| หน้าต่อไป | |
ผมเชื่อว่าน้อยท่านที่จะเคยเข้าไปเที่ยวชมภายในพระราชวังพญาไท พอดีพอร้ายพาลไม่รู้จักด้วยซ้ำไปแต่หากบอกว่าโรงพยาบาลพระมงกุฎ บอกอย่างนี้คนรู้จักแยะ เพราะทุกวันนี้โรงพยาบาลพระมงกุฎของทหารบกแห่งนี้รับคนไข้มากมายและคนไข้ ๗๔% ล้วนแต่เป็นประชาชนพลเรือน มีทหารเพียง ๒๖ % โดยประมาณเท่านั้น
พระราชวังพญาไท เมื่อได้ให้ทหารเข้ามาใช้พื้นที่แล้ว ก็เป็นหน่วยกรมแพทย์ทหารบกซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาลพระมงกุฎตราบจนกระทั่งกรมแพทย์ทหารบกได้ย้ายออกไปอยู่ ณ สถานที่ตั้งในปัจจุบัน ทางกองทัพบกจึงได้ขออนุมัติจากกรมศิลปากร(เพราะประกาศเป็นโบราณสถานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๒) เพื่อบูรณะให้คงสภาพเดิมให้มากที่สุดบัดนี้การปรับปรุงบูรณะต่าง ๆ เรียกได้ว่าเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว และคงความเป็นพระราชวังไว้มิได้นำมาเป็นสถานที่ราชการเช่นแต่ก่อนอีก และได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในวันราชการซึ่งผมจะลองพยายามเสนอแนะทางกองทัพบกว่า ให้เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมในวัดหยุดราชการได้หรือไม่ จากเข้าชมฟรีเป็นเก็บค่าเข้าชมสังคนละ ๒๐ บาท แล้วนำเงินจำนวนนี้มาเป็นเบี้ยเลี้ยงแก่เจ้าหน้าที่และวิทยากรซึ่งปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ มีวิทยากรที่เป็นทหารทั้งสิ้น จึงทำงานกับแต่วันราชการและการเป็นวิทยากรของแต่ละท่านก็แบบสมัครเล่น ไม่มีอัตราให้บรรจุแต่ประการใด
การได้เข้าชมพระราชวังพญาไทนั้นจะคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะผมเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าชมอย่างใกล้ชิดมาก่อนเลยทั้งๆ ที่ตอนรับราชการก็เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เคยเป็นผู้แทนของกองทัพบกในการไปบำรุงขวัญทหารป่วยซึ่งมีการจัดเลี้ยงอาหารและการแสดงดนตรีหรือการบันเทิงต่าง ๆ เป็นประจำทุกเดือนแต่ทุกครั้งที่ไปก็ได้แต่อยู่บริเวณจัดเลี้ยงคือบริเวณสวนโรมัน ไม่เคยมีโอกาสไปเดินชมภายในพระราชวังและเมื่อก่อนนี้ก็เป็นสถานที่ปฏิบัติราชการของกรมแพทย์ทหารบกด้วย ไปเดินชมก็ไม่สะดวกและหาความงดงามไม่ได้อย่างเต็มที่ภายในอดีตไม่ปรากฏให้เห็น แต่คราวนี้ผมมีโอกาสได้ไปชมภายในพระราชวัง เพราะทางกรมการแพทย์ทหารบกเชิญประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะไปเยี่ยมกรมแพทย์ทหารบก ผมอยู่ในคณะที่ปรึกษาจึงได้มีโอกาสร่วมขบวนไปด้วยและเมื่อจบภารกิจทางทหารแล้วทางกรมแพทย์ ฯ ก็แบ่งกลุ่มให้หมุนเวียนกันเข้าชมภายในพระราชวังโดยละเอียดโดยมีวิทยากรเป็น พันเอกหญิง นำกลุ่มผมชมพระราชวัง เมื่อชมแล้วก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะงดงามมากเช่นนี้และจุดที่สำคัญที่สุดของผมซึ่งคิดว่าเป็นคนเขียนหนังสือคนหนึ่ง ได้มีโอกาสไปเห็นห้องทรงพระอักษรของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวณ มุขของพระที่นั่งพิมานจักรี ซึ่งจากห้องนี้ได้ทรงนิพนธ์วรรณคดีและทรงงานเขียนออกไปสู่บรรณกรรมอย่างมากมายแต่น่าเสียดายที่กองทัพบกคงจะไม่มีงบประมาณ จึงมีหนังสือที่นิพนธ์โดยพระองค์ท่านน้อยเกินไปผมเลยถือโอกาสเสียเลยว่าหากท่านผู้ใดมีหนังสือพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่๖ จำนวนมากแล้วหรือไปซื้อหาได้จากศึกษาภัณฑ์จะเป็นที่ราชดำเนิน หรือลาดพร้าวก็พอมีเป็นหนังสือเก่าราคาถูกเพราะขายไม่ดี และพิมพ์ไว้นานแล้ว ช่วยกันซื้อไปบริจาคให้หนังสือเต็มห้องทรงพระอักษรแห่งนี้ได้ก็จะดียิ่ง
ส่วนจะไปชมได้อย่างไร ติดต่อใครที่ไหนเดี๋ยวผมจะบอกไว้ในตอนท้าย
ทีนี่มาดูความเป็นมาของพระราชวังพญาไท ซึ่งมักจะเข้าใจกันว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นความจริงแล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๔๕๒ หลังการก่อสร้างเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ได้มีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลคฤหมงคล(ขึ้นบ้านใหม่) ในวันที่ ๑๔ - ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๕๓ และหลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จมาประทับที่พระราชวังพญาไท หรือนามพระราชทานว่า "พระตำหนักพญาไทย"บ่อยครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เสด็จประพาสตรงกับวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๕๓ ก่อนเสด็จสวรรคตเพียง๑ สัปดาห์เท่านั้น
วังพญาไท ตั้งอยู่ริมคลองสามเสนต่อกับทุ่งพญาไทเมื่อแรกสร้างวังนี้ที่ดินบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิทั้งหมดรวมทั้งส่วนที่เป็นโรงพยาบาลพระมงกุฎ มหาวิทยาลัยแพทย์ทหาร ฯ "เป็นท้องทุ่ง"และสวนมีคลองสามเสนไหลผ่าน ที่ว่างบริเวณนี้มีอาณาเขตติดต่อกับทุ่งพญาไท ในสมัยรัชกาลที่๕ มีการสร้างพระราชวังดุสิตและจัดถนนเพิ่มอีกหลายสาย สายหนึ่งที่ตัดเข้ามายังบริเวณสวนนี้คือถนนซังฮี้ หรือถนนราชวิถี ("ซังฮี"เป็นคำมงคลของจีน มีความหมายว่า "ยินดีอย่างยิ่ง") รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดให้ซื้อที่ดินที่เป็นสวนผักตอนหนึ่งที่เป็นทุ่งนาอีกตอนหนึ่งเป็นพื้นที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่เศษ แล้วโปรดให้สร้างพระตำหนักเพื่อเสด็จประพาสทรงพระราชทานนามว่า "พระตำหนักพญาไท" แต่ชาวบ้านเรียกขานกันต่อมาว่า "วังพญาไท"
ที่ตำหนักพญาไท รัชกาลที่ ๕ โปรดใช้เป็นที่ทดลองปลูกธัญพืชต่าง ๆ มีการประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นที่วังนี้เมื่อถึงฤดูทำนา สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงนำเจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จลงดำนาด้วยพระองค์เอง เพื่อเป็นการประเดิมชัยในการเกษตรกรรมของประเทศในแต่ละปีล้อมรอบพระราชวังคือทุ่งนา หากยืนที่พระที่นั่งพิมานจักรีมองออกไปทางด้านนาจะเห็นภาพงามตามธรรมชาติคือทุ่งนาผมเกิดไม่ทันเห็นภาพนี้ทั้งหมดแต่ยังทันเห็นในวัยเด็ก ว่าแถวทางด้านตะวันออกของสถานีรถไฟสามเสนยังเป็นสวนฝรั่งอยู่
โรงเรือนหลังแรกที่รัชกาลที่ ๕ โปรดให้สร้างขึ้นคือ "โรงนา" และพระราชทานนามว่า"โรงนาหลวงคลองพญาไท"
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตแล้วเป็นผลให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีทรงพระประชวร พระอนามัยทรุดโทรมลง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้กราบบังคมทูลให้แปรพระราชฐาน จากในพระบรมมหาราชวังมาประทับที่วังพญาไทเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมให้ทรงสำราญและเพื่อความสะดวกของแพทย์ ที่จะถวายการรักษาตลอดจนพระประยูรญาติจะได้เข้าเยี่ยมได้โดยง่าย
เมื่อเสด็จมาประทับนั้นปรากฎว่ามีผู้ติดตามมาอยู่ในพระราชสำนักของสมเด็จพระพันปีหลวงวังพญาไทเป็นจำนวนร่วม ๕๐๐ คน มีทั้งพระประยูรญาติที่ใกล้ชิด ข้าหลวง โขลน จ่า ข้าราชบริพารน้อยใหญ่ซึ่งทุกคนจะได้รับเบี้ยหวัดเงินเดือน เงินปี ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ตลอดจนเครื่องนุ่งห่มอย่างอุดมสมบูรณ์ตามสมควรแก่ฐานะโดยทั่วถึง
พ.ศ.๒๔๖๒ หลังจากที่สมเด็จ ฯ ประทับอยู่เป็นเวลาร่วม ๑๐ ปี ก็สวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระราชดำริที่จะสร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นใหม่ เพื่อเป็นที่ประทับในวังพญาไทและได้โปรดเกล้าให้ยกวังพญาไทเป็นพระราชวังพญาไทเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบรมชนกนาถและพระบรมราชชนนี
เมื่อทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นใหม่เพื่อเป็นที่ประทับจึงโปรดให้รื้อย้ายพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถไปปลูกสร้างเป็นหอเรียนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงท้องพระโรงหน้า ซึ่งโปรดให้สร้างถวายสมเด็จพระบรมราชชนนีในตอนต้นรัชกาลเพียงองค์เดียวและระหว่างที่กำลังก่อสร้างพระราชมณเฑียรสถานอยู่นั้น ได้สร้างพระตำหนักอุดมวนาภรณ์หรือที่ได้พระราชทานนามใหม่ในภายหลังว่า พระตำหนักเมขลารูจีเป็นที่ประทับ ซึ่งต่อมาเมื่อพระตำหนักต่าง ๆ สมบูรณ์แล้ว ตำหนักน้อยเมขลารูจีที่อยู่ริมคลองสามเสนนี้ก็เป็นที่ทรงเครื่องใหญ่(ตัดผม)
----------------------------------
| หน้าต่อไป | บน | |