|
ย้อนกลับ
|
หน้าต่อไป
|
หว้ากอ
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้นเดิมมีชื่อว่า "
เมืองบางนางรม
" พอถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้รวมเมือง บางนางรม เมืองกุยบุรี และเมืองคลองวาฬ เป็นเมืองประจวบคีรีขันธ์ มีที่ว่าการเมืองอยู่ที่ กุยบุรี จนมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2441 ถึงได้ย้ายที่ตั้งเมืองมาอยู่ที่อ่าวประจวบหรืออ่าวเกาะหลัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเมืองปัจจุบัน ประจวบตั้งอยู่ในส่วนที่แคบที่สุดของประเทศไทย คือ 8 ก.ม. แต่ไม่ได้หมายถึงแผ่นดินแคบ หมายถึงต่อจากนั้นไปเป็นแผ่นดินพม่า โดยเชื่อมต่อกันทาง
ด่านสิงขร
หรือ
ช่องสิงขร
ซึ่งนักศึกษาพม่าที่ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐบาล มาชุมนุมซ้องสุมกันอยู่ที่นี่เมื่อสัก 5 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่ายังชุมนุมกันอยู่อีกหรือเปล่า เพราะเคยไปทำงานด้านยุทธศาสตร์พัฒนาในสมัยที่ยังรับราชการอยู่ และเคยเสนอแนะว่า ควรตั้งหน่วยทหารบกไว้ ณ ตำบลที่อยู่ใกล้ ๆ ช่องสิงขรนี้ซึ่งยังมีพื้นที่มากมายและอยู่ห่างจาก อ.เมืองไม่มากนัก ในอดีตคือเส้นทางเดินทัพของพม่า ที่หลายครั้งพม่าจะยกทัพเข้ามาทางด่านสิงขร นอกเหนือไปจาก ด่านแม่ละเมาที่ จ.ตาก และด่านเจดีย์สามองค์ที่กาญจนบุรี แต่เคยไปทัวร์ครั้งหนึ่ง (จำเป็นต้องไปเพราะไปเองไม่ได้) หัวหน้าทัวร์ได้บรรยายหน้าตาเฉยว่าในศึก 9 ทัพ แผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้น พม่าได้บุกเข้ามาทางด่านแม่สายทัพหนึ่ง เลยต้องขัดคอกันเพราะ ขืนพม่ายกมาทางรัฐฉาน ซึ่งพลเมืองคือเงี้ยวหรือไทยใหญ่ แล้วมาตีกรุงเทพ ฯ ผมว่าไม่ต้องไปตั้งรับให้เสียเวลา กว่าจะเดินทางถึงก็คงเหลือไม่เกิน 100 คน นอกนั้นเป็นลมตาย ตกเขาตาย ไข้ป่ากินตายที่เหลือพอมาถึงก็ไม่ต้องใช้ดาบฆ่าฟัน ผลักทีเดียวคงหกล้มตายไปเอง เพราะเดินทางกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรและต้องอดน้ำอดข้าวด้วย เสบียงส่งตามไม่ทันแน่ ใครทำทัวร์หัดอ่านประวัติศาสตร์เสียบ้างหรือ ไม่งั้นก็อย่าไปพูดในสิ่งตัวไม่รู้จริงเข้า มีเด็กไป ถึงผู้ใหญ่ก็เถอะไม่ใช่จะทราบไปเสียทุกคน เขาจะจำไปผิด ๆ เหมือนที่ผมเล่าเรื่องฮ่องกง ยายไกด์ (ไทย) ที่หากินเป็นบริษัทรับช่วงจากทัวร์เมืองไทยบอกผมว่า คุณมิง คือมณฑลหนึ่งของจีน ผมเถียงในใจแต่ไม่ออกมาเป็นวาจา ว่าไม่ใช่เด็ดขาด คุณมิงเป็นเมืองอยู่กับมณฑลยูนนานน่าจะถูก
การเดินทางไปประจวบคีรีขันธ์ในเวลานี้นั้น ไปได้สดวกมากเพราะถนนที่ขยาย 4 เลนนั้นเสร็จหมดแล้วตลอดสาย แต่ต้องไปให้ถูกทางจึงจะเจอ 4 เลนตลอด ส่วนระยะทางยังเอาแน่นอนไม่ได้ เพราะหากดูจากหลัก กม.แล้วก็งง กรมทางหลวงปรับปรุงเส้นทางแต่มักจะไม่ค่อยจะปรับหลัก กม. หรือป้ายให้ทันสมัย ระยะที่บอกที่หลักกับที่ป้าย จะไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริง เช่นสมัยถนนไปประจวบมีแค่ 2 เลน และการไปใต้ตั้งแต่เพชรบุรีลงไป จะต้องไปตามถนนเพชรเกษม คือ ไปผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน ประจวบ ฯ เส้นนี้ผมจำได้แน่ว่า 323 กม. เพราะเคยมีวาสนามีที่ดินชายทะเลแถว กม.317 จึงไปประจำ ซื้อไว้ไร่ละ 1,000 บาท ไม่อยากจะพูดต่อว่า ถ้าไม่ทำใจเป็นวัยรุ่นขายเสียก่อนตอนเขาเห่อที่ดินกันใหม่ ๆ ก็คงรวยอื้อ เพราะมีตั้ง 20 ไร่
เส้นทางใหม่เอี่ยมไปใต้ตอนนี้ หากไม่คิดแวะหัวหินกินอาหารเช้าแล้วละก้อ ก็คงไปตามถนนสายธนบุรีปากท่อ ซึ่งกว่าจะถึงสมุทรสงครามได้ จะติดมหาวินาศในวันธรรมดา ขนาดผมไปวันเสาร์ผมใช้เวลา 2 ชั่วโมง เมื่อลงจากทางด่วนที่สะพานพระราม 9 แล้วจึงผ่านพ้น สมุทรสาครไปได้ เรียกว่าขับเก่งเต็มที 23 กม. ไปในเวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นไปแวะกินข้าวแกงที่ร้านข้าวแกง เขาย้อยอยู่ฝั่งขวามือสารพัดแกงและกับข้าวไปชี้เอา จ่ายเงินทีหลัง อย่าลืมแกงขี้เหล็กเป็นอันขาด ยามเช้า ๆ ข้าวแกงอร่อยนัก ข้าวสวยต้องร้อนและแกงของเขาก็จะร้อนควันโขมงมาทีเดียว เอามาราดข้าวเสียโดยไว ติดข้างจานมาด้วยไข่พะโล้ หรือเต้าหู้พะโล้ก็ได้ เช้า ๆ กินข้าวแกงต้องราดให้ชุ่มจึงจะสะใจ อย่าไปสั่งกับข้าวมาหลายอย่าง อย่างนั้นไม่เป็นข้าวราดแกง มื้ออื่นค่อยสั่งมาหลาย ๆ อย่าง ตั้งเป็นกองกลางแย่งกันกินยิ่งสนุกเปลืองกับกันดีพิลึก พออิ่มข้าวแกงแล้ว ก่อนถึงสามแยกเข้าเมืองเพชรบุรีสัก 3-4 กม. ทางขวามือก็เป็นชุมชนอาหารศูนย์ใหญ่ทีเดียว ของปิ่นแก้ว แต่ผมชอบข้าวแกงที่เขาย้อยมากกว่า แต่ที่นี่ผมแนะให้มาเข้าสุขาเสีย 2 บาท สุขาสะอาดเป็นสากลแถมติดแอร์เสียด้วยซี เมื่อก่อนฟรีคงเจอประเภทกินที่อื่นมาถ่ายที่นี่มากเข้าเลยเก็บสตางค์ 2 บาท แต่หากขากลับผมมักจะแวะทุกครั้ง ของฝากจากเมืองเพชรซื้อได้ครบถ้วนที่นี่และยิ่งเส้นทางใหม่ไม่ผ่านหัวหิน คือร้านแม่เก็บ ขนมอร่อย (แต่เขาไม่พิมพ์ลงไปด้วยว่าต่วยตูนชวนชิม หนังสืออื่นไปชิมเขาทีหลังผม เขาพิมพ์ไว้ที่หน้าถุง) ผมก็มาแวะซื้อที่ศูนย์ปิ่นแก้วนี้ จากเพชรบุรีหากไม่เข้าเมือง พอถึงสามแยกก็เลี้ยวขวาแล้วมุ่งไป อ.ชะอำ ก่อนถึง อ.ชะอำ กม. 202 จะมีทางแยกขวาเส้นนี้คือเส้นเลี่ยง อ.ชะอำ และ อ.หัวหิน ระยะทาง 47 กม.จะไปออก อ.ปราณบุรี เป็นถนน 4 เลนรถน้อย ทำความเร็วได้ย่นระยะทางไปสัก 5 กม. หรืออยากเข้าหัวหินก็เลี้ยวแวะเข้าไปได้ที่ กม. 29
