| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
ตอนที่ ๓๐ พระอภัยตีเมืองใหม่
พระอภัยเมื่อรบชนะแล้วก็ปูนบำเหน็จผู้ที่มีความชอบในสงคราม ตามยศศักดิ์อัครฐานโดยถ้วนหน้าตั้งแต่ชั้นไพร่ขึ้นไป
ค ฝ่ายทหารพลเรือนได้เลื่อนที่ | เจียดกระบี่ยศศักดิ์เครื่องปักขาว |
เงินภาษีปีละแสนทั้งแดนดาว | ให้ยกคราวศึกมาถึงธานี |
ถึงโยธาการะเวกเมืองรมจักร | ได้เงินทองของรักเป็นศักดิ์ศรี |
พลทมิฬสินสมุทฝีมือดี | ได้ของที่ต้องใจทั้งไพร่นาย ฯ |
ประการหนึ่งพระองค์ประสงค์สนิท | บาทบพิตรภูวเรศเหมือนเชษฐา |
แม้นบอกได้ได้ความจะตามมา | ร่วมสุธาสันทมิตรสนิทใน ฯ |
จะบอกไปให้พระน้องนั้นต้องมา | ดูดังว่าถือยศไม่งดงาม |
เราจะไปให้ถึงจึงจะชอบ | เหมือนรักตอบตามสุภาพไม่หยาบหยาม |
เมืองทมิฬถิ่นประเทศทุกเขตแคว้น | ในภูมิแผนที่มีกี่ภาษา |
ได้ฟังถามพราหมณ์เฒ่าเจ้าตำรา | จึงวันทาทูลความตามโบราณ |
อันวิสัยไตรเพทประเทศถิ่น | บูรพ์ทักษิณปัจจิมทิศและอิสาน |
แผ่นดินงอกออกทุกวันเป็นสันดาน | เขาสร้างบ้านสร้างเมืองเนื่องกันไป |
อันแว่นแคว้นแดนดินถิ่นมนุษย์ | ไม่รู้สุดสิ้นอย่างต่างวิสัย |
เป็นเหมือนแสนแผนที่ซึ่งมีไว้ | จนถึงใกล้เขตถิ่นเมืองกินรา |
ยังนอกนั้นตะวันตกยกขึ้นเหนือ | พูดเหมือนเนื้อนกคล้ายหลายภาษา |
แต่พวกเขาเหล่าฝรั่งข้างลังกา | เคยไปค้าขายถึงทางครึ่งปี |
ที่ยังนอกออกไปนั้นหลายเพศ | ว่าเขตเปรตอสูรกายแลพรายผี |
ซึ่งทราบความตามอ่านพระบาลี | ในคัมภีร์ภูมิประเทศเขตสุธา ฯ |
จะแลลับกลับเป็นลูกเขาอื่นไป | เหมือนดวงใจพ่อนี้พรากไปจากทรวง |
จะขัดขวางอย่างไรก็ไม่ชอบ | ด้วยเธอมอบรักใคร่มาใหญ่หลวง |
มิให้ไปไพร่พลคนทั้งปวง | จะลามล่วงติโทษว่าโหดไร้ |
แล้วโลมลูบจูบพักตร์รักเหมือนบุตร | ล้วนแสนสุดซื่อตรงน่าสงสาร |
เมื่อเติบใหญ่ไหนก็คงเป็นวงศ์วาน | กอดกุมารรับขวัญกลั้นโศกา |
แม่รักน้องของเจ้านั้นเท่าไร | ก็รักใคร่ตัวเจ้านั้นเท่ากัน |
ขอฝากน้องสองหญิงอย่าทิ้งขว้าง | ให้เหมือนอย่างร่วมอุทรให้ผ่อนผัน |
ค ฝ่ายบุตรท้าวเจ้าระเด่นชื่อเซ็นระด่ำ | แปลเป็นคำไทยว่าเจ้าฟ้าสวรรค์ |
ใคร่จะรบตบพระหัตถ์แล้วตรัสพลัน | ชะแม่วัณฬาว่าเป็นน่าอาย |
แน่อำมาตย์ชาติเราเหล่าระเด่น | ถึงป่นเป็นภัส์มธุลีไม่หนีหาย |
ค ฝ่ายมะหุดบุตรท้าวเจ้าฝรั่ง | เมื่อได้ฟังฝีปากเขาถากถาง |
ยิ่งเหิมฮึกนึกมานะไม่ละวาง | ไฉนนางทรงสั่งมาดังนี้ |
จะยกไปหลายครั้งฝรั่งห้าม | จนศึกข้ามเขตคุ้งมากรุงศรี |
ถึงวังทั้งระเด่นเซ็นระด่ำ | ขุนนางนำเข้าไปตึกที่ปรึกษา |
ทั้งสองข้างต่างถึงถลึงตา | พวกเสนาแลดูรู้ทำนอง |
เชิญให้นั่งตั้งที่เก้าอี้รับ | มีฉากลับแลบังอยู่ทั้งสอง |
นางสาวสวรรค์พนักงานเชิญพานทอง | ถวายกล้องเครื่องพระศรีที่น้ำชา ฯ |
จะเกี้ยวนางต่างสองขึ้นพ้องเสียง | สวนสำเนียงไม่รู้ว่าภาษาไหน |
เสียงฝรั่งประดังแขกแทรกขึ้นไป | เหมือนสวดมาลัยรับวัดสันทัดกัน ฯ |
ไม่รอรั้งสั่งทหารให้ขานโห่ | ไล่เรือโล้เข้าประจัญหันตลบ |
แล้วตีฆ้องกลองระดมเร่งสมทบ | เข้ารุมรบเรือฝรั่งเมืองลังกา ฯ |
ค ฝ่ายมะหุดบุตรท้าวเจ้าฝรั่ง | ตีระฆังขานรับทัพซ้ายขวา |
แล้วตั้งโห่โล้หลีกเป็นปีกกา | ตามสัญญายิงปืนเสียงครื้นครึก |
สินสมุทสุดกล้าออกหน้าทัพ | หมายจะจับฝรั่งยังไม่ใกล้ |
พอลูกท้าวเจ้าพาราสุลาลัย | ทรงปืนใหญ่ยิงหมายเอานายพล |
ค ฝ่ายระเด่นเซ็นระด่ำเห็นค่ำพลบ | เอาเรือรบรายทางออกข้างหลัง |
ด้วยโกรธขึ้งหึงผู้หญิงคิดชิงชัง | ยิงฝรั่งเรือแตกต้องแยกรับ |
พวกกองหนุนวุ่นวายฝ่ายกองหน้า | ก็พะว้าพะวังถองหลังกลับ |
ศรีสุวรรณลั่นฆ้องเร่งกองทัพ | เข้าคั่งคับขึ้นกำปั่นไล่ฟันแทง |
เข้าถึงฝั่งทั้งแขกพลอยแตกซ้ำ | บ้างลงน้ำขึ้นตลิ่งวิ่งถลัน |
เหล่าทัพแตกแขกฝรั่งล้วนชิงกัน | เข้าแทงฟันเฝ้าแต่ซ้ำกันร่ำไป |
จะได้รับทัพแตกแขกฝรั่ง | ที่อยู่ฝั่งฝ่ายเราคงเข้าหา |
รับแต่ไพร่ไว้บำรุงกรุงลังกา | แต่ตัวนายขายหน้าอย่าเอาไว้ |
ค นางละเวงเกรงใจใช้แต่ล่าม | ให้ตอบตามคำแขกแปลกภาษา |
ว่าระเด่นเป็นผีหนีเข้ามา | ยังหลอนหลอกกลอกหน้าทำตาวาว |
จะถือบวชตรวจน้ำทำนบี | ไปถึงผีทัพแขกแตกตาขาว |
เห็นศึกมาตาเหมี่ยววิ่งเกรียวกราว | สินทั้งบ่าวทั้งนายตายไม่ดี ฯ |
ค สาวสุรางค์ต่างกลับขับตะคอก | ยังหลอนหลอกแลบลิ้นจะกินหมู |
อ้ายผีแขกแยกเขี้ยวมาเกี้ยวชู้ | เฝ้าแลดูพระธิดาทำตาโพล |
พลางจ้องปืนยืนขยับแล้วขับไล่ | ไม่ถอยไปหรือจะต้องเป็นสองโหง |
ค โหรารับจับยามตามสังเกต | พิเคราะห์เหตุหารคูณไม่สูญหาย |
จึงทูลความตามตำรับไม่กลับกลาย | ยังไม่ตายแต่ว่ายากลำบากครัน |
ต่อเช้าตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ | พระพุธนั้นถึงพฤหัสสวัสดี |
จะได้ลาภปราบศึกให้กึกก้อง | ได้สิ่งของมาประณตบทศรี |
ครั้นน้ำลงตรงออกไปนอกอ่าว | เวลาเช้าน้ำขึ้นจะคืนที่ |
คงได้มาในรุ่งวันพรุ่งนี้ | ถ้าแม้นมิเหมือนสัญญาให้ฆ่าฟัน |
ค ฝ่ายบดินทร์สินสมุท | ด้วยเป็นบุตรนางมารหลานฤาษี |
ถือพระมนต์ทนคงทรงอินทรีย์ | ถอดชีวีไว้ที่ในไตรโลกา |
ถึงตัวตายสายธาตุไม่ขาดสิ้น | คือธาตุดินธาตุน้ำร่ำรักษา |
ถ้าลมแดดแผดส่องต้องกายา | จะแกล้วกล้ากลับเป็นเหมือนเช่นกัน |
เข้าเกยหาดธาตุลมระดมต้อง | ตกถึงห้องนาสิกผลิกผวา |
พอแดดถูกปลูกชีวิตด้วยฤทธา | ยิ่งแกล้วกล้ากลับฟื้นขึ้นยืนดู |
ค ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงรู้เพลงรบ | เลี้ยวตลบหลีกลัดวิ่งผัดผัน |
เข้าปนเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | พัลวันเวียนอ้อมบนป้อมปืน |
แล้วทูลว่าตราสำคัญหม่อมฉันเห็น | เขาแกะเป็นดวงหน้าพระราหู |
ครั้นเข้าชิดฤทธิไกรเป็นไฟฟู | นางถือกับกายมีสายพัน |
เมื่อหวดถูกลูกยาเหมือนฟ้าฟาด | เจียนจะขาดชีวาถึงอาสัญ |
จะจับนางขวางขัดเป็นอัศจรรย์ | หาไม่วันนี้ก็เสร็จสำเร็จการ ฯ |
เพราะนางนี้มีคุณการุญราษฎร์ | ยังไม่ขาดชันษาถึงอาสัญ |
ถือดวงตราราหูคู่ชีวัน | ประกอบกันจึงได้ปลอดรอดภัยพาล |
พอคิดได้ในอุบายพระบาทหลวง | ให้ล่อลวงล้างศึกอย่านึกหนี |
อันกลหมูสู้เสือนั้นเหลือดี | ไม่ต่อตีต้อนส่งเข้ากรงตรึง |
ด้วยเห็นว่าข้าศึกมาฮึกโหม | จะจู่โจมจุดไฟเข้าไล่จับ |
เหมือนไฟป่ามาใกล้จุดไฟรับ | จึงจะดับเพลิงได้ดังใจนึก |
พามาถึงต้นทางไปข้างเขา | จะคอยเผาทัพเรือเหมือนเสือแฝง |
ฝ่ายพวกพลบนหอรบจุดคบแดง | ต่างต่อแย้งยิงสู้ดูศักดา ฯ |
ค หน่อนรินทร์สินสมุทไม่หยุดยั้ง | กับไพร่พรั่งพรูพร้อมเข้าป้อมขวา |
ต่างเผ่นโผนโยนโซ่สวนเสมา | โยทะกาเกี่ยวปราการขึ้นราญรอน |
ฝรั่งแทงแย้งฟันกันหน้าที่ | ออกต่อตีต้านรับสลับสลอน |
เอาไฟฟาดสาดน้ำมันเป็นควันร้อน | บ้างปอกปอนป่วยกายบ้างวายชนม์ |
ค ทัพฝรั่งทั้งสิบสองกองสมทบ | ตีตลบไล่ล้างมากลางหน |
ฝ่ายเสือป่าฝรั่งริมฝั่งชล | เห็นทัพบนบกตื่นเสียงครื้นครึก |
บ้างจุดคบครบมือถือลงน้ำ | เที่ยวเผาลำเรือเหล่าชาวผลึก |
วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น | คนขยันยืนขึงตลึงหลง |
ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง | ลึมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง |
พระโหยหวนควรญเพลงวังเวงจิต | ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง |
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง | อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย |
ถึงยามค่ำร่ำฆ้องจะร้องไห้ | ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย |
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย | น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำอยู่วังเวง |
ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
ฝ่ายนางละเวงเห็นไพร่พลหลับไปหมดเก็แค้นพระอภัย คิดว่าจะไปดูว่าพระอภัยอยู่แต่ลำพังหรือไม่
จะได้สู้รบกันดูฝีมือ แล้วขึ้นม้าควบไปทางข้างกำแพง เห็นพระอภัยเป่าปี่อยู่ผู้เดียวก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกปี่พระอภัยหลุดจากพระหัตถ์
อีกลูกหนึ่งถูกเกราะที่พระอภัยสวมใส่อยู่ จึงเอาทวนแทงพระอภัย
พระอภัยรบกับนางละเวง เอาปืนยิงถูกปากม้าที่นางขี่มา ม้าก็พาโลดกระโดดดีด
นางตกใจร้องหวีดเต็มเสียง พระอภัยได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงก็รู้สึกอายใจ นางจึงควบม้ากลับไปกองทัพ
พระอภัยจึงลงจากรถแล้วทรงม้าต้นติดตามไปทันนางที่กลางแปลง ได้สู้รบกัน พระอภัยเห็นหน้านาง
จึงตรัสถามว่านางคือองค์ละเวงวัณฬาใช่หรือไม่ ขอให้ยั้งมือไว้จะขอเจรจาด้วย
เพราะได้ติดตามมาด้วยความสุดแสนสวาท นางละเวงได้ฟังคำจึงแกล้งถามว่า
ท่านนี้หรือชื่ออภัยจะใคร่รู้ | ที่ชิงคู่ไปชมประสมสอง |
พระเชษฐาปรานีเหมือนพี่น้อง | ยังขัดข้องคิดทำลายให้วายชนม์ |
แล้วมิหนำซ้ำตามข้ามสมุทร | มายงยุทธ์กับผู้หญิงถึงสิงหล |
ครั้นหักโหมโจนจับไม่อับจน | กลับแต่งกลเกี้ยวพานด้วยมารยา |
ค พระอภัยใจกระสันยังพันผูก | เขาเกาถูกเข้าที่คันก็หรรษา |
สำรวลพลางทางสนองพระน้องยา | ธรรมดามดดำกับน้ำตาล |
ได้เข้าเรียงเคียงใกล้แล้วไม่อด | คงชิมรสรู้กำพืดว่าจืดหวาน |
จึงขึ้นบกยกขึ้นตั้งอยู่วังใหม่ | ให้นายไพร่อยู่รักษาทุกหน้าที่ |
คอยระวังนั่งยามตามอัคคี | อย่าให้มีเภทภัยสิ่งใดพาน |
ฝ่ายอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตสถาน | จึงแจ้งการกับวัณฬามารศรี |
ลูกนั้นชื่อว่านมพระธรณี | ถึงพันปีมีผุดขึ้นมาเหมือนปืนดัง |
ฝูงสัตว์ไพร่ได้ยินทั้งกลิ่นหอม | มาพรั่งพร้อมเพราะจะกินถวิลหวัง |
ด้วยหวานเย็นเห็นประเสริฐเกิดกำลัง | กำจัดทั้งโรคาไม่ราคี |
อายุยืนชื่นชุ่มเป็นหนุ่มสาว | ผิวนั้นราวกับทองละอองศรี |
คนทั้งนั้นวันอาทิตย์เป็นอิสระ | มาไหว้พระพร้อมกันด้วยหรรษา |
ทำบุญบวชสวดมนต์สนทนา | บาทหลวงมาขึ้นนั่งบัลลังก์พรต |
ค นางฟังคำจำวอนด้วยอ่อนหวาน | น้องว่าขานตามตรงอย่าสงสัย |
ซึ่งทำผิดกิจการแต่ก่อนไร | ถ้าแม้นได้ความชอบก็ตอบแทน |
อันต้นร้ายปลายดีไม่มีโทษ | เป็นประโยชน์ยาวยืนอยู่หมื่นแสน |
จะเที่ยวปล้นคนกินเหมือนสิ้นแกน | ถึงมาตรแม้นมีทรัพย์ก็อับอาย |
อันดีชั่วตัวตายเมื่อภายหลัง | ชื่อก็ยังยืนอยู่ไม่รู้หาย |
แม้นสังหารผลาญเราเป็นเจ้านาย | ตัวจะตายไม่ทันข้ามสามเวลา ฯ |
ค ฝ่ายหญิงเฒ่าชาวป่าว่าข้าพเจ้า | มิใช่เหล่าในนิเวศน์เขตสถาน |
เป็นชาวป่าถ้าจะคิดในกิจการ | ตามโบราณราษฎรซึ่งสอนไว้ |
ค นางฟังคำน้ำนวลควรสนอง | ท่านว่าต้องตามระบอบชอบหนักหนา |
อันชายหญิงสิงหลคุณนา | สุดจะหาให้เหมือนท่านที่บ้านนี้ |
มาพบปะจะใคร่ได้ไปไว้ด้วย | จะได้ช่วยกันบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ให้ปรากฎยศศักดิ์ด้วยภักดี | พอเป็นที่ปรึกษาให้ถาวร |
พวกชาวบ้านกรานกราบสุภาพพูด | ข้าเหมือนอูฐหรือจะไปเป็นไกรสร |
ค นางตรัสตอบขอบจิตที่คิดรัก | ตามสมัครมิได้แหนงแคลงไหน |
แล้วถามนางข้างบัลลังก์ที่นั่งใช้ | เจ้าชื่อไรรูปร่างสำอางตา |
ส่วนนารีพี่น้องสองสดับ | น้อมคำนับทูลความตามภาษา |
ข้าเป็นพี่นี้ชื่อยุพาผกา | นางสุลาลีวันนั้นเป็นน้อง |
ไม่มีญาติขาดสูญประยูรศักดิ์ | บาทหลวงรักเลี้ยงไว้มิให้หมอง |
ข้าสิบสี่ปีปลายข้างฝ่ายน้อง | ได้สิบสองปีเศษสังเกตใจ |
แล้วโฉมยงทรงรินสุราให้ | ตามวิสัยสืบรักสมัครสมาน |
ทั้งพี่น้องคำนับรับประทาน | ตามโบราณรับรักด้วยภักดี |
ค บาทหลวงว่าอย่าประมาทชาติกษัตริย์ | เหลือจำกัดกลความตามวิสัย |
เมื่อดีเย็นเช่นมหาชลาลัย | โกรธเหมือนไฟฟุนฟอนให้ร้อนทรวง |
แล้วเรารู้อยู่ว่านางแต่ปางหลัง | ถือพระสังฆราชผู้บาทหลวง |
ได้ฝึกสอนรอนราญการทั้งปวง | จะไปช่วงชิงรู้เหมือนดูเบา |
เมื่อยามดีมิได้พึ่งครั้นถึงยาก | จะพลอยรากเลือดตายต้องอายเขา |
ถึงแม้องค์นงลักษณ์จะรักเรา | พวกคนเก่าเขาคงกันด้วยฉันทา |
อนึ่งอำมาตย์ชาติสอพลอทรลักษณ์ | เห็นเจ้ารักชวนกันคิดริษยา |
คอยยุยงลงโทษโจทนา | ไม่รู้ว่าใจนางจะอย่างไร |
ได้พบปะพระคุณการุญด้วย | เหมือนชุบช่วยชูชาติพระศาสนา |
ช่วยสั่งสอนผ่อนผันพระกรุณา | ให้ปราบข้าศึกได้ดังใจจง ฯ |
ค พระบาลีมีจิตคิดสงสาร | แจ้งวิจารณ์ทางธรรม์ด้วยหรรษา |
เพราะมีหูอยู่ก็ปี่มีศักดา | แม้หาหูไม่ปี่ไม่มีฤทธิ์ |
วิสัยคนทนคงเข้ายงยุทธ | ฤทธิรุทธแรงร้ายกายสิทธิ์ |
แม้เพลิงกาลผลาญแผ่นดินสิ้นชีวิต | อำนาจฤทธิ์ย่อมแพ้แก่ปัญญา |
เชิญไปฟังสังฆราชพระบาทหลวง | อย่าเพิ่งล่วงความคิดเป็นศิษย์หา |
แม้ศึกเสือเหลือขนาดอาตมา | จะอาสาหาบหามตามกำลัง |
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |