สถานการณ์ ๓ + ๑ จชต. ๑ - ๓๑ ก.ค.๕๓
การเคลื่อนไหวที่สำคัญใน ๓+๑ จชต.ได้แก่ การก่อเหตุ เท่าที่รวบรวมได้ มีจำนวน ๔๘ เหตุการณ์ โดยมีลักษณะของการโหมกดดันคนไทยพุทธหนักขึ้นอย่างผิดสังเกตุ โดยเฉพาะการสะกัดกั้นวัฒนธรรมและการทำมาหากินของคนไทยพุทธ ด้วยวิธีที่ผู้ก่อเหตุปลอดภัยที่สุดคือการวางกับระเบิด และการยิงต่อเป้าหมาย soft target ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในวัด โดยจ.ปัตตานี พบในลักษณะแรก คือการยิงครูและการกราดยิงเข้าไปในวัดและ จ.ยะลาในลักษณะที่ ๒ คือการวางกับระเบิดไว้ในสวนยางพาราของชาวบ้านไทยพุทธ
การก่อเหตุแม้จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากการที่ประชาชนดูเหมือนว่าจะกลับมาทำมาหากินและดำเนินชีวิตอย่างปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับจะดูเหมือนว่าขบวนการรื้อฟื้นรัฐปัตตานีไม่สามารถคุมสภาพของแนวร่วมหรือผู้รับจ้างก่อเหตุได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนส่งผลกระทบทำให้สูญเสียมวลชนและภาพลักษณ์ของขบวนการ อีกทั้งการกดดันรัฐบาลแม้จะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ หากยังไม่สามารถกดดันทางฝ่ายทหารได้ น่าจะกำลังทำความอ่อนล้าให้กับบรรดาแกนนำแล้ว จนต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการส่งสัญญาณขอปรองดองกับรัฐเพื่อให้มีช่วงเวลาฟื้นฟูสรรพกำลังและปรับเปลี่ยนยุทธวิธีการต่อสู้
ขณะที่บรรดาแนวร่วมและ sympathizer โดยเฉพาะสื่ออิสลามกำลังประสานปลุกและปูกระแสการแบ่งแยกการปกครองเพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน ๓ จชต.อย่างสอดคล้องกับนักการเมืองอิสลามที่พยายามชี้นำให้เห็นว่าราชอาณาจักรไทยแก้ปัญหาไม่ถูกต้องจึงทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น พร้อมกับนำภาพกรือเซะ ตากใบขึ้นมาปลุกกระแสความแค้นของมลายูอิสลาม เพื่อให้ได้มาซึ่งความนิยมและคะแนนเสียงในลักษณะของมลายูเพื่อมลายู ส่วนนักวิชาการ และngo ไทยก็เทกันลงไปใน ๓ จชต.เพื่อแสวงประโยชน์ผลักดันตัวเองขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักเพื่อสร้างเป็นกลุ่มพลังเตรียมต่อรองกับนักการเมืองและรัฐบาลอย่างมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเป็นการกวาดต้อนเยาวชนอิสลามมาเข้าสังกัด ทั้งการพามวลชนเดินทางลงใต้แนะนำตนเอง
ที่สำคัญคือความไร้เดียงสาของข้าราชการโดยเฉพาะ ศอ.บต.ซึ่งเชื่อว่าการให้และให้จะสามารถซื้อใจมลายูอิสลามได้ จึงได้มีการเตรียมนำงบประมาณมาทุ่มเทเพื่อการนี้อย่างมุ่งมั่นต่อไป ขณะที่การป้องปรามการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุก็ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสัมฤทธิ์ผลในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการยึคฐานฝึก อาวุธ/วัตถุประกอบระเบิด และการสะกัดกั้นการเคลื่อนไหวของแกนนำRKKได้หลายคน
แนวโน้มสถานการณ์ ในเงื่อนไขที่รัฐบาลทุ่มความสนใจอยู่กับการต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย นปช จึงลดความสนใจในการซื้อใจคนส่วนใหญ่ของพื้นที่ โดยเฉพาะการกดดันจะยกเลิกพรก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติในพื้นที่ ที่จะทำงานได้อย่างคล่องตัวและมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะการตรวจค้น/จับกุม ด้วยเหตุนี้ การก่อเหตุที่ง่ายที่สุดและผู้ก่อเหตุปลอดภัยที่สุดคือการลอบวางระเบิด จะยังคงปรากฏอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอ โดยจะมีลักษณะของความพยายามเพิ่มสถิติการก่อเหตุ เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ก่อนการถือศีลอด
สถิติและนัยของการก่อหตุ
การก่อเหตุในช่วง ๑-๓๑ ก.ค.๕๓ เท่าที่รวบรวมได้ สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุ จำนวน ๔๘ เหตุการณ์ ลดลงเมื่อเทียบกับ ๖๔ เหตุการณ์ ในช่วงเดียวกันของ มิ.ย. ๕๓ ทั้งนี้ จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ ที่มีการก่อเหตุ มากที่สุด ๒๐ เหตุการณ์ โดย อ.หนองจิก มีการก่อเหตุมากที่สุด ๖ เหตุการณ์ ขณะที่ อ.ยะรัง อ.เมืองและ อ.โคกโพธิ์ มีการก่อเหตุพื้นที่ละ ๓ เหตุการณ์ รองลงมาคือ จ.ยะลา ๑๕ เหตุการณ์ โดยพื้นที่ซึ่งมีการก่อเหตุเป็นพื้นที่ซึ่งต่อเนื่องกัน คือ อ.บันนังสตา มีการก่อเหตุสูงสุด ๕ เหตุการณ์ อ.ธารโต และ อ.กรงปินัง พื้นที่ละ ๓ เหตุการณ์ ขณะที่ จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุ ๑๓ เหตุการณ์ โดย อ.เจาะไอร้อง อ.สุหงปาดี อ.จะแนะ และสุไหงโก ลก มีการก่อเหตุพื้นที่ละ ๒ เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลา ไม่มีรายงานการก่อเหตุ แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าที่ จ.สตูล มีการก่อเหตุยิงสังหาร อส.จาก จ.ยะลา ๑ เหตุการณ์ ทั้งนี้ การก่อเหตุทั้ง ๔๘ เหตุการณ์ แยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล ๓๒ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๑๓ เหตุการณ์ การซุ่มโจมตี ๒ เหตุการณ์ และ การก่อกวน ๑ เหตุการณ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม ๖๕ คน แยกเป็น พุทธ ๓๖ คน (เสียชีวิต ๑๐ คน บาดเจ็บ ๒๖ คน) อิสลาม ๒๙ คน (เสียชีวิต ๑๔ คน บาดเจ็บ ๑๕ คน)
ข้อพิจารณา
๑.การก่อเหตุมีลักษณะของการต้องก่อเหตุเพื่อแสดงความคงอยู่ของกลุ่มก่อเหตุอย่างง่ายๆและปลอดภัยต่อผู้ก่อเหตุมากที่สุดคือ การลอบวางระเบิด โดยเฉพาะการฝังกับระเบิด และการเลือกกระทำต่อเป้าหมายที่เป็น soft target โดยมีการเข้าโจมตีต่อ hard target เพียง ๒ เหตุการณ์ เท่านั้น
๒.การก่อเหตุเน้นการกระทำต่อเป้าหมายชาวบ้านไทยพุทธ ส่งผลให้การสูญเสียของคนไทยพุทธมีจำนวนรวมทั้งสิ้น๓๖ ราย สูงกว่าอิสลามซึ่งมีความสูญเสียทั้งหมด ๒๙ ราย
๓.การก่อเหตุที่มุ่งต่อคนไทยพุทธมีลักษณะของการสะกัดกั้นความคงอยู่ของวัฒนธรรมและการทำมาหากินเพื่อยึคที่ดินของชาวบ้านนอกตัวเมือง โดยการก่อเหตุใน
๓.๑ ลักษณะแรก พบที่ จ.ปัตตานี ได้แก่ การขว้างระเบิดเข้าไปในวัดมุจรินทวาปีวิหาร ม.๑ต.ตุยง อ.หนองจิก เมื่อ๑๕ ก.ค.๕๓ การกระหน่ำยิงนายวีระ ปานทน อาจารย์วิทยาลัยเทคนิคปัตตานีเสียชีวิตที่ม.๑ ต.รูสะมิแล อ.เมือง เมื่อ ๑๙ กค.๕๓ และการยิงนายพิชัย เสือแสง ผอ.ร.ร.บ้านดูซงปาแย เสียชีวิต ที่บริเวณบ้านจาแบปะ ม.๔ ต.ตอหลัง อ.ยะหริ่ง เมื่อ ๒๑ ก.ค.๕๓
๓.๒ ส่วนในลักษณะที่ ๒ พบใน จ.ยะลา ได้แก่ การลอบวางกับระเบิดในสวนยางพาราที่ ม.๓ บ.ซาไก ต.บ้านแหร อ.ธารโต ทำให้นายฉั่ว แซ่ย่าง เสียชีวิต เมื่อ ๖ ก.ค.๕๓ และการลอบวางกับระเบิดในสวนยางพาราที่ อีกแห่งใน ม. ๒ ต.คีรีเขต อ.ธารโต ทำให้ นางแดง มณีโชต เสียชีวิต และ จนท.ซึ่งเข้าไปตรวจสอบพื้นที่เหยียบกับระเบิดลูกที่ ๒ บาดเจ็บสาหัส อีก ๓ นาย เมื่อ ๑๖ ก.ค.๕๓ หลังจากนั้น ดต.นิยม สุวรรณมณี จนท.ตร. สภ.ธารโต ก็เข้าไปเหยียบกับระเบิดลูกที่ ๓ จนบาดเจ็บสาหัสอีก เมื่อ ๑๙ กค.๕๓
หมายเหตุ พื้นที่ ม.๓ ต.บ้านแหร อ.ธารโต และพื้นที่ ม.๒ บ.ผ่านศึก มีคนไทยพุทธจำนวนน้อย โดยพื้นที่แรกมีคนไทยพุทธเหลืออยู่ประมาณ ๓๐ - ๔๐ คน และพื้นที่ ที่ ๒ ประมาณ ๑๐๐ คน (เมื่อ ก.พ.๕๑) ปะปนอยู่กับอิสลามส่วนใหญ่ คนไทยพุทธทั้ง ๒ กลุ่มนี้จึงเป็นเป้าหมายของการไล่ล่าเพื่อแย่งยึดที่ดินทำกินมาอย่างต่อเนื่อง
การป้องปรามการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุ
การป้องปรามการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสัมฤทธิ์ผลในระดับหนึ่งแม้ส่วนใหญ่จะเป็นการตามล่าหลังการก่อเหตุแล้วก็ตาม โดยเฉพาะการ
ยึคฐานฝึก รวมทั้งอุปกรณ์การก่อเหตุและการสะกัดกั้นการเคลื่อนไหวของแกนนำRKKได้หลายคน ดังเช่น
การตรวจค้นบ้านเลขที่ ๖๐ บ้านพงจือติ ม.๙ ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งสามารถตรวจยึดของกลางได้หลายรายการ อาทิ ระเบิด ๕๐ ลูก ประทัดยักษ์ ๑๐๐ อัน กล้องติดอาวุธปืน โทรศัพท์มือถือ และชุดลายพรางทหาร เมี่อ ๑ ก.ค.๕๓ การตรวจค้นบ้านจาเราะแป ม.๓ ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา จนพบฐานปฎิบัติการที่คาดว่าเป็นแหล่งฝึกของกลุ่มคนร้าย เมื่อ ๑๐ ก.ค.๕๓ การตรวจค้นบ้านใน ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จนสามารถจับกุมนายอารง หามะ และนายสุฮัยรี นิติจิบุสัต ผู้ต้องหามีหมายจับได้ เมื่อ ๑๖ ก.ค.๕๓ การตรวจค้นพื้นที่ ม.๑ บ.ก.ม.๒๘ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งได้ทั้งอาวุธปืนสงคราม และระเบิดชนิดแสวงเครื่อง พร้อม
อุปกรณ์จุดชนวนหลายรายการ เมื่อ ๒๓ ก.ค.๕๓ การตรวจค้นและเกิดการปะทะกันในพื้นที่ ม.๕ ต.บาตง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ทำให้ นายไซมิง มะหลี แกนนำRKK ซึ่งมีรางวัลนำจับ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ได้รับบาดเจ็บ เมื่อ ๒๖ ก.ค.๕๓ การตรวจค้นและปะทะกับคนร้ายที่หมู่ ๕ บ.ลีเซ็งใน ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา ส่งผลให้นายมาหามะ มะตีละ แกนนำRKK เสียชีวิต เมื่อ ๒๗ ก.ค.๕๓ และการตรวจค้นและเกิดการปะทะกันที่ ม.๔ บ้านบันนังกูแว ต.บันนังสตาทำให้นายอาหามะ ดอยิ แนวร่วมRKK เสียชีวิต
การเคลื่อนไหวของแกนนำและ sympathizer
ในช่วงเวลารายงาน พบว่า กลุ่มขบวนการปลดปล่อยรัฐปัตตานีกำลังหาทางสงบศึกกับรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูสรรพกำลังและปรับยุทธวิธีการต่อสู้ ขณะที่กลุ่มแนวร่วม และsympathizer โดยเฉพาะสื่ออิสลามกำลังประสานปลุกและปูกระแสการแบ่งแยกการปกครองเพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน ๓ จชต. อย่างสอดคล้องกับนักการเมืองอิสลามที่พยายามชี้นำให้เห็นว่ารัฐไทยแก้ปัญหาไม่ถูกต้องจึงทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น พร้อมกับนำภาพกรือเซะ ตากใบขึ้นมาปลุกกระแสความแค้นของมลายูอิสลาม เพื่อนำมาซึ่งความนิยมและคะแนนเสียงในลักษณะของมลายูเพื่อมลายู ส่วนนักวิชาการ และngo ไทยก็เทกันลงไปแสวงประโยชน์ผลักดันตัวเองขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักเพื่อสร้างเป็นกลุ่มพลังเตรียมต่อรองกับนักการเมืองและรัฐบาลอย่างมุ่งมั่น ซึ่งมีทั้งการกวาดต้อนเยาวชนอิสลามมาเข้าสังกัด และการพามวลชนเดินทางลงใต้แนะนำตนเอง
สถาบันอิศรา ลงบทความปลุกกระแสการปกครองตนเองหลายบทความ อาทิบทความ เรียนไอร์แลนด์เหนือ...จากมิคสัญญีสู่สันติภาพ เมื่อ ๓๐ มิ.ย.๕๓ เพื่อชี้นำให้เห็นว่าการยินยอมให้แยก ๓ จชต. ไปปกครองกันเองตามวิถีอิสลาม จะยุติความรุนแรงได้ บทความ แม่ทัพภาค ๔ คนใหม่...จุดเปลี่ยนไฟใต้-การเมืองนำทหาร? เมื่อ ๓ ก.ค.๕๓ เพื่อจะสื่อว่าสถานการณ์ใต้ต้องแก้ด้วยการเจรจาและแยกการปกครอง เท่านั้น บทความ ห้องเรียนปรองดอง...จากแอฟริกาใต้ ไอร์แลนด์เหนือ ถึงประเทศไทย เมื่อ ๗ ก.ค.๕๓ เป็นการนำคำสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆมาลง เพื่อสรุปว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรง ต้องใช้การเจรจาและสันติวิธีเท่านั้น บทความ ความจริง ๓ ชุดที่ชายแดนใต้ สัญญาณเตือนภัยก่อนรัฐพ่ายถาวร! เมื่อ ๘ ก.ค.๕๓ นำเรื่องที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่มาลงตีพิมพ์เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสับสนและกระตุกใจมลายูอิสลาม อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกใจว่า ในช่วงปลายเดือน สื่อดังกล่าวได้มีการลงบทความ เกี่ยวกับชะตาชีวิตไทยพุทธที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์และบทความของพล.อ.หาญ ลีนานนท์ ซึ่งสรุปได้ว่า การเมืองนำการทหารในพื้นที่ ที่มวลชนผู้บริสุทธิ์ยังอยู่ใต้อำนาจปืนของโจร ย่อมไม่เป็นผล
ไทยแลนด์นิวส์ดารุสลาม ลงบทความ ๖ ปีไฟใต้รัฐคงเน้นยุทธ์การณ์ คลำทางออกสู่สันติภาพ เสมือนเสริมดีกรีปัญหาใต้ สนองนโยบายส่วนบุคคล เมื่อ ๒๐ ก.ค.๕๓ สะท้อนความเป็นมลายูอิสลามที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทหารอย่างชัดเจน
อ้าง“พูโล”ประกาศหยุดโจมตี.....สื่ออังกฤษเผยแพร่แถลงการณ์หยุดโจมตีจนท.หน่วยงานราชการในพื้นที่ ๓ จว.ภาคใต้ เพื่อรอฟังผลเจรจากับรบ.ไทยวันนี้ (๑๓ก.ค.) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า วารสารด้านความมั่นคงในอังกฤษชื่อ “ไอเอชเอส เจน'ส" ฉบับวันจันทร์ที่ ๑๒ ก.ค. ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของกลุ่มที่อ้างตัวเป็นขบวนการปลดปล่อยชาวมาเลย์ปัตตานี หรือกลุ่ม "พูโล" ในสวีเดน ลงนามโดย ประกาศหยุดโจมตีเจ้าหน้าที่และหน่วยงานราชการของรัฐบาลไทยในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการชั่วคราว ๑ เดือน เพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลไทยในการเจรจาหาข้อยุติปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่า ๖ ปี ขณะเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของทางการไทยได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยมีการเจรจาตกลงกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด แต่กำลังดำเนินการตรวจสอบที่มาที่ไปของแถลงการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด.....(เดลินิวส์ ๑๓ ก.ค.๕๓)
ชี้โจรใต้อยากเจรจา "โคทม"แนะรัฐ นั่งคุยนอกรอบ ให้คงอัตลักษณ์…."โคทม อารียา" นำกลุ่มสันติวิธีเดินเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ถึงประจวบฯ ตั้งวงเสวนาสัญจรร่วมกับชุมชนบ่อนอก ตั้งเป้าเดินถึงปัตตานี เชื่อแนวทาง "เจรจา" ช่วยยุติวิกฤตไฟใต้ที่ เผาผลาญชีวิตผู้คนไปร่วม ๘,๐๐๐ รายตลอด ๖ ปีที่ผ่านมา เพราะเริ่มมีสัญญาณว่าผู้ก่อความไม่สงบบางส่วนเห็นว่า การต่อสู้ด้วย "อาวุธ" ไม่สามารถไปถึงขั้นได้รับชัยชนะเด็ดขาดหรือแยกประเทศ จึงอาจต้องใช้วิธีพูดคุยหาทางออก แต่ต้องมีหลักประกันให้ด้วยว่าอัตลักษณ์-ความเป็นเป็นชาติพันธุ์ของคนอิสลามยังคงรักษาไว้ได้ ส่วนฝ่ายรัฐเองแม้ยึดนโยบายไม่เจรจา ก็น่าเริ่มต้นหันหน้าลองคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ....(ข่าวสด ๒๕ ก.ค.๕๓)
............................................
|