ผมจะไปหว้ากอ ก่อนกลับมาชิมอาหารที่ใน อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นเป้าหมายในการท่องเที่ยวครั้งนี้ของผม
เมื่อปี พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นยอดของนักดาราศาสตร์ได้ทรงคำนวณได้ว่า ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 จะเกิดสุริยุปราคา เต็มดวงมองเห็นได้ที่ ต.หว้ากอ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ (สมัยนั้นคงจะยังไม่เรียก อ.เมือง) ซึ่งไปตรงกับนักดาราศาสตร์เอกของโลก หลายประเทศถึงขั้นบางประเทศมาดูกันที่นี่ เช่นนักดาราศาสตร์จากฝรั่งเศสมาตั้งกล้องศึกษากันที่ตำบลนี้เช่นกัน และจุดตั้งกล้องก็ไม่ห่างกันนักกับที่ ร.4 ทรงโปรดให้ตั้งกล้อง ผมรอเวลามานานกว่าจะได้เห็นภาครัฐ ฯ มองเห็นความสำคัญของจุดนี้ หว้ากอนั้นอยู่ชายทะเลที่สงบเงียบสวยงามอย่างยิ่ง หาดทรายสวยนั้นไล่กันดะไปตั้งแต่ อ.ชะอำ ของเพชรบุรี หัวหิน สวนสนปฏิพัทธ์ (เดี๋ยวนี้ทหารกองทัพบกสร้างที่พักตากอากาศชั้นหนึ่ง ราคาถูกด้วย ยิ่งทหารลดครึ่งผมยังไม่เคยพักแต่ไปแวะซดน้ำส้ม คูสถานที่มาแล้วจอง 032-536581-3) เรื่อยมาจนถึงประจวบ คลองวาฬ หว้ากอ ล้วนแต่เป็นหาดทรายละเอียด ขาวสะอาดทั้งสิ้น
หว้ากอ ในปัจจุบันคือ
อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ
สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างซึ่งมีรายการก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 20 รายการแต่เสร็จสมบูรณ์แล้วก็มากและน่าจะเสร็จภายในปี 2540 เป็นส่วนใหญ่ แต่พร้อมจะเปิดให้เข้าศึกษาได้ทั้งหมดหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะผมไปวันหยุดเจอแต่ยาม ก็ตอบได้แยะเหมือนกัน
สิ่งก่อสร้างที่เสร็จสมบูรณ์แล้วและสำคัญยิ่งคือ พระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 ประทับนั่ง หันพระพักตร์ออกสู่ทะเล และมีลานกว้าง จุดที่สร้างคือจุดที่ทรงตั้งค่ายหลวงในวันมาทอดพระเนตรสุริยุปราคา เมื่อ 18 ส.ค. 2411 และจุดที่ตั้งกล้องก็อยู่ตรงนี้ ส่วนจุดตั้งกล้องของนักดาราศาสตร์ฝรั่งเศสอยู่ถัดออกไป ดูเหมือนจะตรงที่ตั้งสำนักงาน นอกจากนี้เห็นมีอาคารดาราศาสตร์ ศาลาสวนหินสวยที่เดียว มีโบราณสถาน เขื่อน สำนักงาน อุทยานวิทยาศาสตร์ ฯลฯ และที่ปากทางเข้ามีนกที่ทำด้วยฟางยืนอยู่ปากทางเข้าตัวเบ้อเริ่ม สงสัยว่านกหุ่นฟาง ทำไมมาเกี่ยวข้องกับที่นี่ เขาบอกว่าคณะจากชัยนาทเขามาพัก เขาเลยเอามามอบให้ตัวโต ไม่ทราบจะเก็บที่ใด เลยให้ยืนเฝ้าที่ปากทางเข้า
จากประจวบจะมาหว้ากอ นั้นหากมาก่อน กินข้าวทีหลัง ก็มาอย่างนี้ คือ พอถึงทางแยกเข้าประจวบ ยังไม่เลี้ยวซ้ายเข้าคงตรงต่อไปมาตามถนนเพชรเกษม จนถึงหลัก กม.335.5 จึงเลี้ยวซ้ายวิ่งไปอีก 4 กม. จะถึง หว้ากอที่ตรงสวนหิน ก็เลี้ยวไปตามถนนที่เลียบริมทะเล เข้าอุทยานได้เลย
ถ้ากินข้าวก่อนมาหว้ากอทีหลัง ก็มาจากในเมืองวิ่งมาทางกองบินหรือ กองพลบินก็ลืมดู ขออภัย ทอ.ด้วย แล้วตรงมาตามถนนที่ไป
คลองวาฬ
หาป้ายไม่เจอ ถามเขาไม่ยากว่าเส้นไหนไปคลองวาฬ พอถึงคลองวาฬก็ตรงต่อไปอีก 8 กม. จะถึงอุทยาน ที่คลองวาฬนี้เป็นชุมชนที่เจริญแล้วและเป็นเมืองเก่าด้วย แต่ซากเมืองคงหาไม่เจอแล้ว คลองวาฬใกล้ทหารอากาศ มีร้านอาหารน่าชิมหลายร้านเล็ง ๆ ไว้ก่อนและเชื่อมือ ทอ. เพราะหากแถว ๆ ย่านดอนเมือง ไปจนยันคลองหลวง ในรัศมีของ ทอ. แล้วละก็ ถ้าเป็นมื้อกลางวัน วันธรรมดา ๆ ด้วยเห็นร้านไหนในรัศมี ทอ.มีสีเทานั่งกันเต็มร้าน เร่เข้าไปสมทบได้ จะไม่ผิดหวังผมตามรอยไปชิมเอามาเขียนเสียหลายร้านแล้ว (เป็นเคล็ดลับ ประการหนึ่งพึ่งเผย)
หว้ากอ เป็นอุทยานที่สงบ งดงามและทราบว่าทางกรมการศึกษานอกโรงเรียนได้อนุญาติให้คณะ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเฉพาะโรงเรียนหรือทั่วไป มากางเต้นท์ที่พักได้ ถามยามดูได้ความว่ามีเต้นท์ให้เช่าแต่คงเป็นของส่วนบุคคล มีครอบครัวข้าราชการรับทำอาหารให้ด้วย ราคาคงไม่แพง ได้กินอาหารทะเลสดจริง ๆ ผักก็ถูก ผลไม้ก็สัปรดไง ของดีราคาเยาว์ทั้งสิ้น วันที่ผมไปก็มีคณะของโรงเรียนแห่งหนึ่ง กำลังเก็บของเตรียมตัวกลับ ยามอีกนั่นแหละบอกว่ามาพักได้ครั้งละ 80 คน โดยติดต่อตรงที่อุทยานแห่งนี้ซึ่งมีหัวหน้ากอง หรือ ผอ.กอง ฯ บังคับบัญชาหรือติดต่อกับกรมการศึกษานอกโรงเรียนก็คงได้ ผมเชียร์ครับอยากให้โรงเรียนพานักเรียนมา ไม่ลำบากอะไรมานอนพักสัก 1-2 คืน มีกิจกรรมมีการบรรยายถึงความสำคัญของ หว้ากอ และประวัติศาสตร์ของเมืองประจวบ หรือจะแทรกประวัติศาสตร์การสงคราม ไทยรบพม่าเข้าไปด้วยก็ได้ ไม่ต้องไปเชิญใครมาบรรยายหรอก ซื้อหนังสือไทยรบพม่าของกรมพระยาดำรงราชานุภาพมา 1 เล่ม ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเข้าสัก 2 เที่ยว อาจารย์ที่พามาก็จะบรรยายให้เด็กฟังได้เอง
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งอื่น ๆ มีมากหลายแห่ง ล้วนแต่สวยสงบเงียบทั้งสิ้น
อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ วัดเขาช่องกระจก ทางผ่านจะไปร้านอาหารมีลิงแยะดีอยู่ริมทะเล ไปหาดทรายด้านข้าง
เขาช่องกระจก
หาดทรายขาวสะอาดทอดยาวไปทีเดียว วัดเกาะหลักหาง่ายถนนเส้นหลักทางจะไปคลองวาฬ ไปนมัสการอดีตเกจิอาจารย์ คือหลวงพ่อเปี่ยม
อ่าวมะนาว
ระยะ 2 กม. อยู่ในพื้นที่ ทอ. เป็นส่วนใหญ่
อ่าวประจวบ อ่าวเกาะหลัก
วัดธรรมิกการามและวัดเกาะหลัก ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง
หาดรณกร
ห่างจากตัวเมือง 22 กม. วัดเขาถ้ำคั่นบันได บริเวณ
อ่าวน้อย
มีพระพุทธไสยาสน์
อุทยานแห่งชาติเขาหินเทิน
อ.หัวหิน ชายหาดทรายขาวละเอียด ยาวเหยียดไปเชื่อมกับหาด อ.ชะอำ ยังนิยมกันไม่ส่าง
สวนสนปฏิพัทธ์
เป็นที่พักฟื้นของทหารบก มีทั้งบังกาโลและโรงแรมแต่เขาเลี่ยงไปเรียกว่าสถานพักฟื้น สร้างอย่างดีเลยทีเดียว แวะไปดื่มน้ำส้มพอชื่น ๆ ใจ วันหลังจะไปพักและกินอาหาร ทหารลดครึ่งค่าที่พัก
เขาตะเกียบ เขาไกรลาส เขาเต่า น้ำตกป่าละอู
และ
พระราชวังไกลกังวล
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างไว้เมื่อ พ.ศ. 2469 และวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ 24 มิถุนายน 2475 ก็ประทับอยู่ ณ พระราชวังแห่งนี้
อ.บางสะพาน
อ่าวแม่รำพึงอ่าวบ่อทองหลาง
อ.ปราณบุรี
ปากน้ำปราณบุรี
ห่างจากอำเภอ 14 กม. อุดมไปด้วยอาหารทะเลทั้งหลาย หมู่บ้านชาวประมงอยู่ตรงนี้ ปลาหมึกสด ปลาสด ปลาเค็มมีอุดม
อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด
กินเนื้อที่ อ.ปราณบุรี กุยบุรี มีภูเขาหินปูน สลับทุ่งกว้างและชายฝั่งทะเล ยังรวมไปถึงเกาะแก่งอีกด้วย ภายในอุทยานมีถ้ำสวยงาม คือ
ถ้ำสายแก้ว ถ้ำไทร
ปีนเขาก่อนขึ้นถ้ำ
ถ้ำพระยานคร
มีพลับพลาที่ ร.5 ทรงสร้างไว้เป็นพลับพลาจตุรมุข ถือเป็นสัญญลักษณ์ของจังหวัดประจวบ ฯ หาดสามพระยา เขื่อนปราณบุรี
อ.ทับสะแก
อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง
จากอุทยาน 7 กม.ถึงน้ำตกรถเข้าได้ และอีก 10 กม. จะถึง อ.ทับสะแก มีร้านขายน้ำผึ้งเก่าแก่อยู่ทางซ้ายมือ มีอาหารที่ทำแล้วไม่ใส่น้ำตาลแต่ใสน้ำผึ้งแทน เช่นข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวที่ซดสะใจเวลาขับรถมาเหนื่อย ๆ คือน้ำผึ้งผสมมะนาว เมื่อผมรับราชการอยู่ภาคใต้กะเวลาผ่านให้พอดีอาหารมื้อใด มื้อหนึ่ง เจ้าของร้านชายนั้นรู้จักกัน คุยกันเสมอแนะให้ผมกินน้ำผึ้งมาก ๆ แทนน้ำตาลบอกว่าจะได้ไม่เป็นเบาหวาน ผมก็เชื่อผ่านทีไรกินข้าวกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็ซื้อน้ำผึ้งติดมือไป มาแวะคราวหนึ่งหลังจากที่ไม่ได้พบกันหลายเดือน ถามเจ้าของร้านหญิงว่าเจ้าของร้านชายไปไหนเสีย แกก็น้ำตาซึมบอกว่าเสียแล้วค่ะ ถามว่าเป็นโรคอะไรล่ะ แกบอกว่าตายเพราะโรคเบาหวานเป็นพระเอก โรคอื่น ๆ ตามมาเป็นพระรอง แถมยังบอกต่ออีกว่า สามีแกนั้นเที่ยวแนะนำคนอื่นให้กินน้ำผึ้งแทนน้ำตาล แต่ตัวเองกินน้ำตาลแทนน้ำผึ้ง
หมดแล้วที่เที่ยวใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งที่เคยไปและไปจำเขามาก็มี ใหม่กว่านี้ไม่ทราบว่ายังมีหรือเปล่า ทีนี้ไปร้านอาหาร เพลินสมุทร ดูลายแทงกันก่อน
ถนนเพชรเกษม กม.323 เลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมืองวิ่งไปสัก 2 กม.เศษ จะผ่านเขาช่องกระจกไปจนชนบังกาโลของเทศบาล หากเลี้ยวซ้ายจะไปวนรอบเขาช่องกระจก หากเลี้ยวขวาจะมาผ่านโรงเรียนอนุบาล ผ่านสำนักงานเทศบาล แล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปจนถึงริมทะเล เลี้ยวขวาผ่านหน้าร้านอาหารชื่อ ประมง เป็นร้านเก่าแก่เชลล์ชวนชิม เข้าใจว่าฝีมือคงไต่ขึ้นมาใหม่แล้ว เพราะคนชักแยะอีกแล้ว ให้วิ่งเลียบชายทะเลต่อไปเรื่อย ๆ จะพบร้าน เพลินสมุทรอยู่ขวามือ ซ้ายมือก็ทะเลอยู่ติดกับโรงแรมหาดทอง สุขาสะอาดไม่เป็นสากลที่จอดรถสดวก ขับสิบล้อเข้าไปก็จอดได้ ด้านหลังร้านก็ติดถนนเข้าข้างหลังก็ได้ แต่ผมชอบไปทางทะเลดูจะสดวกกว่า
เสียดายที่เดี๋ยวนี้ไข่เต่าทะเลเป็นของหายากเสียแล้ว ไม่งั้นร้านนี้ยำไข่เต่าทะเลอร่อยนัก ไม่ได้ลองถามดูว่าเอาไข่ไก่ต้ม 5 นาที หรือลวกจะเอามายำแทนได้ไหม อย่างน้อยแก้ความอยาก แต่อาหารอื่น ๆ เขาก็อร่อยแยะ ผมไปคราวนี้ไปกันแค่ 2 คนปู่ย่า ขับรถจากกรุงเทพ ฯ ไปจนถึงปาดังเบซาร์ กลับมานครศรีธรรมราชใหม่ ไปออกตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต กลับมาทางพังงา ออกสุราษฎร์ธานี ชุมพร ผ่านประจวบคีรีขันธ์อีก กลับกรุงเทพ ฯ ดูไมล์แล้วขึ้น 3040 กม.พอดิบพอดี สังขารของผมยังอยู่เรียบร้อย และพักไม่กี่วันก็ขึ้นไปเชียงรายอีก กลับมาต่ออิสานไม่ได้เที่ยว เที่ยวเป็นของแถม คอยตามอ่านผมไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันอย่าเพิ่งเบื่อเสีย เดี๋ยวผมไม่มีงานทำ
หอยนางรมกะทะ แทนที่จะสั่ง ออส่วน อย่างเคยก็เปลี่ยนเป็นหอยนางรมกะทะ หอยสดมากตัวโต ผัดมากับถั่วงอก เสียงฉ่ามาแต่ไกล เพราะเขาใส่จานร้อนมา เสียงกับกลิ่นหอมหวลชวนกระเดือกวิ่งส่งมาพร้อมๆกัน หอยตัวโตหวานจิ้มซ๊อสศรีราชาเด็ดนักเผลอเดี๋ยวเดียวหมดกะทะ
ปลาหมึกสดย่าง ร้านนี้เขามีเบียร์สดด้วยจะสั่งมาจิบยามกลางวันก็ไม่ผิดกติกา แต่หากมามื้อเย็นไม่ได้จิบสักที ซดกันเป็นปี ๆไปเลย เพราะนั่งร้านนี้ติดทะเล มีอ่างตรงหน้า มีเกาะหลักให้ชม ลมทะเลตีหน้าชื่นใจ ดื่มแล้วเมายาก เปลืองทั้งเหล้าและกับ ปลาหมึกย่างของเขาสดทั้งนั้นจึงนุ่ม หนึบ จิ้มน้ำจิ้มมะนาวหรือซ๊อสศรีราชาก็ได้
ก้างปลาทอดกรอบ เสียดายทอดไม่กรอบเลยเสียรสไป เมื่อสมัยผมยังหนุ่มน้อยแต่ตำแหน่งใหญ่ สำหรับคนอายุ 27-28 ปี คือนายทหารยุทธการกองพันเป็นลำดับ 3 ของหน่วยกองพัน มักจะได้เชิญไปไหนพร้อมกับผู้บังคับกองพันเสมอ คราวหนึ่งนักการเมืองท่านหนึ่ง เชิญไปที่สวนของท่านที่นครนายก พี่ชายของท่านกำลังดังระเบิดเพราะเป็นอธิบดีกรมที่จับคนทำผิดได้ ผมคงมีวิญญานนักชิมมานานแล้ว พอเขาเอาก้างปลาดุกทอดกรอบ กรอบจริง ๆ มีรสด้วยไม่ต้องจิ้มอะไรเลย มีคนแบกถาดมาเสริฟให้ถึงมือเลยทีเดียว จิ้มมาชิ้นหนึ่งติดใจ ตามไล่จิ้มก้างปลาดุกทอดต่อ พอดีได้ไปยืนใกล้ๆผู้การ ท่านนักการเมืองกำลังคุยกับผู้การของผม พอหันหน้ามาปากอันอยู่ไม่สุขของผมก็ถามว่า เนื้อปลาดุกเอาไปทำอะไรครับ ท่านนักการเมืองผู้ทรงเกียรติ์กรุณาตอบผมว่า "ต้มให้หมากิน" ผมไปเจอก้างปลาดุกทอกกรอบที่ไหนเป็นไม่กิน ไปคราวนี้เป็นก้างปลาทะเล เลยสั่งมากินแต่ไม่สมใจ ไม่เหมือนที่กินเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว สะใจไหมล่ะไปถามเอากับคนกำลังจะเป็นใหญ่
แกงป่าปลาทราย ปลาทรายตัวเล็กนิดเดียวเท่านิ้วมือ น้ำแก่งข้น ใส่ผักสด ๆ ข้าวโพดอ่อน มเขือพวง มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ปลาตัวเล็ก แต่เนื้อขาวจั๊วะ หวานยังกับชุบน้ำตาลเอามาแกง น้ำแกงข้น ซดไม่เหมาะ ต้องเอาข้าวร้อน ๆ มาคลุก หากใครพุงเหลือหรือไปกันหลายคนต้องสั่งไข่เจียวกุ้งสับมาแนมแกงป่าจึงจะสมใจ หอมกลิ่นไข่เจียว พอตักเข้าปากตามเสียด้วยข้าวคลุกแกงป่าน้ำข้น อย่าบอกใครเชียวสำหรับความสุขของมื้อนี้
ของอร่อยเขามีแยะ ผมกินเขามาไม่ต่ำกว่า 15 ปี ฝีมือไม่ตกเลย ปอเปี๊ยะวงพระจันทร์ก็ดี ออส่วนก็แจ๋ว หม้อไฟทะเล ซดกันสนุกสนาน ผัดฉ่าทะเล หรือจะเพิ่มคะน้าปลาเค็มก็เหมาะ เพราะเลยร้านไปนิดเดียวก็เป็นที่ตากปลาของชาวประมง ปิดท้ายเสียด้วย ไอศครีมและสัปปะรด ปราณบุรีหวานฉ่ำชื่นใจ ไม่ต้องกลัวอยู่ล้างชาม เพราะอาหารไม่แพงและรับบัตรเครดิต
|
ย้อนกลับ
|
หน้าต่อไป
|
บน
|