| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

ตอนที่ ๓๐ พระอภัยตีเมืองใหม่

            พระอภัยเมื่อรบชนะแล้วก็ปูนบำเหน็จผู้ที่มีความชอบในสงคราม ตามยศศักดิ์อัครฐานโดยถ้วนหน้าตั้งแต่ชั้นไพร่ขึ้นไป

  ฝ่ายทหารพลเรือนได้เลื่อนที่ เจียดกระบี่ยศศักดิ์เครื่องปักขาว
เงินภาษีปีละแสนทั้งแดนดาว ให้ยกคราวศึกมาถึงธานี
ถึงโยธาการะเวกเมืองรมจักร ได้เงินทองของรักเป็นศักดิ์ศรี
พลทมิฬสินสมุทฝีมือดี ได้ของที่ต้องใจทั้งไพร่นาย ฯ
            ฝ่ายเสนาเมืองการะเวกที่เป็นเอกอำมาตย์เห็นพระอภัยมีพระทัยสบายดีแล้วจึงได้ทูลมูลความว่า เจ้าเมืองการะเกดคิดถึงโอรสทั้งสาม ได้ให้คนติดตามมาจนกว่าจะได้พบพระอภัย แล้วให้ตนถวายราชไมตรี ขอให้สุดสาครได้ขึ้นครองเมืองการะเกด และเจ้าเมืองการะเกดประสงค์ที่จะให้พระอภัยเป็นเชษฐา
ประการหนึ่งพระองค์ประสงค์สนิท บาทบพิตรภูวเรศเหมือนเชษฐา
แม้นบอกได้ได้ความจะตามมา ร่วมสุธาสันทมิตรสนิทใน ฯ
            พระอภัยตอบอำมาตย์เมืองการะเกดว่าได้ทราบเรื่องจากโอรส แล้วก็ขอบใจ และคิดที่จะได้รู้จัก และรักเหมือนญาติ ถ้าจะให้พระน้องมานั้นดูดังถือยศไม่งดงาม พระองค์ไปหาจึงจะชอบ
จะบอกไปให้พระน้องนั้นต้องมา ดูดังว่าถือยศไม่งดงาม
เราจะไปให้ถึงจึงจะชอบ เหมือนรักตอบตามสุภาพไม่หยาบหยาม
ฯลฯ
            หลังจากนั้นได้มีผู้นำหนังสือลับมาแจ้งว่า บุตรท้าวเจ้าพาราสุลาไล ได้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ลังกา กับบุตรท้าวระเด่นที่เป็นแขก ถึงหน้าแล้งคงจะมาเข้าตีเมืองผลึก พระอภัยได้ฟังข่าวก็ร้อนพระทัย นึกสงสัยว่าบรรดาประเทศเขตแคว้นต่าง ๆ นั้น อยู่แห่งหนตำบลใดบ้าง จึงไต่ถามพราหมณ์พฤฒา
เมืองทมิฬถิ่นประเทศทุกเขตแคว้น  ในภูมิแผนที่มีกี่ภาษา
ได้ฟังถามพราหมณ์เฒ่าเจ้าตำรา จึงวันทาทูลความตามโบราณ
อันวิสัยไตรเพทประเทศถิ่น บูรพ์ทักษิณปัจจิมทิศและอิสาน
แผ่นดินงอกออกทุกวันเป็นสันดาน เขาสร้างบ้านสร้างเมืองเนื่องกันไป
อันแว่นแคว้นแดนดินถิ่นมนุษย์ ไม่รู้สุดสิ้นอย่างต่างวิสัย
เป็นเหมือนแสนแผนที่ซึ่งมีไว้ จนถึงใกล้เขตถิ่นเมืองกินรา
ยังนอกนั้นตะวันตกยกขึ้นเหนือ พูดเหมือนเนื้อนกคล้ายหลายภาษา
แต่พวกเขาเหล่าฝรั่งข้างลังกา เคยไปค้าขายถึงทางครึ่งปี
ที่ยังนอกออกไปนั้นหลายเพศ  ว่าเขตเปรตอสูรกายแลพรายผี
ซึ่งทราบความตามอ่านพระบาลี ในคัมภีร์ภูมิประเทศเขตสุธา ฯ
            พระอภัยได้ฟังแล้วก็มีความวิตกเห็นว่า นางละเวงวัณฬา จะเชิญท้าวด้าวแดนมารบเมืองผลึกได้อีกมาก ชาวเมืองจะเดือดร้อน จึงคิดจะข้ามไปปราบปรามแคว้นสิงหล เหมือนตัดต้นปลายก็จะตายตาม ให้เสนาอำมาตย์เมืองการะเวกพาโอรสทั้งสามกลับไปเมือง เมื่อเสร็จสงครามแล้วพระองค์จึงจะตามไป แล้วให้อาลักษณ์เขียนสาร กับประทานบรรณาการไปถวายเจ้าเมืองการะเกด จากนั้นจึงให้พระอนุชากับเสนาเมืองผลึกให้เตรียมพล เพื่อจะข้ามไปลังกา แล้วชวนสุดสาครมาบอก จำต้องให้สุดสาครกลับไปเมืองการะเกด
จะแลลับกลับเป็นลูกเขาอื่นไป เหมือนดวงใจพ่อนี้พรากไปจากทรวง
จะขัดขวางอย่างไรก็ไม่ชอบ ด้วยเธอมอบรักใคร่มาใหญ่หลวง
มิให้ไปไพร่พลคนทั้งปวง จะลามล่วงติโทษว่าโหดไร้
ฯลฯ
            สุดสาครทูลตอบว่า จะขอลาไปทูลมูลเหตุแล้วจะพาพลกลับมาช่วยพระบิดารบกับกรุงลังกา สุดสาครพร้อมกับสองกุมารก็ทูลลาพระพี่ พระชนนี และพระเจ้าอา นางกษัตริย์รับขวัญแล้วร่ำอาลัยสุดสาครและสองกุมาร
แล้วโลมลูบจูบพักตร์รักเหมือนบุตร ล้วนแสนสุดซื่อตรงน่าสงสาร
เมื่อเติบใหญ่ไหนก็คงเป็นวงศ์วาน กอดกุมารรับขวัญกลั้นโศกา
ฯลฯ
แม่รักน้องของเจ้านั้นเท่าไร  ก็รักใคร่ตัวเจ้านั้นเท่ากัน
ขอฝากน้องสองหญิงอย่าทิ้งขว้าง ให้เหมือนอย่างร่วมอุทรให้ผ่อนผัน
ฯลฯ
            เมื่อสุดสาครและสองกุมารออกเดินทางไปแล้ว พระอภัยก็เตรียมเรือรบครบถ้วนตามกระบวนศึก ให้สินสมุทกับพระอนุชาเป็นกองหน้า พระอภัยคุมทัพหลวง พราหมณ์วิเชียรคุมปีกขวา พราหมณ์โมราคุมปีกซ้าย พราหมณ์สานนอยู่รั้งท้ายได้เรียกลม ให้พัดพาเรือออกเดินทางไปได้สิบห้าวัน
            ฝ่ายฝรั่งลังกาที่รักษาด่านอยู่เห็นกองทัพเมืองผลึก ยกมาก็รีบนำความไปทูลเจ้านาย ลูกสาวเจ้าลังกาทราบข่าวศึก ก็คิดที่จะให้กองทัพของเจ้าเมืองทั้งสอง ออกไปสู้จึงให้ฝรั่งเศสกับแขกเทศ พวกระเด่นที่เป็นล่ามไปทูลสองกองทัพว่า จะสู้รบหรือหลบหนี
  ฝ่ายบุตรท้าวเจ้าระเด่นชื่อเซ็นระด่ำ แปลเป็นคำไทยว่าเจ้าฟ้าสวรรค์
ใคร่จะรบตบพระหัตถ์แล้วตรัสพลัน ชะแม่วัณฬาว่าเป็นน่าอาย
แน่อำมาตย์ชาติเราเหล่าระเด่น ถึงป่นเป็นภัส์มธุลีไม่หนีหาย
ฯลฯ
  ฝ่ายมะหุดบุตรท้าวเจ้าฝรั่ง เมื่อได้ฟังฝีปากเขาถากถาง
ยิ่งเหิมฮึกนึกมานะไม่ละวาง ไฉนนางทรงสั่งมาดังนี้
จะยกไปหลายครั้งฝรั่งห้าม จนศึกข้ามเขตคุ้งมากรุงศรี
ฯลฯ
            ทั้งสองบุตรเจ้าเมืองเดินทางเข้าไปในวัง
ถึงวังทั้งระเด่นเซ็นระด่ำ ขุนนางนำเข้าไปตึกที่ปรึกษา
ทั้งสองข้างต่างถึงถลึงตา  พวกเสนาแลดูรู้ทำนอง
เชิญให้นั่งตั้งที่เก้าอี้รับ มีฉากลับแลบังอยู่ทั้งสอง
นางสาวสวรรค์พนักงานเชิญพานทอง ถวายกล้องเครื่องพระศรีที่น้ำชา ฯ
            องค์ละเวงวัณฬา ออกมาพบเจ้าเมืองทั้งสอง แล้วถามถึงแนวความคิดในการสู้รบ ทั้งสองคนต่างก็แย่งกันพูด
จะเกี้ยวนางต่างสองขึ้นพ้องเสียง สวนสำเนียงไม่รู้ว่าภาษาไหน
เสียงฝรั่งประดังแขกแทรกขึ้นไป เหมือนสวดมาลัยรับวัดสันทัดกัน
           ฝ่ายองค์ละเวง เกรงจะวิวาทกันจึงเขียนฉลากบนกลีบลำเจียก แล้วให้เจ้าทั้งสองจับฉลาก ถ้าผู้ใดได้ก่อนก็ให้ผู้นั้นไป ฝ่ายเจ้าฝรั่งจับฉลากได้ก็ดีใจ แล้วลามายกทัพออกไปตั้งป้องกันเมือง
            ฝ่ายระเด่นเซ็นระด่ำ ก็แค้นใจแล้วตรัสว่า พวกฝรั่งที่ออกไปตั้งรับ ถ้าถอยกลับมายังฝั่ง ก็จะเข้าตีซ้ำให้สาสมที่ถือตัวไม่กลัวใคร แล้วออกมาสั่งให้ ตำมะหงง เตรียมพลเอาไว้ริมฝั่งทะเล
            ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกา ยังเกรงว่าจะวิบัติได้จึงให้ตรวจหน้า หน้าที่ต้อนรี้พลขึ้นอยู่บนป้อม รอบขอบบุรี แล้วชวนเหล่านางในไปดูการรบ
            ฝ่ายสินสมุทเป็นทัพหน้า พอตกเย็นเห็นกำปั่นแล่นเป็นตอนตอน ตั้งกระบวนจะสวนรบจึงให้เข้าโจมตี
ไม่รอรั้งสั่งทหารให้ขานโห่ ไล่เรือโล้เข้าประจัญหันตลบ
แล้วตีฆ้องกลองระดมเร่งสมทบ เข้ารุมรบเรือฝรั่งเมืองลังกา ฯ
  ฝ่ายมะหุดบุตรท้าวเจ้าฝรั่ง ตีระฆังขานรับทัพซ้ายขวา
แล้วตั้งโห่โล้หลีกเป็นปีกกา ตามสัญญายิงปืนเสียงครื้นครึก
ฯลฯ
สินสมุทสุดกล้าออกหน้าทัพ หมายจะจับฝรั่งยังไม่ใกล้
พอลูกท้าวเจ้าพาราสุลาลัย ทรงปืนใหญ่ยิงหมายเอานายพล
            สินสมุทถูกปืนใหญ่ยิงถูก ตกจมไปในน้ำ ศรีสุวรรณกันทัพให้รับรบจนค่ำมืด กองทัพปะทะกันสับสนอลหม่าน พอดีลมตีเข้าฝั่งลังกา พระอภัยพอได้ลมก็เร่งสมทบขึ้นมา
  ฝ่ายระเด่นเซ็นระด่ำเห็นค่ำพลบ เอาเรือรบรายทางออกข้างหลัง
ด้วยโกรธขึ้งหึงผู้หญิงคิดชิงชัง  ยิงฝรั่งเรือแตกต้องแยกรับ
พวกกองหนุนวุ่นวายฝ่ายกองหน้า ก็พะว้าพะวังถองหลังกลับ
ศรีสุวรรณลั่นฆ้องเร่งกองทัพ  เข้าคั่งคับขึ้นกำปั่นไล่ฟันแทง
ฯลฯ
เข้าถึงฝั่งทั้งแขกพลอยแตกซ้ำ บ้างลงน้ำขึ้นตลิ่งวิ่งถลัน
เหล่าทัพแตกแขกฝรั่งล้วนชิงกัน เข้าแทงฟันเฝ้าแต่ซ้ำกันร่ำไป
ฯลฯ
            ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกา เห็นข้าศึกมีหลายทัพดูคับขัน ฝรั่งแขกก็แตกยับคิดจะล่าทัพ แต่กลับทำแข็งขืนเรียกให้ขึ้นป้อมปืน ข้างฝั่งน้ำก็ให้โยธาขึ้นสมทบบรรจบกัน แล้วเรียกข้าเฝ้าเหล่าทหารมาคิดหาทางแก้ไข เสนาทูลว่า ให้รั้งรอตั้งมั่นอยู่พอให้รุ่งแจ้ง แล้วจึงผ่อนผันถ่ายเทด้วยเล่ห์กล องค์ละเวงได้ฟังแล้ว จึงสั่งให้วางกำลังไปตั้งรับไว้ที่ริมฝั่งทะเล
จะได้รับทัพแตกแขกฝรั่ง ที่อยู่ฝั่งฝ่ายเราคงเข้าหา
รับแต่ไพร่ไว้บำรุงกรุงลังกา แต่ตัวนายขายหน้าอย่าเอาไว้
ฯลฯ
                ฝ่ายมะหุด บุตรท้าวเจ้าฝรั่ง เรือที่นั่งอับปางลงจึงพากันว่ายเข้าฝั่งได้ แล้วไปยังพลับพลาหน้าเชิงเทิน เห็นองค์ละเวงอยู่บนพลับพลา จึงตะโกนร้องบอกให้เปิดประตูรับ องค์ละเวงเห็นก็จำได้ แต่แกล้งให้สาวสวรรค์ชั้นนอก ตะคอกไปว่าเป็นปีศาจ แล้วยังมาหลอกแล้วขู่ว่า จะเอาปืนยิงทำให้มะหุดต้องวิ่งหนีหลบไป
                ฝ่ายระเด่นเซ็นระด่ำกับตำมะหงง แตกทัพมาถึงหน้าวัง เห็นลูกสาวเจ้าลังกาอยู่หน้าป้อม ก็ร้องบอกให้เปิดประตูรับ องค์ละเวงก็ใช้วิธีการทำนองเดียวกับบุตรท้าวเจ้าฝรั่ง
  นางละเวงเกรงใจใช้แต่ล่าม ให้ตอบตามคำแขกแปลกภาษา
ว่าระเด่นเป็นผีหนีเข้ามา ยังหลอนหลอกกลอกหน้าทำตาวาว
จะถือบวชตรวจน้ำทำนบี ไปถึงผีทัพแขกแตกตาขาว
เห็นศึกมาตาเหมี่ยววิ่งเกรียวกราว สินทั้งบ่าวทั้งนายตายไม่ดี ฯ
            บรรดาสาวสวรรค์ชั้นนอก จึงร้องขู่และจะเอาปืนยิ่งทำให้ทหารแขกทิ้งนายหนีไป
  สาวสุรางค์ต่างกลับขับตะคอก ยังหลอนหลอกแลบลิ้นจะกินหมู
อ้ายผีแขกแยกเขี้ยวมาเกี้ยวชู้ เฝ้าแลดูพระธิดาทำตาโพล
พลางจ้องปืนยืนขยับแล้วขับไล่ ไม่ถอยไปหรือจะต้องเป็นสองโหง
            ฝ่ายพระอภัยมณีชนะศึกแล้วเสียพระลูกน้อยก็เศร้าเสียใจ ให้ประดาน้ำลงหาก็ไม่พบ จึงไต่ถามโหรว่าพระลูกยารอด หรือมอดม้วย
  โหรารับจับยามตามสังเกต พิเคราะห์เหตุหารคูณไม่สูญหาย
จึงทูลความตามตำรับไม่กลับกลาย ยังไม่ตายแต่ว่ายากลำบากครัน
ฯลฯ
ต่อเช้าตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ พระพุธนั้นถึงพฤหัสสวัสดี
จะได้ลาภปราบศึกให้กึกก้อง  ได้สิ่งของมาประณตบทศรี
ฯลฯ
ครั้นน้ำลงตรงออกไปนอกอ่าว เวลาเช้าน้ำขึ้นจะคืนที่
คงได้มาในรุ่งวันพรุ่งนี้ ถ้าแม้นมิเหมือนสัญญาให้ฆ่าฟัน
ฯลฯ
  ฝ่ายบดินทร์สินสมุท ด้วยเป็นบุตรนางมารหลานฤาษี
ถือพระมนต์ทนคงทรงอินทรีย์ ถอดชีวีไว้ที่ในไตรโลกา
ถึงตัวตายสายธาตุไม่ขาดสิ้น คือธาตุดินธาตุน้ำร่ำรักษา
ถ้าลมแดดแผดส่องต้องกายา จะแกล้วกล้ากลับเป็นเหมือนเช่นกัน
ฯลฯ
เข้าเกยหาดธาตุลมระดมต้อง ตกถึงห้องนาสิกผลิกผวา
พอแดดถูกปลูกชีวิตด้วยฤทธา ยิ่งแกล้วกล้ากลับฟื้นขึ้นยืนดู
            สินสมุทฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นเปลวไฟไหม้กำปั่นอยู่ ไม่รู้ว่ากองทัพของตนอยู่ที่ไหน จึงขึ้นบกมาถึงวังใหม่ เห็นไพร่พลอยู่พร้อมพรั่ง พวกทัพแตกแขกฝรั่งเมืองลังกา ยังวิ่งหากันอยู่วุ่นวาย แลดูผู้คนของเมืองผลึกโห่ฮึกอยู่ก็รู้ว่ามีชัย แล้วเลี้ยวไปดูรอบขอบบุรี เห็นเซ็นระด่ำกับตำมะหงงยืนอยู่ตรงพลับพลา สังเกตเห็นว่าระเด่นเป็นผู้ดี กำลังยืนอ้อนวอนผู้หญิงอยู่ แล้วเห็นนางละเวงวัณฬานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทองเหมือนอย่างนางในรูปเขียน ก็มีใจรัญจวนปั่นป่วนเพราะมนต์เข้าดลใจ  สินสมุทรอายุได้สิบเก้าปี ไม่รู้รักชู้สาวมาก่อน ก็อัดอั้นอ้ำอึ้งตะลึงตกใจ
                ฝ่ายมะหุดบุตรท้าวเจ้าฝรั่งกับเซนระด่ำต่างคลั่งไคล้หลงใหลในลูกสาวเจ้าลังกา เมื่อพบกันก็ได้เข้าต่อสู้กัน  องค์ละเวงเห็นดังนั้น จึงให้ขุนนางฝ่ายทหารเปิดประตูออกไปว่าขาน แต่คนทั้งสองไม่ยอมฟัง
                ฝ่ายสินสมุทเห็นพวกองค์ละเวงวัณฬาเปิดประตูออกมา คิดว่าถ้าจับองค์ละเวงได้ก็จะปรากฏเป็นยศศักดิ์ จึงวิ่งเข้าประตูวังใหม่แล้วขึ้นไปบนป้อม จะเข้าไปจับนางละเวง
  ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงรู้เพลงรบ เลี้ยวตลบหลีกลัดวิ่งผัดผัน
เข้าปนเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล พัลวันเวียนอ้อมบนป้อมปืน
ฯลฯ
                องค์ละเวงเห็นจวนตัว จึงเอาตราราหูกวัดแกว่งแล้วฟาดพระศอของสินสมุทจนสลบไป แล้วกลับฟื้นเห็นเป็นไฟล้อมองค์ละเวงอยู่ ไม่อาจเข้าจับได้ด้วยอำนาจวาสนา จึงกระโดดออกนอกกำแพงฆ่าไพร่พลข้าศึกเป็นอันมาก แล้วจับมะหุดบุตรฝรั่งกับแขกระเด่นได้ พาว่ายน้ำไปขึ้นเรือแล้วไปเฝ้าพระบิดาและพระอา ทูลความที่ผ่านมาให้ฟัง
แล้วทูลว่าตราสำคัญหม่อมฉันเห็น เขาแกะเป็นดวงหน้าพระราหู
ครั้นเข้าชิดฤทธิไกรเป็นไฟฟู นางถือกับกายมีสายพัน
เมื่อหวดถูกลูกยาเหมือนฟ้าฟาด เจียนจะขาดชีวาถึงอาสัญ
จะจับนางขวางขัดเป็นอัศจรรย์ หาไม่วันนี้ก็เสร็จสำเร็จการ ฯ
            กษัตริย์ทั้งสององค์ได้ฟังจึงบอกว่าเป็นด่วนได้และทำการเกินกำลัง และกล่าวถึงองค์ละเวงว่า
เพราะนางนี้มีคุณการุญราษฎร์ ยังไม่ขาดชันษาถึงอาสัญ
ถือดวงตราราหูคู่ชีวัน ประกอบกันจึงได้ปลอดรอดภัยพาล
ฯลฯ
                แล้วดูหน้าบุตรเจ้าฝรั่งกับบุตรเจ้าแขก ล้วนแรกรุ่นคราวโอรส จึงไต่ถาม แต่ทั้งสองคนไม่ยอมตอบ จึงสั่งให้ขังเอาไว้ก่อน และดูแลให้ดี ถ้าบิดามาง้อขอโอรสก็จะปล่อยให้ไปด้วยปรานี
                สินสมุทให้ความเห็นว่าจะยกทัพเอาเมืองนั้น การสู้รบกับสตรีนั้นร้ายกว่าสู้เสือ ถ้าไปรบแล้วพบผู้หญิงชาวสิงหลขออย่าให้ทำเป็นมิตรด้วย พิสมัยจะทำให้เสียการ ถ้าใครพบเห็นให้ฆ่าเสียทันที
                พระอภัยให้สัญญาว่าได้รู้ท่วงทีมาแล้วจะไม่เป็นอย่างนั้นอีก แล้วบอกว่าจะยกพลขึ้นบกในวันนี้ เข้าระดมตีเมืองใหม่แล้วเอาไฟเผา แล้วสั่งให้พลรบเตรียมสมทบไว้
                ฝ่ายองค์ละเวงวัณฬาคิดขยาดข้าศึกที่ฮึกหาญ จากการที่สินสมุทเข้ามาจู่โจม แล้วจับแม่ทัพไป คิดถึงเรื่องที่เรียนมาในคัมภีร์ แล้วคิดได้ถึงอุบายของบาทหลวง
พอคิดได้ในอุบายพระบาทหลวง ให้ล่อลวงล้างศึกอย่านึกหนี
อันกลหมูสู้เสือนั้นเหลือดี ไม่ต่อตีต้อนส่งเข้ากรงตรึง
            จากนั้นได้ปรึกษาพวกข้าเฝ้าว่าจะใช้กลศึกเข้าต่อสู้ให้แพ้ชนะกัน
ด้วยเห็นว่าข้าศึกมาฮึกโหม จะจู่โจมจุดไฟเข้าไล่จับ
เหมือนไฟป่ามาใกล้จุดไฟรับ จึงจะดับเพลิงได้ดังใจนึก
            ให้ทำกลไกขังข้าศึกให้ไฟไหม้ตาย โดยใช้วิธีการเขาเผาเรา เราเผาเขาบ้าง  พวกขุนนางก็ไปจัดการตามที่ตรัสสั่ง
