สถานการณ์ ๓ + ๑ จชต.
๑ – ๓๐ พ.ย.๕๓

          โลกอิสลามกำลังรุกหนักในการเข้ามาสนับสนุนการแยกตัวออกเป็นอิสระของมลายูอิสลามใน ๓ จชต.ชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะจาก OIC และมาเลเซีย ซึ่งกำลังหนุนให้มีการจัดตั้งสหพันธ์ประชาชนปัตตานี (United Patani People Council : UPPC) และสภาประชาชนปัตตานี (Patani People Congress : PPC) ขึ้น เพื่อนำสู่การแยกตัวออกจากรัฐไทยในที่สุด อย่างสอดประสานกับการสื่อนัยของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ผ่านปกหนังสือของทางราชการไทยและแผนที่ประเทศไทยซึ่งยังไม่ทราบจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของผู้ทำ
         ส่วนภายในประเทศพบว่า กลุ่มองค์กรอิสลามโดยเฉพาะสื่ออินเตอร์เนตร่วมกับกลุ่มทนายความอิสลามกำลังเพิ่มความรุนแรงในการปลุกเร้าขยายพื้นที่ความขัดแย้งระหว่างคนต่างเชื้อชาติและศาสนาในกรุงเทพฯ โดยการเริ่มทดสอบจากร.ร.มัธยมวัดหนองจอก กทม. ซึ่งขณะนี้ได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพุทธและอิสลามแล้ว ที่อันตรายอย่างยิ่งได้แก่การใช้ภาษาที่ท้าทาย อาทิ “วัดย่านหนองจอก โชว์พาว์ กระโดดขวางนักเรียน คลุมฮิญาบ” “กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ เพื่อปกป้องสิทธิ ..พี่น้องมุสลิมอย่างถึงที่สุดต่อไป” อีกทั้งยังมีการปลุกระดมให้ผู้นำศาสนาและส.ส.ของอิสลามออกมาเผชิญหน้ากับวัด และต้องพึงระวังอย่างยิ่งคือการเตรียมรุกต่อไปยังร.ร.รัฐย่านนนทบุรี
          นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหว โยกย้ายข้าราชการไทยพุทธออกนอกพื้นที่ การกีดกั้นไทยพุทธไม่ให้เข้าทำงานราชการโดยอ้างการไม่สามารถพูดภาษามลายูถิ่นได้เป็นเครื่องมือ การกดดันให้มีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และการถอนทหารนอกพื้นที่ออกจาก ๓ จชต.ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจากรัฐบาล เช่นเดียวกับหน่วยงานของรัฐที่ยังคงมุ่งมั่นซื้อใจอิสลาม ไม่ว่าการกระทำนั้นๆ จะทำลายพหุวัฒนธรรมหรือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติบนความหลากหลายของวัฒนธรรม หรือจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์ใน ๓+๑ จชต.หรือไม่อย่างไร สำหรับการก่อเหตุ ซึ่งเท่าที่รวบรวมได้พบว่ามีจำนวน ๓๘ เหตุการณ์ ซึ่งมีลักษณะของการก่อเหตุที่เจาะจงชัดเจนต่ออิสลามที่เป็นกลไกของรัฐ โดยเฉพาะ ส.อบต. ผญบ. และชรบ.อย่างชัดเจน โดยพื้นที่ที่มีการก่อเหตุมากที่สุด ได้แก่จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุ ๑๕ เหตุการณ์ รองลงมา คือ จ.ยะลา มีการก่อเหตุ ๑๔ เหตุการณ์ ส่วนจ.ปัตตานี มีการก่อเหตุ ๘ เหตุการณ์ โดย อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด ๓ เหตุการณ์ สำหรับ จ.สงขลา มีการก่อเหตุ ๑ เหตุการณ์ เป็นการลอบวางระเบิดในตลาดสะบ้าย้อย

แนวโน้มของสถานการณ์ ในสภาวะการขาดเสถียรภาพประกอบกับการมุ่งเน้นคะแนนเสียงเป็นหลัก จะทำให้รัฐบาลทำได้ทุกอย่างเพื่อการเลือกตั้ง เพราะฉนั้นในทุกพื้นที่ ที่มีความขัดแย้งจะเป็นพื้นที่อันตรายซึ่งเจ้าของพื้นที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดตามลำพัง ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าการก่อเหตุจะทรงตัว หากจะมีการฉวยโอกาสสร้างผลงานโดยการเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติและศาสนาทั้งในและนอก ๓ จชต.อย่างน่าวิตกยิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา ซึ่งนับได้ว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเพลี่ยงพล้ำของ ร.ร.วัดแห่งนี้จะกระตุ้นให้กลุ่มทนายความอิสลามเกิดความฮึกเหิมและรุกเข้าปลุกระดมใน ร.ร.วัดและ ร.ร.ของรัฐอื่นๆทั่วประเทศ

การเคลื่อนไหวของแกนนำอิสลามและ sympathizer
         ต่างประเทศ
              โลกอิสลามกำลังรุกหนักในการเข้ามาสนับสนุนการแยกตัวออกเป็นอิสระของมลายูอิสลามใน ๓ จชต.ชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะจาก OIC และมาเลเซีย ซึ่งกำลังหนุนให้มีการจัดตั้งสหพันธ์ประชาชนปัตตานี (United Patani People Council : UPPC) และสภาประชาชนปัตตานี (Patani People Congress : PPC) ขึ้น เพื่อนำสู่การแยกตัวออกจากรัฐไทยในที่สุด อย่างสอดประสานกับการสื่อนัยของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ผ่านปกหนังสือของทางราชการไทยและแผนที่ประเทศไทยซึ่งยังไม่ทราบต้นตอที่แท้จริงของผู้ทำ
              "กษิต"ไม่ปฏิเสธ "โอไอซี"ถกกลุ่มป่วนใต้ แต่ขวางเป็น"คนกลาง" เปิดโต๊ะเจรจา ........แหล่งข้อมูลเดียวกันยังอ้างการเปิดเผยของนักการทูตรายหนึ่งว่า โอไอซีได้กระตุ้นให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนผสานความร่วมมือเพื่อจัดตั้งสหพันธ์ประชาชนปัตตานี (United Patani People Council : UPPC) และทันทีที่องค์กรนำนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น ก็จะมีการจัดตั้งสภาประชาชนปัตตานี (Patani People Congress : PPC) ขึ้น แนวคิดนี้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนมุสลิมในพื้นที่ที่ยึดมั่นในประวัติศาสตร์ที่ว่า ดินแดนของพวกเขาถูกยึดครองโดยสยาม ทำให้ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลกรุงเทพฯมานานกว่า ๑ ศตวรรษ (สถาบันอิศรา ๒ พ.ย.๕๓)
         ภายในประเทศ
              นอกเหนือจากการปลุกเร้าขยายพื้นที่ความขัดแย้งระหว่างคนต่างเชื้อชาติและศาสนาในกรุงเทพฯ โดยได้เริ่มทดสอบจาก ร.ร.มัธยมวัดหนองจอก กทม. ซึ่งขณะนี้ได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพุทธและอิสลามแล้ว ที่อันตรายอย่างยิ่งได้แก่การใช้ภาษาที่ท้าทาย อาทิ “วัดย่านหนองจอก โชว์พาว์ กระโดดขวางนักเรียน คลุมฮิญาบ” “กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ เพื่อปกป้องสิทธิ ..พี่น้องมุสลิมอย่างถึงที่สุดต่อไป” และกำลังมีการปลุกระดมให้ผู้นำศาสนาและส.ส.ของอิสลามออกมาเผชิญหน้ากับวัด และต้องพึงระวังอย่างยิ่งสำหรับเหยื่อรายต่อไปคือร.ร.รัฐย่านนนทบุรี
               อนึ่ง พบการเคลื่อนไหวโยกย้ายข้าราชการไทยพุทธออกนอกพื้นที่ กดดันให้มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินและการถอนทหารนอกพื้นที่ออกจาก ๓ จชต. และการสื่อนัยชี้นำให้เห็นว่า ๓ จชต.ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของประเทศไทย และการไม่เป็นประชากรไทยผ่านปกหนังสือของทางราชการซึ่งถูกกำกับด้วยภาษามลายูถิ่น การเบี่ยงเบนแผนที่ ๓ จชต.ว่าส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวมาเลย์ และการไม่ใช้สัญลักษณ์ของสถาบันการศึกษาในการทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
               การส่งนัยของการไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย

     คอลัมน์ – วิพากษ์ชายแดนใต้ "เห็นต่างได้   คิดต่างได้"     

