ทุ่งทานตะวัน

           ทุ่งทานตะวันพึ่งมาดังเมื่อสักสิบปีมานี้เอง พื้นที่ที่เป็นทุ่งทานตะวันในเวลานี้  เดิมเป็นไร่ข้าวโพดเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาข้าวโพดได้ผลผลิตไม่ดี เพราะสภาพพื้นที่แห้งแล้ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ลพบุรี ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ จึงร่วมกับบริษัทแปซิฟิคนำเมล็ดพันธุ์ทานตะวัน ซึ่งเป็นพืชทนแล้งมาแจกให้ปลูกกันแทนข้าวโพด ปรากฎว่างอกงามดีและให้ผลผลิต เร็วปริมาณสูง มีตลาดรับซื้อไม่อั้น และใช้เวลาในการปลูกนับตั้งแต่หยอดเมล็ด จนดอกบานประมาณ ๖๕ วันเท่านั้นเอง จึงเป็นที่นิยมของเกษตรกรนำมาปลูกกัน พื้นที่ที่ปลูกดอกทานตะวันมาก เดิมมีมากในพื้นที่อำเภอเมืองลพบุรี ต่อมาขยายออกไปทางอำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล ส่วนทางจังหวัดสระบุรี ซึ่งได้น้ำมาช่วยในการเพาะปลูก จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ก็เริ่มขยายพื้นที่ในการปลูกทานตะวันบ้าง เมื่อดอกทานตะวันบานเต็มทุ่ง ในพื้นที่นับพันไร่ สนง.เกษตร จังหวัดลพบุรี ได้จัดการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยจัดเทศกาลท่องเที่ยวทุ่งทานตะวัน บริเวณทางเข้าวัดเวฬุวัน หรือวัดเขาจีนแล ซึ่งสองข้างทางของทางเข้าสู่วัดนี้ มีทุ่งทานตะวันนับพันไร่ และจะบานสะพรั่งพร้อมกัน ในประมาณเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงกลางเดือนธันวาคม หรือบางพื้นที่อาจจะยาวไปจนถึงเดือนมกราคม โดยเฉพาะในพื้นที่ของสระบุรี ได้กำหนดพื้นที่ให้มีการทยอยการปลูกเพื่อให้ทยอยออกดอก มีทุ่งทานตะวันให้นักท่องเที่ยวได้ชมนาน ๆ ไม่เช่นนั้นอาจจะผิดหวัง ไปเร็วไป ดอกยังไม่บาน ไปช้าไปดอกเหี่ยว หรือตัดดอกหมดแล้ว อาจจะสอบถามข้อมูลล่วงหน้า ขอคำแนะนำได้จาก สนง.เกษตรจังหวัด โทร. ๐๓๖ ๔๒๑ ๑๙๑ เดี๋ยวนี้เกษตรกรรู้จักหาประโยชน์จากทุ่งทานตะวัน ด้วยการสร้างชั้นให้สูง สำหรับให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมทุ่งทานตะวันได้เต็มตา มองเห็นได้ไกลแล้วเก็บสตางค์ค่าเข้าชมคนละ ๕ - ๑๐ บาท แถมทุ่งใหญ่ ๆ เช่นแถบทางเข้าวัดเขาจีนแล จะมีอาหาร มีสินค้ามาตั้งขายเป็นรายได้เสริมอีกด้วย และเมื่อน้ำดีขึ้น วิชาการในการทำเกษตรเจริญมากขึ้น ชาวไร่จะปลูกข้าวโพดก่อน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ ๓ เดือน พอเก็บข้าวโพดแล้ว ก็พรวนดินลงทานตะวันต่อใช้เวลาอีก ๖๕ วัน ก็เริ่มออกดอกให้ชมแล้ว หมดฤดูเก็บดอกทานตะวัน ไม่แน่ว่าจะปลูกข้าวโพดรอบสองหรือไม่ เพราะเป็นพืชระยะสั้น
            เวลาที่เหมาะสมสำหรับชมทุ่งทานตะวันคือ เวลาเช้าตรู่ไปจนถึงเวลาสิบโมงเช้า เพราะแสงอาทิตย์ยังไม่ร้อนจ้า แดดยังไม่ร้อนจัด ยิ่งหากเป็นฤดูหนาว ลพบุรีมีลมหนาวพัดแรงเย็นทีเดียว เอาเสื้อวอร์มติดไปด้วยก็แล้วกัน "หนาวลม" ยามเช้าดอกทานตะวันจะหันไปทางทิศตะวันออกสมชื่อ ทำให้แสงอาทิตย์ส่องตรงเข้ามายังดอก ทำให้ดอกสว่างไสว มองเห็นทุ่งทานตะวันสีเหลืองอร่ามงามนัก ส่วนในช่วงบ่ายพระอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตก แดดส่องเข้าทางด้านหลังดอก ทำให้ใจกลางดอกมืดความงดงามจะลดลง ไม่สวยเหมือนยามเช้า ดอกทานตะวันที่เกษตรกรปลูกนี้ จะไม่หันตามดวงตะวันไปทั้งวัน เหมือนดอกทานตะวันป่า ที่ดอกจะเล็กแต่จะหันรับดวงอาทิตย์
            ผมจะขอแนะนำเส้นทางไปชมทุ่งทานตะวัน เลือกเส้นทางไปชมได้เลย หากไปจากกรุงเทพ ฯ ไปตามถนนพหลโยธิน ผ่านวังน้อย หินกอง สระบุรี ผ่านอำเภอพระพุทธบาท รีบไปก่อน ตอนกลับแวะไหว้พระบาท ส่วนทุ่งทานตะวันของสระบุรีนั้น จะมีป้ายบอกไว้ข้างทาง เป็นระยะ ๆ แต่ผมไม่แน่ใจว่าทุ่งทานตะวันสระบุรี จะมีพื้นที่ใหญ่เท่าของลพบุรีหรือไม่ เมื่อผ่านพระพุทธบาทไปแล้ว ที่ กม.๑๓๖ วิ่งต่อไปประมาณ ๑๐ กม. จะถึงทางแยกเลี่ยงเมืองไปยังสิงห์บุรี อ่างทอง ให้ตรงต่อไปผ่านโรงงานมินิแบร์ไปแล้ว จะถึงสี่แยกนิคม (แต่เขาเรียกกันว่า สามแยกนิคม) ให้เลี้ยวขวาตรงสี่แยกนิคมนี้ วิ่งไปประมาณ ๘ กม. จะเห็นซุ้มประตูทางซ้าย เห็นต้นเห็ดจำลอง มีป้ายบอกปากทางว่าไปวัดเวฬุวัน หรือวัดเขาจีนแล ให้เลี้ยวซ้ายตามป้ายไปสักครึ่ง กม. ก็จะพบทุ่งทานตะวันเหลืองอร่ามเป็นทุ่งกว้าง อยู่ทางซ้ายมือไปจนถึงเชิงเขา ทางขวาก็มีเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะมีเป็นหย่อม ๆ ไม่ใช่ทุ่งกว้างเหมือนทางด้านซ้าย เป็นจุดใหญ่ จุดที่หนึ่งในการชมทุ่งทานตะวัน อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก หากกลับออกมาจากทุ่งทานตะวันวัดเวฬุวัน ออกมาถนนใหญ่แล้วเลี้ยวซ้าย (ย่านนี้มีวัดมาก และเป็นวัดที่ศรัทธานิยมมาปฎิบัติธรรมกัน เช่น วัดเขาจีนแล วัดถ้าภูตอง เป็นต้น) ไปอีกไม่กี่ กม. ก็จะถึงอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก พื้นที่รอบอ่างก็มีการปลูกทานตะวันเช่นกัน แต่ไร่มีพื้นที่ไม่มาก ไม่เป็นทุ่งใหญ่เหมือนที่ผ่านมา อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก เป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติมาก่อน มีมานานแล้ว เป็นแหล่งกำเนิดของน้ำประปาแห่งแรก เลยทีเดียวคือ ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้โปรด ฯ ให้ผู้เชี่ยวชาญการระบายน้ำชาวอิตาเลี่ยน ออกแบบวางท่อน้ำประปานำน้ำเข้าไปใช้ในพระราชวัง ตัวเมืองลพบุรี "วังนารายณ์ราชนิเวศน์" และยังมีการขุดพบท่อดินประปา เมื่อสมัยสร้างเมืองใหม่จำนวนมาก เดิมนำน้ำจากทะเลชุบศร แต่น้ำไม่สะอาดพอ และต้นน้ำอยู่ไม่สูงกว่าพระราชวัง จึงเปลี่ยนมานำน้ำจากอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก ที่แม้จะอยู่ไกลมากกว่าสิบ กม. แต่น้ำใสสะอาดและอ่างอยู่บนที่สูงกว่าตัวเมือง
            จากทางแยกเข้าสู่อ่างเก็บน้ำ หากเลี้ยวขวาไปทาง "โคกตูม" ก็จะผ่านไร่ดอกทานตะวันไปเป็นระยะ ๆ แต่มีพื้นที่ไม่มาก ไม่เป็นทุ่ง จนไปผ่านตลาดโคกตูม เลยต่อไปผ่านทางแยกไปแก่งเสือเต้น เลยต่อไปอีกจะไปบรรจบกับสี่แยกที่เรียกว่า ซอย ๑๒  ความจริงเวลานี้ไม่ได้เป็นซอยแล้วคือ ถนนทางหลวงแผ่นดินสาย ๒๑ ที่มาจากพุแค
            เส้นทางชมทุ่งทานตะวันเส้นที่สาม หากไม่ไปไกลถึงสี่แยกนิคม ซึ่งเกือบจะถึงลพบุรีอยู่แล้ว เมื่อมาถึงสระบุรีแล้ว วิ่งต่อมาจนถึง กม. ๑๒๒.๕ มีทางแยกขวาเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินสาย ๒๑ พุแค - หล่มสัก  (จ.เพชรบูรณ์ ) พอเลี้ยวขวาจะเห็นรีสอร์ททางซ้ายมือ เห็นแผงขายมะพร้าวเผาที่ไม่เหมือนใครคือ เอามะพร้าวเผาที่ปอกเปลือกแล้ว มัดรวมกันเป็นทลายแขวนเอาไว้ จะซื้อเป็นลูกก็หยิบเอาข้างล่าง ยกทลายก็ซื้อเอาที่เขาแขวนไว้ ไปตามเส้นทางนี้จนผ่านช่องเขา พอเข้าเขตพื้นที่ กม. ๑๒ - ๑๕ ก็จะมีทุ่งทานตะวันทุ่งใหญ่ ๆ พื้นที่พอ ๆ กับทุ่งที่วัดเวฬุวัน หรือจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป ยาวจากริมถนนไปจนจรดสันเขา มีชั้นให้ชมเก็บสตางค์ มีของกินมาตั้งขาย ดูกันให้อิ่มไปเลย เมื่อชมจนอิ่มตา อิ่มใจแล้ว อยากไปเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก็วิ่งต่อไปตามถนนสาย ๒๑ นี้ ไปจนถึงสี่แยกซอย ๑๒ มีไฟสัญญาณ ซึ่งมุมซ้ายบนคือ วัดพรหมรังษี ซึ่งวัดนี้สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี เคยธุดงค์มานั่งวิปัสสนากรรมฐานที่นี่ และนิมิตว่า ผีป่า ผีเขา มาขอให้ท่านสร้างวัด ท่านกลับมาไม่ทันได้สร้างก็มรณภาพเสียก่อน ต่อมาจึงมีผู้มาสร้างวัดขึ้น ตามนิมิตของสมเด็จ ฯ และให้ชื่อว่า วัดพรหมรังษี มีรูปเหมือนสมเด็จ ฯ
            เมื่อมาถึงสี่แยกซอย ๑๒ หากเลี้ยวซ้ายก็กลับไปโคกตูม ไปทุ่งทานตะวันวัดเวฬุวัน ไปลพบุรี หากเลี้ยวขวา ถ้าเลี้ยวมาประมาณ ๑๐๐ เมตร ทางขวามือ อยู่ปากซอยถมพิรา ซอย ๒ คือ ร้านอาหารที่จะชิมเที่ยงวันนี้  ผมจะพามากินสเต็ก มหาอร่อย ราคาถูก หากไม่ชิมร้านนี้เลยไปสัก ๓๐ เมตร มีร้านข้าวแกง ผมเคยชิมไว้ เมื่อเลี้ยวขวาไปประมาณ ๑๑ กม. จะถึงวัดพัฒนาธรรมาราม อยู่ทางขวามือเยื้องกับที่ตั้งของอำเภอ ที่วัดมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มีเวลาควรเข้าไปนมัสการหลวงพ่อเพชร เลยอำเภอไปแล้ว พอถึงซอย ๒๔ ทางซ้ายมือคือ ร้านขายน้ำผึ้ง ที่เลี้ยงเอง น้ำผึ้งจากดอกทานตะวัน ร้านใหญ่ คุยได้เลยว่าร้านน้ำผึ้งดังเพราะผม จากขายในบ้านกลายเป็นร้านใหญ่โต วิ่งตรงต่อไปจนถึงสามแยก เลี้ยวขวาจะไปยังมวกเหล็ก สระบุรีได้ เส้นทางสายนี้รวมทั้งถนนอีกสายหนึ่ง ที่ขนานกับเส้นนี้จะผ่านไร่ทานตะวัน เป็นระยะแต่ไม่ใหญ่เหมือนสองทุ่งที่เล่ามาแล้ว ก่อนถึงซุ้มเข้าเขื่อนประมาณ ๑๐๐ เมตร มีร้านอาหารอร่อย ราคาย่อมเยา อยู่ทางซ้ายมืออยู่ร้านหนึ่ง อาหารปลาอร่อยและราคาถูก ร้านอื่นที่คนมายืนโบกมือ ร้านนี้ไม่ต้องโบกคนแน่นเอง
            เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ คือ โครงการตามพระราชดำริ ช่วยทั้งเกษตรและป้องกันน้ำไม่ให้ท่วมเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ กักเก็บน้ำมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๑ เป็นเขื่อนดินที่ยาวที่สุด ในโลกคือ ยาว ๔,๘๖๐ เมตร ภายในบริเวณเขื่อนมีพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก มีสวนสวยมีที่พัก ติดต่อ ๐๓๖ ๔๙๔ ๒๔๓  รายละเอียดอื่น ๆ ขอติดเอาไว้ก่อน น้ำเต็มอ่างผมจะไปใหม่ และในวันหยุดมีรถไฟพิเศษวิ่งไปเที่ยวเขื่อน ปลายทางที่ชัยบาดาล ผมเคยไปช่วงหนึ่ง รางรถไฟจะวิ่งอยู่เหนือน้ำ มองไกล ๆ ยังกับรถไฟวิ่งในน้ำ

            ออกจากสันเขื่อนแล้ว วิ่งออกมาเลี้ยวซ้ายไปทางจะไปวังม่วง มวกเหล็ก สาย ๓๐๑๗ วิ่งต่อไปจนถึง กม.๕๒ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก มีสวนสาธารณะ ตั้งอยู่ริมเขื่อน มีพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ ประทับนั่ง หันหลังให้ตัวเขื่อน นาม "พระพุทธรัตนมณีมหาบพิตรชลสิทธิ์มงคลชัย" (หลวงปู่ใหญ่ป่าสัก) วันที่ผมไป พึ่งจะสร้างเสร็จ งดงามมาก วันนี้ผมจบแค่นี้ หากไม่ย้อนกลับทางเดิมก็ต่อไปยังวังม่วง ไปแหล่งโบราณคดี ไปน้ำตก ไปน้ำตกเจ็ดสาวน้อยที่มวกเหล็ก น้ำตกมวกเหล็ก แล้วไปโผล่ถนนมิตรภาพ กลับทางสระบุรีได้เลย ผมไม่ได้ไปต่อ เพราะผมจะย้อนกลับมากินสเต๊ก ร้านนี้ไม่แน่จริง คงมาตั้งขายที่อำเภอกลางทุ่ง อย่างนี้ไม่ได้
            เมนู มีทั้งสเต๊กหมู สเต๊กเนื้อ สเต๊กปลา แถมยังมีอาหารจานเดียว เช่น ข้าวหน้าต่าง ๆ อาหารตามสั่ง มีหมูรมควัน กระเพราหมู ฯ เขาชื่อ ร้านสเต๊ก ต้องสั่งสเต๊ก บรรยากาศในร้านน่านั่งกินสเต๊ก ห้องแอร์เย็นสบาย ร้านขนาดสองห้อง บริการธรรมดา ๆ ไม่เป็นแบบห้องอาหารฝรั่งจ๋า แต่รสอาหารนี่ซี่ อร่อยไม่น่าเชื่อ สั่งสเต๊กหมู พริกไท ไม่ได้สั่งสเต๊กเนื้อ พริกไท และสเต๊กปลา
            สเต๊กหมู พริกไท รับคำสั่งแล้ว ไม่ต้องถามว่าจะเอา มีเดี่ยม หรือแร ฯ บริกรรับคำสั่งแล้ว หายไปสัก ๕ นาที ยกขนมปังทาเนยร้อน ๆ มาให้ ๑ ก้อน และสลัด อีก ๑ ถ้วย สลัดมีผักกาดแก้ว แตงกว่า แครอต กะหล่ำม่วง หอมใหญ่ มะเขือเทศ สลัดน้ำข้น อีกสักครู่ ก็ยกจานสเต๊กหมู พริกไท ออกมาวาง หอมกรุ่น สุกกำลังดี ขนาดมีเดี่ยม หมูคงจะหมักซ๊อสมาได้ที่ รสเข้าในเนื้อ น้ำซ๊อสที่ราดมาบนเนื้อหมู ไม่ต้องไปเติมอะไรอีก แม้แต่พริกไทป่น เนื้อหมูดีเยี่ยม นุ่ม แทบไม่ต้องเคี้ยว เคียงข้างมาด้วยเฟรนฟราย แครอต และบัคเคอรี่ รับรองความอร่อยระดับห้าดาวเลยทีเดียว
            กลัวไม่อิ่ม สั่ง ลุงหมูจิ้มแจ่ว มีอีกจาน น้ำแจ่วเยี่ยม
            เสียดายไม่มีของหวานให้ชิม มีไอศรีมมาปิดท้ายสักถ้วยก็จะดี

....................................................


| บน |