| หน้าต่อไป |

พระอภัยมณี

            วรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ กวีเอกในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นคำประพันธ์ประเภทคำกลอนที่มีความไพเราะ และมีคุณค่าทางวรรณคดีอย่างยิ่ง ได้มีการพิมพ์เผยแพร่เป็นทางการอย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ และได้มีการพิมพ์ เผยแพร่เป็นลำดับในเวลาต่อมาอีกหลายครั้ง
            ในบรรดาหนังสือบทกลอนที่สุนทรภู่ได้แต่งไว้ เป็นที่เห็นพ้องต้องกันว่า เรื่องพระอภัยมณีเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะเป็นหนังสือเรื่องยาว แต่งดีทั้งกลอนทั้งความคิดที่ผูกเรื่อง
            หนังสือเรื่องพระอภัยมณี ผิดกับหนังสือซึ่งผู้อื่นแต่งอยู่หลายประการ จะว่าไม่มีหนังสือเรื่องหนึ่งเรื่องใดมาเปรียบก็ได้ เป็นหนังสือดีแปลกจากเรื่องอื่น ๆ  กลอนของสุนทรภู่ก็แปลกจากกลอนของกวีอื่นซึ่งนับว่าดีในสมัยเดียวกัน ความคิดและโวหารก็แปลกจากหนังสือซึ่งผู้อื่นแต่ง และความที่คนทั้งหลายนิยมหนังสือพระอภัยมณีก็แปลกจากหนังสือเรื่องอื่น ๆ
            ข้อดีที่ยิ่งของหนังสือพระอภัยมณี อยู่ที่การแต่งพรรณนาอัชฌาสัยของบุคคลต่าง ๆ กันอย่างหนึ่ง คนไหนวางอัชฌาสัยไว้อย่างไรแต่แรก ก็คงให้อัชฌาสัยเป็นอย่างนั้นอยู่ทุกแห่งไปเมื่อกล่าวถึงในแห่งใด ๆ ต่อไปอีกอย่างหนึ่ง คำพูดจาว่ากล่าวกันด้วยความรักก็ดี ความโกรธแค้นก็ดี สุนทรภู่รู้จักหาถ้อยคำสำนวนมาว่าให้สัมผัสใจคน ใครอ่านจึงมักชอบจนถึงนำมาใช้เป็นสุภาษิต



ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา

  แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
สมมติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์ ผ่านสมบัติรัตนานามธานี
อันกรุงไกรใหญ่ยาวเก้าสิบโยชน์ ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี ชาวบุรีหรรษาสถาวร
มีเอกองค์นงลักษณ์อัครราช พระนางนาฏนามปทุมเกสร
สนมนางแสนสุรางคนิกร ดังกินนรน่ารักลักขณา
มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ ประไพพักตร์เพียงเทพเลขา
ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา พึ่งแรกรุ่นชันษาสิบห้าปี
อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง เนื้อดังทองนพคุณจำรูญศรี
พึ่งโสกันต์พรรษาสิบสามปี พระชนนีรักใคร่ดังนัยนา
สมเด็จท้าวบิตุรงค์ดำรงราชย์ แสนสวาทลูกน้อยเสน่หา
จะเสกสองครองสมบัติขัตติยา แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ
จึงดำรัสตรัสเรียกโอรสราช มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร
พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ อันชายชาญเชิ้อกษัตริย์ขัตติยา
ยอมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา
ได้ป้องกันอันตรายนครา ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ
พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์ จงรีบรัดเสาะแสวงแหล่งสถาน
หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ
            เมื่อพี่น้องสองราชกุมารได้รับทราบแล้วก็ขอลาพระราชบิดาและพระราชมารดาไปตามพระราชประสงค์ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนว่า
จะเดินทางกลางป่าพนาดร จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ
จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร
แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย
            ทั้งสองราชกุมารได้เดินทางไปในป่าได้สิบห้าวันก็มาถึงตำบลหนึ่งเรียกว่า บ้านจันตคาม มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน คนหนึ่งชำนาญในการยุทธ เมื่อมีอาวุธซัดมาดังห่าฝน ก็สามารถรำกระบองป้องกันไม่ให้อาวุธต้องกายตนได้ อีกคนหนึ่งชำนาญในการปี่ และการดีดสีได้ไพเราะอย่างยิ่ง ผู้ใดได้ฟังก็จะเคลิ้มหลับลืมกายดังวายปราณ
            อาจารย์ทั้งสองได้เขียนหนังสือไว้ที่หน้าบ้านว่า ผู้ใดต้องการเรียนวิชาของตนจะต้องมีทองแสนตำลึงมาให้ เมื่อทั้งสองราชกุมารทราบความแล้ว ก็ตกลงใจที่จะเรียนวิชากับอาจารย์ทั้งสอง โดยที่ศรีสุวรรณรักที่จะเรียนวิชารำกระบอง ส่วนพระอภัยมณีรักที่จะเรียนวิชาเพลงดนตรี โดยเอาธำมรงค์ที่ใส่นิ้วมา ตีราคาแสนตำลึงทอง เป็นค่าเล่าเรียน
            ฝ่ายอาจารย์ของพระอภัยพาพระอภัยไปยอดเขาให้เป่าปี่ใช้เวลาประมาณเจ็ดเดือนก็เรียนจบ
สิ้นความรู้ครูประสิทธิ์ไม่ปิดบัง จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ จะรบรับสารพัดให้ขัดสน
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส  เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง
ฯลฯ
            แล้วอาจารย์ก็คืนแหวนให้พระอภัย แล้วบอกว่าที่ตั้งราคาไว้แสนตำลึงทองนั้น ก็ป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา ต่อเมื่อเป็นกษัตริย์หรือเศรษฐีจะสามารถศึกษาวิชานี้ได้
            ฝ่ายศรีสุวรรณได้ศึกษากลอาวุธจนสิ้นความรู้ของอาจารย์ แล้วอาจารญืก็คืนแหวนให้และบอกปริศนาไขข้อความเช่นเดียวกับอาจารย์ของพระอภัย ทั้งสองราชกุมารก็เดินทางกลับกรุงรัตนาเข้าเฝ้าพระราชบิดา แจ้งผลการศึกษาของตนให้ทรงทราบ ท้าวสุทัศน์ได้ทรงทราบแล้วก็ทรงพิโรธ เห็นว่าวิชชาที่เรียนมานั้นไม่สมควรแก่ราชกุมาร ออกปากขับไล่ไปเสียจากเมือง
            ฝ่ายสองราชกุมารได้รับความอัปยศอดสู จึงพากันออกจากเมืองเข้าสู่ป่า แล้วหารือกันถึงความยากลำบากที่จะประสบต่อไปในอนาคต พระอนุชาได้กล่าวแก่พระเชษฐาว่า
  พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญ ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง พอประทังกายาอยู่อาศัย
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี
ฯลฯ
            จากนั้นทั้งสองกุมารก็ปลอมตนเป็นสามัญชน เดินทางไปในป่าได้เดือนเศษ มาถึงเนินทรายชายทะเล ก็หยุดพักผ่อนอยู่ ณ ที่นั่น
            กล่าวถึงบุตรพราหมณ์สามมาณพเป็นสหายกัน คนหนึ่งชื่อ โมรา มีวิชาเอาหญ้ามาผูกเป็นสำเภายนต์ แล่นไปบนดินได้ คนหนึ่งชื่อ สานน มีวิชาเรียกลมฝนได้  คนหนึ่งชื่อ วิเชียร  มีวิชาใช้ธนูสามารถยิ่งออกไปได้ทีละเจ็ดลูก จะให้ถูกตรงไหนก็ได้ทั้งสิ้น ทั้งสามมาณพได้มาพบสองราชกุมารที่เนินทรายชายทะเลดังกล่าว ได้ทำความรู้จักและไต่ถามวิชาความรู้ซึ่งกันและกัน เป็นที่เข้าใจกันดี ยกเว้นวิชาเป่าปี่ของพระอภัย ว่าจะมีคุณประการใด พระอภัยจึงอธิบายให้ฟัง
  พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ฯลฯ
            แล้วพระอภัยก็เป่าปี่ให้คนทั้งหมดฟัง  มีความว่า
  ในเพลงปี่ว่าสามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
            คนทั้งหมดได้ฟังแล้วก็พากันหลับไป


ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี

  จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ  อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย
ได้เป็นใหญ่ในพวกปีศาจพราย  สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา
ฯลฯ
            เมื่อตกเย็นนางผีเสื้อน้ำได้ขึ้นมาเล่นน้ำ จนเข้ามาใกล้ฝั่งที่พระอภัยกำลังเป่าปี่อยู่ นางได้ยินเสียงเพลงปี่แล้ว ก็เกิดเสน่หาอาวรณ์ เห็นพระอภัยนั่งเป่าปี่ก็เกิดความรัก ตรงเข้าอุ้มพระอภัยไปไว้ยังถ้ำทองของตน แล้วแปลงร่างตนเป็นมนุษย์ เมื่อพระอภัยตื่นฟื้นขึ้นมาเห็นผีเสื้อแปลงกายเป็นมนุษย์ ก็รู้ว่าเป็นยักษ์ แล้วต่อว่านางผีเสื้อว่า ตนเป็นมนุษย์ไมคู่ควรกับยักษ์ แต่นางผีเสื้อก็ยังเจรจาหว่านล้อมให้ยอมเป็นสามี ทำให้พระอภัยไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ทำเป็นมีไมตรีต่อนาง
  พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต  เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย มันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน
ฯลฯ
  พระฟังคำจำจิตพิสวาท ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง
ฯลฯ
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม เหมือนเด็ดดอกหญ้าดินพอได้กลิ่น
เป็นนิสัยในภพธรณินทร์ ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ


ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร์

            ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์ตื่นขึ้นมาไม่เห็นพระอภัย เห็นแต่รอยเท้าของผีเสื้อก็เสียใจ สานนจับยามสามตาดูก็รู้ว่า พระอภัยถูกสตรีพาไปทางทิศอาคเนย์ในทะเลลึก และได้รับการอุปถัมภ์ด้วยดี เมื่อหมดเคราะห์แล้วก็จะได้พบกัน จากนั้นทั้งหมดจึงได้ลงเรือสำเภากลให้โมราเป็นต้นหน เรือได้แล่นมาถึงเมืองรมจักร จึงพากันเข้าเมืองได้พบกับนายด่าน สอบถามได้ความว่า

อันองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์ นามพระบาทท้าวทศวงศา
มีโฉมยงองค์ราชธิดา ชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์
ฯลฯ
กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานี มาสู่ขอภูมีไม่ให้ใคร
เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราช เป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย
อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกร เป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตย์ติวงศ์
ให้ทูตามาสนองละอองบาท จะขอราชธิดาโดยประสงค์
แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์ กับผู้พงศ์จักรพรรดิ์ขัตติยา
ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้ ว่าท้าวไทเป็นคนนอกพระศาสนา
ฯลฯ
            จากนั้น นายด่านก็ชักชวนให้สามมาณพ และราชกุมารพักอยู่ก่อน ต่อเมื่อมีเรือผ่านมาจะได้ฝากให้ไปกับเรือนั้น เพื่อกลับถิ่นฐาน สามมาณพและราชกุมารขออยู่ชมเมืองก่อน นายด่านก็พาไปชมเมือง พระพี่เลี้ยงทั้งสี่ของพระธิดาได้ทราบความว่า มีพราหมณ์รูปงามอยู่ในเมือง ก็ให้หาตัวไปพบเห็นพราหมณ์น้อยรูปงาม ก็เกิดความหลงไหล เห็นว่าคู่ควรกับพระธิดา จึงพาบรรดาพราหมณ์น้อยมาคุมไว้ แล้วไปเฝ้าราชธิดาแจ้งเรื่องว่า ได้พบพราหมณ์หนุ่มน้อยรูปงามในความฝัน ราชธิดารู้ทันจึงบอกว่า
ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ พี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน
แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทัน  แต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง
ฯลฯ


ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา

            นางแก้วเกษรา เมื่อถึงคราวจะได้คู่ได้สุบินนิมิต เมื่อตอนใกล้รุ่งจึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเล่าความฝันให้ฟังว่า

ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกร เข้ามาในแท่นสุวรรณอันบรรจง
เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้อง  ฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง
ฯลฯ
            พี่เลี้ยงได้ฟังก็รู้ความ แต่จะบอกไปตรง ๆ ก็กลัวจะโกรธ จึงให้อ่านตำราฝัน ทายงูว่าจะได้คู่ ราชธิดาได้ฟังก็เกิดเขินอาย ต่อว่าพี่เลี้ยงที่ให้อ่านตำราฝัน แล้วไม่ยอมพูดด้วย
            พี่เลี้ยงทั้งสี่ได้ออกไปพบสามมาณพกับราชกุมาร ดูแลทุกข์สุขเมื่ออยู่กับคนเฝ้าสวนสองคนตายาย แล้วกลับมารอเวลาจนเย็น จึงไปชวนราชธิดาไปชมสวนในเช้าวันรุ่งขึ้น
  ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา
บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์  ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง
ทรงสะพักสไบกรองลายทองริ้ว สัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง
สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส
ฯลฯ
            แต่งองค์เสร็จแล้วจึงไปทูลลาพระบิดาไปเล่นอุทยาน แล้วจึงพากันไปอุทยาน
            ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์พี่เลี้ยงเห็นนางในนับร้อยมาเที่ยวอุทยาน จึงชวนกันมาที่สวนขวัญตามที่ได้นัดแนะพี่เลี้ยงทั้งสี่นางเอาไว้ ได้เห็นพระธิดาเดินทางมาท่ามกลางสี่พี่เลี้ยง ก็ตกตะลึงในความงามของพระธิดาที่เพิ่งรุ่นสาวอายุสักสิบสี่ปี ฝ่ายศรีสุวรรณนั้น
ชำเลืองเห็นพระธิดาพะงางาม ให้มีความพิสวาสจะขาดใจ
ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้น พอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย
ฯลฯ
            ส่วนพระธิดานั้น เมื่อเห็นพราหมณ์น้อย
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์  หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย
องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา
ฯลฯ
            ทั้งศรีสุวรรณและราชธิดา เมื่อได้พบเห็นกันดังกล่าวก็เกิดการอาลัยอาวรณ์ซึ่งกันและกัน
ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้ม ตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา
พระบุตรีลีลาศชำเลืองมา ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ
พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับ ด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย
ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ
ฯลฯ
พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวน จนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน
โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาล ไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร
เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์  จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน
บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจ จะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย
ฯลฯ


ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา

            ฝ่ายพระบุตรีเมื่อกลับมาถึงวังก็เฝ้าแต่ถวิลหาเจ้าพราหมณ์น้อย สี่พี่เลี้ยงรู้ความก็ปรึกษาหารือกัน แล้วก็พากันขับกล่อมพระบุตรีให้บรรทมด้วยข้อความอันเกี่ยวเนื่องด้วยเจ้าพราหมณ์น้อย พระธิดาได้ฟังขับก็จับจิตแล้วจึงแสร้งต่อว่าสี่พี่เลี้ยงที่ชักนำให้เกิดเหตุการณ์ที่ผ่านมา
            ฝ่ายศรีสุวรรณก็พร่ำเพ้อถึงนางแก้วเกษราอยู่ตลอดราตรี จนสามพราหมณ์มาณพต้องเตือนว่า

พี่บอกแล้วไม่เชื่อนั้นเหลือใจ หนักอะไรจะเหมือนรักหนักอุรา
หลงอะไรจะเหมือนหลงทรงมนุษย์ ที่โศกสุดเศร้าแสนเสน่หา
จนลืมตัวมัวหมองเพราะต้องตา  ต้องตรึกตราตรอมจิตเพราะปิดความ
บุราณว่าถ้าเหลือกำลังลาก ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม
แม้นพ่อบอกออกบ้างไม่พรางความ จะเป็นล่ามแก้ไขให้ได้การ ฯ
            วันรุ่งขึ้น ศรีสุวรรณก็ชวนสามพราหมณ์มาณพไปที่สวนขวัญ คอยพบสี่พี่เลี้ยงเพื่อปรึกษาหารือกัน พี่เลี้ยงเล่าให้ฟังว่าพระธิดาถามถึงความเป็นมาของพราหมณ์น้อย ก็ได้รับคำตอบว่า
  ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลม ทำยิ้มแย้มเยื้อนว่าอย่าสงสัย
ฉันพี่น้องท้องเดียวมาเที่ยวไกล  อันห่วงใยไม่มีทั้งสี่คน
หมายพระนุชบุตรีเป็นที่พึ่ง คิดรำพึงสารพัดจะขัดสน
เสด็จมาเที่ยวเล่นเห็นชอบกล นฤมลมองหาสุมาลี
ฯลฯ
พระว่าพลางทางตัดใบตองอ่อน มาเขียนกลอนกล่าวประโลมนางโฉมฉาย
จบลงเอยอ่านต้นไปจนปลาย ไม่คลาดคลายถูกถ้วนแล้วม้วนตอง
เอาโศกแซมแกมรักสลักหนาม เหมือนบอกความรักนางว่าหมางหมอง
ฯลฯ
แล้วถอดธำมรงค์ครุฑบุษรา ฝากถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ฯ
            แล้วสี่พี่เลี้ยงก็นำของฝากของศรีสุวรรณไปให้พระธิดา พร้อมกับให้ความเห็นว่า พราหมณ์น้อยผู้นี้น่าจะมิใช่ชาติพราหมณ์เทศข้างเพศไสย ชะรอยจะเป็นหน่อกษัตริย์มาแต่แดนไกล
  นางโฉมยงทรงหยิบใบตองอ่อน เห็นโศกซ้อนแซมรักสลักหนาม
ก็แจ้งจิตปริศนาปัญญาพราหมณ์ แกล้งนิ่งความคลี่สารออกอ่านพลัน
ในสารศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์ บุรีรัตนามหาสวรรค์
สวาทหวังพระธิดาวิลาวัณย์ สู้เดินดั้นดงแดนแสนกันดาร
พยายามข้ามมหามหรรณพ หวังประสบวรนุชสุดสงสาร
ฯลฯ
จึงแต่งสารเสี่ยงทายถวายแหวน ใบตองแทนแผ่นทองพระน้องเอ๋ย
ถ้าแม้นมาตรชาติก่อนเป็นคู่เคย ขอให้เผยพจนารถประภาษมา
ฯลฯ
            พระธิดาทราบความแล้ว แสร้งทำเฉไฉว่าพราหมณ์น้องต้องการบอกว่ารักพี่เลี้ยง แล้วก็ขอซื้อแหวนที่ศรีสุวรรณให้มา จากพี่เลี้ยง พร้อมกับบอกว่าจะตอบเพลงยาวที่ส่งมาให้สาสมกับที่จ้วงจาบ นางสี่พี่เลี้ยงจึงบอกว่า แหวนวงนั้นขอถวายให้แต่ขอแลกเปลี่ยนภูษาศรี ที่ทรงไปอุทยานเมื่อวานนี้ พระธิดาแกล้งทำไขสือว่าจะให้ แต่ห้ามเอาไปให้ใคร แล้วพระธิดาก็ทรงกลอนอักษรสนอง
ครั้นค่ำลงทรงกลอนอักษรสนอง  เขียนจำลองลงแผ่นกระดาษหนัง
ให้หักใบเต่าร้างที่กลางวัน  มาห่อทั้งดอกรักอักขรา ฯ
            วันรุ่งขึ้นสี่พี่เลี้ยงก็ออกไปพบพราหมณ์มาณพทั้งสามและศรีสุวรรณ ที่สวนขวัญแจ้งเหตุการณ์ที่ผ่านมา แล้วมอบของที่พระธิดาฝากมาให้ แล้วลากลับไป ศรีสุวรรณนำกลอนอักษรสารของพระธิดามาอ่านให้สามพราหมณ์ฟัง
  ศุภสารฉานสนองใบตองอ่อน ซึ่งวิงวอนว่าไม่ขาดสวาทหวัง
ก็ขอบใจไมตรีดีกว่าชัง  ไม่ปิดบังบอกวงศ์พงศ์ประยูร
อันบุรีรัตนามหาสวรรค์ สารพันโภคัยทั้งไอศูรย์
ฯลฯ
ซึ่งเสี่ยงทายหมายมาดสวาทมา มิเมตตาชีวันจะบรรลัย
ทั้งรำพันสรรเสริญเห็นเกินนัก ถึงจะรักก็ไม่รักจนตักษัย
ที่ข้อนั้นครั้นละเชื่อก็เหลือใจ เขาว่าไว้หวานนักก็มักรา
ถ้ารักนักมักหน่ายคล้ายอิเหนา ต้องจากเยาวยุพินจินตรา
แม้นพระองค์ทรงเดชเจตนา จงตรึกตราตรองความตามบุราณ
เสด็จกลับกรุงไกรไอศวรรย์ จึงจัดสรรทูตถือหนังสือสาร
มาทูลองค์ทรงศักดิ์จักรพาล โปรดประทานก็จะได้ดังใจจง
ฯลฯ
            ฝ่ายศรีสุดาพี่เลี้ยงคนหนึ่ง เคืองแค้นพี่เลี้ยงอีกสามคนซึ่งเป็นที่หมายปองของสามพราหมณ์มาณพ จึงไปฟ้องพระธิดาแล้วกล่าวหาสามพี่เลี้ยง ทั้งสองฝ่ายจึงโต้เถียงกัน พระธิดาต้องออกปากห้าม
เจ้าพราหมณ์น้อยอ่อนห้ามหรือพราหมณ์ใหญ่ เข้าเคียงไหล่โลมนางอยู่กลางสวน
ทำเกลียวกลมสมยอมซ้อมสำนวน มาก่อกวนเกาแก้ที่แผลคัน
ฯลฯ
  พระบุตรีกริ้วกราดตวาดว่า นี่ใครมาหาให้พี่ตีหมากผัว
เฝ้าหวงหึงอึงไปช่างไม่กลัว ไม่มีชั่วตัวดีทั้งสี่คน
อย่าทะเลาะกันที่นี่ให้มีฉาว ไปว่ากล่าวถากถางกันกลางถนน
เหมือนไก่เห็นตีนงูเขารู้กล มาพลอยบ่นปนแปดข้าน่ารำคาญ ฯ

| หน้าต่อไป | บน |