| หน้าแรก | ย้อนกลับ |

กฎพระสงฆ์ฉบับที่ ๖


            ๖. กฎให้ไว้แก่สังฆการีธรรมการ.....
            สมเด็จพระบรมนารถบพิตร ฯ ดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่า
            แต่ก่อนฆราวาสผู้จะทำทานแก่ภิกษุสงฆ์ โดยต่ำแต่เข้าทับพีหนึ่ง ก็มีผลปรากฎในชั่วนี้ชั่วหน้า เพราะพระภิกษุผู้รับทานนั้นทรงศีลบริสุทธิ์ ฝ่ายฆราวาสผู้จะให้ทานนั้นก็มีปัญญา..... แลผู้ให้ผู้รับทั้งสองฝ่ายสุจริตดีจริง จึ่งให้ผลมากประจักษ์ในชั่วนี้ชั่วหน้าสืบมา  ทุกวันนี้ภิกษุ สามเณร ผู้รับทานรักษาสิกขาบทนั้นก็ฟั่นเฟือน มักมาก โลภ รับเงินทอง ของอันมิควรด้วยกิจพระวินัย สั่งสมทรัพย์สิ่งของ เที่ยวผสมผสานทำการของฆราวาส การศพ การเบญจา เป็นหมอนวด หมอยา หมอดู ใช้สอยอาสาการคฤหัสถ์ แลให้สิ่งของต่าง ๆ แก่คฤหัสถ์ เพื่อจะให้เป็นประโยชน์ จะให้เกิดลาภเลี้ยงชีวิตผิดธรรมมิควรนัก.....
            แลภิกษุทุกวันนี้บวชเข้า มิได้กระทำตามพระวินัย ปรนนิบัติเห็นแต่จะเลี้ยงชีวิตผิดธรรม ให้มีเนื้อหนังบริบูรณ์ดุจโค กระบือ.....จะได้เจริญสติปัญญานั้นหามิได้  เป็นภิกษุสามเณรลามกในพระพุทธศาสนา ฝ่ายฆราวาสก็ปราศจากปัญญา มิได้รู้ว่าทำทานฉะนี้จะเกิดผลน้อยมากแก่ตนหามิได้  มักพอใจทำทานแก่ภิกษุ สามเณร อันผสมผสานทำการของตนจึงทำทาน  บางคาบย่อมมักง่าย ถวายเงินทองของอันเป็นอกัปปิยะ มิควรแก่สมณะ สมณะก็มีใจโลภ สั่งสมทรัพย์เลี้ยงชีวิต ผิดพุทธบัญญัติฉะนี้ ได้ชื่อว่าฆราวาสหมู่นั้นให้กำลังแก่ภิกษุโจร อันปล้นพระพุทธศาสนา  ทานนั้นหาผลมิได้ ชื่อว่าทำลายพระศาสนา
           แต่นี้ไปเมื่อหน้า ห้ามมิให้ภิกษุสามเณรสงเคราะห์ฆราวาส ให้ผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ เป็นต้น แล้วอย่าให้ผสมผสาน ขอกล่าวป่าวร้องเรื่ยไรสิ่งของอันเป็นของแห่งฆราวาสอันใช่ญาติ แล้วอย่าให้ทำการศพ แลทำเบญจการฆราวาสทั้งปวง แล้วอย่าให้เป็นหมอนวด หมอยา หมอดูต่าง ๆ  แลให้ยาแก่คฤหัสถ์อันใช่ญาติ  แลห้ามอย่าให้พูดใช้สอยนำข่าวสารการฆราวาส แลห้ามบรรดาการทั้งปวงอันกระทำผิดจากพระปาติโมกข์ สังวรวินัย ภิกษุรูปใดมีอธิกรณ์ข้อใหญ่ สงฆ์พิพากษามิถ่องแท้ เป็นฉายาเงาปาราชิก ควรจะเสียอยู่ข้างการลามกในพระศาสนา เป็นที่สงสัยสงฆ์ทั้งปวงอยู่แล้ว  อย่าให้เอาไว้ให้สึกเสีย.....
            หนึ่งห้ามฝ่ายฆราวาสทั้งปวง อย่าได้ถวายเงินถวายทองนากแก้วแหวน แลสิ่งขของอันไม่สมควรแก่สมณ เป็นต้น  แลทองเหลือง ทองขาว ทองสำฤทธิ์ แก่ภิกษุสามเณร แลห้ามอย่าให้ถวายบาตรนอกกว่าบาตรเหล็กบาตรดิน  แลนิมนต์ใช้สอยพระภิกษุสามเณรให้ทำเบญจการศพ แลให้นวดแลทำยา ดูลักษณะ ดูเคราะห์ แลวาดเขียนแกะสลักเป็นรูปสัตว์ แลใช้นำข่าวสารของฆราวาสต่าง ๆ  แลห้ามบรรดาการภิกษุสามเณรกระทำผิดพระปาติโมกข์สังวรวินัย.....
            แลถ้าพระราชาคณะ เจ้าอธิการ  ภิกษุ  สามเณร  ฆราวาส  สังฆการีธรรม  การผู้ใดมิได้ทำตามพระราชกำหนดกฎหมายนี้ แลละเมิดเสีย มิได้กำชับว่ากล่าวกัน กระทำให้พระศานาเศร้าหมองดุจหนึ่งแต่ก่อนนั้น  ฝ่ายพระราชาคณะ พระภิกษุสามเณร จะเอาญาติโยมเป็นโทษ ฝ่ายฆราวาสทั้งปวง จะให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนตามโทษานุโทษ
            กฎให้ไว้ ณ วันอาทิตย์ เดือนแปด ขึ้นสิบห้าค่ำ จุลศักราชพันร้อยสี่สิบห้า (พ.ศ. ๒๓๒๖) ปีเถาะ เบญจศก


กฎพระสงฆ์ฉบับที่ ๗

            ๗.  กฎให้ไว้แก่สังฆการี.....
               ด้วยสมเด็จบรมนารถบพิตร ฯ..... มีพระราชโองการ ฯ สั่งว่า เป็นประเพณีเมืองไท  พม่า  เมืองรามัญ  ถวายกฐินทานแก่ภิกษุจำพรรษาแล้ว และออกพรรษาในพระวิหารเสมาวงล้อมต่าง ๆ แลใกล้กันนั้น..... แลท้าวพญาอันทรงพระปัญญาพินิจพิจารณาเห็นว่า พระสงฆ์ผู้ทรงพระวินัยไตรปิฎกอันยิ่ง รักษาพระศาสนานั้นก็มีเป็นอันมาก..... (ถ้าแลเห็นว่าพระบาลีว่าวัดมีเขตวงล้อมต่าง ๆ ใกล้กัน  ผู้จะทอดกฐินในวัดนั้น  กฐินนั้นมิเป็นกฐิน  พระสงฆ์ผู้รับกรานนั้นมิเป็นรับเป็นกราน)..... ครั้งนี้เล่าประเพณีและบาลีในกฐินขันธ์  อันพระอรหันตขีณาสพผู้ทรงวินัยกระทำปฏิบัติสืบ ๆ กันมาเป็นช้านาน  หาผู้ใดจะทักท้วงไม่ ตราบเท่าทุกวันนี้..... ถ้าผู้ภายหลังทำหักรานให้กฐินทานสาบสูญบัดนี้  ก็จะเป็นครุโทษสืบ ๆ ไปเป็นหนักหนา.....
            อนึ่งเห็นว่าพระธรรมราชมุนีพุทธาจารย์  หาเป็นสุภาพวินัยธรแท้ไม่  มิได้อยู่ในบังคับบัญชาสมเด็จพระสังฆราชผู้เฒ่าอันเป็นครู  มีพระพรรษาทรง พระวินัยสันทัด ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดตั้งไว้เป็นพญาสงฆ์สำหรับพิพากษาพระวินัย  แลหักรานผู้เฒ่าผู้แก่ ให้นัยแก่พระญาณวิริยผู้เป็นศิษย์ตน  นำเอาเนื้อความกิจสงฆ์เข้ามาถวายพระพร  แลอุดหนุนถ้อยคำอันเอาโทษอันเป็นคุรุธรรม  เข้ามาติดแปดไว้ในพระราชฐาน  นี่หากว่าสมเด็จพระสังฆราชแลพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย ยั่งยืนในพระวินัย  ถวายพระพรขัดไว้จึงพ้นโทษ..... และเหตุเป็นคุรุกรรมใหญ่หลวงลามกมาถึงพระราชฐาน ทั้งนี้เพราะพระธรรมราชมุนี พระพุทธาจารย์ พระญาณวิริยะ  ไม่มีสัมมาคารวะต่อสมเด็จพระสังฆราชผู้เฒ่าอันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งขึ้นไว้  ให้เป็นที่ไหว้ที่บูชาปรึกษาพระวินัยทั้งปวง..... จึงเกิดเนื้อความมากมายทั้งนี้ มิสมควรนักหนา
           แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า  ห้ามอย่าให้พระสงฆ์ ราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย ให้อธิการรามัญ  อธิการลาว อันดับทั้งปวง แลสังฆการีธรรมการราชบัณฑิต  ข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง  เอาเนื้อความสงฆ์อันวิวาทกันด้วยกิจพระวินัย..... เอากราบทูลพระกรุณาให้หม่นหมองพระทัยเป็นอันขาดทีเดียว  แลให้ทูลแก่สมเด็จพระสังฆราชราชาคณะอธิการอันดับ  ให้มอญลาวทั้งปวงฟังบังคับบัญชาสมเด็จพระสังฆราชผู้เดียว  ถ้าแลเป็นเนื้อความมหันตโทษ ข้องเข้ามาในราชอาณาจักร  จำเป็นจะทูล ก็ให้เอาปรึกษาด้วยข้าทูลละอองธุลีพระบาท  ผู้ใหญ่ผู้น้อย นักปราชญ์ราชบัณฑิต ให้พร้อมกันควรทูล  แล้วจึงให้กราบทูลพระกรุณา
            ถ้าแลพระราชาคณะ..... ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใด  มิได้กระทำตามพระราชกำหนดกฎหมายนี้  จะเอาตัวผู้กระทำผิดพระราชกำหนดกฎนั้น  เป็นโทษตามโทษานุโทษ
            กฎให้ไว้ ณ วันจันทร์ เดือนสิบสอง ขึ้นสามค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๕ (พ.ศ. ๒๓๒๖) ปีเถาะ นักกษัตร เบญจศก


กฎพระสงฆ์ฉบับที่ ๘

            ๘.  กฎให้แก่พระสุรัสวดีซ้ายขวาในนอก  ให้กฎหมายบอกข้าทูลละอองธุลีพระบาท  ฝ่ายทหารพลเรือน  แลข้าหลวงกรมพระราชวังบวรสถานมงคล  ขอเฝ้าข้าเจ้าต่างกรม ฝ่ายหน้าฝ่ายใน  แลสังฆการีธรรมการ  แลเมือง ๑ ๒ ๓ ๔  ปากใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวงจงทั่ว
            ด้วยสมเด็จพระบรมนารถบพิตร ฯ..... ได้ทรงฟังพระราชาคณะทั้งปวงถวายพระพรว่าพระพุทธจักร แลพระราชอาณาจักรทั้งสองนี้อาศัยกับ  ฝ่ายพระสังฆเถรานุเถรอันรักษาพระพุทธจักรนั้น  ระวังกันตรวจตรารักษาพระศาสนา  มิให้เป็นอันตรายเศร้าหมอง  ครั้นเห็นว่ามีบาปภิกษุอันตราย แล้วว่ากล่าว  ยังกันให้ปรึกษาโทษผิดแห่งกัน  แล้วตัดสินว่ากล่าวตามพระวินัย  บำบัดรำงับโทษให้สงบมิได้มีลามกในพระศาสนา  ถ้าเกิดพวกภิกษุโจรมากหนัก  เหลือกำลังจะว่ากล่าว  รนร้อนชวนกันเข้ามาถวายพระพรพึ่งพระราชอาณาจักร  ฝ่ายพระมหากษัตริย์  ผู้รักษาพระราชอาณาจักรก็ช่วยอุปถัมภ์ ตามพระมหาเถรานุเถรผู้ร้อนรนรักษาพระพุทธศาสนา  เป็นประเพณีมา  จำเดิมแต่พระอรหันต์เจ้าห้าร้อย  มีพระมหากัสปเถรเจ้าเป็นประธาน  เป็นเหตุด้วยพระภิกษุแก่  อันกล่าวปรับวาทติเตียนเป็นเสี้ยนพระศาสนา  ก็ชวนมาถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอชาติศัตรูราช  พระเจ้าอชาติศัตรูก็เป็นศาสนูปถัมภก ขอปฐมสังคายนาระงับโทษดังนี้  จนถึงทุติยสังคายนา  ตติยสังคายนา  จตุดตุสังคายนา  ปัญจมสังคายนา  ฉัตถสังคายนา  ฝ่ายพระพุทธจักร  พระราชอาณาจักร  ย่อมพร้อมกันทั้งสองฝ่าย  ชวนกันชำระพระศาสนา  (มิให้มีบาปภิกษุทำลายพระศาสนา) ได้เป็นประเพณีสืบมาทั้งนี้  จนถึงเมื่อสมเด็จพระมหากรุณาเจ้าเสด็จนิพพานแล้ว  พระพุทธศาสนาล่วงไปได้ พันห้าร้อยแปดสิบเจ็ดพรรษา  ครั้นสมเด็จพระเจ้าประกรมภาหุราชบพิตร..... เป็นใหญ่ในลังกาทวีปทั้งปวง  พิจารณาเห็นหมู่ภิกษุกุลบุตรปฏิบัติต่าง ๆ มิได้ต้องแตกจากกัน  ประพฤติผิดให้พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญไป..... จึงไว้ธุรกิจด้วยพระมหากัสปเถรเจ้า  อันอยู่ในอุทุมพรปัพพารามมหาวิหาร  ทั้งพระพุทธเจ้าพระราชอาณาจักรสองฝ่าย  กระทำย่ำยีปาปภิกษุทั้งสองเหล่า  คือภิกษุต้องปาราชิกเหล่าหนึ่ง  แลภิกษุมากด้วยอาบัติเหล่าหนึ่ง  พระราชทานผ้าขาว แล้วให้สึกออกจากเพศบรรพชิต  ทรงชำระพระพุทธศาสนาให้ปราศจากมณฑิล  ด้วยพระทัยอันบริสุทธิ์ประกอบด้วยกรุณา  แต่จะให้เทวดามนุษย์ทั้งปวง  กระทำสักการบูชา ซึ่งพระศาสนาอันบริสุทธิ์  ให้ได้พ้นจากสงสารทุกข์  แลทรงพระมหากรุณาแก่กุลบุตรอันหาปัญญามิได้  ปฏิบัติผิดแล้วจะไปเสวยทุกขเวทนาอยู่ในจตุราบายอันช้านานหนักหนา..... แลเป็นประเพณีพุทธจักรพระราชอาณาจักรช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา  พระพุทธศาสนาจึงค่อยยืดยาวมาตราบเท่าบัดนี้.....
            แลทุกวันนี้ เห็นฝ่ายพุทธจักรวางมือเสีย  ประการหนึ่งเข้าใจว่าศาสนาถึงเพียงนี้แล้ว  เห็นจะบำรุงให้วัฒนาขึ้นได้  จึงมิได้ระวังระไวว่ากล่าวกัน ให้เกิดมหาโจรปล้นทำลายพระศาสนา  ทั้งสมณะแลสามเณรมิได้รักษาพระจตุปาริสุทธิศีล  ร่ำเรียนธุระทั้งสองประการ  แลชวนกันเที่ยวเข้าร้านตลาดดูสีกา  มีอาการกิริยานุ่งห่มเดินเหินกระด้างอย่างฆราวาส  มิได้สำรวมรักษาอินทรีย์  มิเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ทายก  แลเที่ยวดูโขนหนังลครฟ้อนขับ แลเล่นหมากรุกสกาพนันทั้งปวง  แลคบคิดกันกับคฤหัถชายหญิงเล่นเบี้ย..... และผูกพันเรียกฆราวาสหญิงชาย เป็นพ่อแม่เลี้ยง พี่เลี้ยง น้องเลี้ยง  แลเคารพนบนอบยอบกายวาจาแก่ฆราวาสอย่างว่าทาษทาสา  แลขอให้น้ำมนต์  ด้ายมงคลสูตรเป็นต้นแก่ฆราวาสปรารถนาลาภ  แลฆราวาสหญิงชายที่หาปัญญามิได้ ให้บำเรอแก่หมู่ภิกษุปาปอลัชชี  ได้ชื่อว่าให้กำลังแก่ภิกษุลามก.....
            แลผู้มีชื่อทั้งนี้ กระทำทุจริตผิดหนักหนา เป็นมหาโจรปล้นพระศาสนาชุกชุมขึ้นทั้งนี้  เพราะพระราชาคณะธิบดี  พระเถรานุเถรผู้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ หาความกตัญญูกตเวทีต่อพระศาสนาไม่  มิได้ประพฤติตามพระพุทธฎีกา สัตตปริหายหานิยธรรมเจ็ดประการ  มีประชุมนุมพร้อมกันตรวจตราว่ากล่าว  ให้เห็นดีแลร้ายไม่มี  หากว่าผู้มีชื่อฆราวาสเอาเนื้อความมาว่ากล่าวขับเฆี่ยน  พันธนาการประจานโทษตระเวนบกสามวันเรือสามวัน  เพื่อมิให้ดูเยี่ยงกับทำลายพระศาสนา..... แต่ฝ่ายข้างพระราชอาณาจักรนี้เร่งร้อนรนนัก  ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิต  สังฆการีธรรมการออกมาเผดียงแจกกฎหมาย  ให้พระราชาคณะทั้งปวง เร่งกำชับตรวจตรากัน  รักษาพระจตุรปาริสุทธิศีล  กฏิบัติตามคันถธุระ วิปัสนาธุระและพระราชกำหนดเก่าใหม่อยู่เนือง ๆ ฉะนี้ ก็ยิ่งมีสมณะสามเณรเป็นมหาโจรปล้นพระศาสนาขึ้นมากมาย  ดั่งนี้มิควรหนักหนา
           แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า  ห้ามมิให้สมณะสามเณรเถระรูปชี  กระทำความชั่วทุจริต ผิดด้วยพระวินัยบัญญัติบรรดาพรรณาโทษมานั้น.....
            อนึ่งพระราชาคณะทั้งปวง ก็ได้ถวายปฎิญาณว่า จะกำชับว่ากล่าวให้พระสงฆ์สามเณร รักษาชาตะรูปะชะตะสิกขาบทอันนี้ให้บริบูรณ์ ฟังดูก็หาเห็นหยุดไม่ กฎแต่ก่อนก็ให้ประกาศไปว่า จะเอาโทษทั้งสมณะแลฆราวาส แลให้สังฆการีธรรมการสอดแนมจับเอาตัวผู้ถวายเงินทอง แลภิกษุเณรเถรรูปชี ผู้รับเงินทองให้ได้เอามาว่ากล่าว.....
            อนึ่งเถรเณรจะออกจากอาราม มีกิจไปใกล้ไกลแห่งใดก็ดี  ให้ห่มดองครองผ้าเหมือนกิริยาบิณฑบาต  บิณฑบาทโดยลำดับ  อย่าให้ชิงรับจังหันวิวาทชกตีกันเป็นอันขาดทีเดียว  แลหากิจนิมนต์ไม่ได้อย่าให้เที่ยวเข้าบ้านถ้าและมีกิจธุระด้วยญาติแลบิดามารดารจะมาบ้านนั้น แลจะมีที่มาใกล้ไกลแห่งใดก็ดี ให้อำลาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ให้รู้กิจธุระก่อนจึงไปด้วยพรหมจาริยเป็นเพื่อนพยานกันสองรูปสามรูปด้วยกัน แลห้ามอย่าให้สมณะสามเณรคบหาสีกาอันใช่ญาติ  เข้าไปบ้านนอนบ้าน  ผสมผสานด้วยลาภรากเสน่หา  ห้ามฝ่ายอุบาสิกาอย่าทำสนิทติดพันเป็นโยม..... ให้ตั้งใจศรัทธาถวานทานเป็นสงฆ์อย่าจำเพาะ..... แลจะไปถวาย
ถึงอารามนั้นให้ไปในเวลาเช้าถึงเที่ยง  ห้ามอย่าให้เข้าไปถวายในกุฎี แลนั่งในที่ลับที่กำบัง  ให้นั่งนอกกุฎีในที่แจ้ง  มีเพื่อนสีกากันรู้เห็นเป็นหลายคน.....
            แลให้พระราชาคณะเจ้าอธิการอันดับผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง  ประพฤติตาม สัตตปริยหานิยธรรม แลลงพระอุโบสถจงพร้อมกันทุกวันอุโบสถ  ตามพุทธบัญญัติ..... จะให้สังฆการีธรรมการตรวจทุกวันอุโบสถ  จัดสรรชำระมลทินโทษออกเสียจากพระศาสนา
            ถ้าภิกษุสามเณรรูปใดอารามใด  ต้องอธิกรณ์ถึงอับติมวัตถุเป็นปาราชิกแล้ว  ให้พระราชาคณะสึกเสีย  แล้วบอกแก่สังฆการีธรรมการให้แจ้งด้วย  จะได้สักหน้าหมายไว้  อย่าให้ปลอมอุปสมบทสืบไป.....
            อนึ่งรูปชีอย่าให้อยู่ในอารามใกล้อารามเป็นอันขาดทีเดียว  แลฝ่ายฆราวาสนั้น ให้มูลนายบิดามารดาตรวจตราว่ากล่าว  สตรีภาพอันเป็นบ่าวไพร่ บุตรธิดา ญาติ..... ทำลายศีลสมณสามเณร ให้เป็นปาราชิก  ทำลายพระศาสนาเป็นอันขาด..... ถ้าแลบิดามารดาคณาญาติภิกษุเถรเณรที่ทำผิดนั้นรู้เห็น..... ชวนกันปิดบังเสีย.....
มีผู้อื่นรู้เอามาว่ากล่าว  พิจารณาสืบสวนได้เนื้อความเป็นสัจ  จะเอาบิดามารดาญาติพี่น้องภิกษุเถรเณรซึ่งเป็นโจรอยู่ในพระศาสนา เป็นโทษด้วย
            ถ้าแลฝ่ายพระสงฆ์สมณะทั้งปวง  มิได้กระทำตามพระราชกำหนดนี้.... จะเอาโทษแก่พระราชาคณะลงมาทั้งฐานานุกรม อธิการมหาเถรานุเถระ  อันดับผู้ใหญ่ผู้น้อยแลสามเณร อันมิได้ระวังระไวตรวจตราว่ากล่าวกันนั้น  เป็นโทษเสมอด้วยโทษสมคบสมณะสามเณรอันเป็นบาปลามกนั้น  ฝ่ายฆราวาสทั้งปวงก็แลผู้อื่นมิได้ทำตามพระราชกำหนดกฎหมายนี้..... จะเอาโทษแต่มูลนายลงมาจนบิดามารดา
ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านใกล้กันที่พอจะรู้เห็น  มิได้ห้ามปรามเอามาว่ากล่าวนั้น  เป็นโทษเสมอด้วยโทษสมณสมคบหญิงศิลบาท อันเป็นบาปหยาบช้านั้น  จะได้พร้อมกันช่วยกันรักษาพระศาสนาทั้งสองฝ่ายฉะนี้.....
            กฎให้ไว้ ณ วันพุธ เดือนสาม แรมสิบเอ็ดค่ำ จุลศักราชพันร้อยห้าสิบแปด (พ.ศ. ๒๓๓๙) ปีระกา เอกศก


กฎพระสงฆ์ฉบับที่ ๙

            ๙  กฎให้ไว้แก่พระราชาคณะ  เจ้าอธิการฐานานุกรมในนอกกรุง  แลแขวงจังหวัดหัวเมือง ๑ ๒ ๓ ๔ ปากใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวงจงทั่ว
            สมเด็จพระบรมนารถ ฯ..... สั่งว่า..... มหาสีนขาดจากสิกขาบทเป็นปาราชิกลามกในพระศาสนา  มิได้เป็นสมณะปฏิญาณตนว่าเป็นสมณ ปิดความชั่วไว้..... กระทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญเศร้า
หมองมิควรนักหนา
           แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า  ให้พระราชาคณะฐานานุกรมเจ้าอธิการ  เอาใจใส่ตรวจตราดูรู้เห็นว่า อันดับนั้นติดพันอยู่ด้วย หญิงโยมอุปฐาก  ผิดพุทธวจนะอยู่แล้ว  ก็ว่ากล่าวให้ปริวัฎออกเสียจากพระศาสนา  อย่าให้เป็นปาราชิก  ขึ้นได้ในพระศาสนาดุจหนึ่งอ้ายสีนฉะนี้  แลให้ประกาศแก่พระสงฆ์อันดับวัดวาอารามจงทั่ว  ถ้าพระสงฆ์องค์ใดกระทำความชั่วลามกอยู่แล้วก็ให้ปริวัฎออกเสีย  อย่าให้เป็นมลทินอยู่ในพระศาสนา  ทรงพระกรุณาหาเอาโทษไม่ ถ้าแลพระสงฆ์องค์ใดปกปิดความชั่วไว้..... มีผู้ว่ากล่าวพิจารณาเป็นสัจ  จะเอาตัวเป็นโทษถึง ๗ ชั่วโคตร  แล้วจะให้ลงพระราชอาญาตีโยม  พระราชาคณะ ฐานานุกรม เจ้าอธิการ อันดับ กระทำความผิดแลละเมินเสีย มิระวังตรวจตรากัน  ให้เป็นลามกชั้นในพระศาสนา.....
            กฎให้ไว้ ณ วันศุกร์ แรมสี่ค่ำ เดือนเก้า ปีขาล ฉศก


กฎพระสงฆ์ฉบับที่ ๑๐

            กฎให้ไว้แก่ เจ้าพญา และพญา  พระหลวง  เจ้าราชนิกุล  ขุน  หมื่น  พัน  ทนาย  ฝ่ายทหารพลเรือน  มหาเล็กขอเฝ้า  ข้าเจ้าต่างกรม  ฝ่ายหน้าฝ่ายใน แลกรมพระราชวังบวรสถานมงคล  และกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายหลัง แลผู้รักษาเมือง  ผู้รั้ง  กรมการหัวเมือง ๑ ๒ ๓ ๔  ปากใต้ฝ่ายเหนือ ทั้งปวงจงทั่ว
            สมเด็จบรมนารถบพิตร ฯ..... สั่งว่า
            ตั้งพระทัยทรงพระราชศรัทธา จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา..... บัดนี้พระสงฆ์อันนับเข้าในพระพุทธชิโนรสมิได้มีหิริโอตัปปะ  คบหากันทำอุลามกเป็นอลัชชีภิกษุ  คือเสพสุรายาเมา..... กระทำจอมปลอมเหมือนสามเณร..... แลซึ่งพระสงฆ์สามเณร กระทำจลาจลปล้นพระศาสนาดั่งนี้  เพราะพระสงฆ์ราชาคณะ..... ละเมินเสีย มิได้ดูแลกำชับห้ามปราม
            บัดนี้ให้พระราชาคณะ ฐานานุกรม สังฆการีธรรมการ  ราชบัณฑิตย์  พร้อมกันชำระพระสงฆ์ซึ่งเป็นอลัชชีภิกษุ  พิจารณารับเป็นสัจ  ให้พระราฃทานผ้าขาวสึกออกเสียจากพระศาสนา.....
           แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า  ถ้าผู้ใดเห็นพระสงฆ์กระทำอุลามกเป็นอลัชชี..... ทำให้ผิดเพศสมณ  ไม่ต้องด้วยพระวินัยบัญญัติ  ให้ว่ากล่าวตักเตือน  ถ้ามิฟังให้ไปบอกเจ้าอธิการ เจ้าคณะ
            อนึ่งถ้าผู้ใดล้มตาย  ห้ามอย่าให้เจ้าภาพนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระมาลัย ให้นิมนต์สวดแต่พระอภิธรรม  แลสวดให้สำรวจไปปกติ  อย่าให้ร้องเป็นลำนำแขก จีน ฝรั่ง มอญ  แลให้เจ้าภาพปฏิบัติเป็นแต่อัฐบาน  น้ำชายาเสียง อย่าให้เลี้ยง สาคู แกงบวช เมี่ยงส้ม เมี่ยงใบ กล้วย อ้อย ของกัด ของเคี้ยว เป็นอันขาด  ถ้าฆราวาสที่มาช่วยจะสวดพระมาลัยก็ตามเถิด  แต่อย่าให้สวดเป็นลำนำตลกคะนอง  ประการหนึ่ง ห้ามอย่าให้อาณาประชาราษฎร ลูกค้าร้านแพ แขก จีน ไทย ขายผ้าแพรพรรณแก่พระสงฆ์สามเณรเป็นอันขาดที่เดียว  ถ้าผู้ใดมิฟัง ยังขืนคบหา พระสงฆ์ เณร ให้สวดพระมาลัยเล่นตลกคะนอง  แลขายผ้าแพรพรรณแก่พระสงฆ์ สามเณร ดุจหนึ่งแต่หลัง จะเอาตัวเป็นโทษจงหนัก
            แลให้สัสดีหมายบอกข้าทูลละออง ฯ ให้กรมพระนครบาล  นายอำเภอประกาศป่าวร้อง  อาณาประฃาราษฎร  ลูกค้าวานิชพ่วงแพร้าน แขก  จีน  ไทย แลให้  มหาดไท กลาโหม  กรมท่า  มีตราไปถึงหัวเมืองทั้งปวงจงทั่ว
            กฎนี้ให้ไว้ ณ วันอังคาร แรมสิบสามค่ำ เดือนเจ็ด จุลศักราชพันร้อยหกสิบสาม (พ.ศ. ๒๓๔๔) ปีระกา ตรีนิศก


   | หน้าแรก | ย้อนกลับ | บน |