            ฝ่ายเมืองผลึกพอตกค่ำลงก็ให้ยิงปืนเป็นสัญญา สานนอ่านมนต์เรียกลมให้พัดเข้าตลิ่งทางฝั่งสิงหล แล้วเคลื่อนเรือรบเข้าฝั่งพร้อมทั้งยิงปืนหน้าเรือนำเข้าไป
            ฝ่ายฝรั่งตั้งรับอยู่ชายตลิ่งก็ยิงปืนต่อสู้  พอเรือเสยเกยตลิ่ง กำลังพลจากเรือก็ถือคบไฟวิ่งขึ้นจากเรือไปไล่ฟันแทงทหารฝรั่งโดยไม่ใช้ปืนยิง
            สินสมุท วิเชียร โมรา และสานน ต่างยกพลขึ้นบกทั้งหกทัพ  พวกทหารลังกาคอยรบล่อให้ฝ่ายพระอภัยตามไปติดกำแพง พาไปถึงข้างเขาเพื่อคอยเผาทัพเรือ
พามาถึงต้นทางไปข้างเขา จะคอยเผาทัพเรือเหมือนเสือแฝง
ฝ่ายพวกพลบนหอรบจุดคบแดง ต่างต่อแย้งยิงสู้ดูศักดา ฯ
  หน่อนรินทร์สินสมุทไม่หยุดยั้ง กับไพร่พรั่งพรูพร้อมเข้าป้อมขวา
ต่างเผ่นโผนโยนโซ่สวนเสมา โยทะกาเกี่ยวปราการขึ้นราญรอน
ฝรั่งแทงแย้งฟันกันหน้าที่ ออกต่อตีต้านรับสลับสลอน
เอาไฟฟาดสาดน้ำมันเป็นควันร้อน บ้างปอกปอนป่วยกายบ้างวายชนม์
ฯลฯ
            ฝ่ายเมืองผลึกวกเข้าไปบนป้อม สินสมุทเป็นรูปนั่งหน้าพลับพลาเหมือนองค์ละเวง ก็เข้าไปจับกลเก้าอี้ก็ตกในกรง สินสมุทตกลงไปด้วยดิ้นไม่หลุด
            ฝ่ายพราหมณ์สามคนเห็นรูปนางนั่งนึกว่าเป็นนายพล โมราถึงรถทรงก็เข้ารวมจับคนบนรถก็ตกลงไปติดในกรง พวกฝรั่งลังกาก็ล้อมจับไพร่พลเมืองผลึกด้วยตรีนายติดรถหมดทุกคน
  ทัพฝรั่งทั้งสิบสองกองสมทบ ตีตลบไล่ล้างมากลางหน
ฝ่ายเสือป่าฝรั่งริมฝั่งชล เห็นทัพบนบกตื่นเสียงครื้นครึก
บ้างจุดคบครบมือถือลงน้ำ เที่ยวเผาลำเรือเหล่าชาวผลึก
ฯลฯ
            พระอภัยเห็นศึกกลับโอบล้อมหลังก็ตกใจ จึงทรงเป่าปี่ห้ามปรามณรงค์
วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น คนขยันยืนขึงตลึงหลง
ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง ลึมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
พระโหยหวนควรญเพลงวังเวงจิต ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
ถึงยามค่ำร่ำฆ้องจะร้องไห้ ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย  น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำอยู่วังเวง
ฯลฯ
            เมื่อได้ยินเสียงปี่พระอภัย พวกไพร่พลก็พากันหลับไป


ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง

            ฝ่ายนางละเวงเห็นไพร่พลหลับไปหมดเก็แค้นพระอภัย คิดว่าจะไปดูว่าพระอภัยอยู่แต่ลำพังหรือไม่ จะได้สู้รบกันดูฝีมือ แล้วขึ้นม้าควบไปทางข้างกำแพง เห็นพระอภัยเป่าปี่อยู่ผู้เดียวก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกปี่พระอภัยหลุดจากพระหัตถ์ อีกลูกหนึ่งถูกเกราะที่พระอภัยสวมใส่อยู่ จึงเอาทวนแทงพระอภัย
            พระอภัยรบกับนางละเวง เอาปืนยิงถูกปากม้าที่นางขี่มา ม้าก็พาโลดกระโดดดีด นางตกใจร้องหวีดเต็มเสียง พระอภัยได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงก็รู้สึกอายใจ นางจึงควบม้ากลับไปกองทัพ
            พระอภัยจึงลงจากรถแล้วทรงม้าต้นติดตามไปทันนางที่กลางแปลง ได้สู้รบกัน พระอภัยเห็นหน้านาง จึงตรัสถามว่านางคือองค์ละเวงวัณฬาใช่หรือไม่ ขอให้ยั้งมือไว้จะขอเจรจาด้วย เพราะได้ติดตามมาด้วยความสุดแสนสวาท นางละเวงได้ฟังคำจึงแกล้งถามว่า

ท่านนี้หรือชื่ออภัยจะใคร่รู้ ที่ชิงคู่ไปชมประสมสอง
พระเชษฐาปรานีเหมือนพี่น้อง ยังขัดข้องคิดทำลายให้วายชนม์
แล้วมิหนำซ้ำตามข้ามสมุทร มายงยุทธ์กับผู้หญิงถึงสิงหล
ครั้นหักโหมโจนจับไม่อับจน กลับแต่งกลเกี้ยวพานด้วยมารยา
ฯลฯ
            พระอภัยจึงตรัสปลอบนางด้วยประการต่าง ๆ แล้วบอกว่าจะให้นางครองเมืองต่อไปและขอเป็นทองแผ่นเดียวกันจนตาย
            นางละเวงได้ฟังก็ชื่นชอบ แล้วตอบไปว่า ถ้าไม่มุ่งหมายจะทำร้ายกันแล้วต้องแก้ไขให้ไพร่พลตื่น แล้วให้พระอภัยกลับไปเมืองผลึก
            พระอภัยได้ฟังก็เห็นในความชาญฉลาดของนาง จึงตอบไปว่าให้นางไปนั่งที่ราชรถ เพื่อไพร่พลตื่นขึ้นมาเห็นสองคนนั่งอยู่จะได้ปรองดองกัน ส่วนสัญญาที่เสนอมานั้นก็ให้สัตย์ไม่ขัดข้อง
            นางฟังคำพระอภัยแล้วบอกว่าการที่จะให้นางไปนั่งอยู่กับพระอภัยนั้นเป็นเรื่องน่าบัดสี ถ้าจะให้เป็นไมตรีโดยซื่อตรงแล้ว ก็ขอให้ไพร่พลได้ตื่นขึ้นมาก่อน ถ้าไม่เชื่อตามนี้คิดจะทำสงครามก็ให้ติดตามมาจับ แล้วนางก็เป่ามนต์ขับม้าเข้าแฝงไฟ
            พระอภัยเห็นนางหนีลับตาไปก็คิดถึงวิชาเป่าปี่ จึงเป่าปี่ประโลมนางให้กลับมา นางละเวงได้ยินเสียงปี่ก็ตะลึงลืมปลื้มอารมณ์ไม่สมประดี ชักม้ากลับมาพบพระอภัย พระอภัยเห็นนางกลับมาก็วางปี่ แล้วเชิญนางไปราชรถ นางรู้สึกหวั่นใจจึงควบม้ากลับไป
            พระอภัยคิดสงสัยว่าเมื่อเป่าปี่นางก็ได้หวลกลับมา แต่เมื่อหยุดปี่นางก็กลับหนีไป จึงควบม้าค้นหา แต่ไม่พบ จึงเอาปี่มาเป่าใหม่นางก็ไม่กลับ จึงคิดปลุกทัพเพื่อให้นางหายสงสัย แล้วได้เป่าปี่ปลุกไพร่พลให้ตื่นขึ้น
            ฝ่ายฝรั่งลังกาตื่นขึ้นมาแล้วรวมกันไม่ได้ ต่างพากันติดตามถามข่าวถึงเจ้านาย แยกย้ายกลับไปลังกา ไพร่พลเมืองผลึกตื่นขึ้นมาแล้วก็พากันกลับไปยังชายฝั่ง
            สินสมุทขอตามตีข้าศึก แต่พระอภัยห้ามไว้ บอกว่าได้ขอเป็นไมตรีกับแม่ทัพลังกา ก็ได้รับการสนองด้วยดี ตอนนี้กองทัพยังวุ่นวายอยู่ ให้รอฝ่ายลังกาส่งทูตมาเจรจา ถ้าฝ่ายลังกาเสียสัตย์ก็จะตามตีไปถึงเมืองลังกา
            ศรีสุวรรณได้ฟังคำพระอภัย เห็นจริตผิดที่กิริยาจึงแกล้งว่า หวังจะลองดูท่วงทีของพระอภัยว่าจะเสียทีทางสวาท พระอภัยได้ฟังจึงตรัสตอบ
  พระอภัยใจกระสันยังพันผูก เขาเกาถูกเข้าที่คันก็หรรษา
สำรวลพลางทางสนองพระน้องยา ธรรมดามดดำกับน้ำตาล
ได้เข้าเรียงเคียงใกล้แล้วไม่อด คงชิมรสรู้กำพืดว่าจืดหวาน
ฯลฯ
            ศรีสุวรรณกับสินสมุทต่อว่าพระอภัย แต่พระอภัยก็แก้ว่า ตอนนี้ไพร่พลได้ผ่อนพัก จะได้รักษากายให้หายดีเสียก่อน แล้วให้ยกพลขึ้นไปตั้งอยู่วังใหม่รักษามั่นไว้
จึงขึ้นบกยกขึ้นตั้งอยู่วังใหม่ ให้นายไพร่อยู่รักษาทุกหน้าที่
คอยระวังนั่งยามตามอัคคี อย่าให้มีเภทภัยสิ่งใดพาน
            ฝ่ายองค์ละเวงวัณฬาขับม้าหนีไปในป่า ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนตำบลไหน จึงลงม้าแล้วพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง ได้พบของสิ่งหนึ่ง เมื่อกินแล้วเกิดมีเรี่ยวแรง เห็นอารักษ์บนชะง่อนเขา ขอกินสิ่งนั้นบ้าง นางบอกว่าให้อารักษ์บอกก่อนว่าสิ่งนั้นคืออะไร
ฝ่ายอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตสถาน จึงแจ้งการกับวัณฬามารศรี
ลูกนั้นชื่อว่านมพระธรณี ถึงพันปีมีผุดขึ้นมาเหมือนปืนดัง
ฝูงสัตว์ไพร่ได้ยินทั้งกลิ่นหอม  มาพรั่งพร้อมเพราะจะกินถวิลหวัง
ด้วยหวานเย็นเห็นประเสริฐเกิดกำลัง กำจัดทั้งโรคาไม่ราคี
อายุยืนชื่นชุ่มเป็นหนุ่มสาว  ผิวนั้นราวกับทองละอองศรี
ฯลฯ
            อารักษ์ได้บอกว่า ตนถูกพระอิศวรสาปไว้ให้เฝ้าเขาอังกาศ ต่อเมื่อได้กินนมพระธรณี เมื่อวันไรจึงพ้นคำสาป นางได้ฟังจึงฝานถันสุธาให้ แล้วขอให้อารักษ์ชี้หนทางให้ไป
            อารักษ์ได้ฟังจึงบอกว่า นางจะได้พบลาภปราบไพรี ให้เดินทางไปข้างเขาจะได้พบชาวบ้านป่า และจะได้พบพระปีโป ไต่ถามเรื่องที่สงสัย
            นางละเวงวัณฬา ออกเดินทางไปตามที่อารักษ์บอก ได้ชมนกชมไม้ไประหว่างทาง
            กล่าวถึงชาวบ้านเขาเขียว มีนักปราชญ์บาทหลวงเป็นหลักบ้าน สร้างตึกใหญ่ไว้ข้างทางเดิน มีลูกเต้าชาวบ้านมาฝากให้เล่าเรียน วิชาไตรดาโหรา
คนทั้งนั้นวันอาทิตย์เป็นอิสระ มาไหว้พระพร้อมกันด้วยหรรษา
ทำบุญบวชสวดมนต์สนทนา บาทหลวงมาขึ้นนั่งบัลลังก์พรต
ฯลฯ
            บาทหลวงเห็นดาวเจ้าเมืองลังกาสีสลด แล้วดูดวงเมืองผลึกเข้ามาร่วมธาตุ ก็ทำนายว่า พวกไพร่ใหญ่น้อยจะพลอยตาย แต่ตัวนายจะอยู่เป็นคู่เคียง พอได้ยินเสียงสัตว์ต่าง ๆ ร้อง จับยามดูก็แจ้งว่า ลูกสาวเจ้าลังกาจะมาที่บ้านนี้ และโจรจะตามมาด้วย แล้วบอกให้ชาวบ้านคอยต้อนรับสนองคุณ ส่วนตนจะหลบไปไม่ให้พบ
            ฝ่ายองค์ละเวงวัณฬา เดินทางมาถึงชายป่าเห็นควันไฟ และรอยคนปนรอยเกวียนอยู่ทั่วไป ก็รู้ว่ามีบ้านผู้คนจึงขับม้าไปหา เมื่อใกล้ค่ำ
            กล่าวถึงนายโจร สามสิบห้ากับกลาสีสามพันสอง เที่ยวตีปล้นผู้คนในชนบท มาถึงหนองน้ำก็ให้พักพลกินอาหาร เห็นคนขี่ม้าสง่าวาม แต่งตัวด้วยของดีมีค่า ก็ให้ไพร่พลเข้าล้อมตัวนาย เข้าไปไต่ถามว่ามาจากบ้านเมืองใด
            องค์ละเวงวัณฬา เห็นโจรมาล้อมไล่ก็คิดว่า ควรจะบอกโจรว่า เป็นกษัตริย์สิงหล พวกโจรที่ได้อาศัยแผ่นดินอยู่ จะได้ไม่ลวนลาม แล้วนางจึงกล่าวแก่โจรว่า นางเป็นเจ้าลังกามาสงคราม แต่เกิดหลงทางจึงขอให้โจร ช่วยนำนางเข้าลังกา แล้วจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง
            ฝ่ายโจร ก็ตอบว่าตนเป็นโจร ไม่รักศักดิ์รักยศ ต้องการแต่ของที่ตนต้องการ ขอให้มอบเครื่องประดับกับม้า ให้ตนแล้วจะปล่อยตัวไป ตนรู้เท่าทันว่า จะพูดลวงล่อให้ไปเมือง จะได้จับเพื่อเอาไปลงโทษ
  นางฟังคำจำวอนด้วยอ่อนหวาน น้องว่าขานตามตรงอย่าสงสัย
ซึ่งทำผิดกิจการแต่ก่อนไร ถ้าแม้นได้ความชอบก็ตอบแทน
อันต้นร้ายปลายดีไม่มีโทษ เป็นประโยชน์ยาวยืนอยู่หมื่นแสน
จะเที่ยวปล้นคนกินเหมือนสิ้นแกน ถึงมาตรแม้นมีทรัพย์ก็อับอาย
อันดีชั่วตัวตายเมื่อภายหลัง ชื่อก็ยังยืนอยู่ไม่รู้หาย
แม้นสังหารผลาญเราเป็นเจ้านาย ตัวจะตายไม่ทันข้ามสามเวลา ฯ
            แต่โจรไม่ยอมฟัง เข้ากลุ้มรุมนางกษัตริย์ นางได้ต่อสู้พลางหนีพลาง จนลูกเกาทัณฑ์หมด และตกค่ำ ก็เห็นคนหมู่ใหญ่เข้ามาช่วยไล่โจร หนีไปแล้วมาเฝ้าคอยฟังรับบัญชา
            องค์ละเวงวัณฬา ประหลาดใจจึงถามว่า เป็นใครและรู้จักนางได้อย่างไร
            ผู้เฒ่าชาวป่าสิกคารนำ (เขาเขียว)  ก็ตอบว่าพวกตนเป็นชาวป่าพี่น้องกัน ทราบว่าพระนางเสียทัพ โจรจะมาจับฆ่า ตนอาศัยในแผ่นดินนี้คิดกตัญญูจึงเข้ามาช่วย ขอให้พระนางคงเสวยเศวตฉัตร และเดินทางไปด้วยดี ส่วนพวกตนขอลากลับไป
            องค์ละเวง ได้ฟังจึงกล่าวว่านางไม่รู้จักหนทาง จะขอไปอยู่ที่บ้านของพวกท่านสักหนึ่งวัน ผู้เฒ่าก็ปฎิบัติตามประสงค์ และดูแลนางอย่างดี
            องค์ละเวงเห็นหญิงชาวป่ามีระเบียบเรียบร้อยเหมือนนางใน จึงถามว่าเป็นชาวในหรือว่าได้รับการฝึกสอนมา
  ฝ่ายหญิงเฒ่าชาวป่าว่าข้าพเจ้า มิใช่เหล่าในนิเวศน์เขตสถาน
เป็นชาวป่าถ้าจะคิดในกิจการ ตามโบราณราษฎรซึ่งสอนไว้
ฯลฯ
  นางฟังคำน้ำนวลควรสนอง ท่านว่าต้องตามระบอบชอบหนักหนา
อันชายหญิงสิงหลคุณนา สุดจะหาให้เหมือนท่านที่บ้านนี้
มาพบปะจะใคร่ได้ไปไว้ด้วย จะได้ช่วยกันบำรุงซึ่งกรุงศรี
ให้ปรากฎยศศักดิ์ด้วยภักดี พอเป็นที่ปรึกษาให้ถาวร
พวกชาวบ้านกรานกราบสุภาพพูด ข้าเหมือนอูฐหรือจะไปเป็นไกรสร
ฯลฯ
  นางตรัสตอบขอบจิตที่คิดรัก ตามสมัครมิได้แหนงแคลงไหน
แล้วถามนางข้างบัลลังก์ที่นั่งใช้ เจ้าชื่อไรรูปร่างสำอางตา
ส่วนนารีพี่น้องสองสดับ น้อมคำนับทูลความตามภาษา
ข้าเป็นพี่นี้ชื่อยุพาผกา นางสุลาลีวันนั้นเป็นน้อง
ไม่มีญาติขาดสูญประยูรศักดิ์ บาทหลวงรักเลี้ยงไว้มิให้หมอง
ข้าสิบสี่ปีปลายข้างฝ่ายน้อง ได้สิบสองปีเศษสังเกตใจ
ฯลฯ
            นางกษัตริย์ได้ตรัสขอสองนางเป็นลูก ทั้งสองนางก็ยินยอม
แล้วโฉมยงทรงรินสุราให้ ตามวิสัยสืบรักสมัครสมาน
ทั้งพี่น้องคำนับรับประทาน ตามโบราณรับรักด้วยภักดี
ฯลฯ
            ครั้นรุ่ง นายบ้านก็นำความไปบอกบาทหลวง  บาทหลวงได้ฟังแล้วก็กล่าวสรรเสริญนางกษัตริย์ว่าเกินฉลาด รู้จักแสวงหา
คนดี ที่รั้งรออยู่ก็เพื่อต้องการจะเอาตนไปใช้  ชาวบ้านก็ว่าให้บาทหลวงไปช่วยสอนการสงครามปราบปรามยุคเข็ญ
  บาทหลวงว่าอย่าประมาทชาติกษัตริย์ เหลือจำกัดกลความตามวิสัย
เมื่อดีเย็นเช่นมหาชลาลัย โกรธเหมือนไฟฟุนฟอนให้ร้อนทรวง
แล้วเรารู้อยู่ว่านางแต่ปางหลัง ถือพระสังฆราชผู้บาทหลวง
ได้ฝึกสอนรอนราญการทั้งปวง จะไปช่วงชิงรู้เหมือนดูเบา
เมื่อยามดีมิได้พึ่งครั้นถึงยาก จะพลอยรากเลือดตายต้องอายเขา
ถึงแม้องค์นงลักษณ์จะรักเรา พวกคนเก่าเขาคงกันด้วยฉันทา
อนึ่งอำมาตย์ชาติสอพลอทรลักษณ์ เห็นเจ้ารักชวนกันคิดริษยา
คอยยุยงลงโทษโจทนา ไม่รู้ว่าใจนางจะอย่างไร
ฯลฯ
            แล้วบาทหลวงก็มาพบนางกษัตริย์ ไต่ถามถึงการเดินทางมาในป่าของพระนาง  นางกษัตริย์ได้เล่าเรื่องเมืองผลึก
จนทำศึกเสียทัพ จนถึงถูกโจรจะมาฆ่าฟัน และบอกว่า
ได้พบปะพระคุณการุญด้วย เหมือนชุบช่วยชูชาติพระศาสนา
ช่วยสั่งสอนผ่อนผันพระกรุณา ให้ปราบข้าศึกได้ดังใจจง ฯ
            บาทหลวงตอบว่าตนเป็นชาวดง รู้แต่สิกขาสมาทาน เรื่องกลศึกควรคิดกับข้าทหาร ส่วนพระสังฆราชก็เป็นผู้เปรื่องปราชญ์อยู่ในเมืองหลวง ควรไปไต่ถามท่านก็จะได้วิชาต่าง ๆ
            นางกษัตริย์ได้ฟังก็ต้องใจแล้วบอกว่าบรรดาเสนาพระบาลีให้สร้างเมืองใหม่ไว้รบสมทบทัพ แต่ข้าศึกกลับข้ามคุ้งถึงกรุงศรี ครั้นลวงล่อข้าศึกจนได้ที่แล้ว ข้าศึกกลับเป่าปี่ให้กองทัพหลับไป เป็นการสุดคิดที่จะแก้กลศึก จึงขอพึ่งบาทหลวงช่วยแก้ไขบำรุงกรุงลังกา
  พระบาลีมีจิตคิดสงสาร แจ้งวิจารณ์ทางธรรม์ด้วยหรรษา
เพราะมีหูอยู่ก็ปี่มีศักดา แม้หาหูไม่ปี่ไม่มีฤทธิ์
วิสัยคนทนคงเข้ายงยุทธ ฤทธิรุทธแรงร้ายกายสิทธิ์
แม้เพลิงกาลผลาญแผ่นดินสิ้นชีวิต อำนาจฤทธิ์ย่อมแพ้แก่ปัญญา
เชิญไปฟังสังฆราชพระบาทหลวง อย่าเพิ่งล่วงความคิดเป็นศิษย์หา
แม้ศึกเสือเหลือขนาดอาตมา จะอาสาหาบหามตามกำลัง
ฯลฯ
            นางกษัตริย์กับสองหญิงพี่น้องออกเดินทางกลับเมืองไปจนถึงแดนถ้ำกลำพัน เมื่อตอนพลบเป็นป่าสงบไม่เหมือนทุกแห่งที่ผ่านมา ก็สงสัย จึงให้หยุดไพร่พลพักอยู่ริมเขาอยู่ยามตามไฟ

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |