| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

หว้ากอ

            จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้นเดิมมีชื่อว่า  "เมืองบางนางรม" พอถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้รวมเมือง  บางนางรม  เมืองกุยบุรี  และเมืองคลองวาฬ  เป็นเมืองประจวบคีรีขันธ์ มีที่ว่าการเมืองอยู่ที่ กุยบุรี  จนมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2441  ถึงได้ย้ายที่ตั้งเมืองมาอยู่ที่อ่าวประจวบหรืออ่าวเกาะหลัก  ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเมืองปัจจุบัน  ประจวบตั้งอยู่ในส่วนที่แคบที่สุดของประเทศไทย คือ 8 ก.ม.  แต่ไม่ได้หมายถึงแผ่นดินแคบ  หมายถึงต่อจากนั้นไปเป็นแผ่นดินพม่า  โดยเชื่อมต่อกันทางด่านสิงขรหรือช่องสิงขร  ซึ่งนักศึกษาพม่าที่ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐบาล มาชุมนุมซ้องสุมกันอยู่ที่นี่เมื่อสัก 5 ปีที่แล้ว  เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่ายังชุมนุมกันอยู่อีกหรือเปล่า  เพราะเคยไปทำงานด้านยุทธศาสตร์พัฒนาในสมัยที่ยังรับราชการอยู่  และเคยเสนอแนะว่า ควรตั้งหน่วยทหารบกไว้ ณ ตำบลที่อยู่ใกล้ ๆ ช่องสิงขรนี้ซึ่งยังมีพื้นที่มากมายและอยู่ห่างจาก อ.เมืองไม่มากนัก  ในอดีตคือเส้นทางเดินทัพของพม่า  ที่หลายครั้งพม่าจะยกทัพเข้ามาทางด่านสิงขร  นอกเหนือไปจาก ด่านแม่ละเมาที่ จ.ตาก และด่านเจดีย์สามองค์ที่กาญจนบุรี  แต่เคยไปทัวร์ครั้งหนึ่ง (จำเป็นต้องไปเพราะไปเองไม่ได้) หัวหน้าทัวร์ได้บรรยายหน้าตาเฉยว่าในศึก 9 ทัพ แผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้น  พม่าได้บุกเข้ามาทางด่านแม่สายทัพหนึ่ง  เลยต้องขัดคอกันเพราะ ขืนพม่ายกมาทางรัฐฉาน ซึ่งพลเมืองคือเงี้ยวหรือไทยใหญ่  แล้วมาตีกรุงเทพ ฯ ผมว่าไม่ต้องไปตั้งรับให้เสียเวลา กว่าจะเดินทางถึงก็คงเหลือไม่เกิน 100 คน  นอกนั้นเป็นลมตาย  ตกเขาตาย  ไข้ป่ากินตายที่เหลือพอมาถึงก็ไม่ต้องใช้ดาบฆ่าฟัน  ผลักทีเดียวคงหกล้มตายไปเอง  เพราะเดินทางกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรและต้องอดน้ำอดข้าวด้วย  เสบียงส่งตามไม่ทันแน่  ใครทำทัวร์หัดอ่านประวัติศาสตร์เสียบ้างหรือ ไม่งั้นก็อย่าไปพูดในสิ่งตัวไม่รู้จริงเข้า  มีเด็กไป ถึงผู้ใหญ่ก็เถอะไม่ใช่จะทราบไปเสียทุกคน  เขาจะจำไปผิด ๆ เหมือนที่ผมเล่าเรื่องฮ่องกง  ยายไกด์ (ไทย) ที่หากินเป็นบริษัทรับช่วงจากทัวร์เมืองไทยบอกผมว่า คุณมิง คือมณฑลหนึ่งของจีน  ผมเถียงในใจแต่ไม่ออกมาเป็นวาจา  ว่าไม่ใช่เด็ดขาด คุณมิงเป็นเมืองอยู่กับมณฑลยูนนานน่าจะถูก
            การเดินทางไปประจวบคีรีขันธ์ในเวลานี้นั้น  ไปได้สดวกมากเพราะถนนที่ขยาย 4 เลนนั้นเสร็จหมดแล้วตลอดสาย แต่ต้องไปให้ถูกทางจึงจะเจอ 4 เลนตลอด  ส่วนระยะทางยังเอาแน่นอนไม่ได้  เพราะหากดูจากหลัก กม.แล้วก็งง  กรมทางหลวงปรับปรุงเส้นทางแต่มักจะไม่ค่อยจะปรับหลัก กม. หรือป้ายให้ทันสมัย  ระยะที่บอกที่หลักกับที่ป้าย จะไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริง  เช่นสมัยถนนไปประจวบมีแค่ 2 เลน  และการไปใต้ตั้งแต่เพชรบุรีลงไป  จะต้องไปตามถนนเพชรเกษม คือ ไปผ่านนครปฐม  ราชบุรี  เพชรบุรี  หัวหิน  ประจวบ ฯ เส้นนี้ผมจำได้แน่ว่า 323 กม.  เพราะเคยมีวาสนามีที่ดินชายทะเลแถว กม.317 จึงไปประจำ  ซื้อไว้ไร่ละ 1,000 บาท  ไม่อยากจะพูดต่อว่า ถ้าไม่ทำใจเป็นวัยรุ่นขายเสียก่อนตอนเขาเห่อที่ดินกันใหม่ ๆ ก็คงรวยอื้อ เพราะมีตั้ง 20 ไร่
            เส้นทางใหม่เอี่ยมไปใต้ตอนนี้  หากไม่คิดแวะหัวหินกินอาหารเช้าแล้วละก้อ  ก็คงไปตามถนนสายธนบุรีปากท่อ  ซึ่งกว่าจะถึงสมุทรสงครามได้ จะติดมหาวินาศในวันธรรมดา  ขนาดผมไปวันเสาร์ผมใช้เวลา 2 ชั่วโมง  เมื่อลงจากทางด่วนที่สะพานพระราม 9 แล้วจึงผ่านพ้น สมุทรสาครไปได้  เรียกว่าขับเก่งเต็มที 23 กม. ไปในเวลา 2 ชั่วโมง  จากนั้นไปแวะกินข้าวแกงที่ร้านข้าวแกง  เขาย้อยอยู่ฝั่งขวามือสารพัดแกงและกับข้าวไปชี้เอา  จ่ายเงินทีหลัง อย่าลืมแกงขี้เหล็กเป็นอันขาด  ยามเช้า ๆ ข้าวแกงอร่อยนัก  ข้าวสวยต้องร้อนและแกงของเขาก็จะร้อนควันโขมงมาทีเดียว  เอามาราดข้าวเสียโดยไว  ติดข้างจานมาด้วยไข่พะโล้ หรือเต้าหู้พะโล้ก็ได้  เช้า ๆ กินข้าวแกงต้องราดให้ชุ่มจึงจะสะใจ  อย่าไปสั่งกับข้าวมาหลายอย่าง  อย่างนั้นไม่เป็นข้าวราดแกง  มื้ออื่นค่อยสั่งมาหลาย ๆ อย่าง ตั้งเป็นกองกลางแย่งกันกินยิ่งสนุกเปลืองกับกันดีพิลึก  พออิ่มข้าวแกงแล้ว ก่อนถึงสามแยกเข้าเมืองเพชรบุรีสัก 3-4 กม. ทางขวามือก็เป็นชุมชนอาหารศูนย์ใหญ่ทีเดียว ของปิ่นแก้ว  แต่ผมชอบข้าวแกงที่เขาย้อยมากกว่า  แต่ที่นี่ผมแนะให้มาเข้าสุขาเสีย 2 บาท  สุขาสะอาดเป็นสากลแถมติดแอร์เสียด้วยซี  เมื่อก่อนฟรีคงเจอประเภทกินที่อื่นมาถ่ายที่นี่มากเข้าเลยเก็บสตางค์ 2 บาท  แต่หากขากลับผมมักจะแวะทุกครั้ง  ของฝากจากเมืองเพชรซื้อได้ครบถ้วนที่นี่และยิ่งเส้นทางใหม่ไม่ผ่านหัวหิน คือร้านแม่เก็บ ขนมอร่อย (แต่เขาไม่พิมพ์ลงไปด้วยว่าต่วยตูนชวนชิม หนังสืออื่นไปชิมเขาทีหลังผม  เขาพิมพ์ไว้ที่หน้าถุง)  ผมก็มาแวะซื้อที่ศูนย์ปิ่นแก้วนี้  จากเพชรบุรีหากไม่เข้าเมือง พอถึงสามแยกก็เลี้ยวขวาแล้วมุ่งไป อ.ชะอำ  ก่อนถึง อ.ชะอำ กม. 202 จะมีทางแยกขวาเส้นนี้คือเส้นเลี่ยง อ.ชะอำ และ อ.หัวหิน ระยะทาง 47 กม.จะไปออก อ.ปราณบุรี เป็นถนน 4 เลนรถน้อย  ทำความเร็วได้ย่นระยะทางไปสัก 5 กม. หรืออยากเข้าหัวหินก็เลี้ยวแวะเข้าไปได้ที่ กม. 29
            ผมจะไปหว้ากอ  ก่อนกลับมาชิมอาหารที่ใน อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นเป้าหมายในการท่องเที่ยวครั้งนี้ของผม
            เมื่อปี พ.ศ. 2411  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งทรงเป็นยอดของนักดาราศาสตร์ได้ทรงคำนวณได้ว่า ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411  จะเกิดสุริยุปราคา  เต็มดวงมองเห็นได้ที่ ต.หว้ากอ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ (สมัยนั้นคงจะยังไม่เรียก อ.เมือง) ซึ่งไปตรงกับนักดาราศาสตร์เอกของโลก  หลายประเทศถึงขั้นบางประเทศมาดูกันที่นี่ เช่นนักดาราศาสตร์จากฝรั่งเศสมาตั้งกล้องศึกษากันที่ตำบลนี้เช่นกัน  และจุดตั้งกล้องก็ไม่ห่างกันนักกับที่ ร.4 ทรงโปรดให้ตั้งกล้อง  ผมรอเวลามานานกว่าจะได้เห็นภาครัฐ ฯ มองเห็นความสำคัญของจุดนี้  หว้ากอนั้นอยู่ชายทะเลที่สงบเงียบสวยงามอย่างยิ่ง  หาดทรายสวยนั้นไล่กันดะไปตั้งแต่ อ.ชะอำ ของเพชรบุรี  หัวหิน  สวนสนปฏิพัทธ์ (เดี๋ยวนี้ทหารกองทัพบกสร้างที่พักตากอากาศชั้นหนึ่ง  ราคาถูกด้วย  ยิ่งทหารลดครึ่งผมยังไม่เคยพักแต่ไปแวะซดน้ำส้ม  คูสถานที่มาแล้วจอง 032-536581-3) เรื่อยมาจนถึงประจวบ  คลองวาฬ  หว้ากอ  ล้วนแต่เป็นหาดทรายละเอียด  ขาวสะอาดทั้งสิ้น
            หว้ากอ  ในปัจจุบันคือ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ  สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน  กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างซึ่งมีรายการก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 20 รายการแต่เสร็จสมบูรณ์แล้วก็มากและน่าจะเสร็จภายในปี 2540 เป็นส่วนใหญ่  แต่พร้อมจะเปิดให้เข้าศึกษาได้ทั้งหมดหรือเปล่าไม่ทราบ  เพราะผมไปวันหยุดเจอแต่ยาม  ก็ตอบได้แยะเหมือนกัน
            สิ่งก่อสร้างที่เสร็จสมบูรณ์แล้วและสำคัญยิ่งคือ  พระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 ประทับนั่ง  หันพระพักตร์ออกสู่ทะเล และมีลานกว้าง  จุดที่สร้างคือจุดที่ทรงตั้งค่ายหลวงในวันมาทอดพระเนตรสุริยุปราคา เมื่อ 18 ส.ค. 2411 และจุดที่ตั้งกล้องก็อยู่ตรงนี้  ส่วนจุดตั้งกล้องของนักดาราศาสตร์ฝรั่งเศสอยู่ถัดออกไป ดูเหมือนจะตรงที่ตั้งสำนักงาน  นอกจากนี้เห็นมีอาคารดาราศาสตร์  ศาลาสวนหินสวยที่เดียว  มีโบราณสถาน เขื่อน สำนักงาน  อุทยานวิทยาศาสตร์ ฯลฯ และที่ปากทางเข้ามีนกที่ทำด้วยฟางยืนอยู่ปากทางเข้าตัวเบ้อเริ่ม  สงสัยว่านกหุ่นฟาง  ทำไมมาเกี่ยวข้องกับที่นี่  เขาบอกว่าคณะจากชัยนาทเขามาพัก  เขาเลยเอามามอบให้ตัวโต  ไม่ทราบจะเก็บที่ใด  เลยให้ยืนเฝ้าที่ปากทางเข้า
            จากประจวบจะมาหว้ากอ  นั้นหากมาก่อน  กินข้าวทีหลัง  ก็มาอย่างนี้ คือ พอถึงทางแยกเข้าประจวบ  ยังไม่เลี้ยวซ้ายเข้าคงตรงต่อไปมาตามถนนเพชรเกษม  จนถึงหลัก กม.335.5 จึงเลี้ยวซ้ายวิ่งไปอีก 4 กม. จะถึง หว้ากอที่ตรงสวนหิน  ก็เลี้ยวไปตามถนนที่เลียบริมทะเล เข้าอุทยานได้เลย
            ถ้ากินข้าวก่อนมาหว้ากอทีหลัง  ก็มาจากในเมืองวิ่งมาทางกองบินหรือ กองพลบินก็ลืมดู  ขออภัย ทอ.ด้วย แล้วตรงมาตามถนนที่ไปคลองวาฬ หาป้ายไม่เจอ  ถามเขาไม่ยากว่าเส้นไหนไปคลองวาฬ  พอถึงคลองวาฬก็ตรงต่อไปอีก 8 กม. จะถึงอุทยาน  ที่คลองวาฬนี้เป็นชุมชนที่เจริญแล้วและเป็นเมืองเก่าด้วย  แต่ซากเมืองคงหาไม่เจอแล้ว  คลองวาฬใกล้ทหารอากาศ  มีร้านอาหารน่าชิมหลายร้านเล็ง ๆ ไว้ก่อนและเชื่อมือ ทอ.  เพราะหากแถว ๆ ย่านดอนเมือง  ไปจนยันคลองหลวง ในรัศมีของ ทอ. แล้วละก็  ถ้าเป็นมื้อกลางวัน  วันธรรมดา ๆ ด้วยเห็นร้านไหนในรัศมี ทอ.มีสีเทานั่งกันเต็มร้าน  เร่เข้าไปสมทบได้  จะไม่ผิดหวังผมตามรอยไปชิมเอามาเขียนเสียหลายร้านแล้ว (เป็นเคล็ดลับ ประการหนึ่งพึ่งเผย)
            หว้ากอ  เป็นอุทยานที่สงบ  งดงามและทราบว่าทางกรมการศึกษานอกโรงเรียนได้อนุญาติให้คณะ  ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเฉพาะโรงเรียนหรือทั่วไป  มากางเต้นท์ที่พักได้  ถามยามดูได้ความว่ามีเต้นท์ให้เช่าแต่คงเป็นของส่วนบุคคล  มีครอบครัวข้าราชการรับทำอาหารให้ด้วย  ราคาคงไม่แพง  ได้กินอาหารทะเลสดจริง ๆ  ผักก็ถูก ผลไม้ก็สัปรดไง  ของดีราคาเยาว์ทั้งสิ้น  วันที่ผมไปก็มีคณะของโรงเรียนแห่งหนึ่ง  กำลังเก็บของเตรียมตัวกลับ  ยามอีกนั่นแหละบอกว่ามาพักได้ครั้งละ 80 คน  โดยติดต่อตรงที่อุทยานแห่งนี้ซึ่งมีหัวหน้ากอง หรือ ผอ.กอง ฯ  บังคับบัญชาหรือติดต่อกับกรมการศึกษานอกโรงเรียนก็คงได้  ผมเชียร์ครับอยากให้โรงเรียนพานักเรียนมา  ไม่ลำบากอะไรมานอนพักสัก 1-2 คืน มีกิจกรรมมีการบรรยายถึงความสำคัญของ หว้ากอ และประวัติศาสตร์ของเมืองประจวบ  หรือจะแทรกประวัติศาสตร์การสงคราม ไทยรบพม่าเข้าไปด้วยก็ได้  ไม่ต้องไปเชิญใครมาบรรยายหรอก  ซื้อหนังสือไทยรบพม่าของกรมพระยาดำรงราชานุภาพมา 1 เล่ม  ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเข้าสัก 2 เที่ยว  อาจารย์ที่พามาก็จะบรรยายให้เด็กฟังได้เอง
            สถานที่ท่องเที่ยวแห่งอื่น ๆ มีมากหลายแห่ง  ล้วนแต่สวยสงบเงียบทั้งสิ้น
            อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์  วัดเขาช่องกระจก  ทางผ่านจะไปร้านอาหารมีลิงแยะดีอยู่ริมทะเล  ไปหาดทรายด้านข้างเขาช่องกระจก  หาดทรายขาวสะอาดทอดยาวไปทีเดียว  วัดเกาะหลักหาง่ายถนนเส้นหลักทางจะไปคลองวาฬ  ไปนมัสการอดีตเกจิอาจารย์ คือหลวงพ่อเปี่ยม อ่าวมะนาว ระยะ 2 กม.  อยู่ในพื้นที่ ทอ. เป็นส่วนใหญ่ อ่าวประจวบ  อ่าวเกาะหลัก  วัดธรรมิกการามและวัดเกาะหลัก  ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง หาดรณกร ห่างจากตัวเมือง 22 กม. วัดเขาถ้ำคั่นบันได  บริเวณอ่าวน้อยมีพระพุทธไสยาสน์ อุทยานแห่งชาติเขาหินเทิน
            อ.หัวหิน  ชายหาดทรายขาวละเอียด  ยาวเหยียดไปเชื่อมกับหาด อ.ชะอำ  ยังนิยมกันไม่ส่างสวนสนปฏิพัทธ์  เป็นที่พักฟื้นของทหารบก  มีทั้งบังกาโลและโรงแรมแต่เขาเลี่ยงไปเรียกว่าสถานพักฟื้น  สร้างอย่างดีเลยทีเดียว  แวะไปดื่มน้ำส้มพอชื่น ๆ ใจ  วันหลังจะไปพักและกินอาหาร  ทหารลดครึ่งค่าที่พัก เขาตะเกียบ  เขาไกรลาส  เขาเต่า  น้ำตกป่าละอู และพระราชวังไกลกังวล  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างไว้เมื่อ พ.ศ. 2469  และวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ 24 มิถุนายน 2475  ก็ประทับอยู่ ณ พระราชวังแห่งนี้
            อ.บางสะพาน  อ่าวแม่รำพึงอ่าวบ่อทองหลาง
            อ.ปราณบุรี ปากน้ำปราณบุรีห่างจากอำเภอ 14 กม. อุดมไปด้วยอาหารทะเลทั้งหลาย  หมู่บ้านชาวประมงอยู่ตรงนี้  ปลาหมึกสด  ปลาสด  ปลาเค็มมีอุดม อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด  กินเนื้อที่ อ.ปราณบุรี  กุยบุรี  มีภูเขาหินปูน  สลับทุ่งกว้างและชายฝั่งทะเล  ยังรวมไปถึงเกาะแก่งอีกด้วย  ภายในอุทยานมีถ้ำสวยงาม คือ ถ้ำสายแก้ว  ถ้ำไทร  ปีนเขาก่อนขึ้นถ้ำ ถ้ำพระยานคร  มีพลับพลาที่ ร.5 ทรงสร้างไว้เป็นพลับพลาจตุรมุข  ถือเป็นสัญญลักษณ์ของจังหวัดประจวบ ฯ  หาดสามพระยา  เขื่อนปราณบุรี
            อ.ทับสะแก  อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง  จากอุทยาน 7 กม.ถึงน้ำตกรถเข้าได้  และอีก 10 กม. จะถึง อ.ทับสะแก  มีร้านขายน้ำผึ้งเก่าแก่อยู่ทางซ้ายมือ  มีอาหารที่ทำแล้วไม่ใส่น้ำตาลแต่ใสน้ำผึ้งแทน เช่นข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวที่ซดสะใจเวลาขับรถมาเหนื่อย ๆ คือน้ำผึ้งผสมมะนาว  เมื่อผมรับราชการอยู่ภาคใต้กะเวลาผ่านให้พอดีอาหารมื้อใด  มื้อหนึ่ง  เจ้าของร้านชายนั้นรู้จักกัน คุยกันเสมอแนะให้ผมกินน้ำผึ้งมาก ๆ แทนน้ำตาลบอกว่าจะได้ไม่เป็นเบาหวาน  ผมก็เชื่อผ่านทีไรกินข้าวกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็ซื้อน้ำผึ้งติดมือไป  มาแวะคราวหนึ่งหลังจากที่ไม่ได้พบกันหลายเดือน  ถามเจ้าของร้านหญิงว่าเจ้าของร้านชายไปไหนเสีย  แกก็น้ำตาซึมบอกว่าเสียแล้วค่ะ  ถามว่าเป็นโรคอะไรล่ะ  แกบอกว่าตายเพราะโรคเบาหวานเป็นพระเอก  โรคอื่น ๆ ตามมาเป็นพระรอง  แถมยังบอกต่ออีกว่า  สามีแกนั้นเที่ยวแนะนำคนอื่นให้กินน้ำผึ้งแทนน้ำตาล  แต่ตัวเองกินน้ำตาลแทนน้ำผึ้ง
            หมดแล้วที่เที่ยวใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งที่เคยไปและไปจำเขามาก็มี  ใหม่กว่านี้ไม่ทราบว่ายังมีหรือเปล่า  ทีนี้ไปร้านอาหาร เพลินสมุทร ดูลายแทงกันก่อน
            ถนนเพชรเกษม กม.323 เลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมืองวิ่งไปสัก 2 กม.เศษ  จะผ่านเขาช่องกระจกไปจนชนบังกาโลของเทศบาล  หากเลี้ยวซ้ายจะไปวนรอบเขาช่องกระจก  หากเลี้ยวขวาจะมาผ่านโรงเรียนอนุบาล  ผ่านสำนักงานเทศบาล แล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปจนถึงริมทะเล  เลี้ยวขวาผ่านหน้าร้านอาหารชื่อ ประมง เป็นร้านเก่าแก่เชลล์ชวนชิม  เข้าใจว่าฝีมือคงไต่ขึ้นมาใหม่แล้ว  เพราะคนชักแยะอีกแล้ว  ให้วิ่งเลียบชายทะเลต่อไปเรื่อย ๆ จะพบร้าน เพลินสมุทรอยู่ขวามือ  ซ้ายมือก็ทะเลอยู่ติดกับโรงแรมหาดทอง  สุขาสะอาดไม่เป็นสากลที่จอดรถสดวก  ขับสิบล้อเข้าไปก็จอดได้  ด้านหลังร้านก็ติดถนนเข้าข้างหลังก็ได้  แต่ผมชอบไปทางทะเลดูจะสดวกกว่า
            เสียดายที่เดี๋ยวนี้ไข่เต่าทะเลเป็นของหายากเสียแล้ว  ไม่งั้นร้านนี้ยำไข่เต่าทะเลอร่อยนัก  ไม่ได้ลองถามดูว่าเอาไข่ไก่ต้ม 5 นาที หรือลวกจะเอามายำแทนได้ไหม  อย่างน้อยแก้ความอยาก  แต่อาหารอื่น ๆ เขาก็อร่อยแยะ  ผมไปคราวนี้ไปกันแค่ 2 คนปู่ย่า  ขับรถจากกรุงเทพ ฯ ไปจนถึงปาดังเบซาร์  กลับมานครศรีธรรมราชใหม่  ไปออกตรัง  กระบี่  พังงา  ภูเก็ต  กลับมาทางพังงา  ออกสุราษฎร์ธานี  ชุมพร ผ่านประจวบคีรีขันธ์อีก  กลับกรุงเทพ ฯ ดูไมล์แล้วขึ้น 3040 กม.พอดิบพอดี  สังขารของผมยังอยู่เรียบร้อย และพักไม่กี่วันก็ขึ้นไปเชียงรายอีก  กลับมาต่ออิสานไม่ได้เที่ยว  เที่ยวเป็นของแถม  คอยตามอ่านผมไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันอย่าเพิ่งเบื่อเสีย  เดี๋ยวผมไม่มีงานทำ
            หอยนางรมกะทะ  แทนที่จะสั่ง ออส่วน อย่างเคยก็เปลี่ยนเป็นหอยนางรมกะทะ  หอยสดมากตัวโต  ผัดมากับถั่วงอก  เสียงฉ่ามาแต่ไกล เพราะเขาใส่จานร้อนมา  เสียงกับกลิ่นหอมหวลชวนกระเดือกวิ่งส่งมาพร้อมๆกัน  หอยตัวโตหวานจิ้มซ๊อสศรีราชาเด็ดนักเผลอเดี๋ยวเดียวหมดกะทะ
