ข้อ 2 ว่าด้วยพระเจ้าอชาตศัตรู กระทำปิตุฆาตแล้ว ไฉนยังจะได้ตรัสเปนพระปัจเจกโพธิเจ้าอีกเล่า
แก้พระราชปุจฉาที่
33 (ความย่อ)
สมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะ 15 รูป ถวายวิสัชนาว่า
ข้อ 1 การที่กล่าวว่า พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีมากมายหนักหนา
แต่มีชาดกกล่าวไว้เพียง 550 ชาติ นั้น พระพุทธเจ้านำมาตรัสนั้นน้อย
ต่อมีเหตุมีผู้อาราธนา พระองค์จึงนำมาตรัส ที่หาเหตุมิได้ และไม่มีผู้อาราธนาพระองค์ก็มิได้นำมาตรัสไว้
และที่ไม่นำมาตรัสนั้นมากมายหนักหนา เหตุนี้จึงมีแต่เพียง 550
ชาติเท่านั้น
ข้อ 2 ที่ตรัสว่าพระยาอชาตศัตรู ได้ฟังสามัญญผลสูตรจบลงควรจะได้พระโสดาในขณะนั้น
เช่นนี้ ด้วยสรรเสริญ พระบวรพุทธศาสนา และธรรมานุภาพแห่งสามัญญผลสูตร ทั้งพระยาอชาตศัตรูก็ได้บำเพ็ญบารมี
ปรารถนาพระปัจเจกโพธิภูมิไว้แต่ก่อน แต่มิได้เป็นพุทธเวไนย เช่น พระอังคุลิมาลจึงได้ประมาท
กระทำปิตุมาต ห้ามมรรคห้ามผลเสีย จึงต้องรับวิบากกรรมไปทนทุกข์ในโลหกุมภี
สิ้นโทษแล้วต้องสร้างบารมีไปใหม่ มิใช่จะเป็นปัจเจกโพธิ เพราะการทำปิตุฆาต
มาตุฆาตนั้นมีโทษมาก จนถึงห้ามมรรคห้ามผลปรากฏอยู่แล้ว
พระราชปุจฉาที่
34
ว่าด้วย
พระโพธิสัตว์ และสาวกสร้างบารมีแสนกัลป์นั้นกำหนดอย่างไร
แก้พระราชปุจฉาที่
34 (ความย่อ)
สมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะทั้งปวง ถวายวิสัชนาว่า
พระอัครสาวก พระอสีติสาวก พระพุทธบิดา พระพุทธมารดา
พระพุทธอุปัฏฐาก พระพุทธบุตรทั้ง 5 นี้ เป็นพุทธสหจรจาริก สำหรับประดับพระพุทธเจ้า
ถ้าบารมีครบเข้าในอสุญกัลป์ใด และได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ถ้ามีอุปนิสัยเข้ากันกับพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็สำเร็จความปรารถนา ถ้าหาอุปนิสัยประกอบกับพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมิได้
ก็ยับยังเสวยสุขสมบัติสร้างบารมีไปก่อน เช่น พระพากุลเถระสร้างบารมีมานานเท่าบารมีของพระสารีบุตร
อัครสาวก เป็นบารมี อสีติมหาสาวก เกินบารมีของพระปกติสาวกนั้น กำหนดแสนกัลป์ก็มี
เกินไปเป็น 2-3 อสงไขยแสนกัลป์ก็มี หย่อนลงสร้างบารมีเพียง 94 กัลป์
ได้สำเร็จนิพพานก็มี เช่น พระสุธาบิณฑิยเถระ การปรารภเป็นพระปัจเจกโพธิ ครั้งแรก ต้องปรารถนาในสำนักพระพุทธเจ้าและอริยสาวก ส่วนพระอัครสาวก อสีติมหาสาวก
ปกติสาวก ครั้งแรกจะปรารถนาในสำนักพระพุทธเจ้า ในสำนักพระอริยสาวก
พระภิกษุบุถุชนหรือในเจดียสถานแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ แต่ต้องเป็นภายในพระศาสนา
จะปรารภในสำนักฤาษีมุนีนอกศาสนานั้นมิได้ แต่ความสำเร็จปรารถนานั้น
ย่อมเหลื่อมล้ำในสุญกัลป์ อสุญกัลป์มีอยู่ และพระบาลีในอักษรสังขยานั้นผิดจากพระบาลีในพระสูตร
พระปรมัตถ์ พระวินัย จะถือตามมิได้
พระราชปุจฉาที่
35
ว่าเหตุไฉนจึงไม่นับพระพิมพาไว้ในพระพุทธสหจร
แลเหตุไฉนจึงได้ยกว่า
ยิ่งฝ่ายมหาอภิญญา
เฉภาะมีแต่ 4 องค์ คือพระอรรคสาวกซ้าย พระอรรคสาวกขวา
พระพิมพา พระพากุลเถระเท่านั้น แลเหตุไฉนจึงจัดพระบารมี พระพุทธบิดา, พระพุทธมารดา
พระพุทธบุตรว่าแสนกัลป เหมือนพระอสีติสาวกและปกติสาวกเล่า
แก้พระราชปุจฉาที่
35 (ความย่อ)
สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะทั้งปวง ถวายวิสัชนาว่า
พระพิมพานั้นเป็นพุทธสหจรคู่สร้างบารมีดัวยกันมา แต่มิได้ยกพุทธภริยาขึ้นว่า
ก็เพราะเหตุว่าได้กล่าวถึงพระพุทธบุตรแล้ว ก็เป็นอันกล่าวไปด้วยกันเพราะไม่มีภรรยาจะมีบุตรได้อย่างไร
แต่หากอรรถกถาบาลีมิได้กล่าวไว้ ก็รู้ได้โดยนัยแล้ว
อนึ่ง การที่สรรเสริญพระสาวกในพระศาสนานี้ว่า ยิ่งด้วยมหาอภิญญานั้น มิได้จำเพราะพระอริยสาวกองค์ใด
หากแต่ว่าในศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ 1 จะมีได้แต่เพียง 4 องค์เท่านั้น
ที่พระพากุลระลึกชาติได้เท่าพระอัครสาวกนั้น เหตุว่ามีปัญญาระลึกชาติได้ถึงอสงไขยแสนกัลป์
แต่ไม่ได้ปรารถนาเป็นอัครสาวก
พระพุทธบิดา พระพุทธมารดา พระพุทธบุตร พระพุทธภริยา
เป็นคู่สร้างกันมาจริง แต่ที่กำหนดเท่ากับพระอสีติมหาสาวก ปกติสาวกนั้น
ก็โดยกำหนดมั่นไว้ว่า เพียงแสนกัลป์ก็สำเร็จ ความปรารถนา แต่ถ้าบำเพ็ญให้มากขึ้นไปด้วยประการใด
ด้วยอุปนิสัยติดพันรักใคร่กันมา ก็ยิ่งดีมิได้ห้าม
พระราชุจฉาที่
36
ว่าด้วยช้างป่าเลไลยพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ การฝึกพูดภาษามนุษย์ได้ จะต่างกันด้วยเหตุอันใด
แก้พระราชปุจฉาที่
36 (ความย่อ)
สมเด็จพระสังฆราช ถวายวิสัชนาว่า
ซึ่งจะกำหนดอายุมนุษย์เท่านั้นแล้วสัตว์เดียรัจฉานเจรจาร่วมภาษามนุษย์ได้ไม่ได้นั้น
มิได้พบพระบาลี แต่ที่พระยากาเผือกมาเทศนาแก่พระยาอาทิตยราชด้วยภาษามนุษย์นั้น
เป็นด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า รู้แจ้งเหตุด้วยพระสัพพัญญุตญาณ เช่นเดียวกับปลาตะเพียนทอง
พูดภาษามนุษย์ได้ในเรื่อง กบิลภิกษุในพระธรรมบท
พระราชปุจฉาที่
37
ว่าด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้า
แลพระยาบรมจักรพรรดิ์ไม่เกิดในสูญกัลป์นั้น ด้วยเหตุไร
แก้พระราชปุจฉาที่
37 (ความย่อ)
สมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะ 11 รูป ถวายวิสัชนาว่า
ข้อที่ว่านายสุมนมาลาการ พระเทวทัต และนกเค้า ได้พุทธทำนายว่าจะได้เป็นพระปรัตเยกโพธิ
ในที่สุดแสนกัลป์ แต่ภัททกัลป์นี้ไปนั้น เป็นอันเป็นพระปรัตเยกโพธิในสุญกัลป์
เพราะพระพุทธฎีกาที่ตรัสว่า ในสุญกัลป์หาพระปรัตเยกโพธิ พระยาบรมจักรพรรดิ์บังเกิดมิได้นั้น
กล่าวโดยเยภุยนัย
ที่เป็นไปโดยมากที่มาเกิดสูญกัลป์ก็มีบ้างแต่เป็นส่วนน้อย
เช่น พระปทุมปรัตเยกโพธิ เกิดในสุญกัลป์ระหว่างศาสนาพระพุทธวิปัสสี กับพระพุทธสิขีต่อกันนั้น
พระราชปุจฉาที่
38
ว่าด้วยสัตว์
คือ นก ไก่ เป็ด ห่านตัวเมีย มิได้สัมผัสตัวผู้
มีฟองไข่ฟักไม่เป็นตัวด้วยเหตุอะไร
ถ้าฆ่าฟองไข่นับจะเป็นปาณาติบาตฤาไม่
แก้พระราชปุจฉาที่
38 (ความย่อ)
สมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะ 9 รูป ถวายวิสัชนาว่า
เพราะเหตุว่าสัตว์ตัวเมียเหล่านั้นมิได้สัมผัสด้วยสัตว์ตัวผู้ตามประเวณีราคจิตยินดีนั้นน้อย
เพราะราคจิตอ่อน สัตว์จึงมิได้เกิดเป็นตัว แต่ก็นับว่าเกิดเป็นฟอง
มีปฏิสนธิวิญญาณอยู่ ถ้ายังมิเปื่อยเน่า ทุบต่อยก็เป็นปาณาติบาต
ถ้าสัตว์นั้นจุติสูญไปแล้ว จึงไม่เป็นปาณาติบาต
พระราชปุจฉาที่
39
ว่าด้วยพระราชประสงค์จะทรงฝังพระวินัยปิฎก
จะควรฤาไม่
แก้พระราชปุจฉาที่
39 (ความย่อ)
สมเด็จพระสังฆาช และพระราชาคณะฐานานุกรม 18 รูป ถวายวิสัชนาว่า
ซึ่งอนุปสัมบัน คือ สามเณรและฆราวาสจะฟังพระวินัยมิได้นั้น เป็นบุราณคติไม่พบพระบาลี
บัดนี้ได้พบเนื้อความในปฐมสามนต์และคัมภีร์มหาวงศ์ต้องกันว่า พระเจ้าเทวานัมปิยดิส
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ และราชบริษัท ในลังกาทวีป ทรงสดับฟังพระวินัยที่พระมหาอรัฏฐเถระเจ้าสำแดง
ในชุมนุมภิกษุมีพระมหินทรเถระเป็นประธานในถูปาราม
บัดนี้ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร ผู้เป็นศาสนูปถัมภ์ ปรารถนาจะฟังพระวินัยปิฎก
ก็ควรโดยพุทธจักรอาณาจักรอยู่แล้ว