               การโยกย้ายข้าราชการไทยพุทธ
              เด้งเงียบ...ผู้กำกับ สภ.เมืองปัตตานี….กรณีการสั่งย้าย พ.ต.อ.นฤชา สุวรรณลาภา พ้นจากเก้าอี้รักษาราชการแทนผู้กำกับการ สภ.เมืองปัตตานี อย่างเงียบๆ…..เพราะชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านได้ยื่นจดหมายขับไล่ พ.ต.อ.นฤชา โดยเรียกร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจ ให้ย้ายออกจากพื้นที่ภายใน ๓ วันกันเลยทีเดียว….หลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน ปรากฏว่าได้มีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.นฤชา ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) เมื่อวันที่ ๔ พ.ย…….นายแวอูมา แวดอเลาะ ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อ.เมืองปัตตานี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ผู้ใหญ่เห็นความสำคัญตามที่ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านเรียกร้องไป ….. (สถาบันอิศรา ๙ พ.ย.๕๓)
              การสร้างความแตกแยก
               มัธยมวัดหนองจอกบอกไม่เคยมีคำสั่งห้ามคลุมฮิญาบ แย้มห้องละหมาดใหม่เพิ่งเสร็จ...หลังจากมีเรื่องร้องเรียนจากนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกเกี่ยวกับเรื่องของการคลุมฮิญาบในโรงเรียน ดังที่มีการนำเสนอในหนังสือพิมพ์ไทยแลนด์นิวส์ดารุสสลามในฉบับที่ผ่านมา ล่าสุดทางคณะทำงานด้านกฏหมายกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ โดยทนายซักริยา สุขจันทร์ ได้ติดต่อขอเข้าพบ เพื่อยื่นหนังสือ และขอพูดคุยกับ ดร.ประพนธ์ หลีสิน ผู้อำนวยการโรงเรียน เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม และวันที่ ๓ พฤศจิกายนที่ผ่านมา…..หลังจากเด็กโทรมาแจ้งว่าถูกครูในโรงเรียนต่อว่าที่แต่งชุดนักเรียนและคลุมฮิญาบมาเรียน ….. ทนายซักรียา เล่าอีกว่า ผอ.บอกว่าไม่เคยมีคำสั่งห้ามการคลุมฮิญาบ …ล่าสุดก็เพิ่งปรับปรุงห้องละหมาดเสร็จหมดไปนับแสน......
              ทนายซักรียาได้กล่าวสรุปว่า จากการเข้าเยี่ยมชมครั้งนี้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก โดยส่วนของการติดตามเรื่องร้องเรียนของเด็ก ก็ยังคงต้องติดตามต่อไป เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน และเป็นบรรทัดฐาน ที่จะไม่ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อการปฏิบัติตามหลักการศาสนาอิสลามของเด็กอีก (thailandnewsdarussalam.com ๔ พ.ย.๕๓)
              วัดย่านหนองจอก โชว์พาว์ กระโดดขวางนักเรียน คลุมฮิญาบ … หลังพบว่ามูลเหตุที่ทำให้ทางโรงเรียน ยังไม่ยอมอนุญาติให้นักเรียนมุสลิมะฮฺคลุมฮิญาบไปเรียนได้เนื่องจากถูกแทรกแซงจากทางวัด ซึ่งเป็นผู้อุทิศที่ดินในการก่อสร้างโรงเรียนดังกล่าว ไม่อนุญาติให้มีการคลุมฮิญาบในโรงเรียนได้ ทั้งที่โดยหลักการศาสนา และข้อกฏหมาย แล้วโรงเรียนมีหน้าที่ต้องส่งเสริมให้นักเรียนปฏิบัติ และยึดมั่นในหลักการของศาสนา และฮิญาบก็เป็นหลักการหนึ่งในศาสนา และระเบียบการแต่งกายของกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้ระบุชัดเจนถึงการอนุญาติให้มีการแต่งกายคลุมฮิญาบตามหลักการศาสนาอิสลาม ได้
              และในทางกฏหมายแล้ว ทางวัด หรือจะเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลใดก็ตาม ที่มีการอุทิศ หรือยกที่ดินให้ในการก่อสร้างโรงเรียน ก็ไม่ได้ทำให้คน หรือกลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามามีสิทธิเหนือผู้บริหารของโรงเรียน ในกิจการของโรงเรียน ให้เป็นไปตามกรอบของกฏหมาย
               ซึ่งหลังจากนี้ทางคณะทำงานด้านกฏหมาย จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ของกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ เพื่อปกป้องสิทธิในการปฏิบัติศาสนกิจของพี่น้องมุสลิมอย่างถึงที่สุดต่อไป (มุสลิมไทยดอทคอม ๒๐ พ.ย. ๕๓) ครูพระสงฆ์รร.รัฐย่านนนทบุรี ตำหนิเด็กมุสลิมแรงเพราะไม่ยอมกราบพระ
              ในการประชุมประจำเดือนพฤศจิกายนของกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติเมื่อค่ำวันจันทร์(๒๒)ที่ผ่านมา ที่โรงแรมรีเจ้นท์รามคำแหง เชคริฏอ อะหมัด สมะดี ประธานกลุ่มฯ ได้เปิดเผยหลังจากทนายฮานีฟ หยงสตาร์ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการในกรณีโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกว่า …. โรงเรียนรัฐบาลในจังหวัดนนทบุรี ....พระสงฆ์ .....ดูหมิ่นหลักการของศาสนาอิสลามด้วย ....จึงขอให้คณะทำงานฝ่ายต่างๆ ทำงานเชิงรุกมากขึ้น (ประชาชาติอิสลามออนไลน์ ๒๓ พ.ย.๕๓)
               การกดดันให้มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และถอนทหาร
              "จับ-อายัดตัว" ไม่เป็นธรรม...อีกหนึ่ง "อยุติธรรม" ที่ด้ามขวาน.....ปรีดา นาคผิว จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เขียนบทความเรื่อง "การจับหรืออายัดตัวต่อเนื่องโดยไม่เป็นธรรม: อีกหนึ่งปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องแก้ไขโดย ด่วน" ตีแผ่การใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจต่อพี่น้องประชาชนที่ชายแดนใต้เอาไว้ อย่างน่าสนใจ และเข้ากับสถานการณ์ที่หลายฝ่ายกำลังเรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ …"ถูกจับ-อายัดตัวต่อเนื่อง" ไม่เป็นธรรม …. สิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องตระหนัก สะท้อนเจตนา "ขังยาว" ... เสนอรัฐลงโทษเจ้าหน้าที่ปฏิบัติมิชอบ ….. หากฝ่ายรัฐเพิกเฉยหรือละเลยไม่แก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้วไซร้ ไฉนจะเรียกร้องให้ประชาชนสนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาของรัฐได้ ตราบเท่าที่ประชาชนยังกลัวและหวาดระแวงเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่! ( สถาบันอิศรา thailandnewsdarussalam.com ๒๓ พ.ย.๕๓)
               เมื่อ "ทหาร" เสนอเจรจาเพื่อแก้ปัญหาไฟใต้…อ้างข้อเขียนของทหารไร้นาม มาลง เพื่อชี้นำให้เห็นว่าทหารเองก็ยังสนับสนุนให้เปิดการเจรจากับ หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการ (thailandnewsdarussalam.com ๒๔ พ.ย.๕๓)
              ฟังชัดๆ แม่ทัพภาค ๔ "ไม่มีนโยบายถอนทหารตอนนี้" เป็นการนำบทสัมภาษณ์ทางลบของกลุ่ม NGO s ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับทหารมาลง เพื่อกดดันให้มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และถอนทหารออกจากพื้นที่ (สถาบันอิศรา/ thailandnewsdarussalam.com ๒๔ พ.ย.๕๓)
              ตรวจความพร้อม “มาตรา ๒๑” เมื่อทุกฝ่ายขานรับ แล้วกองทัพมีคำตอบหรือยัง? เป็นการไปถามความคิดเห็นของผู้ที่เห็นด้วยกับการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ๒-๓ คนแล้วนำมาลงตีพิมพ์เพื่อสรุปว่าชาวบ้านเห็นด้วย (สถาบันอิศรา ๒๖ พ.ย.๕๓)

สถิติและนัยของการก่อเหตุ
          การก่อเหตุในช่วง ๑-๓๐ พ.ย.๕๓ เท่าที่รวบรวมได้ แต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้นัยสำคัญของเหตุการณ์ผิดพลาดไปนั้น สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุ จำนวน ๓๘ เหตุการณ์ ลดลงจาก ๗๕ เหตุการณ์ ในช่วงเดียวกันของ ต.ค. ๕๓ ทั้งนี้ จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุมากที่สุด ๑๕ เหตุการณ์ โดย อ.รือเสาะ มีการก่อเหตุมากที่สุด ๔ เหตุการณ์ ขณะที่ อ.บาเจาะ เกิดขึ้น ๓ เหตุการณ์ซึ่งทั้งหมดเป็นการวางระเบิดในสวนยางพาราของไทยพุทธ รองลงมา คือ จ.ยะลา มีการก่อเหตุ ๑๔ เหตุการณ์ โดย อ.รามันมีการก่อเหตุมากที่สุด ๔ เหตุการณ์ ซึ่ง ๒ เหตุการณ์ เป็นการยิง ชรบ. และอีก ๒ เหตุการณ์เป็นการซุ่มโจมตี จนท. ส่วน จ.ปัตตานี มีการก่อเหตุ ๘ เหตุการณ์ โดย อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด ๓ เหตุการณ์ สำหรับ จ.สงขลา มีการก่อเหตุ ๑ เหตุการณ์ ในเขตเทศบาลสะบ้าย้อย ทั้งนี้ การก่อเหตุทั้ง ๓๘ เหตุการณ์ แยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล ๒๔ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๖ เหตุการณ์ และการซุ่มโจมตี ๖ เหตุการณ์ เท่ากัน การฟัน/แทง ๑ เหตุการณ์ และการพยายามเผาโรงเรียน ๑ เหตุการณ์ เท่ากัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม ๕๗ คน แยกเป็น พุทธ ๒๗ คน (เสียชีวิต ๗ คน บาดเจ็บ ๒๐ คน) อิสลาม ๓๐ คน (เสียชีวิต ๑๔ คน บาดเจ็บ ๑๖ คน)

ข้อพิจารณา
          ๑. การก่อเหตุในช่วงรายงานมีจำนวนลดลงมาก ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากภัยธรรมชาติ ประกอบกับช่วงการพิจารณาความดีความชอบและการโยกย้ายข้าราชการผ่านพ้นไปแล้ว
         ๒. การก่อเหตุเน้นกระทำต่อเป้าหมายอิสลามที่ทำงานให้กับรัฐอย่างชัดเจนโดยเฉพาะ ผญบ. นายกอบต. และชรบ. อาทิ
         การยิงผู้ใหญ่บ้านบ้านจาเราะ หมู่ ๑ ต.ไพรวัน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เสียชีวิต เมื่อ ๓ พ.ย.๕๓ การยิงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก บาดเจ็บ เมื่อ ๕ พ.ย.๕๓ การยิงกลุ่ม ผญบ.ต.สะเอะ อ.กรงปินัง บาดเจ็บ ๖ นาย เมือ ๒๐ พ.ย.๕๓ การกราดยิงนายก อบต.สามัคคี เสียชีวิต เมื่อ ๒๔ พ.ย.๕๓
         สำหรับการก่อเหตุกับชรบ.ทั้งพุทธและอิสลาม พบว่าเกิดขึ้นทั้งหมด ๖ เหตุการณ์ แยกเป็นการก่อเหตุกับเป้าหมาย ชรบ.ใน จ.ยะลา ๔ เหตุการณ์ ปัตตานี ๒ เหตุการณ์ โดยเป้าหมายเกือบทั้งหมดเสียชีวิต

การซื้อใจอิสลามของรัฐ
         นายกฯนั่งหัวโต๊ะประชุม กอ.รมน ไฟเขียว "ยุบ พตท." ลดกำลังพลใต้ ๑.๒ พันอัตรา .....นายกฯนั่งหัวโต๊ะประชุม กอ.รมน ไฟเขียว "ยุบ พตท." ลดกำลังพลใต้ ๑.๒ พันอัตรา เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ พ.ย.๕๓ ที่อาคารรัฐสภา ๓ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ ภายหลังการประชุม นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า ...ที่ได้มีการยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกใน ๔ อำเภอของ จ.สงขลา และได้ใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ (พ.ร.บ.ความมั่นคง) มาเกือบจะครบ ๑ ปี จึงให้มีการยืดอายุออกไป…"ที่ประชุมยังได้พิจารณาโครงสร้างอัตรากำลังในส่วนของ กอ.รมน.ที่อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้สำหรับปี ๒๕๕๔ จะ…ลดอัตรากำลังพลลงไปอีก ๑,๒๐๐ อัตรา …ในเรื่องของงบประมาณก็น่าจะมีการแปรและปรับลดลงตามกันด้วย" (สถาบันอิศรา ๒๔ พ.ย.๕๓)
         ศธ.เพิ่มยุทธศาสตร์กศ.ชายแดนภาคใต้ สร้างร.ร.ปอเนาะ ๔๘ แห่งเฉลิมพระเกียรติในหลวง….นายกมล รอดคล้าย รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ปีนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ....โดยศธ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายขึ้นมาใหม่จากเดิม ๕ ยุทธศาสตร์.....สร้างโรงเรียนปอเนาะต้นแบบให้ครบจำนวน ๔๘ แห่ง .........เปิดการสอนอิสลามแบบเข้มในโรงเรียนของรัฐจำนวน ๓๕๐ โรงเรียน …..จัดชุมนุมลูกเสือมุสลิม ...เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศใกล้เคียง …..การฝึกอาชีพในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ( muslimthai.com ๙ พ.ย. ๕๓)

                                               ............................................