            ปลาหมึกสดย่าง  ร้านนี้เขามีเบียร์สดด้วยจะสั่งมาจิบยามกลางวันก็ไม่ผิดกติกา  แต่หากมามื้อเย็นไม่ได้จิบสักที  ซดกันเป็นปี ๆไปเลย  เพราะนั่งร้านนี้ติดทะเล มีอ่างตรงหน้า มีเกาะหลักให้ชม  ลมทะเลตีหน้าชื่นใจ  ดื่มแล้วเมายาก  เปลืองทั้งเหล้าและกับ  ปลาหมึกย่างของเขาสดทั้งนั้นจึงนุ่ม หนึบ จิ้มน้ำจิ้มมะนาวหรือซ๊อสศรีราชาก็ได้
            ก้างปลาทอดกรอบ  เสียดายทอดไม่กรอบเลยเสียรสไป  เมื่อสมัยผมยังหนุ่มน้อยแต่ตำแหน่งใหญ่  สำหรับคนอายุ 27-28 ปี  คือนายทหารยุทธการกองพันเป็นลำดับ 3 ของหน่วยกองพัน  มักจะได้เชิญไปไหนพร้อมกับผู้บังคับกองพันเสมอ  คราวหนึ่งนักการเมืองท่านหนึ่ง  เชิญไปที่สวนของท่านที่นครนายก  พี่ชายของท่านกำลังดังระเบิดเพราะเป็นอธิบดีกรมที่จับคนทำผิดได้  ผมคงมีวิญญานนักชิมมานานแล้ว  พอเขาเอาก้างปลาดุกทอดกรอบ  กรอบจริง ๆ มีรสด้วยไม่ต้องจิ้มอะไรเลย  มีคนแบกถาดมาเสริฟให้ถึงมือเลยทีเดียว จิ้มมาชิ้นหนึ่งติดใจ  ตามไล่จิ้มก้างปลาดุกทอดต่อ  พอดีได้ไปยืนใกล้ๆผู้การ  ท่านนักการเมืองกำลังคุยกับผู้การของผม  พอหันหน้ามาปากอันอยู่ไม่สุขของผมก็ถามว่า  เนื้อปลาดุกเอาไปทำอะไรครับ  ท่านนักการเมืองผู้ทรงเกียรติ์กรุณาตอบผมว่า  "ต้มให้หมากิน" ผมไปเจอก้างปลาดุกทอกกรอบที่ไหนเป็นไม่กิน  ไปคราวนี้เป็นก้างปลาทะเล  เลยสั่งมากินแต่ไม่สมใจ  ไม่เหมือนที่กินเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว สะใจไหมล่ะไปถามเอากับคนกำลังจะเป็นใหญ่
            แกงป่าปลาทราย  ปลาทรายตัวเล็กนิดเดียวเท่านิ้วมือ  น้ำแก่งข้น  ใส่ผักสด ๆ ข้าวโพดอ่อน  มเขือพวง  มะเขือเปราะ  ถั่วฝักยาว  ปลาตัวเล็ก  แต่เนื้อขาวจั๊วะ  หวานยังกับชุบน้ำตาลเอามาแกง  น้ำแกงข้น  ซดไม่เหมาะ  ต้องเอาข้าวร้อน ๆ มาคลุก  หากใครพุงเหลือหรือไปกันหลายคนต้องสั่งไข่เจียวกุ้งสับมาแนมแกงป่าจึงจะสมใจ  หอมกลิ่นไข่เจียว  พอตักเข้าปากตามเสียด้วยข้าวคลุกแกงป่าน้ำข้น  อย่าบอกใครเชียวสำหรับความสุขของมื้อนี้
            ของอร่อยเขามีแยะ  ผมกินเขามาไม่ต่ำกว่า 15 ปี  ฝีมือไม่ตกเลย  ปอเปี๊ยะวงพระจันทร์ก็ดี  ออส่วนก็แจ๋ว  หม้อไฟทะเล  ซดกันสนุกสนาน  ผัดฉ่าทะเล  หรือจะเพิ่มคะน้าปลาเค็มก็เหมาะ  เพราะเลยร้านไปนิดเดียวก็เป็นที่ตากปลาของชาวประมง  ปิดท้ายเสียด้วย  ไอศครีมและสัปปะรด ปราณบุรีหวานฉ่ำชื่นใจ  ไม่ต้องกลัวอยู่ล้างชาม  เพราะอาหารไม่แพงและรับบัตรเครดิต

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |