| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
วัดเจดีย์ซาว อยู่ที่ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ไปวัดเจดีย์ซาวซึ่งเป็นวัดสำคัญของลำปาง
และมีองค์พระธาตุเจดีย์ซาว (ซาว แปลว่า ๒๐) เป็นศิลปล้านนาผสมศิลปพม่า จะไปวัดเจดีย์ซาวก็ต้องเดินทางไปยัง
จังหวัดลำปางเสียก่อน ซึ่งจังหวัดลำปางนี้มีแหล่งท่องเที่ยว แหล่งซื้อของมากมาย
เช่น ผ้าทอพื้นเมือง หมู่บ้านแกะสลัก กระดาษสาและผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญยิ่งในสายตาของผมคือ
พวกเซรามิคทั้งหลายที่งดงาม และราคาถูกยิ่งกว่าซื้อ ณ เมืองใด ผมจะเล่าถึงแหล่งจับจ่ายใช้สตางค์ทีหลัง
ประวัติย่อของเมืองลำปางมีอยู่ว่า เจ้าอนันยศ
โอรสของพระนางจามเทวี
(ผู้ครองนคร หริภุญชัย) เป็นผู้สร้างนครลำปางโดยมีพระฤษีสุเทวะ
เป็นผู้ชี้ชัยภูมิสำหรับสร้าง ซึ่งได้แก่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำวังกะนที เจ้าอนันยศได้ขนานนามเมืองที่สร้างนี้ว่า
เขลางค์นคร และลำปางต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของเมืองอื่น
หลายยุคหลายสมัย
พ.ศ. ๑๖๐๐ - ๑๘๐๐ ลำปางตกอยู่ใต้อิทธิพลของมอญและขอม
ต่อมาประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ ก็ตกอยู่ในอำนาจของพ่อขุนเม็งราย กษัตริย์ล้านนา
(เชียงราย) ที่มาตีได้หริภุญชัยแล้วสร้างเวียงกุมภกาม สร้างนครเชียงใหม่ ได้ลำปางไว้ในอำนาจด้วย
ในสมัยอยุธยาไทย กับพม่า ผลัดเปลี่ยนกันมีอำนาจเหนือลำปาง
สมัยกรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงขับไล่อำนาจพม่าออกไปได้โดยเด็ดขาด และทรงแต่งตั้งให้เจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองลำปาง
สมัยรัตนโกสินทร์
เจ้ากาวิละ ไปครองเมืองเชียงใหม่
เชื้อสายของเจ้ากาวิละยังคงครองเมืองลำปาง ต่อมาจนกระทั่งยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมือง
ลำปางมีชื่อหลายชื่อ แต่ที่ปรากฏอยู่ในตำนานพระธาตุลำปางหลวงคือ เมืองกุกุตตนคร
ซึ่งแปลว่าเมืองไก่ หรือบางทีเรียกว่า เมือง กุกกุฏนคร อันมีความหมายว่า เมืองไก่ขาว
ตราประจำจังหวัดในปัจจุบันจึงเป็นรูป ไก่อยู่ในมณฑป ชื่ออื่น ๆ เช่น เมืองศรีดอนชัย
เมืองสัมภะกัมปะนคร ในตำนานชินกาลมาลินีเรียกว่า เขลางค์นคร และ ลัวะดอนลำปาง
และเพี้ยนมาเป็นนครลำปางในชื่อปัจจุบันนั่นเอง
สภาพทางภูมิศาสตร์ ลำปาง ลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกะทะ เป็นดินแดนที่มีภูเขาไฟ
และดับหมดแล้ว หินภูเขาไฟหรือหินอัคนี ปรากฏอยู่ตามรอยแยกของแผ่นดินที่เคยเป็นปากปล่องภูเขาไฟ
ที่มีอำเภอสบปราบ อำเภอเกาะคา เรียกว่าสบปราบบะชอลต์ ส่วนหินอีกกลุ่มหนึ่ง
เรียกว่าแม่ทะบะชอลต์ อยู่ในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอแม่ทะ ทั้งสองกลุ่มเป็นหินภูเขาไฟที่มีอายุ
ประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว บริเวณปากปล่องของภูเขาไฟที่ดับมานานแล้วเช่นนี้
จึงมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาแน่น มองไม่เห็นปากปล่องเด่นชัดเหมือนภูเขาไฟที่เมืองโอ๊คแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ที่ผมเคยพาไปเที่ยวมาแล้ว นั่นมองเห็นชัดเจน เป็นเหมือนสนามหญ้าขึ้นอยู่อย่างเรียบร้อยทีเดียว
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นที่ปีน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพ ฯ และอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่
๒ ในปีนี้เป็นปีน้ำท่วมกรุงเทพ ฯ ครั้งใหญ่ เรียกว่าในชีวิตของผมยังไม่เคยเจอน้ำท่วมกรุงเทพ
ฯ มากเช่นปี ๒๔๘๕ อีกเลย ท่วมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่ชาวกรุงรุ่นหลังผม ว่ามากนั้นเทียบไม่ได้กับปี
พ.ศ. ๒๔๘๕ ซึ่งน้ำท่วมขังอยู่นานเป็นเดือน ขนาดต้องใช้เรือสัญจรกันทั่วกรุง
ฯ หมดสิทธิ์การใช้รถยนต์ทุกประเภท สมัยนั้นยังไม่มีสิบล้อเลย ไม่ทราบว่าหากมีสิบล้อ
จะวิ่งได้หรือเปล่า แต่จำได้แต่ว่า ไปไหนต้องไปเรือ และส่วนมากจะเดินลุยน้ำก็ไม่ไหวเพราะน้ำท่วม
ใครว่ายน้ำไม่เป็นก็หัดว่ายกันตอนนั้นนั่นเอง ส่วนบิดาของผมไปราชการสนามคือ
ไปกับหน่วยที่ออกปฏิบัติการชายแดนภาคเหนือ แต่เนื่องจากเป็นทหารอากาศจึงไม่ต้องไปตั้งหน่วย
อยู่ที่ชายแดนเหมือนทหารบก บิดาของผมจึงไปประจำอยู่กับฝูงบินขับไล่ ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณ
สนามบินลำปางเดี๋ยวนี้ ส่วนอีกฝูงหนึ่งเป็นฝูงบินทิ้งระเบิด ท่านผู้บังคับฝูงยังมีชีวิตอยู่คือ
ท่านพลอากาศเอก หะริน หงสกุล (ผมเรียกท่านว่า คุณอาตามแบบทหารที่นับญาติกันหมด)
ส่วนบิดาของผมเป็นผู้บังคับหมวดช่างอากาศ เรียกว่ามือแก้เครื่องบิน แบบ เบอร์เก้,
คอรแซร์, ฮอลค์ ชื่อทำนองนี้ ผมกำลังอยู่ในวัยที่เรียกว่านมพึ่งจะแตกพาน ต่อมาในปี
พ.ศ. ๒๔๘๖ การรบไม่ได้หนักหนาอะไรที่เมืองไทย โดยเฉพาะที่ลำปาง ทางทหารจึงอนุญาติให้นำครอบครัวขึ้นไปอยู่ด้วยกันได้
แต่ต้องเช่าบ้านอยู่เองสมัยนั้นไม่มีการเบิกค่าเช่าบ้าน แต่ก็พอทราบว่าค่าเช่าบ้านสมัยนั้นเดือนละไม่กี่บาท
ชีวิตของผมจึงสัมผัสเมืองลำปางตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ และได้เข้าโรงเรียนที่โรงเรียนบุญวาทวิทยาลัย
๑ ปีในชั้นมัธยม ๓ (ปัจจุบันคงเป็นชั้น ม.๑) ซึ่งต้องเดินไปโรงเรียนระยะทางวันละหลายกิโลเมตร
ถือโอกาสเล่าชีวิตตอนหนึ่งให้ฟังเสียเลย
กลับมาอีกทีก็หลังจากนั้นอีก ๒๒ ปี มาดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ที่
๗ ซึ่งหน่วยตั้งอยู่ที่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่รับผิดชอบของปืนใหญ่กองพันของผม
รวมถึงพื้นที่ในเขตจังหวัดลำปางด้วย จึงมีโอกาสมาลำปาง หรือผ่านลำปางไปยังเชียงราย
พื้นที่ชายแดน ถนนสายเชียงใหม่ ผ่านเวียงป่าเป้าไปเชียงรายยังไม่มีถนนสาย
ลำปาง เชียงใหม่ เพิ่งเริ่มจะกรุยทางก่อสร้างกัน การไปเชียงใหม่สมัยนั้น จึงต้องเลี้ยวซ้ายที่อำเภอเถิน
