เมื่อประมาณสักสามสิบกว่าปีมาแล้ว ผมทำหน้าที่ผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่
ไปปฎิบัติการรบในสมรภูมิเวียดนาม ได้มีความรู้ว่าสมุนไพรชนิดหนึ่งของญวน ที่พวกเวียดกงจะใช้เป็นยาสมานแผล
และมักจะมีติดตัว เพื่อให้ให้ได้ทันทีเมื่อเวลามีบาดแผล แต่ผมไม่ใช่ทหารราบที่จะเข้าประชิดกับฝ่ายตรงข้ามแบบตัวถึงตัว
ก็เลยไม่เคยเห็นว่าหน้าตาของสมุนไพรชนิดนี้เป็นอย่างไร และมีสรรพคุณวิเศษอย่างไรบ้าง
ทราบแต่ว่ามี และรักษาแผลได้ ส่วนชื่อนั้นเคยทราบเหมือนกัน แต่ไม่ได้จดได้จำ
เพราะร่วมรบกับอเมริกันนั้น เรื่องการส่งกำลังบำรุงจะเยี่ยมยอดมาก ทั้งยา
ทั้งหมอมีพร้อม หมอไทยก็มีในอัตรา หนักหนาก็ส่งโรงพยาบาลอเมริกัน ที่อยู่ไม่ห่างจากค่ายแบร์แคทของทหารไทย
และยังมีนางพยาบาลไทยหมุนเวียนไปประจำที่โรงพยาบาลของอเมริกันด้วย เลยไม่ต้องลำบากถึงขนาดหายาจากสมุนไพร
๓๗ ปีผ่านไป ผมกลับมาพึ่งสมุนไพรของเวียดนาม ซึ่งเข้ามาเมืองไทยทางภาคอีสาน
แต่ก็ไม่แพร่หลาย ทราบว่ามีแถว ๆ บุรีรัมย์ ศรีษะเกษ และสุรินทร์ วันนี้เลยขอพาไปเที่ยวนิดเดียว
อยากเล่าเรื่องของฮว่านง็อกให้ทราบ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับคนที่สงสัยว่า
เป็นมะเร็งหรือเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ในต่อมน้ำเหลือง และยังรักษาหรือลดน้ำตาลในเส้นเลือด
ไข้หวัด อาการทางเดินอาหารไม่ปกติ โรคกระเพาะอาหาร เลือดออกตามลำไส้ ตับเอักเสบ
ไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด หรือขุ่นข้น โรคตาทุกชนิด โรคความดันโลหิตสูง -
ต่ำ โรคที่กล่าววมานี้เว้นโรคมะเร็ง แต่ที่ประสบกับตัวของผมเอง คือเกือบเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่
ผมจึงอยากนำมาเล่าให้ฟัง เพราะคนเป็นมะเร็งนั้น น่าจะ ๙๙% รับรองว่าเรียบร้อยไป
"เมรุ" แน่นอน ดังนั้นคนเป็นมะเร็ง ใครบอกให้ทำอะไร พอทำได้พอเชื่อได้ ก็น่าจะทดลองดู
ดีกว่านอนรอความตายด้วยความเจ็บปวด เพราะผมเห็นคนใกล้ชิดกับผมมา ๓ คนแล้ว
ที่กว่าจะตายก็แสนทรมาน ๒ คนเป็นน้องชาย และน้องสาวของผมเองที่เสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าสิบปี
อีกท่านก็คุณยายของผมที่ตายเอาเมื่ออายุกว่าเก้าสิบ แต่ตายอย่างทรมานด้วยโรคมะเร็ง
อีกท่านก็บิดาเลขา ฯ ของผมก็ตายด้วยโรคมะเร็ง แถมด้วยพี่สาวแท้ ๆ ของเลขา
ฯ ที่เป็นแพทย์หญิงก็ตายด้วยโรคมะเร็ง จึงเป็นโรคที่น่ากลัวมาก แต่ที่เขาเป็นแล้วไม่ตาย
กว่าสิบปีแล้ว ก็มีคนหนึ่งเป็นอดีตผู้ใต้บังคับัญชาของผม แล้วก็ป่วยเป็นมะเร็งต้องลาออกจากราชการ
แต่เป็นมากกว่าสิบปีแล้ว "ไม่ตาย" ยังเดินได้ กินได้ ไปวัดได้ (ไปทำบุญ) หน้าตายังสดใส
ไม่มีวี่แววว่าจะตาย เพราะรักษาตัวอย่างดี ปฎิบัติตามคำสั่ง คำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ใครว่าอะไรดี ทำหมด อีกคนก็เป็นลูกสาวของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นมาสิบกว่าปีเช่นกันยังอยู่ดี
แต่ต้องระวังตัวอย่างดีก็อยู่ได้
ก่อนไปรู้จักต้นฮว่านง็อก ขอเล่าเรื่องของตัวผมเสียก่อน ว่าทำไมผมถึงต้องไปพึ่งฮว่านง็อก
เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๔๘ ผมเริ่มมีอาการถ่ายไม่เป็นเวลา และปัสสาวะบ่อย อาการหลังนี้เป็นอาการทั่วไปของคนสูงอายุมาก
น่าจะเป็นตั้งแต่หกสิบปีขึ้นไป เช่นต้องลุกขึ้นปัสสาวะกลางดึกทุกคืน และเดินทางต้องหมั่นแวะปั๊มเข้าไว้
อย่ารอจนปวดปัสสาวะ จะกลั้นไม่อยู่ ไม่เหมือนคนหนุ่ม คนสาว หรือที่อายุน้อยกว่านี้
ส่วนการขับถ่ายนั้นปกติคือ ตอนเช้าเมื่อตื่นนอนและสำหรับผมจำเป็นมาก เพราะได้ชื่อว่าเป็นนักเดินทาง
หากภารกิจตอนเช้าไม่เรียบร้อย ออกเดินทางก็จะเป็นกังวล
อาการของผมขั้นต่อมาคือ นอกจากจะถ่ายไม่เป็นเวลาแล้ว บางทีข้ามวันไปเลย เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการเดินทางเวลาไปไหนกันเป็นส่วนรวม
อาการต่อมาเพิ่มอาการขึ้นมาอีกคือ จะขับถ่ายทุกครั้งแบบคนท้องเสีย เรียกว่าปวดเมื่อไร
เป็นอั้นกันไม่อยู่ว่างั้นเถอะ ผมก็เลยต้องไปเล่าให้คุณหมอที่ดูแลหัวใจ คุณหมอให้ผมไปตรวจเลือด
ตรวจได้ผลมาแล้วก็นำไปให้คุณหมอ หมอไม่พูด ไม่จาบอกอะไรผม ส่งใบตรวจให้ไปเอ็กซ์เรย์กระเพาะอาหาร
และลำไส้เล็กมาให้ ไม่บอกสักคำว่าผลการตรวจเลือดนั้น ตัว "C E A" ย่อมาจากคำว่า
CARCINOMA EMBRYONIC ANTIGEN เลือดคนปกติเขาบอกว่าตัวนี้อยู่ระหว่าง
๐ - ๓.๔ แต่ผลการตรวจเลือดของผมปรากฎว่า สูงถึง ๑๗.๕ เรียกว่าสูงมาก อ่านผลการตรวจเลือดแล้ว
แต่เขาก็ไม่บอก บอกแต่ว่าให้นำอุจจาระมาให้ตรวจเช็คโดยด่วน ผมก็ไม่เชื่อเขาอยากจะเชื่อเหมือนกัน
แต่เพราะเขาไม่บอกเหตุผลว่า ทำไมต้องเอาไปตรวจ ที่นี้ไปหาหมอเอ็กซ์เรย์ เลยบอกว่าตัวร้ายของผมมันสูงมาก
ถึงต้องเอ็กซเรย์ลำไส้ และกระเพาะอาหาร ให้กินแป้งแล้วรอสักพักให้น้ำแป้งไหลเข้าไปยังลำไส้เล็ก
(ลำไส้เล็กเขาว่ายาวประมาณ ๒๐ ฟุต) ผอืดผอมดีพิลึก แต่พอทนได้ ผลการเอกซ์เรย์ไม่มีแผลในกระเพาะ
ลำไส้ปกติ แต่คุณหมอบกว่าหากไม่เจอใน ๒ ตัวนี้ ขอให้เอ็กซ์เรย์ลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะต้องเตรียมการก่อนวันเอ็กซ์เรย์
คือ กินยาขับถ่ายล่วงหน้าถึง ๒ ขนาน ถ่ายกันให้เกลี้ยงกระเพาะ เกลี้ยงลำไส้ไปเลย
งดอาหารตั้งแต่ก่อนวันไปเอกซ์เรย์ และก่อนหน้านั้น ๒- ๓ วัน ก็ต้องกินอาหารเบา
ๆ เช่น ซุป เขาจะกำหนดมาให้ว่าก่อนกี่วัน กินอาหารอย่างไร วันไปเอกซ์เรย์ลำไส้ใหญ่เรียกว่า
ไปแบบตัวเบาโหวงเลยทีเดียว ผู้ช่วยแพทย์นำสายยางมาฉีดแป้งเข้าไปในช่องทวารหนัก
ตอนนี้ทรมานอย่าบอกใคร เพราะเกิดการปวดการขับถ่ายอย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอาหารในกระเพาะและลำไส้แล้ว
ทีนี้คุณหมอก็สั่งพลิกซ้าย พลิกขวา ตะแคง วุ่นไปหมดคือ ถ่ายกันหลายท่า ส่วนคุณหมอก็ยืนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
มองเห็นหมดว่าในลำไส้ของผมเป็นอย่างไร จบแล้วหมอบอกให้ผมดูที่จอคอมพิวเตอร์
ชี้ให้ดูว่ามีจุดผิดปกติ มีลักษณะเหมือนเนื้องอก หากดูด้วยตา ไม่ทราบว่าภาพในจอจะขยายหรือเปล่า
เนื้องอกในลำไส้ใหญ่ โตสักเท่านิ้วก้อยและยาวประมาณหนึ่งเซ็นติเมตร หมอบอกว่าไม่รับรองว่าเนื้อมะเร็งหรือไม่
แต่จากผลการตรวจเลือด และภาพเอ็กซเรย์น่าจะใช่ เอากันให้แน่ ๆ ต้องไปส่องกล้องฉายไฟดูอีกที
แล้วตัดเอาเนื้อชิ้นนี้ไปตรวจว่า เป็นเนื้อของโรคร้ายหรือเปล่า ผมก็เอาผลเอกซ์เรย์
และข้อแนะนำของหมอ ที่เอกซ์เรย์ผมไปให้หมอหัวใจเจ้าของไข้ของผม หมอออกใบสั่งอีกว่า
ให้ไปตรวจด้วยวิธีส่องกล้อง และตัดเนื้อร้ายไปตรวจ แต่เมื่อนัดแพทย์ทางเดินอาหารแล้ว
บอกว่าต้องรออีกประมาณ ๑๕ วัน และต้องเตรียมร่างกายเช่นเดียวกัน เพราะคราวนี้จะเอากล้องซึ่งติดไฟฉาย
ใส่เข้าไปทางทวารหนัก แล้วส่องตรวจดูกันเลย พร้อมกับตัดเนื้องอก (ถ้ามี )
ในลำไส้ไปตรวจว่า เป็นเนื้อมะเร็งหรือไม่
- มาดูการเตรียมตัวส่วนตัวของผมเอง ไม่มีใครแนะนำ ผมมีเวลา ๑๕ วัน
กินขมิ้นชันก่อนอาหาร และออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานให้มากขึ้น
กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด กินแต่ปลา กับผัก เนื้อวัว งดเด็ดขาด
ผมมีคาถาอยู่บทหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเคยเขียนเล่าไปแล้วหรือยัง แต่ผมเที่ยวบอกเขาไปเรื่อย
และเวลาข้ามสะพานข้ามแม่น้ำลพบุรี ข้ามไปยังฝั่งวัดมณีชลขันธ์ หรือข้ามกลับมา
ผมจะยกมือไหว้ที่ศาลหลวงปู่แสง ที่สร้างอยู่เชิงสะพานขาข้ามไปอยู่ฝั่งซ้ายมือ
หลวงปู่แสงคือ พระอาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี ดูเหมือนจะเป็นอาจารย์ท่านแรกของสมเด็จโต
เลยทีเดียว หลวงปู่แสง มีคาถาอยู่บทหนึ่งบอกว่า ใครเป็นมะเร็งท่องบ่น จะไม่ลุกลามต่อไป
และอาจจะหายได้ ผมเคยเล่าให้หมอ นายพลหมอ บอกว่าเป็นไปได้เพราะหากท่องคาถาด้วยความเชื่อมั่น
จิตสงบ มะเร็งมันไม่มีเชื้อโรคติดต่อใคร มันจะหยุดการเติบโต แต่ยิ่งกลัวมันมาก
ไปกินอาหารที่มันชอบ มันจะลุกลามอย่างรวดเร็ว คาถาบทนี้ของหลวงปู่แสงคือ "ระโช
หะระนัง ระชัง หะระติ" สั้นแค่นี้ผมท่องทุกครั้งที่ผ่านหน้าวัดมณี ฯ ผ่านหน้าศาลหลวงปู่แสง
และก็ขอบารมีหลวงปู่แสง อย่าให้ผมเป็นโรคร้ายนี้เลย พอมาคราวนี้รู้ตัวว่า
จะต้องไปตรวจมะเร็ง ตรวจเพราะมีอาการแล้ว ไม่ใช่อยากไปตรวจ ผมก็ท่องคาถาหลวงปู่แสง
เรียกว่าท่องกันทั้งวัน ว่างเมื่อไร นึกถึงเมื่อไร เป็นท่องเมื่อนั้น ทำติดต่อตลอด
๑๕ วัน ก่อนวันไปส่องกล้อง เมื่อทำจิตให้สงบแล้ว ท่องคาถาก็ทำให้เกิดความสงบขึ้นในใจเรียกว่า
"กูไม่กลัวมึง" นายพลหมอ เคยบอกว่าพี่ไม่ต้องท่องคาถาหลวงปู่แสงก็ได้ แต่ท่องว่า
"กูไม่กลัวมึง" อ้ายมะเร็งร้ายก็จะหยุดเติบโต เช่นกัน เพราะไม่กลัว จิตสงบ
อ่างทอง สิงห์บุรี ผมมีธุรกิจที่ต้องไปเกือบทุกสัปดาห์ อาศัยแต่เงินบำนาญนั้นไม่พอกิน
เมื่อตอนปลดเกษียณอายุราชการ ทองคำบาทละสี่พันบาท ทุกวันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละยี่สิบบาทขึ้นไป
ทองคำหนักบาทละหมื่นบาทเศษ แต่บำนาญขึ้นมา ๕ % ประมาณ ๒,๐๐๐ บาท ต้องอยู่อย่างอดทน
ค่าเรื่องที่เขียนก็พอใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พัก ผมไปอ่างทอง
ลพบุรี ก็มักจะไปซื้อยา จากร้านตลาดล่าง อ.เมืองลพบุรี ชื่อร้านลพบุรีเภสัช
พอผมเล่าให้ฟังว่า ผมจะไปตรวจมะเร็งในลำไส้ คุณลพบุรีเภสัชก็แนะนำว่า ลองไปคุยกับคุณ
"ฉ่าง" ลูกค้าประจำของเขา ดูบ้างไหม เขามีสมุนไพรดี และเขาเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ขั้นสุดท้าย
ชนิดหมอสั่งเมียให้เตรียมใจว่า ไม่เกิน ๓ เดือน แต่เขารักษาด้วยสมุนไพร นี่เกินปีแล้วไม่ตาย
กลับอ้วนท้วนแข็งแรงดี ผมก็ไปหาคุณฉ่าง
คุณฉ่างก็เล่าให้ฟังว่า เขาไปตรวจช้าไป มะเร็งในลำไส้ใหญ่ลุกลามไปมากแล้ว
และเป็นในลำไส้ใกล้ทวารหนักด้วย ทำให้ตัดไส้ทิ้งไม่ได้ และต้องเจาะช่องท้องต่อท่ออุจจาระ
ออกทางช่องท้องที่เจาะ ออกมาแล้วก็จะอยู่ในถุง เมื่อรักษาหมอโรงพยาบาลก็ให้สารเคมี
ฉายแสง แต่ไม่ร่วงเพราะไปได้ยาดี และมีผู้แนะนำให้กินสมุนไพรจากเวียดนาม คุณฉ่าง
ก็ไปดูถึงเวียดนามว่าเขารักษากันอย่างไร แล้วนำต้นฮว่านง็อกมาด้วย คงจะซื้อมาหลายต้น
และกลับมากว้านซื้อในเมืองไทยอีกอย่างคือ ว่านขันหมากเศรษฐี รักษาด้วยการกินใบฮว่านง็อก
สด ๆ มื้อละ ๗ ใบ ก่อนอาหาร และซื้อต้นฮว่านง็อกตากแห้ง เอามาต้มทั้งราก ทั้งโคนและใบ
เอาต้นขันหมากเศรษฐีทั้งต้น และใบมาต้มกินต่างน้ำ ใบฮว่านง็อก รักษามะเร็งในลำไส้
ส่วนขันหมากเศรษฐีจะรักษามะเร็งในต่อมน้ำเหลือง บอกว่าหากมันลามเข้าต่อมน้ำเหลืองแล้ว
จะแพร่ไปทั่วร่างกายได้ ผมฟังคุณฉ่างอธิบายแล้ว ต้องกินมื้อละ ๗ ใบ วันละ
๒๑ ใบ ส่วนน้ำขันหมากเศรษฐีต้มนั้นถุงละ ๗๕๐ ซีซี กินวันละถุง
ผมกินได้ ๑๕ วัน ก็ไปตรวจส่องกล้อง ที่ต้องถ่ายกระเพาะอาหาร ลำไส้หนักยิ่งกว่าคราวเอกซ์เรย์
จับนอนตะแคง ฉีดยาให้หลับ แต่ประสาทผมคงจะแข็งเลยไม่หลับ นอนดูจอทีวีเฉยเลย
ถึงเวลาคุณหมอหลายคนก็จัดการนำกล้องที่ติดไฟฉาย สอดเข้าไปทางทวารหนัก เข้าไปในลำไส้ใหญ่
เข้าไปลึกมากจึงพบเนื้องอกมีสีแดง เหมือนแผลกำลังจะหาย คุณหมอก็พูดกันเองว่า
ทำไมสีแดง ต้องตัด โดยไม่ทราบว่าผมมองดูอยู่ตลอดเวลา มีคีมยื่นผ่านไฟออกมา
ตัดฉับเข้าให้ เป็นอันเสร็จวิธีการส่องกล้อง หมอถามว่าจะส่องกล้องกระเพาะอีกไหวไหม
ผมก็รับว่าไหว คราวนี้เอายางมาครอบปากกันไม่ให้กัดกล้อง สอดกล้องและไฟเข้าไปในปาก
ลงไปส่องดูในกระเพาะและลำไส้เล็ก สักพักก็บอกว่าไม่มีอะไร เรียบร้อย อีก ๑๕
วัน ให้ผมมาฟังผลการตรวจเนื้อที่ตัดออกไป ว่าเนื้องอกหรือเนื้อร้าย หากเนื้อมะเร็งก็ต้องรักษากัน
แต่บอกว่าผมเป็นส่วนลึกของลำไส้ ตัดต่อได้
ผมกลับมาหาคุณฉ่างอีก ขอซื้อใบฮว่านง็อก และน้ำยาขันหมากเศรษฐีมาอีก และขอต้นขันหมากเศรษฐีมาได้
๑ ต้น ฮว่านง็อก ๑ ต้น แล้วไปหาซื้อแถวจตุจักร ซื้อได้แต่ขันหมากเศรษฐีมาต้นเดียว
บอกว่ามีคนมากว้านซื้อกันไปหมด ฮว่านง็อกหาซื้อไม่ได้เลย พรรคพวกไปหามาได้จากบางขุนนนท์
ต้นนิดเดียวมีไม่ถึง ๑๐ ใบ ราคาต้นละ ๑๕๐ บาท ต่อมาผมไปหาซื้อได้จากสวนศรัณพันธุ์ไม้
ที่โคกกระเทียมลพบุรี ราคาต้นละ ๑๐๐ บาท แต่เขามีไม่มาก บอกว่าปลูกงายเพียงแต่แยกกิ่งชำเท่านั้น
เลยขายกันแพงเพราะหายาก ปลูกง่าย
ต้นฮว่านง็อก ผมถ่ายต้นที่ผมขอพันธุ์จากคุณฉ่างมาปลูกไว้ แต่กินลดลงเหลือมื้อละ
๕ ใบ วันละ ๒ มื้อ เพราะตรวจ C E A ครั้งสุดท้ายลดลงมาเหลือไม่ถึงสิบแล้ว ผลการตรวจเนื้อที่ตัดออกมา ไม่ใช่เนื้อร้าย
เป็นเนื้องอกธรรมดา และระบบขับถ่ายเกือบปกติ แต่เห็นว่าดี รักษาท้องก็เลยกินต่อไป
ไม่มีรส จืด ๆ กินเหมือนกินผัก กินคู่กับใบสมุนไพรจีนที่ลดน้ำตาล รักษาเบาหวานคือ
"แปะ ตำ ปึง" กินตอนเช้ามื้อละ ๕ ใบ แปะตำปึง หาซื้อง่าย ที่สวนศรัณ ก็น่าจะมี
ราคาไม่แพง เหมือนฮว่านง็อก
ร้านอาหารวันนี้เลยพาไปชิม ร้านที่ต้องยกให้เป็นช้างเผือกในป่าเลยทีเดียว
เพราะอยู่ถึงอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เส้นทางไปตามเส้นทางถนนพหลโยธิน
ผ่านสระบุรี พระพุทธบาท เลยไปอีก ๑๘ กม. ก็จะถึงวงเวียนที่มีราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์
ประทับยืนอยู่กลางวงเวียน หากตรงไปก็จะไปผ่านวงเวียนสระแก้ว ศาลพระกาฬ เข้าสู่ตัวเมือง
หากอ้อมวงเวียนสมเด็จพระนารายณ์ หรือชื่อจริงคือ วงเวียนเทพกษัตริย์ ส่วนวงเวียนสระแก้ว ชื่อวงเวียนสุริโยทัย อ้อมวงเวียนเลี้ยวขวาตามป้ายไปโคกสำโรง ผ่านสี่แยกโรงพยาบาลอนันต์
ตรงต่อไปผ่านหน่วยทหารไปตลอด
จนถึงเสาธงประตูเข้าบ้านทหารปืนใหญ่ เลี้ยวซ้ายตามโค้งถนนไปอีก
๓ กม. จะถึงหลัก กม. "๑๖๕" หลัก กม.๑๖๕ ตั้งอยู่หน้าสวนศรัณพันธุ์ไม้ สวนอยู่ทางขวามือ
ต้นฮว่านง็อก
หากปลูกลงดินจะสูงประมาณ ๑ เมตร ไม่ใช่ไม้ล้มลุกปลูกกินใบได้นาน ใบอ่อนสีเขียวอ่อน
ใช้กินได้ตั้งแต่ใบอ่อน ใบแก่จะมีสีเข้ม กรอบเป็นผักอย่างดี ขยายพันธุ์ด้วยการฉำกิ่ง
เลยสวนไปหน่อย กม.๑๖๕.๕๐๐ จะมีทางแยกขวาไปยัง พระอารามหลวง วัดสิริจันทน์นิมิตวรวิหาร
ที่มีพระงาม องค์ใหญ่อยู่บนเขา
มองเห็นองค์สีขาวได้แต่ไกล เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป
เลยทางแยกเข้าวัดพระงาม
มาก็จะมาพบทางแยกขวาไปยังโคกสำโรง พอถึง กม.๑๗๙.๕๐๐ ก็จะมีทางแยกขวาไปยังวัดเขาวงพระจันทร์
ที่มีเทศกาลขึ้นเขาในตอนตรุษจีน และเป็นวัดที่ยังมีพระเกจิอาจารย์คือ หลวงพ่อฟัก
ซึ่งท่านสร้างพิพิธภัณฑ์เอาไว้อย่างดียิ่ง มีพระบรมธาตุในพิพิธภัณฑ์ด้วย วัดอยู่ห่างจากถนนใหญ่ไปประมาณ
๕ กม. หลวงพ่อฟักไม่เคยนอน ท่านนั่งหลับ
...........................................
| บน | |