ตอนที่
๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
นางละเวงวัณฬาคิดอุบายบาทหลวงไม่ออก จึงออกไปหาบาทหลวงเพื่อให้ไขความ บาทหลวงจึงแนะนำว่า
อันดวงตราราหูคู่นคร |
ข่าวขจรเจริญมาเนิ่นนาน |
ทุกด้าวแดนแสนรักจักใคร่ได้ |
เขียนบอกไปในกระดาษราชสาร |
แม้นใครรับดับร้อนช่วยรอญราน |
จะเชิญท่านผ่านผดุงกรุงลังกา |
ซึ่งเรียนรู้ผู้หญิงสิ่งสังวาส |
ให้ฉลาดเหลือเอกเหมือนเมฆขลา |
จำลององค์ลงกระดาษให้บาดตา |
เอาชื่อตราชื่อกรุงจรุงพจน์ |
กับรูปวาดราชสารการสรรเสริญ |
ไปเที่ยวเชิญท้าวพระยาคงมาหมด |
ได้ใช้เล่นเช่นเขาว่าเสนามด |
เพราะรักยศรักหญิงช่วยชิงชัย |
ฯลฯ
แม้นเรียนได้ไว้เป็นครูรู้ทำเนียบ |
จะคิดเทียบทำอย่างไรก็ได้สิ้น |
ไม่เหนื่อยใจไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน |
ใช้แต่ลิ้นก็พอเห็นจะเป็นการ |
ฯลฯ
จงพากเพียรเรียนร่ำให้สำเร็จ |
กลเม็ดเหมือนอย่างกริชที่มิดฝัก |
แต่ฝึกตัวมั่วชายวุ่นวายนัก |
ใจจะรักเขาเข้าบ้างระวังใจ |
ฯลฯ
นางละเวงวัณฬาเรียนตำราและฝึกผู้คนอยู่สองปี แล้วจึงแต่งราชสารพร้อมกับรูปของนาง
ไปยังบรรดาท้าวเจ้าเมืองทั้งหลาย บรรดาที่มีไมตรีกัน เชิญมายังเมืองลังกา
แล้วเกณฑ์ไพร่ไปตั้งวังสนามที่ท่าข้าม
จึงแต่งสารลานทองใส่กล่องแก้ว |
เหมือนกลแร้วจะได้ดักฝูงปักษี |
เลือกอำมาตย์ราชทูตที่พูดดี |
รู้ท่วงทีทำเล่ห์เพทุบาย |
ฯลฯ
แล้วเกณฑ์ไพร่ไปตั้งวังสนาม |
ที่ท่าข้ามขอบฝั่งหลังถนน |
ก่อกำแพงแหล่งล้อมป้อมประจญ |
มีศึกกลสูงใหญ่กระไดเวียน |
เก๋งสำหรับรับแขกทำแปลกอย่าง |
เลือกล้วนช่างที่ฉลาดมาวาดเขียน |
ฯลฯ
การสร้างวังสนามใช้เวลาปีครึ่ง จึงสร้างเสร็จอยู่ห่างจากวังเมืองลังกา ใช้เวลาเดินทางถึงท่าข้ามสามวัน
แล้วนางละเวงวัณฬา ก็ยกพลจำนวนแสนกับสามพัน มาอยู่ที่วังสนาม คอยท่าทัพจากต่างแดน
ฝ่ายราชทูตคุมทหารลำละร้อย ออกไปยังเขตแคว้นต่าง ๆ มีลำหนึ่งไปถึงเมืองละมาน
เป็นเมืองทมิฬ ชาวเมืองไม่กินข้าวกินกินแต่ปลา ช้างม้าสารพัดสัตว์และนกเนื้อ
ไม่ได้ทำไร่นา ดินแดนดังกล่าว มีทองและเพชรจึงร่ำรวยมาก เก็บเงินทองไว้ซื้อโคกระบือ
ม้าช้างจากชาวต่างชาติ เจ้าเมืองเมื่อชายาถึงแก่กาลตักษัย แล้วยังหาใหม่ไม่ได้
คืนหนึ่งฝันไปว่า มีนาคีมีฤทธิ์เลื้อยมาบนอากาศ รัดปราสาทตั้งแต่ยอดถึงฐาน
แล้วพ่นพิษผลาญพระองค์เป็นผงคลี โหรทำนายว่า จะได้อนงค์นาง พอได้ข่าวชาวลังกามาเฝ้าก็ให้รับตัวเข้ามา
ราชทูตลังกาก็เอาอูฐช้าง ถวายต่างบรรณาการ แล้วถวายรูปกระดาษราชสาร เจ้าละมานเห็นรูปนางละเวงวัณฬา
งดงามก็หลงไหลจึงถามทูตว่า นางอายุเท่าได ทูตทูลตอบว่าอายุได้สิบเก้าปี โหรทายว่า
จะได้คู่สร้างต่างภาษา เมื่อสิ้นบุญเจ้าลังกาแล้ว พระธิดาจึงเสี่ยงทายว่า
ถ้ามีขัตติยวงศ์องค์ไหน ปราบข้าศึกของลังกาได้ ก็จะให้ครองกรุงลังกา
เจ้าละมานอ่านราชสารแล้ว ก็ดีใจยิ่งนักได้กล่าวกับทูตถึงเมืองลังกา ราชทูตก็ตอบความไปให้ชอบกล
แล้วชวนทูตพูดจาประสาซื่อ |
เรานับถืออยู่จะใคร่ไปรู้จัก |
แต่เมืองเราชาวลังกาเขาว่ายักษ์ |
จึงแกล้งกักกั้นด่านเสียนานมา |
ฯลฯ
ค
ฝรั่งทูตพูดดีไม่มีขัด |
เหมือนปืนยัดยิงกรอบกระบอกหู |
แม้นห่างกันพรั่นตัวเหมือนกลัวงู |
ถ้าเป็นคู่เคียงข้างก็วางใจ |
แต่เสือลายร้ายกล้าประดาเสีย |
ไม่กินเมียกินมิตรพิสมัย |
ยังได้ยักษ์ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกล |
ยิ่งดีใจจะได้กลัวทั่วแผ่นดิน |
วันรุ่งขึ้นเจ้าละมานก็สั่งงานการสงครามกับเสนา ให้ตรวจเตรียมเภตราพันห้าร้อยลำ
มีพลประจำลำละพันถือคันศร เมื่อพลพร้อมแล้วก็ยกกองเรือออกไปโดยไม่รอดูฤกษ์
ใช้เวลาหนึ่งเดือนก็มาถึงลังกาตรงท่าข้ามถนนพระรามราชวังที่ตั้งใหม่ ราชทูตก็ทูลลาเจ้าละมานไปเฝ้า
พระธิดาละเวงวัณฬาทูลแจ้งกิจจาทุกสิ่งอัน นางได้ทราบก็สั่งให้เตรียมจัดการรับแขกเมือง
ค
ฝ่ายฝรั่งช่างประดับได้รับสั่ง |
มาแต่งตั้งเตียงทองม่านสองไข |
เป็นลดหลั่นชั้นบนล้วนกลไก |
มีควงไขฆ้องระฆังก็ดังเอง |
ริมกระถางวางธูปรูปฝรั่ง |
ถึงนาทีตีระฆังเสียงหงั่งเหง่ง |
ระเรื่อยรับขับขานประสานเพลง |
ผู้ใดฟังวังเวงในวิญญาณ์ |
ดอกไม้ร้อยสร้อยสนสุคนธรส |
มะลิสดหอมระรื่นชื่นนาสา |
แถวถนนหนทางข้างคงคา |
ให้ปูผ้าขาวรองไว้สองชั้น |
ฯลฯ
องค์ละเวงวัณฬา ออกมาต้อนรับเจ้าละมานที่ตึกใหม่
ค
ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาสมร |
เปิดบัญชรฉากเขียนวิเชียรฉาย |
เห็นองค์ท้าวเจ้าละมานเหมือนมารร้าย |
ทั้งรูปกายใหญ่หลวงดูพ่วงพี |
ฯลฯ
ดำริพลางนางกษัตริย์ตรัสปราศรัย |
ขอบพระทัยเชษฐารีบมาถึง |
น้องสมหวังดังจิตคิดคะนึง |
จะได้พึ่งภูมีเหมือนพี่ยา |
แล้วปราศรัยไต่ถามไปตามเรื่อง |
ถึงบ้านเมืองเผ่าพงศ์พระวงศา |
ทั้งแถวทางกลางทะเลมาเภตรา |
มรคาขัดขวางเป็นอย่างไร
ฯ |
เจ้าละมานตอบคำนางกษัตริย์ แล้วขออาสาไปทำศึกกับพระอภัย นางก็ตอบขอบใจแล้วว่า
ถ้าปราบปรามเมืองผลึกได้ ก็จะมอบตราราหู สมบัติในสิบสองพระคลัง และเมืองลังกา
ให้ครอบครอง แล้วสั่งให้ตั้งเลี้ยงกองทัพ
ดำรัสพลางนางสั่งให้ตั้งเลี้ยง |
ล้วนโต๊ะเตียงแต่งงามตามวิสัย |
เครื่องพล่ายำน้ำส้มพริมพริกไทย |
สุกรแพะแกะไก่ล้วนใส่จาน |
ใบผักชียี่หร่าโรยหน้าพร้อม |
พระแสงส้อมมีดพัดสำหรับฝาน |
สุราเข้มเต็มพระเต้าเถ้าทะนาน |
พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงราย
ฯ |
วันรุ่งขึ้น เจ้าละมานคิดจะทำศึกให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงสั่งเสนาให้ยกทัพออกไปตอนบ่าย
ถ้าไม่ชนะพระอภัยก็จะไม่กลับ องค์ละเวงวัณฬาออกปากว่า จะให้กองทัพลังกายกไปช่วย
แต่เจ้าละมานทัดทานไว้ แล้วยกทัพออกไป
กล่าวถึงพระอภัยมีคนคอยเหตุอยู่ทุกเขตขัณฑ์ เมืองเจ้าละมานเตรียมพลก็ทราบเรื่อง
ก็ขยาดว่าเป็นชาติยักษ์ จึงปรึกษาเสนาบดีเตรียมรับศึก
จึงตรองตรึกปรึกษาเสนาบดี |
ศึกคราวนี้ห้าวหาญชาญฉกรรจ์ |
ทั้งไพร่นายกายสูงถึงหกศอก |
หนักสือบอกมาว่ายักษ์มักกะสัน |
จะเกณฑ์พลคนเราเข้าประจัญ |
เล็กกว่ามันเหมือนหนึ่งหนูไปสู้ช้าง |
ขึ้นรักษาหน้าที่ไว้ดีกว่า |
ปล่อยมันมาตามถนัดไม่ขัดขวาง |
แล้วเสนีตีกรงเหล็กตะราง |
ไว้ที่ข้างเกยชลาหน้าพระลาน |
กับโซ่ใหญ่ให้พลไว้คนละเส้น |
จะจับเป็นพวกฟันเสี้ยมที่เหี้ยมหาญ |
พระตรัสจัดเสร็จสำเร็จการ |
ป้อมทวารปักขวากไว้มากมาย |
แล้วเสนีตีฆ้องเที่ยวร้องป่าว |
ประชาชาวข้างใต้ไพร่ทั้งหลาย |
ให้หลบลี้หนีตัวต้อนวัวควาย |
ไปอยู่ท้ายเมืองผลึกเมื่อศึกมา |
เจ้าละมานยกทัพเรือพันห้าร้อยลำ มาได้สิบห้าคืนก็ถึงปากอ่าวเมืองผลึก เห็นผู้คนหนีไป
ก็นึกประมาทจึงให้เข้าฝั่งยกพล ข้ามทุ่งมายังตัวเมือง แล้วให้ร้องท้าทายให้มาอ่อนน้อม
พระอภัยสั่งอำมาตย์มูลนายฝ่ายทหารว่า ถ้ากองทัพข้าศึกหลับแล้ว ก็ให้เปิดประตูเมือง
ออกไปเที่ยวผูกมัดไพร่พลข้าศึกไว้ ส่วนที่เป็นนายใหญ่ให้ตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวน
แล้วเอามาใส่ไว้ในกรง ให้พวกเราเอาขี้ผึ้งอุดหู คอยนั่งดูธงชัยเอาไว้ เมื่อกองทัพหลับไหลแล้ว
ก็โบกธงให้เห็นเป็นสำคัญ แล้วพระอภัยก็พาขุนนางไปนั่งบนพลับพลา จากนั้นก็หยิบปี่แก้วขึ้นบูชา
แล้วเป่าปี่
หยิบปี่แก้วแล้วชูขึ้นบูชา |
พอลมมาเพลาเพลาทรงเป่าพลัน |
เปิดสำเนียงเสียงลิ่วถึงนิ้วเอก |
หวานวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์ |
ให้ชื่นเฉื่อยเจื่อยแจ้วถึงแก้วกรรณ |
เหล่าพวกฟันเสี้ยมฟังสิ้นทั้งทัพ |
ยืนไม่ตรงลงนั่งยิ่งวังเวก |
เอกเขนกนอนเคียงเรียงลำดับ |
เจ้าละมานหวานทรวงง่วงระงับ |
ล้มลงหลับลืมกายดังวายปราณ
ฯ |
พระอภัยจึงโบกธงเป็นสัญญาการ พวกทหารเห็นก็ยินดี เปิดประตูพรูออกไป เห็นกองทัพหลับอยู่
ก็ผูกมัดเอาไว้ ยกเอาเจ้าละมานขึ้นคานหาม เอาโซ่ล่ามไว้ แล้วหามมาส่งตรงตะรางที่ข้างใน
เมื่อผูกมัดเสร็จแล้ว พระอภัยก็เป่าแปลงเพลง ให้กลับรู้สึกตัวตื่นขึ้น แล้วกำชับเสนานายทหารว่า
เหมือนจับช้างกลางป่าอย่าประมาท |
ต้องผูกกราดกลึงตรวจกันกวดขัน |
ให้อ่อนหูดูทำนองสักสองวัน |
จึงผ่อนผันพูดจาดูท่าทาง |
ฯลฯ
ฝ่ายเจ้าละมานฟื้นตื่นขึ้นมาเห็นตัวถูกพันธนาการอยู่ก็เสียใจคร่ำครวญถึงนางละเวงวัณฬาแล้วเอารูปนางออกมาดู
พวกผู้คุมขอก็ไม่ให้ แต่เมื่อหลับไป ผู้คุมก็ลักรูปเอาไปได้แล้วไปถวายพระอภัย
พระอภัยได้เห็นก็หลงเสน่ห์ในรูปองค์ละเวงวัณฬา แล้วให้นำเจ้าละมานไปในทะเลที่แดนเงาะ
ตามเกาะเกียนทางฝ่ายเหนือ ที่เรือไปไม่ใคร่ถึง แผ่นดินจะได้สิ้นเสี้ยนหนาม
พวกข้าเฝ้าจึงเอาเภตราใส่ข้าศึกออกแล่นไปยังแหลมเงาะเกาะกุมตั๋ง เจ้าละมานคลั่งไคล้รูปนางละเวงวัณฬา
เมื่อหารูปที่เก็บไว้ในตัวไม่พบ ก็เสียใจขาดใจตาย แล้วเป็นผีสิงรูปกระดาษของนางละเวงวัณฬา
ตอนที่
๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
พระอภัยหลงรูปนางละเวงจนประชวร นางสุวรรณมาลีก็เศร้าใจที่เห็นพระอภัยฟั่นเฟือนไป
ก็ไปเยี่ยม พบรูปนางละเวง ก็รู้ว่าเป็นเพราะรูปนี้ จึงได้เอารูปมาฉีก แต่รูปก็ไม่ขาด
จึงเอาไม้ตีรูปนั้นก็ร้องกรีด พระอภัยเห็นดังนั้นก็โกรธเข้าชิงรูปกลับไป
นางสุวรรณมาลีจึงพาพวกนางกำนัลไปลักรูปนั้นมาเผาไฟ แต่ปีศาจกลับลุกขึ้นขู่ตะคอกเหล่าสาวสนมจนพากันวิ่งหนีไป
พระอภัยตื่นบรรทม เห็นเหตุการณ์ก็ฉวยไม้ไล่ตีเหล่านางสนมกำนัลแล้วเอารูปนางละเวงกลับมาเชยชม
นางสุวรรณมาบลีจึงให้ชาวใช้ไปเชิญพระชนนีแล้วทูลความให้ทราบ พระชนนีทราบความแล้วก็ตกพระทัยแล้วไปหาพระอภัย
ถามถึงที่มาของรูปและขอดูรูปนั้นแล้วเตือนว่า
ด้วยรูปนี้มีมาแต่ข้าศึก |
อย่าได้นึกรักใคร่จะใหลหลง |
เดี๋ยวนี้พ่อยังซูบทั้งรูปทรง |
รักษาองค์เสียให้หายสบายใจ |
แล้วพระชนนีก็ขอรูปนั้นมา จากนั้นได้มอบให้จ่าโขลนเอาไปโยนทิ้งที่วังน้ำวน
นางสุวรรณมาลีเห็นพระอภัยค่อยคลายลงแล้วจึงพาพระธิดาสองพี่น้องเข้าไปหาพระอภัย
พระอภัยชื่นชมบุตรีสองพี่น้องแล้วตั้งชื่อให้
จะตั้งนามตามวงศ์พงศ์กษัตริย์ |
ศรีสวัสดิ์จงขยับมารับขวัญ |
ให้บุตรีพี่ชื่อสร้อยสุวรรณ |
น้องชื่อจันทรสุดากุมารี |
พอตกค่ำ พระอภัยบรรทมฟังเพลงกล่อมอยู่ใกล้จะหลับก็เห็นรูปแนางละเวงอยู่ที่ริมไสยาสน์
ก็เกิดการคลั่งไคล้ในรูปนั้นอีก จนรุ่งเช้า พวกนางพนักงานเห็นพระอภัยกอดรูปอยู่จึงนำความไปทูลพระมเหสี
นางได้ฟังก็ตกใจแล้วให้ไปเชิญพระชนนีมาด้วยกัน เห็นรูปนางละเวงก็ประหลาดใจ
พระชนนีจึงวอนว่าเป็นรูปไม่ดีผีสิง ให้เอาไปทิ้งเสีย แต่พระอภัยไม่ยินยอม
กลับนิ่งเสีย ทั้งสองนางกษัตริย์ก็คร่ำครวญสลดจิตสุดคิดที่จะแก้ไข พอรุ่งสว่าง
พระนางจึงให้โหราจารย์มาถาม โหราพิเคราะห์ตามตำราแล้วจึงทำนายว่า
พฤฒาเฒ่าเอาประนินทินออกคลี่ |
ตั้งเดือนปีลงเลขโปกเปกเปาะ |
ราหูเสาร์เข้ารวบจวบจำเพาะ |
เป็นพระเคราะห์คราวร้ายจึงทายทูล |
ต้องตำราว่าผีไพรีร้าย |
ทำวุ่นวายหวังจะให้เสียไอศูรย์ |
แต่ไม่ม้วยด้วยพระวงศ์พงศ์ประยูร |
จะเพิ่มพูนผ่อนปรนให้พ้นภัย
ฯ |
นางพระยาจึงให้ลงผีเพื่อไต่ถามตามที่สงสัย คนทรงก็อ้างว่าเป็นท้าวเจ้านครนี้มาก่อน
เป็นพ่อตาพระอภัย แต่พระอภัยไม่มาง้อจึงจะเอาชีวิตเสีย ต้องบนหุ่นโขนละครทั้งมอญเจ็ดวันจึงจะหายแค้น
แม้นงอนง้อขอชีวาจะการุญ |
เร่งบนหุ่นโขนละครทั้งมอญรำ |
สักเจ็ดวันนั้นแหละยายจะหายแค้น |
ถ้ามาตรแม้นมิบนอยู่จนค่ำ |
จะหักคอมรณาทารกรรม |
พอสิ้นคำทำล้มไม่สมประดี |
จากนั้นนางพระยาก็สั่งสองเสนาบดีให้จัดเรือไปเชิญพระอนุชาศรีสุวรรณ และพระโอรส
สินสมุทมาเมืองผลึกด้วยโหรทายว่าจะมีชาติเชื้อมาช่วย
กล่าวถึงเจ้าเมืองการระเวก เมื่อปีที่สุดสาครมาถึงนครนั้น พระนางจันทวดีได้มีโอรส
ได้เลี้ยงโอรสนั้นมาจนอายุได้สิบขวบให้ชื่อว่า กุมาร หัสไชย สุดสาครเพลิดเพลินอยู่กับน้องจนล่วงมาวันหนึ่งคิดถึงพระบิดา
ไม่แจ้งว่าอยู่แห่งหนใดจึงคิดลาไปตามหา หัสไชยกับเสาวคนธ์ขอตามไปด้วย
สุดสาครไปเฝ้าเจ้าเมืองการะเวก ขอเดินทางไปแต่ผู้เดียว แต่เจ้าเมืองให้จัดทัพตามไปด้วย
พระตรัสพลางทางหาเสนาผู้ใหญ่ |
มาสั่งให้จัดทรหลพลขันธ์ |
สักห้าหมื่นปืนรบให้ครบครัน |
ลงกำปั่นร้อยลำประจำการ |
ที่นั่งรองของเรายาวสามเส้น |
เอาแต่งเป็นลำทรงใส่ธงฉาน |
เลือกล้าตัวตนหนทั้งคนงาน |
ที่ชำนาญนาวาในสาคร |
ทั้งสามหน่อกษัตริย์สุดสาคร เสาวคนธ์ และสะหัสไชย ออกเดินทางไปด้วยกัน สุดสาครบริกรรมเรียกม้ามังกรมาหาแล้วพาไปด้วยกัน
กองเรือออกจากปากน้ำมุ่งหน้าไปทางทิศพายัพตามที่พระดาบสบออกกเอาไว้
เดินทางมาได้สิบห้าวันถึงเกาะการินถิ่นผีเสื้อ ก็จอดเรือ ณ ที่นั้น ผีเสื้อได้กลิ่นก็บินมาเป็นหมื่นเป็นแสน
โฉบไพร่พลบนเรือเหมือนเหยี่ยวเฉี่ยวปลา สุดสาครกับสองอนุชาอยู่ห้องในได้ยินเสียงว้าวุ่นอยู่ก็ออกมาดู
จึงถูกผีเสื้อโฉบเอาไปทั้งสองอนุชา สุดสาครตกพระทัยฉวยได้ไม้เท้า แล้วขึ้นขี่ม้ามังกรลงน้ำตามไป
สู้รบกับผีเสื้อตายยับ ต้องทิ้งสองอนุชาแล้วหนีไป สุดสาครอุ้มน้องทั้งสององค์ขึ้นหลังม้ามังกรแล้วพากลับมาขึ้นกำปั่น
รีบถอนสมอออกเดินทาง เห็นคนดีถือขวานผ่านหน้าเรือร้องบอกให้ช่วยปราบยักษ์
ผีเสื้อ ตนถูกเทวดาใช้ให้มาผลาญพวกผีเสื้อ บอกว่าตัวนายใหญ่ในน้ำนั้นมันป้องกันพวกไพร่พลด้วยมนตรา
ตนถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในถ้ำ จึงต้องคอยทำร้ายอยู่นอกถ้ำ ขอให้สุดสาครช่วยล่อมันมาให้ตนฆ่าเสีย
แล้วเอาแก้วแววตาทั้งขวาซ้ายมาให้ไว้ป้องกันภัย ทำให้เกิดมีแรงและคงทน ถ้าจับใครคนนั้นจะอ่อนกำลังลง
สุดสาครรับคำแล้วให้พระน้องเข้าห้องกำบัง กำชับไพร่พลให้สู้รบกับผีเสื้อถ้ามาที่เรืออีก
จากนั้นเทวดาก็พาขึ้นเกาะนำไปยังปากถ้ำ สุดสาครเข้าไปในถ้ำ เห็นผีเสื้อตัวใหญ่เท่าช้าง
ก็รู้ว่าเป็นตัวนาย จึงร่ายมนต์แล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกขมับ แต่ไม่ระคายเท่าปลายขน
จึงยิงซ้ำไปอีก ผีเสื้อโกรธลืมร่ายมนต์ ตรงเข้ารุกไล่ สุดสาครจึงหนีออกนอกถ้ำ
ผีเสื้อบินตามออกมานอกถ้ำก็ถูกฟ้าผ่าตาย สุดสาครจึงเข้าควักแก้วแววตาของยักษ์มาได้ทั้งสองข้าง
แล้วขับม้ามาที่กำปั่น เอาแก้วแววตาให้น้องรักทั้งสองคน ทั้งสององค์ทดลองฤทธิ์ของแก้วแววตา
ด้วยการยกครกเหล็กใหญ่ก็สามารถยกขึ้นได้โดยง่าย
หลังจากนั้นก็ได้ออกกำปั่นเดินทางต่อไปเป็นเวลาประมาณสามเดือน จึงเข้าเขตเมืองผลึกบอกกองตระเวนเมืองผลึกว่า
ตนเป็นโอรสพระอภัยจะขอเข้าเฝ้าพระบิดา กองตระเวนได้ฟังแล้ว จึงให้ยับยั้งอยู่ก่อน
เพื่อนำความไปทูลพระอภัยตามธรรมเนียมก่อน
ค
กองตระเวนเจนจัดจึงขัดขวาง |
อันเยี่ยงอย่างกรุงไกรมไหศวรรย์ |
ถึงหน่อเนื้อเชื้อวงศ์เป็นพงศ์พันธุ์ |
อยู่ไกลกันต้องห้ามตามทำนอง |
จะนำข่าวราวความไปตามเรื่อง |
ให้ทราบเบื้องบาทมูลทูลฉลอง |
แม้นภูวนัยให้หาฝ่าละออง |
จึงยกกองทัพเข้าไปในนคร |
ฯลฯ
องค์สุวรรณมาลี ทราบเรื่องแล้วยังไม่ทราบข้อเท็จจริง ยังกริ่งใจจึงหารือกับเสนาใน
ขุนนางพร้อมน้อมประณตว่ากฎหมาย |
แม้นเจ้านายเสียจริตเห็นผิดผวน |
ครั้นจะกราบทูลความยามประชวร |
ก็ไม่ควรขอให้ทัพเธอยับยั้ง |
อยู่ท่าพระอนุชาถ้ามาถึง |
นั้นแหละจึงจะได้ถามเนื้อความหลัง |
กลศึกลึกเหลือจะเชื่อฟัง |
ข้าคิดยังเคลือบแคลงระแวงความ |
ฯลฯ
นางกษัตริย์ได้ฟังก็เห็นชอบ ให้เสนาในช่วยจัดการให้อยู่ที่ด่านชานนคร เสนารับรับสั่งแล้ว
ก็นำความไปแจ้งให้สุดสาครทราบ พร้อมเหตุผล และขอให้ช่วยรักษาด่านปากน้ำ ด้วนมีศึกมาติดพันเมืองผลึกอยู่
สุดสาครได้ฟังก็ร้อนใจที่พระอภัยประชวร แล้วตนไม่ได้รักษาพยาบาล แล้วให้กำปั่นเข้าปากน้ำ
ให้พักผ่อนอยู่ที่ด่านชานนคร
มีผู้ถือหนังสือเข้ามายังเมืองผลึก แจ้งเรื่องเมืองลังกาว่า มีกองทัพของเจ้าประเทศทุกเขตแคว้น
มาถึงแดนสิงหลเป็นจำนวนมาก เพื่อชิงกันอาสาออกรบ อันประกอบด้วย
เมืองละหุ่งกรุงเตนกุเวนลวาด |
เมืองวิลาสวิลยาชวาฉวี |
ถึงเมืองเงาะเกาะวลำสำปะลี |
จะชิงตีเมืองผลึกเป็นศึกรุม |
องค์สุวรรณมาลีทราบเรื่องก็ไปเฝ้าพระอภัย ทูลความตามหนังสือใบบอก แต่พระอภัยยังฟั่นเฟือนไม่ยอมรับรู้
และไล่พระนางออกไป พระนางจึงเรียกข้าเฝ้ามาสั่งให้เตรียมรับมือข้าศึก
แล้วให้หาข้าเฝ้าเข้ามาสั่ง |
สงครามครั้งนี้หนักจะหักหาญ |
เร่งขึ้นป้อมล้อมรอบขอบปราการ |
หัดทหารเดินรบบรรจบกัน |
แล้วเกณฑ์ไพร่ไว้ทุกช่องกองละหมื่น |
ฉวยค่ำคืนเข้มงวดจะกวดขัน |
ถ้าหนักไหนให้ทหารช่วยด้านนั้น |
อย่าคิดครั่นคร้ามใจแก่ไพรี
ฯ |
ค
ฝ่ายเวียงวังคลังนาพวกข้าเฝ้า |
ต่างก้มเกล้ากราบพระมเหสี |
มาสั่งเวรเกณฑ์ทหารตามบาญชี |
ขึ้นนั่งที่เชิงเทินเนินหอรบ |
นายรักษาหน้าด่านทหารเอก |
ให้คุมเลกคนละพันเข้าบรรจบ |
ทั้งกองหมื่นพื้นสันทัดจัดสมทบ |
บนหอรบรายปืนกองฟืนไฟ |
ฯลฯ
ตอนที่
๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
ฝ่ายฝรั่งลังกาพวกข้าศึกพากันยกทัพมาเมืองผลึกอย่างเนืองแน่น ด้วยมีหลายเมืองด้วยกัน
กองตระเวนเมืองผลึก เห็นข้าศึกยกมาเป็นจำนวนมาก ก็ใช้วิธีสู้พลางถอยพลาง แล้วไปปิดปากน้ำไว้
สุดสาครกับสองอนุชาคุมกำลังออกต้านทาน
ทัพท้าวเจ้าประเทศทุกเขตแคว้น ก็หลีกแล่นเรือเข้าถึงฝั่ง เห็นทัพเจ้าเมืองยกออกมาต้านทาน
ก็พากันชิงกันรบ
ด้วยจะใคร่ได้ผู้หญิงชิงกันรบ |
ไม่สมทบถ้อยทีประสีประสา |
เสียงทหารขานโห่เป็นโกลา |
เดินโยธาข้ามทุ่งเข้ากรุงไกร
ฯ |
ไพร่พลเมืองผลึกบนเชิงเทินเนินหอรบ ก็ทำการสู้รบต้านทานข้าศึกเอาไว้เป็นสามารถ
ค
ฝ่ายพวกพลบนเชิงเนินหอรบ |
ล้วนเจนจบจ้องปืนยืนไสว |
เห็นกองทัพคับคั่งคอยชั่งใจ |
พอจวนใกล้ปล่อยปืนเสียงครื้นครึก |
ถูกสายโซ่โยธกาลงดาดาษ |
ลูกกลิ้งกลาดกลางทุ่งกรุงผลึก |
ปืนป้อมเปรี้ยงเสียงสนั่นลั่นพิลึก |
ถูกข้าศึกล้มตายลงหลายพัน |
ทีเหลือตายนายต้อนให้ถอนขวาก |
บ้างแล่นลากปืนยิงวิ่งถลัน |
ฯลฯ
ถูกปืนตับยับย่อยผ็อยผ็อยล้ม |
ยิงระดมดาษดื่นเป็นหมื่นแสน |
เสียงข้าศึกฮีกโห่ป้องโล่แพน |
ถือหลาวแหลนรบพุ่งชาวกรุงไกร |
องค์สุวรรณมาลีเข้าไปทูลการศึกแก่พระอภัย แต่พระอภัยไม่ใส่พระทัย พระนางจึงแปลงองค์เป็นชาย
ทรงเครื่องรบพร้อมทั้งสาวใช้ใหญ่น้อย ห้าร้อยเศษแปลงเพศเป็นชาย โพกศีรษะเหมือนทหารออกตรวจพลรอบกำแพงเมือง
ขุนนางแห่แลสล้างกลางนคร |
อัศดรเดินรอบขอบกำแพง |
เที่ยวตรวจพลบนเชิงเทินเนินหอรบ |
จนจวบพลบทินกรก็อ่อนแสง |
ฯลฯ
แล้วแลดูผู้คนพลข้าศึก |
ล้วนเหี้ยมฮึกหาญรบไม่หลบหนี |
บ้างถอนขวากลากล้อเข้าต่อตี |
แต่ล้วนมีโซ่สำหรับสับกำแพง |
บ้างปีนป่ายบันไดไม้ไผ่พาด |
ชาวเมืองฟาดฟันผันกันด้วยแผง |
ทั้งแหลมหลาวง้าวทวนเข้าสวนแทง |
ต่างต่อแย้งยิงกันประจัญบาน |
นางดูศึกฮึกฮักเห็นหนักแน่น |
ไม่ทดแทนถึงขนาดจะอาจหาญ |
ดำริพลางนางกษัตริย์มาจัดการ |
จะต้านทานทัพหลวงทะลวงฟัน |
ทั้งพลโล่โตมรศรกำซาบ |
ทหารดาบสองเล่มล้วนเข้มข้น |
กับทวนทองกองหน้าทั้งห้าพัน |
ช้างน้ำมันกล้างานั้นห้าร้อย |
เปิดประตูพรูพรั่งออกคั่งคับ |
เข้าตีทัพเมืองลยาไม่ล่าถอย |
ฯลฯ
องค์สุวรรณมาลีรบอยู่จนค่ำและตกอยู่ในที่ล้อม จะกลับเข้าเมืองก็ไม่พ้น ได้ทำการสู้รบอยู่จนดึกดื่น
ฆ่าฟันข้าศึกล้มตายไปเป็นอันมาก
ฝ่ายทัพเรือของสุดสาครออกรบยึดได้กำปั่น และปืนผาเป็นจำนวนมาก จึงได้มอบให้กับชาวด่านเป็นการหลวง
พอพลบค่ำน้ำขึ้นก็ให้แล่นเรือเข้าเมือง ถึงปากน้ำได้ยินเสียงรบกันอยู่เป็นโกลาหล
จึงจัดแจงแบ่งไพร่พล ให้น้องน้อยคอยรับรบด้านทัพเรือช่วยสมทบกองตระเวน แล้วพลขึ้นบกไปหมื่นห้าพันคน
เข้ารบกับพวกที่ล้อมเมืองอยู่
ฝ่ายทัพพระมเหสีพ้นออกมาจากที่ล้อมแล้วก็รีบยกอ้อมมาถึงเนินเชิงเทิน เห็นไพร่พลล้นหลามมาตามทาง
จึงถามขุนนางว่าเป็นของผู้ใด เมื่อทราบว่าเป็นของสุดสาคร ก็มีความยินดียิ่งนัก
แล้วสั่งเสนาในให้ไปแจ้งเรื่องให้ทราบ
สุดสาครรู้ว่าเป็นพระมเหสี ก็หยุดยั้งรั้งรอไพร่พลไว้ แล้วลงจากหลังม้ามังกรไปเฝ้าพระมเหสี
นางกษัตริย์เห็นสุดสาครเดินเข้ามามีรูปลักษณะไม่ผิดกับพระบิดา ก็ลงจากรถเดินมาจูงหัตถ์สุดสาคร
หน่อกษัตริย์ทรุดคำนับพระมเหสี แล้วพระมเหสีก็ประคองมาขึ้นรถให้นั่งบัลลังก์บอกว่าอย่าได้น้อยใจที่ให้รั้งรออยู่ที่ด่าน
สุดสาครทูลตอบว่าที่ข้าศึกมาล้อมเมืองนั้น จะขอรับคับเข็ญเป็นธุระไม่ให้เสียเมือง
แต่เป็นห่วงพระบิดาที่ประชวรอยู่ยังไม่ได้เข้าเฝ้า นางกษัตริย์ก็ชี้แจงว่าเมื่อวานซืนนี้ไม่แน่ใจ
แต่เดี๋ยวนี้แน่ใจแล้ว คงจะได้ไปรักษาพยาบาลพระบิดา ขอให้การรบพอสงบลง ให้กองทัพข้าศึกถอยออกไปก่อน
ตอนนี้ข้าศึกล้อมเมืองอยู่ จะคิดการฉันใดดี
สุดสาครทูลว่าตนจะออกรบเอง ขอให้พระมเหสีกลับวังไปก่อน แล้วมาตรวจดูไพร่พล
เห็นยังอยู่ครบครันก็นำกำลังเข้าต่อตีข้าศึกที่ล้อมเมืองอยู่เป็นตะลุมบอน
พระมเหสีอยู่ที่ป้อมเห็นข้าศึกรุมล้อมลูกรักอยู่เป็นจำนวนมากจึงอำมาตย์ฆาตฆ้องกลองสัญญา
ยกกำลังออกไปช่วยสมทบทัพสุดสาคร
ฝ่ายสองพี่น้องสองกุมารอยู่ด่านสมุทคอยท่าสุดสาครอยู่จนรุ่งเช้า ยังไม่เห็นกลับมา
จึงจัดพลแล้วยกมายังตัวเมือง เห็นยังรบกันอยู่ และสุดสาครอยู่ท่ามกลางกองทัพ
ก็สั่งให้ทหารเข้ารบสมทบกัน
สุดสาครตีตลบออกข้างนอกได้ก็พาพระมารดาเลี่ยงเข้าเมือง พอเห็นพี่น้องสองกุมารก็กวักหัตถ์เรียกให้เข้ามาหา
สองกุมารก็เล่าผลการรบของตนให้ทราบ
ฝ่ายพระมเหสีถูกเกาทัณฑ์ข้าศึกโลหิตอาบพระอังสา จึงบอกแก่สามกุมารว่าตนถูกลูกธนูจะไปใส่ยาสมานแผลแล้วจะรีบกลับมา
ให้ทั้งสามกุมารช่วยกันรักษาเมืองไว้ แล้วพากันคุมพลออกรบรับกับข้าศึกที่ยกมาทังเจ็ดทัพจนพลบค่ำจึงให้หยุดทัพ
แล้วหยุดทัพยับยั้งอยู่ปลายทุ่ง |
คอยรบพุ่งปิดทางไว้กลางหน |
อันข้าวน้ำลำเลียงเสบียงพล |
วิเสทขนเอาไปเลี้ยงแต่เวียงชัย
ฯ |
กล่าวถึงศรีสุวรรณอยู่ที่กรุงรัตนา เมื่อได้รับแจ้งการจากเรือใช้แล้ว ก็พาสินสมุทรรีบเดินทางมาเมืองผลึก
ได้แวะส่งองค์อรุณรัศมีที่เมืองรมจักร และได้พบพระวงศาแล้วก็รับพราหมณ์สามคนมาด้วย
ระหว่างทางลมสลาตันพัดกำปั่นไปยังเกาะกลางสมุทพบฝูงสิงห์โตบนเกาะ สินสมุทจึงจับมาเป็นพาหนะ
เดินทางมาได้เจ็ดเดือนก็เข้าเขตเมืองผลึก เห็นข้าศึกติดเมืองอยู่ทางทิศใต้จึงพากันเข้าเมืองไปเฝ้าพระมเหสี
พระมเหสีก็เล่าความให้ฟังทั้งหมด จากนั้นจึงพากันไปเฝ้าพระอภัย พระอภัยเห็นแล้วจำไม่ได้
สั่งให้สาวใช้ไล่ออกไป
ศรีสุวรรณเห็นพี่วิปริตก็ทุกข์ใจ สินสมุทจะเอารูปนางละเวงไปเผาพระอภัยก็ไม่ยอม
ทั้งสามกษัตริย์จึงหารือกัน พระมเหสีนึกขึ้นได้จึงบอกว่า โหรได้ดูพระอภัยแล้วบอกว่าจะไม่ถึงชีวิต
จะรอดด้วยเผ่าพงศ์พระวงศา สุดสาครที่เดินทางมาบอกว่าเป็นโอรสได้ช่วยรบสู้กู้เมือง
เห็นว่าจะเป็นหน่อเชื้อไข แต่ไม่แจ้งใจในวงศ์วานของมารดาจึงให้รั้งรออยู่
ศรีสุวรรณคิดถึงความหลังแล้วก็ยังไม่แจ้งใจ ส่วนสินสมุทนึกได้ว่า เมื่อตอนอยู่ที่เกาะแก้วพิศดาร
พระบิดาได้รักใคร่อยู่กับนางเงือกที่พาพระบิดาหนีมาได้กว่าปี จนนางมีครรภ์แล้วจึงจากมา
จึงจะไปถามความดู
จะไปถามความดูให้รู้แน่ |
แม้ลูกแม่แน่ชัดนางมัจฉา |
จะมีธำมรงค์ครุฑบุษรา |
กับจุฑามณีที่ประทาน
ฯ |
สองกษัตริย์เห็นชอบด้วยกับสินสมุท สินสมุทจึงออกไปพบสุดสาคร สุดสาครเห็นสินสมุทมีรูปร่างลักษณะเหมือนคำของปู่ก็รู้ว่าเป็นพี่ของตน
สมสังเกตเนตรแดงดังแสงครั่ง |
มีเขี้ยวปลั่งเปล่งจำรัสประภัสสร |
เหมือนคำปู่ดูแลเห็นแน่นอน |
สุดสาครเชิญพระพี่ให้ลีลา
ฯ |
สินสมุทเห็นสุดสาครมีพระพักตร์ผ่องผิวอย่างนางมัจฉา และเห็นแหวนก็รู้ว่าเป็นน้อง
ค
หน่อนรินทร์สินสมุทเห็นนุชน้อง |
พระพักตร์ผ่องผิวอย่างนางมัจฉา |
ฯลฯ
ทั้งเห็นแหวนแม่นยำเป็นสำคัญ |
ยิ่งแม่นมั่นมิได้หมางระคางแคลง |
ฯลฯ
แล้วปราศรัยไต่ถามกันตามซื่อ |
พ่อแล้วหรือลูกแม่สุวรรณมัจฉา |
น้องคำนับรับรสพจนา |
พระเชษฐาถามซ้ำเนื้อความไป |
ฯลฯ
สุดสาครถามอาการของพระบิดา สินสมุทตอบว่ามีผู้หญิงสิงพระบิดาอยู่ ทำให้ฟั่นเฟือนถึงนารี
ได้รูปในกระดาษมาจูบกอด เพลินจิตด้วยฤทธิ์ผี จะฉีกขยี้อย่างไรก็ไม่ฉีกขาด
สุดสาครบอกว่าไม่ต้องหวั่น ถ้ามีปีศาจสิงอยู่จริงก็จะแก้ไข
ค
อนุชาว่ากระนั้นอย่าหวั่นหวาด |
แม้ปีศาจสิงแท้จะแก้ไข |
ด้วยไม้เท้าเจ้าตาให้มาไว้ |
สำหรับไล่ผีสางปะรางคลาน |
แต่ผีดิบสิบโกฎิยังโลดวิ่ง |
ผีผู้หญิงหรือจะอยู่สู้หม่อมฉาน |
แต่คอยฟังรั้งราอยู่ช้านาน |
ไม่แจ้งการเลยว่าเป็นถึงเช่นนี้
ฯ |
สินสมุทพาสุดสาครกับสองอนุชา ไปเฝ้าพระมเหสีกับพระอนุชา เมื่อได้ไต่ถามแนะนำเผ่าพงศ์เป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว
สินสมุทก็ไปลักเอารูปวาดนางละเวงมาให้สุดสาคร ทำพิธีไล่ปีศาจร้าย
แล้วคลี่กลางปรางค์ปราสาทประหลาดใจ |
พระหน่อไทภาวนามหามนต์ |
เสกไม้เท้าดาบสจดกระดาษ |
เสียงรูปวาดกรีดร้องสยองขน |
แล้วตีซ้ำผีร้ายก็วายชนม์ |
กระดาษป่นเป็นประกายวูบหายไป |
ฝ่ายองค์พระอภัย เมื่อปีศาจสร่างจากใจแล้ว ก็ฟื้นตื่นบรรทมเห็นลูกรัก อัศเรศ
และอนุชา มาเฝ้ากันพร้อมหน้า แล้วมองเห็นสุดสาครเห็นผุดผาดผิวอย่างนางมัจฉา
ก็หวนระลึกถึงความหลัง แล้วจึงถามพระมเหสีว่า สามกุมารนี้เป็นลูกผู้ใดบ้าง
พระมเหสีจึงทูลความให้ทรงทราบ พระอภัยได้ทราบเรื่องแล้ว ก็มีความยินดียิ่งนัก
ได้ถามถึงนางสุวรรณมัจฉา สุดสาครก็เล่าความให้ฟัง
ค
สุดสาครร้อนจิตคิดถึงแม่ |
มาเห็นแต่บิตุรงค์น่าสงสาร |
ทรงกันแสงแจ้งเรื่องเคืองรำคาญ |
อันพระมารดาจนพ้นปัญญา |
ฯลฯ
แต่ส้มสูกลูกน้อยที่สอยได้ |
ก็แบ่งให้แม่มัจฉาตาฤาษ๊ |
จนลูกยาอายุได้สามปี |
พระชนนีแนะความให้ตามมา |
แล้วเล่าเรื่องเมืองน้องสองกษัตริย์ |
พูนสวัสดิ์หวังพระองค์เหมือนวงศา |
ฯลฯ
ลูกจากมาน่าที่จะวิตก |
ด้วยเปลี่ยวอกเปล่าใจอาลัยถึง |
จะง่วงเหงาเศร้าจิตคิดคะนึง |
แสนรำพึงถึงลูกผูกอาลัย |
แล้วสั่งมาว่าแม้นพบพระภูวนาถ |
ให้กราบบาททูลแจ้งแถลงไข |
ว่าชาตินี้มิได้มาเป็นข้าไท |
แต่มีใจคิดถึงองค์พระทรงธรรม์ |
อันปิ่นทองของประทานของผ่านเกล้า |
พระแม่เจ้ามอบให้หม่อมฉัน |
โอ้สงสารนานแล้วแต่แคล้วกัน |
จะนับวันเวลาตั้งตาคอย
ฯ |
พระอภัยได้ฟังก็สังเวช อาลัยในเงือกน้อย ทุกคนต่างก็พลอยโศกเศร้าไปด้วย จากนั้นก็ได้แนะนำให้บรรดาลูกหลานได้รู้จักกัน
แล้วตรัสถามเรื่องการศึก พระมเหสีก็ทูลว่าฝรั่งยังตั้งค่ายอยู่ตามท้องน้ำ
และมีการยกกำลังมาเพิ่มเติม ครั้งนี้ถ้าไม่ได้สุดสาครมาช่วย ก็คงจะเสียเมืองไปแล้ว
หลังจากนั้น พระอภัยก็ได้เสด็จออกขุนนางปรึกษาข้าเฝ้า เหล่าทหารถึงการศึก
พระปรึกษาข้าเฝ้าเหล่าทหาร |
ศึกมาต้านต่อแย้งด้วยแข็งขัน |
จงเร่งรัดจัดทัพสลับกัน |
ให้เป็นปัญจเสนาสง่างาม |
พรุ่งนี้เราจะยกออกยงยุทธ |
ให้สิ้นสุดศึกเตียนที่เสี้ยนหนาม |
ศรีสุวรรณนั้นเกณฑ์เป็นกองหน้า |
ล้วนโยธารมจักรคึกคักคั่ง |
พลทมิฬสินสมุทมาหยุดยั้ง |
อยู่พร้อมพรั่งปีกขวาสง่างาม |
พวกโยธาการะเวกเป็นปีกซ้าย |
ทั้งไพร่นายล้วนชำนาญการสนาม |
เจ้าวิเชียรโมราสานนพราหมณ์ |
เป็นกองหลังตั้งตามพยุหทัพ |
พวกพหลพลผลึกเป็นกองหลวง |
เวลาล่วงตีสิบเอ็ดพอเสร็จสรรพ |
ฯลฯ
ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังยับยั้งหยุด |
ตั้งเป็นครุฑกระบวนนามตามตำรับ |
เห็นโยธาพวกฝรั่งออกคั่งคับ |
เป็นแปดทัพทั้งเดิมและเติมมา |
ล้วนมีธงลงหนังสือชื่อประเทศ |
เมืองละเมดมลิกันสำปันหนา |
กรุงกวินจีนตั๋งอังคุลา |
ที่ยกมาทางบกอีกหกทัพ |
ฯลฯ
ฝ่ายองค์พระอภัย เห็นศึกหนักนับแสน จะเป่าปี่ก็เห็นว่าจะไม่แสดงความเก่งกล้า
ให้เป็นที่เลื่องลือเห็นว่าฝ่ายเรามาอยู่กันพร้อมหน้า ล้วนมีวิชาปรากฎ จะได้เห็นฝีมือของสองพี่น้อง
จะได้มีเกียรติยศไว้ในไตรภพ จึงให้ทูตไปเจรจานัดอย่างกษัตริย์ สงครามตามขนบ
ถ้าใช้ไพร่พลเข้ารบก็จะล้มตายกันมากมาย
ซึ่งจะชนะจะแพ้เพราะแม่ทัพ |
ออกต่อรับรบสู้เป็นคู่ขัน |
ใครพลาญเราเจ้าบุรินทร์สิ้นชีวัน |
คือคนนั้นได้ลูกสาวเจ้าลังกา
ฯ |
ค
ทั้งเก้าทัพรับกันเป็นธรรมยุทธ์ |
รำอาวุธเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
แต่ม้าทรงองค์ท้าวเจ้าคุลา |
ออกยืนหน้านายทหารถือขวานคลี |
บั้นเอวผูกลูกขลุบแล้วคลุมเสื้อ |
ดูดังเสือโคร่งคร่ำดำมิดหมี |
แล้วร้องท้าว่าใคร่ผู้ใดดี |
มาต่อตีตามพนันเหมือนสัญญา |
ฯลฯ
สินสมุทเข้ารบด้วย ถูกลูกขลุบ ของเจ้าคุลาล้มสลบไป สุดสาครเข้ามารบรับก็ถูกลูกขลุบจนจุก
ศรีสุวรรณเข้ามารับมือควงกระบองรับลูกขลุบได้ทั้งหมด แล้วใช้กระบองตีถูกเจ้าคุลาตาย
สองพี่น้องสินสมุทสุดสาครกลับฟื้นคืนขึ้น เหมือนหลับแล้วตื่น
เจ้ากวินเห็นเพื่อนตายไป จึงกระหวัดสายกวินเข้าต่อสู้ คล้องกระบองศรีสุวรรณหลุดมือไป
แล้วรัดพระชงฆ์จนองค์ทรุด สินสมุทเข้ามาช่วยไว้ทัน เจ้ากวินทิ้งมาอีก สายกวินโอบรัดกายสินสมุทไว้
แต่สินสมุทสะบัดสายขาด แล้วเอาขวานฟันเจ้ากวินตาย
ท้าวเจ้าละเมด ถืออาวุธกายสิทธิ์ชื่อ ภุขัน ที่ฟันใครแล้วเหมือนไฟฟ้า คนโดนฟันจะตายด้วยอาการที่เนื้อเผือด
เลือดไม่มี ครั้นเห็นเจ้ากวินตายก็เข้ามาต่อสู้ สินสมุทพลาดท่าถูกอาวุธสลบไป
ศรีสุวรรณเข้ามารับมือ กระบองเหล็กของศรีสุวรรณถูกภุขันก็หักสะบั้นไป สุดสาครถือไม้เท้าเข้าสู้
ใช้ไม้เท้าตีท้าวละเมดที่ศีรษะ จนศีรษะขาดถึงแก่ชีวิต แล้วเก็บเอาเหล็กภุขันมาไว้
สินสมุทก็กลับฟื้นคืนมา
ฝ่ายท้าวจีนตั๋งนั้น ฝังเพชรคงกระพันถือทุรัน น้ำมันไฟทั้งสองมือ เมื่อฟาดไปยังผู้ใดแล้ว
ก็จะมีไฟพิษติดเต็มร่างกาย ได้ควบม้าออกมาต่อสู้ สินสมุทตรงเข้ารับมือ จีนตั๋งฟาดประกายไฟถูกสินสมุทสลบไป
สุดสาครเข้ามารับมือก็ถูกจีนตั๋งฟาดไฟร่างกายไหม้จนสลบไป ศรีสุวรรณเข้าต่อสู้เอากระบองตีจีนตั๋งพลัดตกม้าแล้วลุกมาต่อสู้ใหม่
ฟาดไฟไปใส่ศรีสุวรรณเอากระบองบังไว้ได้ แล้วเอากระบองกระทุ้งแทงแต่จีนตั๋งมีเพชรเม็ดใหญ่ป้องกันตัวจึงไม่ได้เป็นอะไรแล้วฟาดไฟมาอีกถูกนิ้วมือของศรีสุวรรณที่ถือกระบองจนพองจนต้องถอยหลบออกมา
พี่น้องสองกษัตริย์เข้าไปสกัดกั้น เอาเกาทัฑณ์ยิงไปถูกจีนตั๋งแต่ทำอันตรายจีนตั๋งไม่ได้
แล้วจีนตั๋งกลับฟาดไฟไปยังสองกุมารา แต่ทำอันตรายไม่ได้ เนื่องจากฤทธิ์ของแก้วแววตาป้องกันเอาไว้
จึงถูกแต่ม้าทำให้กุมารผู้น้องพลัดตกจากหลังม้า กุมารีผู้พี่แคล่วคล่องกว่าเอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกลูกตาข้างขวาของจีนตั๋งจนตกม้า
แล้วหนีกลับไปรักษาตัวในกองทัพของตน
ฝ่ายพระอภัย เห็นโอรสทั้งสองยังไม่ฟื้น หาหมอทั้งหมดมาแก้ไขก็ไม่ได้ผล
ฝ่ายฝรั่งเมื่อรู้ว่าจีนตั๋งมีชัยแก่นายทัพเมืองผลึกไปสามคนก็อิจฉาเกรงว่าจะได้นางละเวงไป
จึงลอบใช้ให้บ่าวไปบอกชาวทัพเมืองผลึกว่าการดับพิษไฟต้องใช้ฝน เมื่อพระอภัยทราบความก็นึกได้ว่าสานนนั้นมีวิชาเรียกฝนได้
จึงให้สานนทำพิธีเรียกฝน เมื่อสององค์ต้องน้ำฝนก็ฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ
ฝ่ายสานนได้อาสาเรียกฝนปนลมเพื่อให้ข้าศึกหนาว แล้วฝ่ายพระอภัยก็จะยกกำลังเข้าโจมตี
พระอภัยเห็นด้วยจึงให้ดำเนินการก็ได้ชัยชนะ
ค
พระอภัยได้ชนะเพราะพระเวท |
แสนวิเศษสานนคนขยัน |
ฝรั่งแขกแตกตายเสียหลายพัน |
ที่เหลือนั้นจับได้ทั้งไพร่นาย |
ฯลฯ