๑๔ คน บาดเจ็บ ๔๒ คน) อิสลาม ๔๕คน (เสียชีวิต ๑๓ คน บาดเจ็บ ๓๒ คน) อิสลาม ๔๕คน (เสียชีวิต ๑๓ คน บาดเจ็บ ๓๒ คน)

ข้อพิจารณา
         ๑.การก่อเหตุจำนวน ๖๒ เหตุการณ์มีลักษณะของการคงสถิติด้วยการก่อเหตุกับเป้าหมาย soft target เป็นสำคัญ และการสนับสนุนแรงกดดันให้มีการยกเลิกการใช้ จีที ๒๐๐ ด้วยการเพิ่มการก่อเหตุด้วยการวางระเบิดในลักษณะที่ทำให้ดูว่าเครื่องมือดังกล่าวไม่สามารถตรวจพบวัตถุระเบิดเพื่อส่งลูกให้สื่ออิสลามนำไปประโคมข่าวต่อ
            ตัวอย่างการก่อเหตุเพื่อเพิ่มสถิติ อาทิ
             - ๑๔ ก.พ.๕๓ ยิงนางรัตยา แดงประเทศ อายุ ๔๔ ปี และ ด.ญ.จีรพัฒน์ แดงประเทศ อายุ ๑๔ ปี ลูกสาว เสียชีวิต ที่ ม.๔ บ.โต๊ะสา ต.ท่าน้ำ
             - ๑๖ ก.พ.๕๓ ยิง นางเลี่ยง ดวงจันทร์ อายุ ๘๗ ปี บาดเจ็บสาหัส ที่บริเวณ หน้าร้านขายของชำเลขที่ ๓๙/๑ บ.สถานีมะรือโบ ม.๑ ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ
             - ๒๑ ก.พ.๕๓ ยิงนายเจ๊ะมะ มะยิ อายุ ๗๐ ปี เสียชีวิตที่ บ.บันนังกูแว ม. ๔ ต.บันนังสตา
             - และในช่วงเพียง ๔ วัน ระหว่าง ๒๕- ๒๘ ก.พ.๕๓ มีการก่อเหตุใน จ. ปัตตานีถึง ๕ เหตุการณ์
            ตัวอย่างการก่อเหตุเพื่อกดดันให้มีการยกเลิก จีที ๒๐๐ อาทิ
               - ๒๒ ก.พ.๕๓ เกิดเหตุระเบิด บริเวณทางเข้าตลาดนัด บ.ป่าไร่ ม. ๒ บ.ช้างไห้ออก ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ขณะทหารสังกัด ร้อย ร.๑๕๓๓๔ ฉก.ปัตตานี ๒๔ ประมาณ ๑๐ นาย รปภ.ให้ประชาชนที่มาซื้อสินค้า
               - ๒๓ ก.พ.๕๓ เกิดเหตุระเบิด ที่ ริมถนนสาย ๔๑๐ (กรงปินัง - ยะลา) ที่ ม. ๔ บ.ตือโล๊ะดือลง ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยคนร้ายนำระเบิดซุกซ่อนอยู่ในเสาที่ทำขึ้นเอง เลียนแบบเสาปูนกั้นทางริมถนน
               - ๒๓ ก.พ.๕๓ เกิดเหตุระเบิด ในขณะที่ พ.ต.อ.นรินทร์ บูสะมัญ ผู้กำกับการ สภ.รามัน จ.ยะลา เดินทางพร้อม จนท.ตำรวจ รวม ๓ นาย ที่บริเวณ ม. ๓ บ.บือยอง ต.กายูบอเกาะ อ.รามัน จ.ยะลา
         ๒. นอกจากนี้ยังมีการก่อเหตุ เพื่อแสดงให้เห็นว่าแนวร่วมยังมีศักยภาพอยู่แม้การก่อเหตุจะลดความถี่ลง ซึ่งเกิดขึ้น ๕ เหตุการณ์
              - ๖ ก.พ.๕๓ คนร้ายยิงถล่ม จนท.ทหาร สังกัดร้อย ร.๓๐๑๔ ฉก.นราธิวาส ๓๒ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ รปภ.ร้านขายของชำ เลขที่ ๒ ม.๒ ต.ละหาร อ.ยี่งอ ซึ่งเป็นบ้านพักของนายบุญ พรมแก้ว อายุ ๘๒ ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ๒ นาย
              - ๑๕ ก.พ.๕๓ ตัดท่อนไม้ขวางถนน และขว้างขวดที่บรรจุน้ำมันใส่ จนท.อ.ส.จำนวน ๗ นาย
            - ๑๘ ก.พ.๕๓ คนร้ายใช้อาวุธสงครามซุ่มยิง จนท.ชุดทหารลาดตระเวน ร้อย ร.๑๑๑๔ ฉก.นราธิวาส ๓๐ ในพื้นที่ ม. ๖ บ.สาวอ ต.สาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
            - ๑๙ ก.พ.๕๓ ซุ่มยิง จนท.ทหารพราน ฉก.ทพ.๑๑๑๑ กรมทหารพรานที่ ๔๑ จนเกิดการปะทะกันขึ้น ที่บริเวณ บ.บือยอ ม.๔ ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา
             - ๒๓ ก.พ.๕๓ ซุ่มยิง จนท.ทหารหน่วย ฉก.๑๒ ขณะลาดตระเวนดูแล รปภ.ในพื้นที่ บ.เฆาะ ม. ๑ ต.โกตาบารู อ.รามัน จ.ยะลา
         ๓. เป็นที่น่าสังเกตุว่าการก่อเหตุโดยการจ่อยิงต่อเป้าหมายชาวบ้านไทยพุทธ อย่างเฉพาะเจาะจง ๑๓ เหตุการณ์ นั้น เกิดขึ้นในจ.ปัตตานีเกือบทั้งหมด ๑๑ เหตุการณ์ ส่วน จ. นราธิวาส เกิดขึ้น ๑ เหตุการณ์ และ จ.สงขลา ๑ เหตุการณ์

การตรวจค้นและจับกุมของ จนท.
         การตรวจค้น/จับกุมของ จนท.ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสัมฤทธิผล โดยในหลายๆเหตุการณ์สามารถวิสามัญแนวร่วมที่สำคัญ โดยเฉพาะแกนนำ RKK ได้ในหลายๆเหตุการณ์ และเชื่อว่าน่าจะมีส่วนกดดันให้แนวร่วมออกมาแสดงตัวเป็นระยะ อาทิ
         - ๖ ก.พ.๕๓ ตรวจค้นเทือกเขาหลัง บ.สาวอฮูลู ม.๒ ต.สาวอ อ.รือเสาะ พบกองกำลังติดอาวุธ RKK กลุ่มนายอับดุลเลาะ สามามะ พร้อมสมุน รวม ๖ คน และเกิดการปะทะกัน หากสามารถวิสามัญคนร้ายได้ ๑ คน คือ นายฮานาดี หะยีรอเซ๊ะ ที่อยู่ ๘/๔ ม.๓ ต.จะกว๊ะ
         - ๑๓ ก.พ.๕๓ ตรวจค้น ม.๓ บ.คลอแระ ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และเกิดการยิงปะทะกับกลุ่ม RKK จนสามารถวิสามัญ นายมูฮำหมัดนาวาวี แมยุ ที่อยู่ ๒๘๐ บ.กือดายือริง ม. ๘ ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ อดีตครูสอนศาสนาโรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่งใน อ.บาเจาะ ได้
         - ๑๘ ก.พ. ๕๓ ตรวจค้นบ้าน ๒๖/๓ ม.๔ ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง ได้จับกุมนายมะยูฮา มูดอ อายุ ๒๑ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๕๑ ม.๓ ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ขณะวิ่งหลบหนี และได้มีการยิงปะทะจนสามารถวิสามัญ นายฮูชัยฟะห์ หะยิสาเมาะ ที่อยู่ ๕๕ ม.๕ ต.เตราะบอน อ.สายบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานีในคดีความมั่นคงของพื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
         - ๑๙ ก.พ.๕๓ ตรวจค้นพื้นที่ บ.ยีลาปัน ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา ฐานปฏิบัติการของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จนเกิดปะทะกันกับกลุ่มคนร้าย จำนวน ๔ - ๕ คน นำโดย นายนูรุดดิน จากะลากี และนายซายูตี อาลีมามะ แกนนำก่อเหตุรุนแรงที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นเชื่อว่า นายนูรุดดิน และนายซายูตี ถูก จนท.ยิงได้รับบาดเจ็บ แต่สามารถหลบหนีไปได้
         - ๒๔ ก.พ.๕๓ ตรวจค้น ม. ๕ บ.จาเราะซีโป๊ะ ต.ปะแต อ.ยะหา และเกิดมีการปะทะกันขึ้น จนสามารถวิสามัญ นายอับดุลเลาะ ยาวางอ ที่อยู่ ๔๒ ม.๓ ต.กระเสาะ อ.มายอ ได้

                                               ............................................