อ้อมไปทางอำเภอบ้านโฮ่ง, ลี้,ป่าซาง ลำพูน เชียงใหม่
กลับมาเที่ยวลำปางกันใหม่ การเดินทางไปลำปางระยะทางถนนประมาณ ๖๐๐ กิโลเมตร
ไปได้สะดวก ๒ เส้นทาง เส้นทางหลัก ไม่มีภูเขาให้ไต่ อย่างดีแค่ขึ้นเนินคือถนนสายพหลโยธิน
และสายเอเซีย กรุงเทพ ฯ ประตูน้ำพระอินทร์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเอเซีย ที่กิโลเมตร
๕๔ ไปผ่านสิงห์บุรี ชัยนาท ทับกับสายพหลโยธินใหม่ไปนครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก
ลำปาง ส่วนอีกสายหนึ่งไปได้ช้ากว่า แต่เส้นทางสวยหลายตอน ลัดเลาะไปตามไหล่เขา
และแม่น้ำหลายแห่ง คือจากนครสวรรค์แยกขวาไปพิษณุโลกอีก ๑๒๙ กิโลเมตร (ตอนนี้เส้นทางกำลังขยายเป็นสี่เลน)
จากพิษณุโลก เลี้ยวขวาไปทางหล่มสัก แล้วเลี้ยวเข้าถนนไปอุตรดิตถ์ไปผ่านเด่นชัย
แยกซ้ายไปผ่านวัดพระธาตุสุทนคีรี แล้วแยกขวาไปลำปาง ผ่านไปทางอำเภอแม่ทะ จะถึงลำปางเข้าทางเหนือ
ส่วนเส้นแรกเข้าทางใต้ของลำปาง ทางเครื่องบินก็มี ทางรถไฟก็ได้ หรือใครจะอุตริไปทางเรือ
ก็คงไปถึงในเวลาไม่เกินเดือนกระมัง
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองลำปางนั้นมีมาก มีแทบทุกอำเภอ เอากันแค่ในอำเภอเมืองก็แล้วกัน
เพราะจุดหลักที่เป็นเป้าหมายของผมอยู่ที่วัดเจดีย์ซาว
วัดสำคัญของลำปางคือ วัดพระธาตุลำปางหลวง
อยู่ในเขตอำเภอเกาะคา
นอกจากวัดสำคัญนี้แล้ว ยังมีอีกหลายวัดที่มีความสำคัญ เก่าแก่ งดงาม เช่น
วัดศรีขุม วัดศรีรองเมือง วัดพระแก้วดอนเต้า วัดป่าผาง วัดพระธาตุม่อนพญาแช่
วัดพระธาตุเสด็จ วัดเสลารัตนบัพพดาราม หรือวัดไหล่หินแก้ว วัดนี้อยู่ในอำเภอเกาะคา
ไม่ไกลจากตัวเมืองมาจากกรุงเทพ ฯ จะผ่านก่อน มีวิหารเก่าแก่นี้มีข่าวเชียงตุง
วัดปงยางตก อยู่ในเขตอำเภอเกาะคาเช่นกัน มีวิหารเจ้าแม่จามเทวี และวัด อักโขชัยศิริ
ในอำเภอแจ้ห่ม
ก่อนถึงอำเภอเกาะคา หรือจะไปจากเกาะคาก็ได้ ห่างจากเกาะคา ๑๔ กิโลเมตร คือ
วัดพระธาตุจอมปิง
อีกวัดคือ วัดอักโขชัยศิริ
และวัดพระธาตุลำปางหลวง ทั้ง ๓ วัดนี้ปรากฏการณ์ประหลาดคือ เงาของพระเจดีย์ที่ผ่านรูหน้าต่างโบสถ์
ซึ่งเป็นรูเล็กเปรียบเหมือนเลนซ์ของกล้องถ่ายรูป ลำแสงที่ผ่านรูนี้เข้ามาเมื่อตกต้องพื้นโบสถ์
หรือจะเอาฉากรับก็ได้ จะปรากฏเป็นภาพสีของพระเจดีย์ที่พื้นโบสถ์ หรือที่ฉากมารับแสง
ตราบเท่าที่มีแสงสว่างเงานี้จะปรากฏอยู่ที่จุดเดิมตลอดทั้งวันไม่เคลื่อนย้ายไปไหน
ไม่ว่าดวงอาทิตย์จะหักเหไปทางทิศใด หากไปที่อำเภอเกาะคา พอข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไปแล้ว
หากเลี้ยวซ้ายไป ๑๔ กม.จะไปยังวัดพระธาตุจอมปิง หากเลี้ยวขวามาสัก ๕ กิโลเมตร
จะมาวัดพระธาตุลำปางหลวง และหากไปเชียงใหม่ก็วิ่งผ่านหน้าวัดไปออกอำเภอห้างฉัตรได้เลย
จะร่นระยะทางไปประมาณร่วม ๒๐ กิโลเมตร
...............................
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |