สถานการณ์ ๓ + ๑ จชต.
๑ – ๓๐ ก.ย.๕๔

         สถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปในลักษณะทีดูเหมือนว่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน จะไม่ยอมอยู่ในโอวาทของอิสลามดังเช่นรัฐบาลชุดที่ผ่านมา อาทิ การที่ไม่มีนักการเมืองอิสลามถูกเลือกเข้าร่วมรัฐบาล การแสดงท่าทีไม่เอา ศอ.บต.๓ จชต. ออกไปให้มลายูอิสลามบริหารกันเอง การแสดงท่าทีเชิดชูพุทธศาสนาโดยกล้าใช้คำว่าพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆอย่างมั่นใจ การแสดงการต่อต้านการปฏิวัติของนายพลมลายูอิสลามอย่างเปิดเผย ทั้งยังมีการแสดงนัยแห่งการท้าทายคือการปราบยาเสพติดในภาคใต้อย่างหนัก พร้อมๆกับกระแสข่าวที่พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ศัตรูคนสำคัญของกลุ่มก่อเหตุใน ๓ จชต.จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานความมั่นคง สร้างความตื่นตระหนกและความวิตกกังวลอย่างยิ่งให้กับกลุ่มองค์กรที่เข้ามาแสวงประโยชน์จากความเป็น “มลายูอิสลาม” โดยเฉพาะสื่อและองค์กรเอกชนมลายูอิสลามพยายามเคลื่อนไหวปกป้องความเป็นอภิสิทธิ์ชนเหนือกฏหมาย ทุกวิถีทาง ที่ชัดเจน ได้แก่ สถาบันอิศรา สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย (ยมท.)มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ
         ขณะที่แนวร่วมก่อเหตุในพื้นที่ก็จำต้องมีการก่อเหตุต่อคนบริสุทธิ์ไทยพุทธแรงขึ้น แม้จำนวนความถี่จะลดลง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นการรุกคืบของรัฐบาลเข้าสู่พื้นที่ปลดปล่อย พื้นทีอิทธิพล และแหล่งหาเงินทุนของตน และเพื่อส่งนัยต้อนรับการกลับสู่ประเทศไทยของบรรดาแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดย จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุสูงสุด ๒๙ เหตุกาณ์ รองลงมาได้แก่ จ.ปัตตานี ๑๘ เหตุการณ์ ส่วน จ.ยะลา มีการก่อเหตุ ๑๕ เหตุการณ์ อย่างไรก็ตามพบว่าการก่อเหตุต่อเป้าหมายไทยพุทธและอิสลามมีจำนวนใกล้เคียงกัน แยกเป็นการกระทำต่อคนพุทธ ๓๕ เหตุการณ์และอิสลาม ๒๗ เหตุการณ์ เนื่องจากการก่อเหตุในช่วงรายงานไปหนักอยู่ที่ จ.นราธิวาส
         ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นประกอบกับกระแสที่ตระหนักถึงการรุกรานจากอิสลามของพระสงฆ์และชาวพุทธบางกลุ่มอันนำสู่ความตื่นตัวของชาวพุทธ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวก่อการร้ายในลักษณะท้าทายความเป็นไทยและความเป็นพุทธโดยรวมดูเหมือนจะลดลงเพราะเริ่มไม่มั่นใจใน”พลัง”ของตนเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าวิตกอย่างยิ่งได้แก่ การฉวยโอกาสจากจุดอ่อนด้านความมั่นคงของรัฐบาล เสริมสร้างบทบาทให้กับตนเองของ นายทหารระดับสูงบางคนใน ผอ.กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า ด้วยการแสดงการสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อข่าวที่ว่าแกนนำกลุ่มโจรแบ่งแยกดินแดนได้เดินทางเข้ามาในประเทศเพื่อมาตั้งศูนย์แก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ที่ จ.ยะลา(ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม) จะพลิกสถานการณ์ทำให้ แกนนำแนวร่วม องค์กรเอกชน สื่อ นักการเมือง อิสลาม กลับมามีกำลังใจและฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง แต่ที่น่าวิตกอย่างยิ่งได้แก่การปลุกกระแสชาตินิยมมลายูอิสลามเพื่อสร้างความเป็นศัตรูกับพุทธให้กับเยาวชน ของโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ
         แนวโน้มของสถานการณ์ ท่าที่ที่ไม่ให้ความสำคัญกับมลายูอิสลามและการปราบยาเสพติดที่ดูเหมือนจะจริงจัง และการประกาศจะเดินทางเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทย ทำให้แนวร่วมก่อเหตุจำต้องพยายามโหมก่อเหตุโดยเฉพาะต่อเป้าหมายไทยพุทธ เพื่อต่อรอง/และกดดันให้รัฐบาล“ถอย”ออกจากการรุก รวมทั้งเปิดทางให้แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลับเข้าประเทศ อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลยังคงรักษาท่าที่ “ไม่อยู่ในโอวาทโจร”ได้อย่างต่อเนื่อง และกล้าที่จะบังคับใช้กฏหมายกับแนวร่วมก่อเหตุอย่างจริงจัง เชื่อว่าความรุนแรงจะลดลงทั้งยังจะทำให้ผู้บริสุทธิ์ทั้งพุทธและอิสลามที่ไม่ได้ฝักใฝ่โจร รวมทั้งจนท.มีขวัญกำลังใจและสามารถกำหนดทิศทาง และบทบาทให้สอดคล้องกับการต้องอยู่ให้ได้ท่ามกลางการต่อสู้
         ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ความเป็นต่อของรัฐบาลและของความเป็นไทยพุทธสดุดลงได้แก่ นโยบายฟอกโจรให้เป็นผู้หลงผิดของผู้ดำรงตำแหน่งในระดับสูงของกองทัพภาค ๔ ซึ่งต้องทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้ที่สนับสนุนตนเองขึ้นสู่ตำแหน่งเป็นสำคัญ และการยกโจรขึ้นมาเป็นแกนกลางในการ แก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ เพื่อเสริมสร้างบทบาทให้แก่ตนเองของรอง ผอ.กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า ซึ่งสร้าง brand name ให้กับตนเองด้วยการนำเอาแกนนำ/แนวร่วมมาเลี้ยงดูและหางานให้ทำ

การเคลื่อนไหวขององค์กรเอกชน และสื่ออิสลาม
         ท่าทีซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐาลไม่ได้ให้ความสำคัญ แก่มลายูอิสลามเหนือคนเชื้อชาติและศาสนาอื่น สร้างความวิตกกังวลอย่างยิ่งให้กับกลุ่มที่เข้ามาแสวงประโยชน์จากความเป็น “มลายูอิสลาม” โดยเฉพาะสื่อและองค์กรเอกชนซึ่งอ้างการเป็นมลายูอิสลามและเพื่อมลายูอิสลาม ในการทำมาหากิน จนต้องเร่งเคลื่อนไหวปกป้องความเป็นอภิสิทธิ์ชนเหนือกฏหมายของมลายูอิสลามทุกวิถีทาง ที่ชัดเจน ได้แก่ สถาบันอิศราสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย (ยมท.) มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ และกลุ่มสิทธิมนุษยชนภาคใต้ ขณะที่การเคลื่อนไหวในลักษณะท้าทายความเป็นไทยและความเป็นพุทธดูเหมือนจะลดลงเพราะเริ่มไม่มั่นใจใน”พลัง”ของตนเอง
         สถาบันอิศรา
         - ทนายมุสลิม-องค์กรพัฒนาเอกชนชง "๕ เหตุผล" จี้รัฐทบทวนต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สถาบันอิศรา ๑๙ ก.ย.๕๔ นำคำสัมภาษณ์ผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปว่า ต้องการให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ.... “นายอับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย (ยมท.) กล่าวว่า รัฐบาลต้องยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯทันที เพราะเท่าที่ทำงานคลุกคลีกับชาวบ้านทราบดีว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สร้างปัญหาอย่างมาก”.
         - รัฐบาลจะดับไฟใต้ด้วยการตั้ง พล.อ.พัลลภ คุม กอ.รมน.หรือ? สถาบันอิศรา ๑๙ ก.ย.๕๔ …. สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนกต่อการที่สถานะความเป็นอภิสิทธิ์ชนของมลายูอิสลาม กำลังได้รับผลกระทบ...... “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ารัฐบาลจะกล้าดัน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตนายทหาร จปร.๗ ในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เข้าดำรงตำแหน่งหรือใช้อำนาจแทนนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่น คงภายในราชอาณาจักร หรือ ผอ.รมน.จริงๆ.... ”
         - ควันหลงข่าว"พัลลภ"คุม กอ.รมน. กับเสียงที่ทดท้อของญาติเหยื่อกรือเซะ สถาบันอิศรา ๒๓ ก.ย.๕๔ ……เป็นการนำเอาการให้สัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนในเหตุการณ์ ๒๘ เม.ย.๔๗ มาลงตีพิมพ์เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าคนใน ๓ จชต.ต่อต้านการเข้ามามีบทบาทใน ๓ จชต. ของพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี .... นางคอลีเยาะ หะหลี อนุกรรมการสิทธิมนุษยชนภาคใต้....“ถ้า พล.อ.พัลลภ ได้ทำหน้าที่ใน กอ.รมน. ฉันถือเป็นการหยามศักดิ์ศรี ดูหมิ่นคนในสามจังหวัดอย่างมาก ....นายกฯน่าจะพิจารณาเอาคนใหม่ๆ เข้ามาทำหน้าที่แทนอดีตนายทหารคนนี้” … อังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ “รัฐบาลไม่ได้คิดเลยว่าชาวบ้านจะคิดอย่างไร หาคนที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ ….นโยบายที่รัฐบาลแถลงก็ไม่เป็นรูปธรรม หาความจริงใจไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่เกิดขึ้นร้ายแรงที่สุดในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ….”

การเคลื่อนไหวปลุกกระแสชาตินิยมมลายูอิสลามให้กับเยาวชน
         หลังจากมีกระแสข่าว เมื่อ ๒๓ ก.ย.๕๔ ถึงการเตรียมเดินกลับเข้าประเทศเพื่อตั้งสำนักงานในประเทศไทยของแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งรวมถึงนายสะแปอิง/อับดุลรอมาน บาซอ อดีตครูใหญ่ของธรรมวิทยาแกนนำของ BRN Coordinate ด้วย ก็ปรากฏว่าเมื่อ ๒๕ ก.ย. ๕๔ บรรดาครูของโรงเรียนธรรมวิทยาได้นำนักเรียนอิสลามประมาณ ๑,๐๐๐ คนของโรงเรียนมาเยี่ยมนักเรียนที่ถูกทำร้าย เพือกดดันให้ จนท.ดำเนินการต่อคู่กรณีซึ่งเชื่อว่าเป็นเยาวชนไทยพุทธที่มีปัญหากันมาก่อนอย่างเด็ดขาด
          นร.โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิร้องตำรวจหลังเพื่อนร่วมสถาบันถูกทำร้าย
              นักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลากว่า ๑,๐๐๐ คนรวมตัวกันกดดันตำรวจให้เร่งติดตามคนร้ายมาลงโทษ หลังเพื่อนในสถาบันถูกรุมทำร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุหลายครั้ง
          พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันดี ผู้กำกับตำรวจภูธรเมืองยะลา เข้าเจรจาทำความเข้าใจ กับนักโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามกว่า ๑,๐๐๐ คน ที่เดินทางไปให้กำลังใจนายอุสมาน อาแว เพื่อนร่วมสถาบันหลังถูกวัยรุ่นฟันด้วยมีดบริเวณศีรษะจนเส้นเลือดขาดและขา หักต้องนอนพักรักษาตัวกับโรงพยาบาลศูนย์ยะลา
         ทั้งนี้นายอุสมานเล่าว่าถูกกลุ่มวัยรุ่น ๖ คน ใช้มีดและไม้รุมทำลายพร้อมเพื่อนอีก ๒ คน ขณะขี่รถจักร-รถจักรยานยนต์กลับจากรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยม การแข่งขันฟุตซอลชาเล้นจ์ บริเวณสนามช้างเผือก ภายในเขตเทศบาลนครยะลา เมื่อเย็นวานนี้ (๒๔ ก.ย.) เช่นเดียวกับเพื่อนๆของนายอุสมานที่บอกว่าที่ผ่านมานักเรียนของโรงเรียนธรรม วิทยามูลนิธิ เคยถูกกลุ่มวัยรุ่นลอบทำร้ายมาแล้วหลายครั้ง วันนี้ (๒๕ ก.ย.) จึงตัดสินใจรวมตัวกันไปกดดันตำรวจให้เร่งหาผู้กระผิดมาลงโทษ เนื่องจากที่เกิดเหตุส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาล ที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพได้ หากคดียังไม่มีความคืบหน้าจะเข้าร้องกับศูนย์บริหารราชการจังหวัดชายแดนภาค ใต้ หรือ ศอ.บต.ให้ช่วยแก้ไขแทน(http://news.thaipbs.or.th Sun, ๒๕/๐๙/๒๐๑๑ - ๑๘:๐๙ )

สถิติและนัยการก่อเหตุ
          การก่อเหตุในช่วง ๑-๓๐ ก.ย. ๕๔ เท่าที่รวบรวมได้ แม้อาจจะไม่ครบถ้วน แต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้นัยสำคัญของเหตุการณ์ผิดพลาดไปนั้น สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุรวมทั้งสิ้น ๖๒ เหตุการณ์ ลดลงจาก ๘๕ เหตุการณ์ ในช่วงเดียวกันของเดือน ส.ค.๕๔ ทั้งนี้ จ.นราธิวาส เป็นพื้นที่ซึ่งมีการก่อเหตุสูงสุด ๒๙ เหตุการณ์ แยกเป็นการก่อเหตุที่ อ.บาเจาะ มากที่สุด ๗ เหตุการณ์ อ.ระแงะ ๖ เหตุการณ์ รองลงมาได้แก่ จ.ปัตตานี ซึ่งมีผวจ.เป็นอิสลามกำลังจะเกษียณใน ๓๐ ก.ย.๕๔ มีการก่อเหตุ ๑๘ เหตุการณ์ โดย อ.ยะรัง ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของการกำจัดไทยพุทธเพื่อตัดเส้นทางการติดต่อระหว่างชุมชนพุทธซึ่งอยู่ทางตะวันออกและตะวันตกของจ.ปัตตนี มีการก่อเหตุ ๔ เหตุการณ์ ส่วนอ.โคกโพธิ์ อ.ปะนาเระและ อ.ยะหา มีการก่อเหตุพื้นที่ละ ๓ เหตุการณ์ เท่ากัน และเป็นที่น่าสังเกตุว่าการก่อเหตุที่ อ.โคกโพธิ์ มุ่งเจาะจงที่เป้าหมายไทยพุทธเท่านั้นดังเช่นที่ผ่านๆมา ส่วน จ.ยะลา ซึ่งมีการก่อเหตุ ๑๕ เหตุการณ์นั้น อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด ๗ เหตุการณ์ ส่วน ๔ อำเภอใน จ.สงขลายังไม่มีรายงานการก่อเหตุ ทั้งนี้การก่อเหตุทั้ง ๖๒ เหตุการณ์ แยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล ๔๑ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๑๑ เหตุการณ์ การเผาบ้าน/กล้องวงจรปิด ๖ เหตุการณ์ การซุ่มยิงจนท. ๓ เหตุการณ์ และการก่อกวน ๑ เหตุการณ์ โดยคนไทยพุทธมีการสูญเสีย ๗๓ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๒๔ ราย และบาดเจ็บ ๔๙ ราย สูงกว่าอิสลาม ซึ่งมีการสูญเสียรวม ๕๒ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๑๘ ราย และบาดเจ็บ ๓๔ ราย ไม่นับรวมการเสียชีวิตและบาดเจ็บของ ชาวมาเลเซีย จีนไม่ทราบสัญชาติและพม่าอีก ๓๑ คน จากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่ อ.สุไหงโก ลก เมื่อ ๑๖ ก.ย.๕๔

ข้อพิจารณา
          ๑. การก่อเหตุในช่วงเวลารายงานแม้จะมีสถิติลดลง แต่การก่อเหตุหลายเหตุการณ์ มีความรุนแรงและมีการสูญเสียสูง โดยเฉพาะการแสดงนัยให้เห็นชัดว่าเจาะจงต่อเป้าหมายไทยพุทธนั้น เชื่อว่าจะเป็นด้วยสาเหตุ ๓ ประการ ประการแรก การประกาศทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาล ถือได้ว่าเป็นการท้าทายกลุ่มค้ายาเสพติด ใน ๓ จชต. ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลไม่น่ากล้าปราบยาเสพติดอย่างจริงจังใน ๓ จชต. เนื่องจากได้มีการปลุกระดมให้เกิดกระแสการต่อต้านการปราบยาเสพติดของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ เป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้เมื่อรัฐบาลลงมือปราบอย่างจริงจังและทำให้แนวร่วมต้องถูกส่งออกมาก่อเหตุเพื่อปกป้องแหล่งค้ายาเสพติด ด้วยการใช้ชีวิตคนบริสุทธิ์ไทยพุทธเป็นเครื่องมือ ในการกดดัน ให้รัฐบาล “ถอย” ประการที่สอง เป็นช่วงการเปลี่ยนถ่ายอำนาจของรัฐบาล ซึ่งการจัดสรรตำแหน่งของข้าราชการระดับสูงยังไม่ลงตัว แนวร่วมจึงมักจะก่อเหตหนักขึ้นในช่วงเวลานี้เพื่อ กดดันสร้างนัยการต่อรองกับรัฐบาล และประการที่สาม เพื่อส่งสัญญานหนุนช่วยการขอกลับเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทยของบรรดาแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน
         *ทั้งนี้การก่อเหตุที่สื่อนัย การกดดันให้รัฐบาล “ถอย” และกลับสู่สภาพการอยู่ใต้อำนาจอิสลามดังเดิมอย่างชัดเจน อาทิ
          - การไล่ยิงนายคณิต คำนุ้ย ครูโรงเรียนบ้านกือเม็ง ต.อาซ่อง อ.รามัน จ.ยะลา และจุดไฟเผาทั้งเป็น ที่บนถนนสายท่าธง- อาซ่อง ม.๒ บ้านแยะ ต.อาซ่อง อ.รามัน จ.ยะลา เมื่อ ๖ ก.ย. ๕๔
          - การลอบวางระเบิด เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ร.๔๔๑๔ กรมทหารพรานที่ ๔๔ ที่บริเวณถนนในหมู่บ้าน บ้านเจาะกะพ้อใน ม.๗ ต.กะรุมี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี จนบาดเจ็บสาหัส แล้วเข้ามาจ่อยิงที่ละคนจนเสียชีวิต ๕ นาย บาดเจ็บสาหัส ๑ นาย เมื่อ ๑๕ ก.ย.๕๔
          - การลอบวางระเบิดธุรกิจไทยพุทธ ถึง ๓ จุด ใกล้ๆกันใน อ.สุไหงโก ลก ได้แก่ บริเวณหน้าร้านขายโทรศัพท์ไม่มีเลขที่ใน อ.สุไหงโก ลก บริเวณหน้าร้าน ๑๙๘ คาราโอเกะ ต./อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ห่างจากจุดแรกประมาณ ๒๐๐ เมตร และตรงหน้าร้านศูนย์อาหารไทย-จีน ต./อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งอยู่ห่างจากจุดแรกประมาณ ๑๐๐ เมตร และห่างจากจุดที่ ๒ ประมาณ ๓๐๐ เมตร เมื่อ ๑๖ ก.ย.๕๔ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ๕ ราย และบาดเจ็บทั้งสาหัส และไม่สาหัส ๗๘ ราย ซึ่งมีทั้งคนไทยพุทธ อิสลาม มาเลย์ พม่า และคนจีน
         - การเดินเข้าไปที่บริเวณตลาดสดเทศบาลต้นไทร สามแยกทางเข้าถนนสายต้นไทร - ตะโล๊ะดือรามัน ม.๖ ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และเลือกเจาะจงจ่อยิงเฉพาะพ่อค้าไทยพุทธเท่านั้น เมื่อ ๒๓ ก.ย.๕๔ ส่งผลให้ นายวิชัย ชั่วพันธ์ อายุ ๕๐ ปี อยู่ ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และนายผล เทพพรหม อายุ ๗๘ ปี อยู่ ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เสียชีวิต ส่วนนางวิไลลักษณ์ ชั่วพันธ์ อายุ ๕๒ ปี อยู่ ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี(ญาติผู้ตาย) และนางพรรณี อรุณรัตน์ อายุ ๒๗ ปี อยู่ ต.บาละ อ.กาบัง จ.ยะลา บาดเจ็บสาหัส
          *การก่อเหตุสื่อนัยสนับสนุนการเดินทางกลับประเทศไทยของแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่ชัดเจน ได้แก่ การก่อเหตุที่มีลักษณะของการท้าทายและก่อความเสียหายรุนแรง เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลัง ๒๓ ก.ย.๕๔ ตัวอย่างชัดเจนได้แก่
         - ๒๖ ก.ย.๕๔ เกิดเหตุระเบิดที่บริเวนหน้าบ้าน นายกเทศบาลตำบลยะรัง(แวอูเซ็ง ดูมิแด) ม.ที่ ๓ เขตเทศบาลตำบลยะรัง อ.ยะรัง ….. ทำให้ สตอ.วรพงษ์ ไชยศักดิ์ อายุ ๓๓ ปี และ สตอ. บุญสง ส่งไข่ อายุ ๓๐ ปี ทั้งคู่เป็นตำรวจผบ.หมู่ ปป.สภ.ยะรัง มีบาดแผลถูกสเก็ดระเบิดตามร่างกายบาดเจ็บสาหัส
         - ๒๗ กันยายน ๕๔ คนร้ายประมาณ ๑๘ คน แต่งกายคล้ายทหาร สวมเสื้อลายพราง สวมกางเกงสีดำ ใช้ผ้าผูกคอ เข้าไปกราดยิงและขว้างระเบิดใส่ฐานปฏิบัติการหมวดปืนเล็กที่ ๓ ร้อย ร.๑๒๓๑ ดุซงญอ ม.๓ ต.เกียร์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต ๑ นาย และบาดเจ็บ ๒ นาย
          - ๒๘ กันยายน ๕๔ คนร้ายแต่งกายคล้ายทหาร ประมาณ ๘ คน ยิงใส่ทหารชุด ฉก.นราธิวาส ๓๐ ที่หน้าโรงเรียนบ้านลาเมาะนอก ม.๓ ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จำนวน ๔ นาย
         ๓. เป็นที่น่าสังเกตุว่า การก่อเหตุต่อเป้าหมายคนพุทธและอิสลามในช่วงรายงานมีจำนวนใกล้เคียงกัน แยกเป็นการกระทำต่อเป้าหมายไทยพุทธ ๓๕ เหตุการณ์และเป้าหมายอิสลาม ๒๗ เหตุการณ์ เนื่องจากการก่อเหตุในช่วงรายงานไปหนักอยู่ที่ จ.นราธิวาส ซึ่งการก่อเหตุจะคละกันไประหว่างเป้าหมายไทยพุทธและเป้าหมายอิสลาม โดยไม่มุ่งเจาะจงเฉพาะต่อไทยพุทธดังเช่นที่ จ.ปัตตานี

ผนวก

ใต้ถล่ม ๒จ่ากลางเมือง ตาย ๑ เจ็บ ๑
          จ่าทหารบก-ทหารเรือ กลับจากเที่ยวเธคใจกลางเมืองยะลา ถูกคนร้ายขับรถเก๋งประกบยิงถล่มด้วยปืนเอ็ม ๑๖ จนรถพรุนไปทั้งคัน จ่าทหารเรือไปตายที่ รพ. ส่วนจ่าทหารบกอาการสาหัส ตร.ตั้ง ๒ ปมมรณะเป็นการสร้างสถานการณ์ไฟใต้รายวัน
          เหตุรุนแรงในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีเกิดขึ้นเป็นรายวัน โดยเมื่อเวลา ๐๒.๓๐ น. คืนวันที่ ๒๕ ก.ย. .... รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงคน มีผู้บาดเจ็บบนถนนเฉลิมชัย ในเขตเทศบาลนครยะลา ...ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าบริษัทสามัคคีขนส่งจำกัด เลขที่ ๖๔-๖๖ ถนนเฉลิมชัย ......
         วัน เดียวกันเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลศูนย์ยะลา อ.เมืองยะลา มีคณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิกว่า ๑,๐๐๐ คน เดินทางโดยรถบัส ๑๑ คัน มาเยี่ยมนายอาบีดีน ดาโต๊ะ อายุ ๑๗ ปี นายอุสมาน นาแว อายุ ๑๗ ปี และนายอดุลย์ อิสมาแอ อายุ ๑๗ ปี ทั้งสามคนเป็นเด็กนักเรียนชั้น ม.๕/๓ โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลนครยะลา ซึ่งถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายร่างกายบริเวณหน้าโรงเรียนคณะราษฎรบำรุง อ.เมืองยะลา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ ๒๔ ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุมา ดำเนินคดีได้โดยเร็วที่สุด
         ด้าน พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันดี ผกก.สภ.เมืองยะลา กล่าวว่า ทางตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ อยู่ระหว่างสืบสวนหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุอย่างเร่งด่วนแล้ว คาดว่าภายใน ๑-๒ วัน น่าจะมีความคืบหน้าที่ชัดเจน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดูแลความปลอดภัยให้กับนักเรียนให้มากขึ้น ขณะที่อาจารย์โรงเรียนธรรมวิทยาฯรายหนึ่งกล่าวว่า การทำร้ายเด็กนักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยาฯ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่สำหรับครั้งนี้ที่เกิดขึ้น ก็เนื่องมาจากที่เด็กนักเรียนที่บาดเจ็บทั้ง ๓ คน กลับจากไปแข่งขันฟุตบอลที่ทางเทศบาลนครยะลาได้จัดขึ้น หลังจากที่เดินทางกลับมาถึงที่หน้าโรงเรียนคณะราษฎรบำรุง เขตเทศบาลนครยะลาก็ได้ถูกกลุ่มวัยรุ่นที่เชื่อว่าเป็นเด็กไทยพุทธ ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บทั้ง ๓ คน ซึ่งพบว่าเด็กนักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยาฯ ถูกทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ ๕ แล้ว ที่ทางโรงเรียนได้ไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่เรื่องก็เงียบไป จนครั้งนี้ครูและเด็กนักเรียนทนไม่ไหวต้องออกมาขอความเป็นธรรมดังกล่าว (นสพ.ไทยรัฐ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๔, ๐๗:๕๒ น.)

วงในเผย “แกนนำพูโล” เตรียมตั้งศูนย์อาสาแก้ปัญหาชายแดนใต้
          ยะลา - แหล่งข่าววงในเผยแกนนำสมาชิกขบวนการพูโลภาคพื้นยุโรป เตรียมรวมตัวจัดตั้งกลุ่มอาสาแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีแผนเข้าพบรัฐบาลมาเลเซียเพื่อหารือเรื่องการปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ทำงานในมาเลเซีย พร้อมหนุนปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ชายแดนใต้
         วันนี้ (๒๓ ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ยะลา ว่า หน่วยข่าวพลเรือนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า แกนนำสมาชิกขบวนการพูโลยุโรปพร้อมพวก เดินทางกลับจากต่างประเทศมายังจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเปิดศูนย์ประชาชนอาสาพัฒนาแก้ไขปัญหาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่จังหวัดยะลา อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการพบปะบรรดาผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา บุคคลสำคัญในวงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และใช้เป็นสำนักงานของคณะทำงาน ซึ่งกำหนดจะตั้งสำนักงานในเร็วๆ นี้
         โดยหลังจากเปิดสำนักงานแล้ว คณะทำงานจะเริ่มทำงานทันที โดยเรื่องแรก คือ การไปร่วมประชุมการขอปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการทำงานในประเทศมาเลเซีย โดยมีกำหนดการเข้าพบ ดาโต๊ะ อัชมี ฮามิด บิดิน เลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทยมาเลเซีย และขอทราบผลการเจรจาเสร็จสิ้นภายในเดือน ธ.ค. นี้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการพบปะกับผู้แทน รมต.เกษตร มาเลเซีย เกี่ยวกับโครงการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนในพื้นที่มีกำหนดการเข้าพบท่านจุฬาราชมนตรี เพื่อขอคำปรึกษาหารือ การก่อตั้งชมรมนักวิชาการอิสลามอูลาม่า โดยมีเป้าหมายมุ่งหวังที่จะใช้ ชมรมเป็นเครื่องมือช่วยแก้ปัญหาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้
          แหล่งข่าวคนเดียวกัน ยังเปิดเผยอีกว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมแกนนำสมาชิกขบวนการกลับมารายงานตัว ตอบแทนคุณแผ่นดิน ซึ่งจากการประสานงานกับแกนนำต่างๆ ประกอบด้วย ขบวนการพูโล บีอาร์เอ็น บีเอ็นพีพี มีการแจ้งความประสงจะกลับมาร่วมโครงการนี้ ประกอบด้วย ดร.ฟาเดร์ เจะมาน หะยีแม ซอเราะ อยู่ที่ประเทศสวีเดน พูโล นายฮาซัน ตอยิบ พูโล อยู่ที่ มาเลเซีย ซึ่งรับว่าเป็นผู้ที่ให้การดูแลเรื่องที่พักให้กับ นายมะแซ อุเซ็ง และนายสะแปอิง บาซอ โดยมีแผนจะรวมตัวแกนนำกลับมารายงานตัว เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นกรณีพิเศษ เนื่องในวโรกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
          ด้าน พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รอง ผอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า กล่าวว่า หลักฐานทางการข่าว แจ้งว่า ขบวนการเกิดความแตกแยกภายใน ระดับแกนนำบางคนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ที่ก่อเหตุกับกลุ่มผู้บริสุทธิ์ พัวพันกับกลุ่มค้ายาเสพติด กระทำการอุกอาจฆ่ากันในมัสยิด ลอบวางระเบิดในเดือนถือศีลอด ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบกลายเป็นมุสลิมด้วยกันเป็นต้น เป็นไปได้ที่บรรดาแกนนำเหล่านี้ จะหาวิธีการอื่นที่อยากให้ความเป็นธรรมกับสังคม แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริง โดยใช้สันติวิธี การรวมตัวได้จะเป็นทางออกที่ดีให้กับประชาชน
          และในขณะเดียวกัน จะทำให้ขบวนการที่ใช้ความรุนแรงจะหมดโอกาสไปในที่สุดด้วย ทั้งนี้ ขบวนการต้องมาพิจารณาตัวเองว่า การที่ได้ฆ่าคนเป็นจำนวนมากนั้นได้อะไร ยิ่งทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาลงเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่ต้องการความเป็นอิสระในการทำมาหากิน การศึกษาหาความรู้ ดังนั้นในสภาพการณ์เริ่มจะทำให้คนดีเกิดความแข็งแรงมากขึ้น
          ดังนั้น โอกาสที่คนไม่ดีจะมาแอบอยู่หลังคนดีนั้นจะไม่มีที่ยืน ในที่สุดจะกลายพันธุ์ออกมาต่อสู้ในทางสันติมากขึ้น ซึ่งตรงกับนโยบายที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ ๔ มั่นใจว่าหากสามารถมาคุยกันได้ด้วยความจริงใจต่อกัน ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้
         รอง ผอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้ากล่าวอีกว่า ถือว่าเป็นข่าวดีหรือมิติใหม่ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชาชนต้องการความเป็นธรรมด้วยการใช้การเมือง หรือใช้ความสันติวิธี ที่ไม่ทำให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งปัจจุบันประตูช่องทางที่จะร้องทุกข์ นั้นมีอยู่มากมาย อาทิ ศอ.บต.เป็นต้น (ASTVผู้จัดการออนไลน์ ๒๓ ก.ย.๕๔ )

                                               ............................................