| | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
สุดสาครสลบอยู่สามคืน จึงฟื้นนิ่งรำลึกตรึกภาวนาเวท ความเจ็บปวดก็หายไป แต่มีความหิวโหย จะปืนป่ายขึ้นไปก็ไม่ได้ ได้ยินเสียงม้าร้องก็บอกว่าตนขึ้นไปไม่ได้ ขอให้พี่ม้าไปบอกให้เจ้าตามาช่วย สุดสาครสลบแล้ว สลบอีกอยู่ในเหวนั้น แล้วพระโยคีก็มาช่วย แล้วสั่งสอนสุดสาคร
| ค บัดเดี๋ยว ดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว | สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา |
| เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา | ประคองพาขึ้นไปจนบรรพต |
| แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ | มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด |
| ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด | ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน |
| มนุษย์นี่ที่รักอยู่สองสถาน | บิดามารดารักมักเป็นผล |
| ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน | เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา |
| แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ | ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา |
| รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา | รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี |
| จงคิดตามไปเอาไม้เท้าเถิด | จะประเสริฐสมรักเป็นศักดิ์ศรี |
| พอเสร็จคำสำแดงแจ้งคดี | รูปโยคีหายวับไปกับตา |
| เจ้าประคุณกี่พรรษาพระอาจารย์ | สถิตสถานถิ่นที่บุรีใด |
| เป็นเผ่าท้าวพระยาหรือพานิช | กระจิดริดรู้ศรัทธาจะหาไหน |
| พระมุนีมีนามกรใด | ธุระไรหรือจึงมาถึงธานี ฯ |
| ไม่หุนหันฉันทาพยาบาท | นึกว่าชาติก่อนกรรมจะทำไฉน |
| จะฆ่าฟันมันก็ซ้ำเป็นกรรมไป | ต้องเวียนว่ายเวทนาอยู่ช้านาน |
| รูปบวชกายหมายใจจะได้ตรัส | ช่วยส่งสัตว์เสียให้พ้นวนสงสาร |
| จะเข่นฆ่าตาเฒ่าไม่เข้าการ | ขอประทานโทษไว้อย่าให้ตาย ฯ |
| ว่าหม่อมฉันวันจะจากพระอาจารย์ | ได้ตั้งสัตย์อธิษฐานต่อเทวา |
| มิได้กลับอภิวาทบาทดาบส | ก็ไม่ปลดปลิดเปลื้องเครื่องสิกขา |
| ซึ่งสององค์ทรงพระกรุณา | จะเมตตาหม่อมฉันประการใด |
| ขอประดับทับนอกหนังเสือเหลือง | ให้ประเทืองมิได้ขัดอัชฌาสัย |
| จะทรงเครื่องเปลื้องหนังเสียทั้งไตร | เหมือนได้ใหม่ลืมเก่าดังเผ่าพาล ฯ |
| กระบวนศึกฝึกฝนชนกุญชร | ต่างราญรอนเรียนครูให้รู้ครบ |
| รำกระบี่ตีกระบองดาบสองข้าง | ทั้งจักรขว้างโล่เขนได้เจนจบ |
| จนเจนจำชำนาญในการศึก | อาจารย์ฝึกพลรบให้หลบฝน |
| ทหารเลวเร่งรับกลอกกลับตน | แต่เม็ดฝนก็ไม่ถูกลูกเล็กเล็ก |
| ต่างคล่องแคล่วแกล้วกล้าปรีชาหาญ | ล้วนกุมารเหมาะเหมาะใส่เกราะเหล็ก |
| บ้างไว้จุกลูกขุนนางไว้หางเจ๊ก | ล้วนแต่เด็กน้อยน้อยห้าร้อยคน |
| จึงพาราผาสุกสนุกสนาน | พระกุมารบันเทิงละเลิงหลง |
| ลืมนักสิทธิ์ปิตุราชมาตุรงค์ | ใจพะวงอยู่ด้วยเล่นไม่เว้นวัน |
ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
กล่าวถึงเรื่องเมืองผลึก พระอภัยมณีครองเมืองกับนางสุวรรณมาลี ตั้งแต่ใช้ให้พระอนุชากับพระโอรสไปเฝ้าพระบิดา จนเวลาล่วงไปหนึ่งปี จึงได้รับแจ้งข่าว ด้วยสานนพราหมณ์ถือหนังสือมาว่า พระอนุชากับพระโอรสไปถึงกรุงรัตนา บ้านเมืองสงบสุข พระชนกชนนีเป็นโรคชราเรื้อรัง จึงยับยั้งอยู่ที่นั่นจนกว่าจะพอคลาย จึงจะทูลลากลับมา พระอภัยได้ทราบเรื่องแล้วหมดห่วง แล้วสานนก็ลากลับไปเมืองรมจักร พระอภัยได้รางวัลบรรดาสานุศิษย์ที่ติดตามปรนนิบัติมายามยาก
| ล้วนจีนจามพราหมณ์แขกฝรั่งปน | ทั้งร้อยคนคู่ยากลำบากมา |
| ประทานเมืยสาวสาวขาวน้อยน้อย | ถ้วนทั้งร้อยรูปงามตามภาษา |
| กับกำปั่นบรรทุกเกลือข้าวปลา | ทั้งเงินห้าร้อยทั่วทุกตัวคน |
| ให้ไปอยู่บุรีรอบขอบประเทศ | คอยแจ้งเหตุตื้นลึกศึกสิงหล |
| ให้มีไพร่ไว้สำหรับอยู่กับตน | ทั้งร้อยคนคนละร้อยไม่น้อยใจ ฯ |
| ค ฝ่ายจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแขกอังกฤษ | สุจริตรักพระองค์ไม่สงสัย |
| ได้กำปั่นภรรยาและข้าไท | เหมือนเกิดใหม่มั่งมียินดีนัก |
| ต่างทูลว่าถ้าแม้นเมืองผลึก | ต้องทำศึกลังกาอาณาจักร |
| จะเจ็บแค้นแทนพระคุณการุญรัก | สามิภักดิ์ต่อเจ้ากินข้าวเกลือ |
| พวกจีนแล่นแผนที่ตะวันออก | ออกเส้นนอกแหลมเรียวเลี้ยวเฉลียง |
| ไปกังตั๋งกังจิ๋วจนติ๋วเซียง | เข้าลัดเลี่ยงอ้ายมุ้ยแล่นฉุยมา |
| ข้างพวกแขกแยกเยื้องเข้าเมืองเทศ | อรุมเขตคุ้งสุหรัดปัตหนา |
| ไปปะหังปังกะเราะเกาะชวา | มะละกากะเลหวังตรังกานู |
| วิลันดามาแหลมโล้บ้านข้าม | เข้าคุ้งฉลามแหลมเงาะเกาะราหู |
| อัดแจจามข้ามหน้ามลายู | พวกญวนอยู่เวียตนามก็ข้ามไป |
| ข้างพวกพราหมณ์ข้ามไปเมืองสารถี | เวสาลีวาหุโลมโรมวิสัย |
| กบิลพัสดุ์โรมพัฒน์ถัดถัดไป | เมืองอภัยสาลีเป็นที่พราหมณ์ |
| ข้างพวกไทยได้ลมก็แล่นรี่ | เข้ากรุงศรีอยุธยาภาษาสยาม |
| พม่ามอญย้อนเข้าอ่าวพุกาม | ฝรั่งข้ามฟากเข้าอ่าวเยียระมัน |
| ที่บางเหล่าก็เข้าอ่าววิลาส | เมืองมะงาดมะงาดามะงาสวรรค์ |
| ข้ามเกาะเชาเมาลีกะปิตัน | หาพงศ์พันธุ์พวกพ้องพี่น้องตัว |
| ค จะกลับกล่าวเจ้าลังกาอาณาเขต | ปิ่นประเทศแว่นแคว้นแดนสิงหล |
| แต่ลูกยามาแถลงแจ้งยุบล | ว่าเสียพลพ่ายแพ้จะแก้อาย |
| ก็ห่วงบุตรอุศเรนพระลูกรัก | พระชงฆ์หักหมอแก้พอแผลหาย |
| แล้วรื้อกลับจับไข้มิใคร่คลาย | ศึกจึงสายเว้นช้าเสียห้าปี |
| แล้วเดินบกยกมาถึงท่าข้าม | ถนนพระรามเรือแพแลสลอน |
| ยั้งหยุดจัดหัดทหารไว้ราญรอน | ข่าวของทั่วทั้งเกาะลังกา ฯ |
| ขอพระองค์จงเป็นกองออกป้องกัน | คุมกำปั่นแปดร้อยคอยระวัง |
| แม้นสงครามตามตีจงหนีหลบ | ไปวันหนึ่งจึงค่อยทบตลบหลัง |
| มาปากอ่าวก้าวสกัดตัดกำลัง | ให้พร้อมพรั่งทั้งทัพรบสมทบกัน |
| ข้าจะรับท้าวเจ้าสิงหล | ด้วยเล่ห์กลโอนอ่อนช่วยผ่อนผัน |
| นางทูลความตามปัญญาสารพัน | ทั้งสุวรรณมาลีเห็นดีจริง |
| จึงทูลว่าข้ารับเป็นทัพซ้ำ | ช่วยเผาลำนาวาประสาหญิง |
| ค ฝ่ายลังกาฝรั่งอยู่หลังถนน | พอพักพลศึกทหารชาญสนาม |
| ออกจากฝั่งวังวนถนนพระราม | แล้วยกข้ามฟากมาสิบห้าคืน |
| เข้าเขตคุ้งกรุงผลึกนึกประหลาด | ไม่เห็นลาดตระเวณแขวงมาแข็งขืน |
| เข้าปากน้ำสำคัญให้ลั่นปืน | เสียงปึงปังดังครืนทั้งธรณี |
| พอเช้าตรู่ดูเรือเหนือปากอ่าว | ออกแล่นก้าวคลาดเคลื่อนเหมือนจะหนี |
| จึงสั่งบุตรอุศเรนเจนวารี | ให้ถามตีต้อนตัดสกัดทาง |
| ฝ่ายทัพหน้าห้าแสนเรือพันสอง | ออกลอยล่องแล่นไล่ใบสล้าง |
| ได้ครึ่งวันทันทับที่ท่ามกลาง | เข้ารบพลางแล่นหนียิ่งตีตาม ฯ |
| ค สงสารท้าวลังกาชราร่าง | ขี่ขุนนางนายทหารชาญกำแหง |
| ขึ้นตลิ่งวิ่งเลี้ยวด้วยเรี่ยวแรง | ใครกีดขวางทางแทงตะลุยมา |
| ค ฝ่ายพวกพลบนตลิ่งวิ่งลงน้ำ | ชาวเมืองซ้ำแทงทับไม่นับศพ |
| ด้วยเหตุเหล่าชาวบุรีนั้นมีคบ | จึงพรักพร้อมล้อมตลบสมทบกัน |
| แต่สุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ | ให้เกณฑ์หัดเขนทองกับกองขัน |
| เที่ยวเก็บเรือเหลือเผาที่เหล่านั้น | ได้กำปั่นหลายร้อยรับถอยมา |
| เอาปืนใหญ่ใส่ลำละร้อยบอก | ให้ยกออกโอบฝั่งไปข้างขวา |
| เข้ารบรับทัพหลังเจ้าลังกา | แต่เวลายังดึกเสียงครึกครื้น |
| ฝ่ายเสนาวาลีนารีห้าม | ก็ติดตามฆ่าแขกวิ่งแตกตื่น |
| กำปั่นรับกับกำปั่นต่างลั่นปืน | สะเทือนสะพึกครึกครื้นในราตรี ฯ |
| มานะหนักชักใบขึ้นใส่รอก | จะกลับออกปากอ่าวแล่นก้าวเฉียง |
| พวกชาวเมืองเยื้องยิงปืนใหญ่เรียง | ลูกส้มเกลี้ยงวับผึงเสียงตึงตัง |
| ถูกท้ายแยกแตกโย้ราโทหัก | ทะลุทะลักล้มคว่ำบ้างน้ำขัง |
| จะปิดแผลแก้ไขก็ไม่ฟัง | ลำที่นั่งอุศเรนก็เอนเอียง |
| สงสารสุดอุศเรนเมื่อรู้สึก | ทรวงระทึกแทบจะแยกแตกสลาย |
| พอเห็นองค์พระอภัยยิ่งให้อาย | จะใคร่ตายเสียให้พ้นก็จนใจ |
| คลำพระแสงแฝงองค์ที่ทรงเหน็บ | เขาก็เก็บเสียเมื่อพบสลบไสล |
| ให้อัดอั้นตันตึงตะลึงตะไล | พระอภัยพิศดูก็รู้ที |
| จึงสุนทรอ่อนหวานชาญฉลาด | เราเหมือนญาติกันดอกน้องอย่าหมองศรี |
| เมื่อแรกเริ่มเดิมก็ได้เป็นไมตรี | เจ้ากับพี่เล่าก็รักกันหนักครัน |
| มาขัดข้องหมองหมางเพราะนางหนึ่ง | จนได้ถึงรบสู้เป็นคู่ขัน |
| อันวิสัยในพิภพแม้นรบกัน | ก็หมายมั่นจะใคร่ได้ชัยชนะ |
| ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้ | หวังจะได้สนทนาวิสาสะ |
| ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ | แล้วก็จะรักกันจนวันตาย |
| ทั้งกำปั่นบรรดาโยธาทัพ | จะคืนกลับให้ไปดังใจหมาย |
| ทั้งสองข้างอยู่ตามความสบาย | เชิญภิปรายโปรดตรัสสัตยสัญญา ฯ |
| ค อุศเรนเอนเอกเขนกสนอง | ตามทำนององอาจไม่ปรารถนา |
| เราก็รู้ว่าท่านเจ้ามารยา | ที่เรามาหมายเชือดเอาเลือดเนื้อ |
| ไม่สมนึกศึกพลั้งลงครั้งนี้ | จะกลับดีด้วยศัตรูอดสูเหลือ |
| เราก็ชายหมายมาดว่าชาติเชื้อ | ไม่เอื้อเฟื้อฝากตัวไม่กลัวตาย |
| จงห้ำหั่นบั่นเกล้าเราเสียเถิด | จะไปเกิดมาใหม่เหมือนใจหมาย |
| แกล้งจ้วงจาบหยาบช้าพูดท้าทาย | จะใคร่ตายเสียให้ยับอัประมาณ ฯ |
| ค ฝ่ายวาลีปรีชาปัญญาแหลม | คนสอดแนมเข้าไปแจ้งแถลงไข |
| ว่าพระจะส่งองค์อุศเรนไป | จึงตรึกไตรตรองความตามปัญญา |
| พระผ่านเกล้าเรานี้อารีเหลือ | เหมือนดูถูกลูกเสือเบื่อหนักหนา |
| พระทัยซื่อถือว่าคุณเขามีมา | ถึงจะว่าเห็นไม่ฟังกำลังเมา |
| ทั้งองค์พระมเหสีก็มิห้าม | ด้วยมีความการุญคิดคุณเขา |
| ด้วยเป็นมิตรบิตุรงค์ของนงเยาว์ | เว้นแต่เราจะต้องทำแต่ลำพัง |
| ประเพณีตีงูให้หลังหัก | งูก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง |
| จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง | เหมือนเสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย |
| อันแม่ทัพจับได้แล้ไม่ฆ่า | ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย |
| ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย | จะทำภายหลังยากลำบากครัน |
| จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ | ประหารบุตรเข้าลังกาให้อาสัญ |
| ต้องตัดศึกลึกล้ำที่สำคัญ | นางหมายมั่นมุ่งเห็นจะเป็นการ |
| แสนระกำช้ำอกเหมือนตกเหว | อีหญิงเลวเหมือนเงาะมาเยาะหยัน |
| ยิ่งคิดคิดพิษลมระดมกัน | สะอื้นอั้นอกแยกแตกทำลาย |
| ชักชะงากรากเลือดเป็นลิ่มลิ่ม | ถึงปัจฉิมชีวาตม์ก็ขาดหาย |
| ทั้งมดหมอก็เข้าล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | จะแก้คลั่งยังไม่หายหลายขนาน |
| บ้างเสียผีพลีบัตรปัดรางความ | ปรายข้าวสารกรากกรากไม่อยากคลาย |
| ค ฝ่ายนางวาลีปีศาจเข้ากวาดเกรี้ยว | มันยุดเหนี่ยวหน้าหลังนั่งสลอน |
| สะดุ้งดิ้นสิ้นแรงตะแคงนอน | สะอื้นอ่อนอ่อนอารมณ์ค่อยสมประดี |
| แลเห็นองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | ทั้งองค์อัครชายามารศรี |
| มาพร้อมพรั่งทั้งสิ้นความยินดี | ค่อยพาทีทูลลาน้ำตานอง |
| ชันษาข้าบาทนี่ขาดแล้ว | จะคลาดแคล้วมิได้อยู่ชูฉลอง |
| ขอดับสูญทูลลาฝ่าละออง | กษัตริย์สองพระองค์อยู่จงดี |
| ซึ่งผิดพลั้งตั้งแต่มาเป็นข้าบาท | อย่าเกรี้ยวกราดโปรดเกล้าช่วยเผาผี |
| พอขาดคำร่ำว่านางวาลี | ร้องหวีดทีเดียวดิ้นก็สิ้นใจ ฯ |
| แม้นกำเนิดเกิดไหนขอให้ปะ | ได้เป็นพระมเหสีในที่สอง |
| ให้รูปงามทรามสงวนนวลละออง | อย่าให้ต้องอดสูกับผู้ใด |
| จงพ้นทุกข์สุโขอโหสิ | ไปจุติตามประสาอัชฌาสัย |
| แล้วพระองค์ทรงให้ตั้งแต่ง | ศพตำแหน่งน้องพระมเหสี |
| มีโขนหนังตั้งสมโภชโปรดเต็มที | แล้วให้มีมวยผู้หญิงทั้งทิ้งทาน |
| ให้ทำบุญมุนีฤาษีสิทธิ์ | ตามจริตไสยศาสตรในราชฐาน |
| ถึงเจ็ดวันครั้นเสร็จสำเร็จการ | โปรดประทานเพลิงศพเป็นจบการ ฯ |
กล่าวถึงเจ้าลังกา มาถึงท่าข้ามกรุงลังกา แล้วก็ให้หยุดทัพอยู่บนถนนคอยรับพลที่แตกกลับกับถอยทัพหน้า
ตัวเจ้าลังกา
ถูกลูกกำซาบซึ่งอาบยาพิษกำเริบถึงกระดูก
รักษาด้วยหยูกยาอะไรก็ไม่หาย มีความเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ทุกขณะ แต่ก็อุตส่าห์ดำรงแรง
| ให้เคลิ้มเห็นว่าเป็นอุศเรนราช | มาริมอาสน์อภิวันท์แล้วกันแสง |
| เห็นทรวงแยกแตกกลางเป็นลางแรง | แล้วคลางแคลงกลับกลายเคลิ้มหายไป |
| พอโยธาพาศพมณฑปประดับ | มาถึงทัพทูลแจ้งแถลงไข |
| ทราบว่าบุตรสุดสิ้นชีวาลัย | สลดใจเจียนว่าเลือดตากระเด็น |
| ให้ปลดเปลื้องเครื่องมณฑปดูศพสด | ปรอทรดรอบกายจนหายเหม็น |
| ยิ่งแค้นคั่งสั่งมาลีกะปิตัน | ของของมันราชวัตรเครื่องฉัตรธง |
| ทั้งโกศทองรองศพมณฑปใส่ | รักษาไว้ท่าข้ามตามประสงค์ |
| จะจับตัวพระอภัยสับใส่ลง | ข้ามไปส่งเสียเหมือนกันให้มันอาย |
| เมื่อดวงใจไปจากอุระแล้ว | ไม่คลาดแคล้วกายาคงอาสัญ |
| สิ้นชีวิตบิตุรงค์สิ้นพงศ์พันธุ์ | ใครจะกันเขตแคว้นแดนลังกา |
| ยังแต่น้องของเจ้าเป็นสาวรุ่น | แม้นสิ้นบุญบิตุเรศกับเชษฐา |
| จะเปล่าเปลี่ยวเดียวดิ้นกินน้ำตา | โอ้นึกน่าหนักทรวงเป็นห่วงใย |
| เสียดายศักดิ์รักตระกูลพูนเทวษ | น้ำพระเนตรมิรู้สิ้นรินรินร่วง |
| เหมือนอกเจ็บเหน็บเข็มไว้เต็มทรวง | โอ้บาทหลวงพระไม่ช่วยฉันด้วยเลย |
| ระทวยทอดกอดศพซบสะอื้น | ไม่พลิกฟื้นวรองค์ทรงเสวย |
| พอสายัณห์จันทร์กระจ่างน้ำค้างเชย | ท้าวก็เลยล่วงสวรรคครรไล ฯ |
| นางละเวงวัณฬาธิดาท้าว | ก็รุ่นสาวควรจะได้ไอศวรรย์ |
| สืบกษัตริย์ขัตติย์วงศ์ตามพงศ์พันธุ์ | เห็นพร้อมกันถ้วนทั่วตัวขุนนาง |
| แล้วชวนกันอัญชลีนีฤมล | อย่าสิ้นชนม์เชิญบำรุงกรุงลังกา |
| อันเยี่ยงอย่างปางก่อนบวรนาถ | เสวยราชย์เรียงกันตามชันษา |
| บัดนี้สิ้นปิ่นกษัตริย์ขัตติยา | พระธิดาจงเป็นใหญ่ได้เอ็นดู |
| จะได้คิดปิดอุมงค์ปลงพระศพ | เป็นเคารพรับตราพระราหู |
| แล้วจึงคิดกิจการผลาญศัตรู | ที่เป็นคู่เคืองแค้นแทนบิดร ฯ |
| ค ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาน้อย | ให้เศร้าสร้อยโศกทรวงดวงสมร |
| จึงตรัสตอบขอบคำที่ร่ำวอน | การนครควรคู่กับผู้ชาย |
| เราเป็นหญิงยิ่งเป็นเจ้าชาวสิงหล | ทุกตำบลจะบังอาจประมาทหมาย |
| จงจัดกันบรรดาเสนานาย | ช่วยสืบสายสมบัติกษัตรา |
| อันคนอื่นพื้นไพร่ใช่กษัตริย์ | สุดจะจัดขึ้นเป็นปิ่นบดินทร์สูร |
| แม่เป็นหญิงจริงอยู่แต่ตระกูล | สืบประยูรปกเกล้าชาวลังกา |
| ประการหนึ่งซึ่งตราพระราหู | เป็นของคู่ขัตติยาเทวาถวาย |
| เป็นตราแก้วแววเวียนวิเชียรพราย | แต่เช้าสายสีรุ้งดูรุ่งเรือง |
| ครั้นแดดแข็งแสงขาวดูพราวพร้อย | ครั้นบ่ายคล้อยเคลือบสีมณีเหลือง |
| ครั้นค่ำช่วงดวงแดงแสงประเทือง | อร่ามเรืองรัศมีเหมือนสีไฟ |
| แม้นเดินหนฝนตกไม่ถูกต้อง | เอาไว้ห้องหับแห่งตำแหน่งไหน |
| ไม่หนาวร้อนอ่อนอุ่นละมุนละไม | ถ้าชิงชัยแคล้วคลาดซึ่งสาตรา |
| แต่ครั้งนี้ท้าวมิได้เอาไปศึก | เพราะท้าวนึกห่วงพระแม่แน่นักหนา |
| ด้วยเป็นหญิงทิ้งไว้จึงให้ตรา | ไว้รักษาสารพันอันตราย |
| จึงธนูผู้หญิงมันยิงถูก | ควรพระลูกทดแทนให้แค้นหาย |
| หญิงผลึกศึกกล้าเสียกว่าชาย | เชิญพระแม่แก้อายอย่าวายวาง ฯ |
| พนักงานสำหรับประดับศพ | ก็แต่งครบเครื่องอร่ามตามภาษา |
| อันเยี่ยงอย่างข้างฝรั่งเกาะลังกา | ท้าวพระยาอยู่ปราสาทราชวัง |
| ก็ต้องมีที่ตายไว้ท้ายปราสาท | สำหรับบาทหลวงจะได้เอาไปฝัง |
| เป็นห้องหับลับลี้ที่กำบัง | ถึงฝรั่งพลเรือนก็เหมือนกัน |
| ใครบรรลัยไปบอกพระบาทหลวง | มาควักดวงเนตรให้ไปสวรรค์ |
| มีไม้ขวางกางเขนเป็นสำคัญ | ขึ้นแปลธรรมเทศนาตามบาลี |
| ว่าเกิดมาสามัญคนทั้งหลาย | มีร่างกายก็ลำบากคือซากผี |
| ครั้นตัวตายภายหลังฝังอินทรีย์ | เอาเท้าชี้ขึ้นนั้นด้วยอันใด |
| วิสัชนาว่าจะให้ไปสวรรค์ | ว่าเท้านั้นนำเดินดำเนินได้ |
| อันอินทรีย์ชีวิตพลอยติดไป | ครั้นเท้าย่างไปทางไหนไปทางนั้น |
| จึงฝรั่งฝังผีตีนชี้ฟ้า | ให้บาทเยื้องย่างไปทางสวรรค์ |
| ครั้นสวดจบศพใส่เข้าในถุง | บาทหลวงนุ่งห่มดำนำไปสวรรค์ |
| อ่านหนังสือถือเทียนเวียนระวัน | ลูกศิษย์นั้นหวั่นผีทั้งสี่คน |
| หกศีรษะเอาศพใส่หลุมตรุ | แต่พอจุศพถุงเหมือนปรุงปรับ |
| พระบาทหงส์ตรงฟ้าศิลาทับ | เครื่องคำนับนั้นก็ตั้งหลังศิลา |
| จะชนะจะแพ้เพราะแม่ทัพ | ที่บังคับคิดอ่านการทั้งปวง |
| อันนักปราชญ์ราชครูผู้สำเร็จ | คือสมเด็จสังฆราชพระบาทหลวง |
| ค ฝ่ายฝรั่งสังฆราชพระบาทหลวง | ฉลาดล่วงคาดการประมาณศึก |
| หัวร่อร่าว่าเป็นกรรมที่ล้ำลึก | เมืองผลึกดีแต่สู้กับผู้ชาย |
| จะต้องตรองตรึกตราวิชาหญิง | สละทิ้งเสียทั้งตราพระราหู |
| แม้นคิดเห็นแม้นเราสั่งทั้งชมพู | ไม่หาญสู้ศึกโยมพระโฉมงาม ฯ |
| กระหัวเราะเคาะกล้องจะลองจิต | บอกเป็นปริศนาว่าจิตการ |
| กลก็การก็กลกลปนการ | เร่งคิดอ่านองค์ละเวงอย่าเกรงเลย |
| แต่นั้นมาข้าเฝ้าเหล่าอำมาตย์ | พยาบาทเมืองผลึกจึงปรึกษา |
| แม้นโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาพะงา | ออกนั่งว่าราชกิจที่ติดพัน |
| จะให้ผู้เฒ่าเฝ้าห้องร้องว่าศึก | เมืองผลึกยิงบิดาท่านอาสัญ |
| เหมือนเดือนเจ้าเช้าเย็นไม่เว้นวัน | ด้วยผูกพันพยาบาทอังชาติทมิฬ ฯ |
| | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |