| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก


            สุดสาครสลบอยู่สามคืน จึงฟื้นนิ่งรำลึกตรึกภาวนาเวท ความเจ็บปวดก็หายไป แต่มีความหิวโหย จะปืนป่ายขึ้นไปก็ไม่ได้ ได้ยินเสียงม้าร้องก็บอกว่าตนขึ้นไปไม่ได้ ขอให้พี่ม้าไปบอกให้เจ้าตามาช่วย สุดสาครสลบแล้ว สลบอีกอยู่ในเหวนั้น แล้วพระโยคีก็มาช่วย แล้วสั่งสอนสุดสาคร

  บัดเดี๋ยว ดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา ประคองพาขึ้นไปจนบรรพต
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี่ที่รักอยู่สองสถาน บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
จงคิดตามไปเอาไม้เท้าเถิด จะประเสริฐสมรักเป็นศักดิ์ศรี
พอเสร็จคำสำแดงแจ้งคดี รูปโยคีหายวับไปกับตา
            จากนั้นสุดสาครก็ขี่ม้านิลมังกร ออกเดินทางไปเมืองการะเวก โดยให้ม้านำไปด้วยเหตุที่เคยไปมาแล้ว ใช้เวลาเดินทางหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ก็ถึงเมืองการะเวก ชาวเมืองเห็นเข้าคิดว่าสุดสาครเป็นลูกหลานของชีเปลือย ด้วยจำม้าที่ขี่มาได้ สุดสาครถามหาชีเปลือย ชาวเมืองก็บอกว่า เจ้าเมืองให้นิมนต์เข้าไปอยู่ในวัง สุดสาครจึงตามไปที่ศาลาหน้าพระลานทวารวัง แล้วถามหาชีเปลือยก็ได้รับทราบว่า ชีเปลือยเจ็บไข้ไม่สบายอยู่ที่ทิมริมพระลาน สุดสาครขอให้พาตนไปพบชีเปลือย พวกขุนนางเอ็นดูสุดสาคร จึงรับพาไป และให้ลงจากหลังม้าเพราะจะขี่ม้าเข้าวังไม่ได้ สุดสาครก็ทำตามโดยดี เมื่อมาถึงที่ชีเปลือยนอนอยู่ เอาไม้เท้าพิงไว้ที่ข้างฝา จึงฉวยเอาไม้เท้ามาได้แล้วร้องต่อว่าชีเปลือย บอกว่าจะฆ่าเสียให้ตาย
            ชีเปลือยเห็นสุดสาครก็ตกใจออกวิ่งหนี บรรดาเสนาข้าเฝ้าไม่รู้เรื่องก็พากันสับสนอลหม่าน ส่งเสียงอื้ออึงไปทั้งวัง
            ฝ่ายพระสุริโยทัยได้ยินเสียงอื้ออึง จึงตรัสถามบรรดาข้าเฝ้าถึงสาเหตุ ก็ไม่มีผู้ใดทูลตอบได้
            ฝ่ายสุดสาครก็เดินมากลางวัง แล้วร้องบอกแก่คนทั้งหลายว่า ตนมาเอาไม้เท้าคืน แล้วออกเดินทางต่อไป ไม่ทำร้ายใคร พระสุริโยทัยเห็นนักสิทธิ์น้อยน่ารัก จึงตรัสสั่งให้อำมาตย์ นิมนต์มาที่พระโรงให้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์แก้ว แล้วตรัสถาม
เจ้าประคุณกี่พรรษาพระอาจารย์ สถิตสถานถิ่นที่บุรีใด
เป็นเผ่าท้าวพระยาหรือพานิช กระจิดริดรู้ศรัทธาจะหาไหน
พระมุนีมีนามกรใด ธุระไรหรือจึงมาถึงธานี ฯ
            สุดสาครก็ทูลตอบให้ทรงทราบทุกประการ พร้อมทั้งเรื่องราวความเป็นมา จนถูกชีเปลือยผลักตกเหว ตนจึงตามมาเอาไม้เท้า
            พระสุริโยทัย ได้ทรงทราบแล้ว ก็โกรธชีเปลือยที่ลวงฆ่าสุดสาคร และมาหลอกลวงชาวเมือง ถ้าไม่ฆ่าก็จะเคยตัว แล้วให้ไปจับชีเปลือยมา แล้วสั่งให้เอาไปผ่าอก
            สุดสาครคิดสงสาร จึงทัดทานไว้ บอกว่าเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้
ไม่หุนหันฉันทาพยาบาท นึกว่าชาติก่อนกรรมจะทำไฉน
จะฆ่าฟันมันก็ซ้ำเป็นกรรมไป ต้องเวียนว่ายเวทนาอยู่ช้านาน
รูปบวชกายหมายใจจะได้ตรัส ช่วยส่งสัตว์เสียให้พ้นวนสงสาร
จะเข่นฆ่าตาเฒ่าไม่เข้าการ ขอประทานโทษไว้อย่าให้ตาย ฯ
            พระสุริโยทัยทรงยอมตามที่ขอร้อง และบอกว่ารักพระดาบส จะใคร่ได้ไว้เป็นโอรสช่วยบำรุงบ้านเมือง สุดสาครก็ทูลตอยด้วยความฉลาดว่า ถ้าตนได้ไปพบพระบิดา และพงศ์เผ่าแล้ว ก็จะกลับมาอยู่ด้วยจนตลอดชีวิต
            พระสุริโยทัยได้ฟังก็พอพระทัยยิ่งนัก แล้วตรัสว่าจะไปด้วยกับสุดสาคร แต่ขอให้รอสืบสวน หาข่าวเสียก่อนว่า มีผู้ใดรู้เรื่องเมืองพระอภัยมณีบ้าง แล้วขอให้สุดสาครพักอยู่ที่เมืองก่อน
            พระสุริโยทัยกับมเหสีต่างก็รักสุดสาครดังโอรส แล้วขอให้สุดสาครเปลื้องเครื่องดาบสสึกออกมาแล้วทรงเครื่องกษัตริย์ แต่สุดสาครทัดทานไว้พร้อมเหตุผล และขอประดับเครื่องทรงไว้นอกหนังเสือ
ว่าหม่อมฉันวันจะจากพระอาจารย์ ได้ตั้งสัตย์อธิษฐานต่อเทวา
มิได้กลับอภิวาทบาทดาบส ก็ไม่ปลดปลิดเปลื้องเครื่องสิกขา
ซึ่งสององค์ทรงพระกรุณา จะเมตตาหม่อมฉันประการใด
ขอประดับทับนอกหนังเสือเหลือง ให้ประเทืองมิได้ขัดอัชฌาสัย
จะทรงเครื่องเปลื้องหนังเสียทั้งไตร เหมือนได้ใหม่ลืมเก่าดังเผ่าพาล
                จากนั้นสองกษัตริย์ก็จัดการให้สุดสาครลาสิกขาบท ให้ทรงเครื่องกษัตริย์โดยมีหนังเสือนุ่งอยู่ภายใน แล้วตรัสเรียกพระธิดามาให้ไหว้สุดสาครในฐานะที่เป็นน้อง สุดสาครกับน้องสนิทสนมรักใคร่กัน เมื่อสุดสาครหัดอะไร น้องก็หัดบ้าง สุดสาครก็สนุกเพลิดเพลินจนลืมพระโยคี พระบิดา พระมารดา
กระบวนศึกฝึกฝนชนกุญชร ต่างราญรอนเรียนครูให้รู้ครบ
รำกระบี่ตีกระบองดาบสองข้าง ทั้งจักรขว้างโล่เขนได้เจนจบ
ฯลฯ
จนเจนจำชำนาญในการศึก อาจารย์ฝึกพลรบให้หลบฝน
ทหารเลวเร่งรับกลอกกลับตน แต่เม็ดฝนก็ไม่ถูกลูกเล็กเล็ก
ต่างคล่องแคล่วแกล้วกล้าปรีชาหาญ ล้วนกุมารเหมาะเหมาะใส่เกราะเหล็ก
บ้างไว้จุกลูกขุนนางไว้หางเจ๊ก ล้วนแต่เด็กน้อยน้อยห้าร้อยคน
ฯลฯ
จึงพาราผาสุกสนุกสนาน พระกุมารบันเทิงละเลิงหลง
ลืมนักสิทธิ์ปิตุราชมาตุรงค์ ใจพะวงอยู่ด้วยเล่นไม่เว้นวัน


ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก


            กล่าวถึงเรื่องเมืองผลึก พระอภัยมณีครองเมืองกับนางสุวรรณมาลี ตั้งแต่ใช้ให้พระอนุชากับพระโอรสไปเฝ้าพระบิดา จนเวลาล่วงไปหนึ่งปี จึงได้รับแจ้งข่าว  ด้วยสานนพราหมณ์ถือหนังสือมาว่า พระอนุชากับพระโอรสไปถึงกรุงรัตนา บ้านเมืองสงบสุข พระชนกชนนีเป็นโรคชราเรื้อรัง จึงยับยั้งอยู่ที่นั่นจนกว่าจะพอคลาย จึงจะทูลลากลับมา พระอภัยได้ทราบเรื่องแล้วหมดห่วง แล้วสานนก็ลากลับไปเมืองรมจักร  พระอภัยได้รางวัลบรรดาสานุศิษย์ที่ติดตามปรนนิบัติมายามยาก

ล้วนจีนจามพราหมณ์แขกฝรั่งปน ทั้งร้อยคนคู่ยากลำบากมา
ประทานเมืยสาวสาวขาวน้อยน้อย ถ้วนทั้งร้อยรูปงามตามภาษา
กับกำปั่นบรรทุกเกลือข้าวปลา ทั้งเงินห้าร้อยทั่วทุกตัวคน
ให้ไปอยู่บุรีรอบขอบประเทศ คอยแจ้งเหตุตื้นลึกศึกสิงหล
ให้มีไพร่ไว้สำหรับอยู่กับตน ทั้งร้อยคนคนละร้อยไม่น้อยใจ ฯ
  ฝ่ายจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแขกอังกฤษ สุจริตรักพระองค์ไม่สงสัย
ได้กำปั่นภรรยาและข้าไท เหมือนเกิดใหม่มั่งมียินดีนัก
ต่างทูลว่าถ้าแม้นเมืองผลึก ต้องทำศึกลังกาอาณาจักร
จะเจ็บแค้นแทนพระคุณการุญรัก สามิภักดิ์ต่อเจ้ากินข้าวเกลือ
ฯลฯ
พวกจีนแล่นแผนที่ตะวันออก ออกเส้นนอกแหลมเรียวเลี้ยวเฉลียง
ไปกังตั๋งกังจิ๋วจนติ๋วเซียง เข้าลัดเลี่ยงอ้ายมุ้ยแล่นฉุยมา
ข้างพวกแขกแยกเยื้องเข้าเมืองเทศ อรุมเขตคุ้งสุหรัดปัตหนา
ไปปะหังปังกะเราะเกาะชวา มะละกากะเลหวังตรังกานู
วิลันดามาแหลมโล้บ้านข้าม เข้าคุ้งฉลามแหลมเงาะเกาะราหู
อัดแจจามข้ามหน้ามลายู พวกญวนอยู่เวียตนามก็ข้ามไป
ข้างพวกพราหมณ์ข้ามไปเมืองสารถี เวสาลีวาหุโลมโรมวิสัย
กบิลพัสดุ์โรมพัฒน์ถัดถัดไป เมืองอภัยสาลีเป็นที่พราหมณ์
ข้างพวกไทยได้ลมก็แล่นรี่ เข้ากรุงศรีอยุธยาภาษาสยาม
พม่ามอญย้อนเข้าอ่าวพุกาม ฝรั่งข้ามฟากเข้าอ่าวเยียระมัน
ที่บางเหล่าก็เข้าอ่าววิลาส เมืองมะงาดมะงาดามะงาสวรรค์
ข้ามเกาะเชาเมาลีกะปิตัน หาพงศ์พันธุ์พวกพ้องพี่น้องตัว
ฯลฯ
            ฝ่ายพระอภัยได้ปล่อยคนรักรายแฝงไว้ทุกแห่งหนแล้วก็ทรงสำราญผ่านสมบัติ แต่นางสุวรรณมาลีนั้นขี้หึง อยู่ต่อมาไม่ถึงครึ่งปีก็ทรงครรภ์ เมื่อถึงกำหนดก็คลอดราชธิดาเป็นฝาแฝด พระอัยกีรักใคร่มาก
  จะกลับกล่าวเจ้าลังกาอาณาเขต ปิ่นประเทศแว่นแคว้นแดนสิงหล
แต่ลูกยามาแถลงแจ้งยุบล ว่าเสียพลพ่ายแพ้จะแก้อาย
ก็ห่วงบุตรอุศเรนพระลูกรัก พระชงฆ์หักหมอแก้พอแผลหาย
แล้วรื้อกลับจับไข้มิใคร่คลาย ศึกจึงสายเว้นช้าเสียห้าปี
            พอค่อยยังชั่วตั้งตัวได้ก็คิดทำศึก จึงให้เกณฑ์คนจากเมืองเอกโทตรี ได้ทัพหน้ามีกำลังห้าแสนถือแหลนหลาวปืนยาวปืนสั้น ปีกของกองหลวงมีกำลังห้าหมื่น กองหลังมีกำลังหลายแสน  ให้อุศเรนเป็นทัพหน้า เจ้าลังกาเป็นทัพหลวง
แล้วเดินบกยกมาถึงท่าข้าม ถนนพระรามเรือแพแลสลอน
ยั้งหยุดจัดหัดทหารไว้ราญรอน ข่าวของทั่วทั้งเกาะลังกา ฯ
            พระอภัยได้ข่าวศึกจึงปรึกษานางวาลี  นางวาลีทูลว่าการรบฟันแทงกันนั้น ไพร่พลทั้งสองฝ่ายก็จะมอดม้วยลงด้วยกัน ถ้าลวงล่อพอให้ได้ชัยชนะก็เห็นว่าจะทำได้
ขอพระองค์จงเป็นกองออกป้องกัน คุมกำปั่นแปดร้อยคอยระวัง
แม้นสงครามตามตีจงหนีหลบ  ไปวันหนึ่งจึงค่อยทบตลบหลัง
มาปากอ่าวก้าวสกัดตัดกำลัง  ให้พร้อมพรั่งทั้งทัพรบสมทบกัน
ข้าจะรับท้าวเจ้าสิงหล ด้วยเล่ห์กลโอนอ่อนช่วยผ่อนผัน
นางทูลความตามปัญญาสารพัน  ทั้งสุวรรณมาลีเห็นดีจริง
จึงทูลว่าข้ารับเป็นทัพซ้ำ ช่วยเผาลำนาวาประสาหญิง
ฯลฯ
  ฝ่ายลังกาฝรั่งอยู่หลังถนน พอพักพลศึกทหารชาญสนาม
ออกจากฝั่งวังวนถนนพระราม แล้วยกข้ามฟากมาสิบห้าคืน
เข้าเขตคุ้งกรุงผลึกนึกประหลาด ไม่เห็นลาดตระเวณแขวงมาแข็งขืน
เข้าปากน้ำสำคัญให้ลั่นปืน เสียงปึงปังดังครืนทั้งธรณี
พอเช้าตรู่ดูเรือเหนือปากอ่าว ออกแล่นก้าวคลาดเคลื่อนเหมือนจะหนี
จึงสั่งบุตรอุศเรนเจนวารี ให้ถามตีต้อนตัดสกัดทาง
ฝ่ายทัพหน้าห้าแสนเรือพันสอง ออกลอยล่องแล่นไล่ใบสล้าง
ได้ครึ่งวันทันทับที่ท่ามกลาง เข้ารบพลางแล่นหนียิ่งตีตาม ฯ
            ฝ่ายทัพหลวงเข้าไปถึงปากน้ำ พบเรือครัวลำหนึ่งจึงจับตัวคนเรือเอาไปถาม ได้ความว่า เมื่อคืนนี้พอได้ยินเสียงปืน ชาวเมืองก็พากันแยกย้ายหนีไป พระอภัยได้กำปั่นสักพันลำบรรทุกข้าวของเงินทอง แล้วจุดไฟเผาข้าวปลา พาผู้คนหนีออกทะเลไป ที่เหลืออยู่ก็หนีไปหลบเร้น เจ้าลังกาได้ฟังแล้วจึงว่าทัพอุศเรนจะตามไปทัน จึงให้ทัพหลังตั้งปิดอยู่ปากอ่าวคอยสืบข่าวทัพหน้า ส่วนทัพใหญ่จะเข้าไปอยู่ในเมือง จะได้เกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎร์ พอเรียบร้อยแล้วสักสามราตรี ก็จะออกตามตีทัพเรือต่อไป แล้วให้ไพร่พลยึดเรือที่นั่งในแม่น้ำล้วนเป็นเรือกำปั่น  เห็นไฟไหมในเมืองอยู่ก็คิดว่าเป็นจริงไม่กริ่งใจ ให้จอดเรือริมฝั่งพอจวนพลบค่ำ ก็จุดไฟสว่างไสว สั่งให้แยกกองป้องกันชาวเมือง หนีออกไปนอกกำแพง พอค่ำมืดก็พักกำลังพลอยู่บนฝั่งฟากที่ตั้งเมืองโดยไม่ระแวงสงสัย แล้วมีการจัดเลี้ยงกัน
            ส่วนนางสุวรรณมาลีเป็นทัพซ่อนซุ่มอยู่ จึงขับไพร่พลให้ล้อมเลียบหาดทราย แล้วตัดสายสมอเรือพร้อมทั้งจุดไฟเผา ผลักกำปั่นให้ลอยไปปะทะกัน นางวาลีอยู่ที่ท้องพระโรงก็เมื่อเห็นเพลิงลุกไหม้ก็ให้เอาปืนใหญ่ยิง จากนั้นก็ยกกำลังออกนอกกำแพงไล่แทงทัพลังกาล้มตาย จะลงเรือเพลิงก็ไหม้ บ้างกระโดดน้ำหนีจนจมน้ำตาย ชาวเมืองออกเที่ยวไล่ฆ่าฟันข้าศึกล้มตายเป็นอันมาก
  สงสารท้าวลังกาชราร่าง ขี่ขุนนางนายทหารชาญกำแหง
ขึ้นตลิ่งวิ่งเลี้ยวด้วยเรี่ยวแรง ใครกีดขวางทางแทงตะลุยมา
ฯลฯ
        ทัพนางวาสีเข้าสะกัดกันพวกที่วกลงน้ำ ทัพหลังลังกาต้องหยุดอยู่แต่ไกลด้วยเป็นกลางคืนไม่รู้ว่าพวกตนอยู่ไหน
  ฝ่ายพวกพลบนตลิ่งวิ่งลงน้ำ ชาวเมืองซ้ำแทงทับไม่นับศพ
ด้วยเหตุเหล่าชาวบุรีนั้นมีคบ จึงพรักพร้อมล้อมตลบสมทบกัน
แต่สุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ ให้เกณฑ์หัดเขนทองกับกองขัน
เที่ยวเก็บเรือเหลือเผาที่เหล่านั้น ได้กำปั่นหลายร้อยรับถอยมา
เอาปืนใหญ่ใส่ลำละร้อยบอก ให้ยกออกโอบฝั่งไปข้างขวา
เข้ารบรับทัพหลังเจ้าลังกา แต่เวลายังดึกเสียงครึกครื้น
ฝ่ายเสนาวาลีนารีห้าม ก็ติดตามฆ่าแขกวิ่งแตกตื่น
กำปั่นรับกับกำปั่นต่างลั่นปืน สะเทือนสะพึกครึกครื้นในราตรี ฯ
            ฝ่ายพระอภัยคุมกำปั่นแปดร้อยทำถอยหนีไป แล้วคอยรบล่อมาในตอนกลางคืน ให้กองร้อยล่อให้ไล่ แล้วทัพใหญ่ย้อนทุบตลบหลัง มาถึงปากอ่าวตอนเช้าตรู เห็นเรือลังกาจะถอยทัพจึงเร่งพลเข้ารบพุ่งช่วยชาวกรุงที่ไล่ลงมาจากฝั่ง ทัพลังกาก็แตกยับ พระมเหสีขี่รถแปลงกายเป็นนายทหาร นางวาลีขี่ม้า ทั้งสองกองอยู่คนละด้านรุกรบมาบรรจบกัน พอเห็นแขกแบกเจ้าลังกาวิ่งเลียบตลิงมาจะลงเรือกำปั่น นางวาลีจึงยิงด้วยเกาทัณฑ์สามลูกถูกเกราะทะลุ ลูกหนึ่งปักที่แขนขวา ทหารยกใส่บ่าแบกพระองค์ลงเรือไปได้ แล้วพาเรือออกอ่าวไปยังลังกา
            พระอภัยได้ของพวกกองทัพเป็นจำนวนมาก จึงป่าวประกาศให้ชาวเมืองมาเก็บของตามต้องการแล้วให้พระมเหสีกับนางห้าม วาลีอยู่ปราบปรามพลศึก ส่วนพระองค์ลงนั่งเรือมังกรแล้วเคลื่อนทัพออกกำปั่นพันร้อยลำคอยปิดทางทัพหน้าเมื่อขากลับ เพื่อคอยจับอุศเรน
            ฝ่ายทัพอุศเรนตามกำปั่นไปโดยถูกกลลวง เห็นว่าทัพที่หนีไปนั้นเห็นทีจะยกกลับมาตลบหลัง จึงให้รั้งรอเรียกทัพกลับ พอพลบค่ำก็พบทัพพระอภัยมณี แต่เนื่องจากมืดค่ำแล้วจึงสำคัญว่าเป็นทัพหลวง จึงล่องลวงเลียบคุ้งเข้าเมือง พอเรือล่าทรงตรงเข้าอ่าว ชาวบุรีต่างก็ตีฆ้องโห่ร้องขึ้น แล้วยิงปืนถูกข้าศึกล้มตายเป็นอันมาก อุศเรนเห็นว่าไม่ใช่ทัพของพระบิดาจะกลับก็ถูกล้อมเอาไว้
มานะหนักชักใบขึ้นใส่รอก จะกลับออกปากอ่าวแล่นก้าวเฉียง
พวกชาวเมืองเยื้องยิงปืนใหญ่เรียง ลูกส้มเกลี้ยงวับผึงเสียงตึงตัง
ถูกท้ายแยกแตกโย้ราโทหัก ทะลุทะลักล้มคว่ำบ้างน้ำขัง
จะปิดแผลแก้ไขก็ไม่ฟัง ลำที่นั่งอุศเรนก็เอนเอียง
ฯลฯ
            เรือพระอภัยเข้าไปช่วยนำเอาอุศเรนขึ้นมาได้ ตัวอุศเรนสลบไป พอรุ่งแจ้งพระอภัยก็ให้ยิงปืนสัญญาหยุดรบ แล้วถอยทัพกลับเข้าเมือง พระอภัยให้เชิญองค์อุศเรนมายังท้องพระโรงให้ทอดองค์ลงที่แท่นและให้หมอมาพยาบาล
สงสารสุดอุศเรนเมื่อรู้สึก ทรวงระทึกแทบจะแยกแตกสลาย
พอเห็นองค์พระอภัยยิ่งให้อาย จะใคร่ตายเสียให้พ้นก็จนใจ
คลำพระแสงแฝงองค์ที่ทรงเหน็บ เขาก็เก็บเสียเมื่อพบสลบไสล
ให้อัดอั้นตันตึงตะลึงตะไล พระอภัยพิศดูก็รู้ที
จึงสุนทรอ่อนหวานชาญฉลาด เราเหมือนญาติกันดอกน้องอย่าหมองศรี
เมื่อแรกเริ่มเดิมก็ได้เป็นไมตรี เจ้ากับพี่เล่าก็รักกันหนักครัน
มาขัดข้องหมองหมางเพราะนางหนึ่ง จนได้ถึงรบสู้เป็นคู่ขัน
อันวิสัยในพิภพแม้นรบกัน ก็หมายมั่นจะใคร่ได้ชัยชนะ
ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้ หวังจะได้สนทนาวิสาสะ
ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ แล้วก็จะรักกันจนวันตาย
ทั้งกำปั่นบรรดาโยธาทัพ จะคืนกลับให้ไปดังใจหมาย
ทั้งสองข้างอยู่ตามความสบาย เชิญภิปรายโปรดตรัสสัตยสัญญา ฯ
  อุศเรนเอนเอกเขนกสนอง  ตามทำนององอาจไม่ปรารถนา
เราก็รู้ว่าท่านเจ้ามารยา ที่เรามาหมายเชือดเอาเลือดเนื้อ
ไม่สมนึกศึกพลั้งลงครั้งนี้ จะกลับดีด้วยศัตรูอดสูเหลือ
เราก็ชายหมายมาดว่าชาติเชื้อ ไม่เอื้อเฟื้อฝากตัวไม่กลัวตาย
จงห้ำหั่นบั่นเกล้าเราเสียเถิด จะไปเกิดมาใหม่เหมือนใจหมาย
แกล้งจ้วงจาบหยาบช้าพูดท้าทาย จะใคร่ตายเสียให้ยับอัประมาณ ฯ
            พระอภัยพยายามอ้อนวอน และถามว่าจะให้ทำอย่างไร ก็จะทำเพื่อให้คลายโกรธขึ้ง ถ้าไม่ถึงตายก็จะยอมทำให้ อุศเรนจึงว่า ถ้าตนตีเมืองได้ จะจับตัวผัวเมียมามัดไว้ แล้วจะให้แล่เนื้อเอาเกลือทา กับเปลี่ยนหัวผัวเมียเสียจึงจะสมปรารถนา พระอภัยได้ยินก็เห็นว่า เกินกว่าที่จะให้ได้ จึงกล่าวว่า อุศเรนกำลังแค้นคิดจะทำสงครามต่อไป ก็ตามแต่ใจ จะปล่อยไปด้วยเห็นบุญคุณและสนองคุณ
  ฝ่ายวาลีปรีชาปัญญาแหลม คนสอดแนมเข้าไปแจ้งแถลงไข
ว่าพระจะส่งองค์อุศเรนไป จึงตรึกไตรตรองความตามปัญญา
พระผ่านเกล้าเรานี้อารีเหลือ เหมือนดูถูกลูกเสือเบื่อหนักหนา
พระทัยซื่อถือว่าคุณเขามีมา ถึงจะว่าเห็นไม่ฟังกำลังเมา
ทั้งองค์พระมเหสีก็มิห้าม ด้วยมีความการุญคิดคุณเขา
ด้วยเป็นมิตรบิตุรงค์ของนงเยาว์ เว้นแต่เราจะต้องทำแต่ลำพัง
ประเพณีตีงูให้หลังหัก งูก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง
จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง เหมือนเสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย
อันแม่ทัพจับได้แล้ไม่ฆ่า ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย
ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย จะทำภายหลังยากลำบากครัน
จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ ประหารบุตรเข้าลังกาให้อาสัญ
ต้องตัดศึกลึกล้ำที่สำคัญ นางหมายมั่นมุ่งเห็นจะเป็นการ
            แล้วนางวาลี ก็แกล้งแต่งกายเป็นนายทัพ ถือธนูเข้ามากราบทูลพระอภัยว่า เจ้าลังกาถูกเกาทัณฑ์สามดอก คงจะสิ้นพระชนม์ไม่เกินสามคืน ขอให้ยกทัพตามตีไปให้ถึงเมืองลังกา พระอภัยได้ฟังจึงสั่งว่า อย่าเพ่อยกทัพไปด้วยสงสารอุศเรน เป็นอย่างยิ่งจะรบกันไปทำไม นางวาลีได้ฟังก็พูดเย้ยว่า ถ้าพระอภัยโปรดให้ยกโทษ ก็ปล่ยอให้ไปรักษาพระบิดาเธอ อุศเรนได้ฟังก็มีความแค้นยิ่งนัก จนอกแตกตาย
แสนระกำช้ำอกเหมือนตกเหว อีหญิงเลวเหมือนเงาะมาเยาะหยัน
ยิ่งคิดคิดพิษลมระดมกัน สะอื้นอั้นอกแยกแตกทำลาย
ชักชะงากรากเลือดเป็นลิ่มลิ่ม ถึงปัจฉิมชีวาตม์ก็ขาดหาย
            อุศเรนตายแล้ว ก็เป็นปีศาจไปเข้าชาวที่ แล้วประกาศตนว่าเป็นอุศเรน พยาบาทนางวาลี จากนั้นพระอภัยก็ให้ทำโกศทองรองศพมณฑปประดับ มีเครื่องราชวัติฉัตรพร้อม บรรดาพวกพ้องกองทัพ ที่จับไว้ก็ให้แห่อุศเรนกลับไปลังกา
            ฝ่ายนางวาลี กลับมาที่พักก็มีอาการจับไข้ไม่สบาย ตัวสั่นกลัวฝรั่ง พระอภัยเสด็จมาพยาบาลเรียกหมอมารักษา
ทั้งมดหมอก็เข้าล้อมอยู่พร้อมพรั่ง จะแก้คลั่งยังไม่หายหลายขนาน
บ้างเสียผีพลีบัตรปัดรางความ ปรายข้าวสารกรากกรากไม่อยากคลาย
            ฝ่านพระมเหสี เห็นนางวาลีล้มไข้ก็พระทัยหาย เข้าไปประคองอยู่ข้างกาย แล้วกรรแสงด้วยอาวรณ์
  ฝ่ายนางวาลีปีศาจเข้ากวาดเกรี้ยว มันยุดเหนี่ยวหน้าหลังนั่งสลอน
สะดุ้งดิ้นสิ้นแรงตะแคงนอน สะอื้นอ่อนอ่อนอารมณ์ค่อยสมประดี
แลเห็นองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ ทั้งองค์อัครชายามารศรี
มาพร้อมพรั่งทั้งสิ้นความยินดี ค่อยพาทีทูลลาน้ำตานอง
ชันษาข้าบาทนี่ขาดแล้ว จะคลาดแคล้วมิได้อยู่ชูฉลอง
ขอดับสูญทูลลาฝ่าละออง กษัตริย์สองพระองค์อยู่จงดี
ซึ่งผิดพลั้งตั้งแต่มาเป็นข้าบาท อย่าเกรี้ยวกราดโปรดเกล้าช่วยเผาผี
พอขาดคำร่ำว่านางวาลี ร้องหวีดทีเดียวดิ้นก็สิ้นใจ   ฯ
            พระมเหสีมีความอาลัยรักนางวาลียิ่งนัก ได้ขอขมานางแล้วคร่ำครวญถึงนางเป็นอันมาก พระอภัยก็ได้ขอขมาศพ คร่ำครวญอาลัยนางด้วยประการต่าง ๆ แล้วแต่งตั้งศพในตำแหน่งน้องพระมเหสี
แม้นกำเนิดเกิดไหนขอให้ปะ ได้เป็นพระมเหสีในที่สอง
ให้รูปงามทรามสงวนนวลละออง อย่าให้ต้องอดสูกับผู้ใด
จงพ้นทุกข์สุโขอโหสิ ไปจุติตามประสาอัชฌาสัย
ฯลฯ
แล้วพระองค์ทรงให้ตั้งแต่ง ศพตำแหน่งน้องพระมเหสี
มีโขนหนังตั้งสมโภชโปรดเต็มที แล้วให้มีมวยผู้หญิงทั้งทิ้งทาน
ให้ทำบุญมุนีฤาษีสิทธิ์ ตามจริตไสยศาสตรในราชฐาน
ถึงเจ็ดวันครั้นเสร็จสำเร็จการ โปรดประทานเพลิงศพเป็นจบการ ฯ

            กล่าวถึงเจ้าลังกา มาถึงท่าข้ามกรุงลังกา แล้วก็ให้หยุดทัพอยู่บนถนนคอยรับพลที่แตกกลับกับถอยทัพหน้า  ตัวเจ้าลังกา
ถูกลูกกำซาบซึ่งอาบยาพิษกำเริบถึงกระดูก รักษาด้วยหยูกยาอะไรก็ไม่หาย มีความเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ทุกขณะ แต่ก็อุตส่าห์ดำรงแรง

ให้เคลิ้มเห็นว่าเป็นอุศเรนราช มาริมอาสน์อภิวันท์แล้วกันแสง
เห็นทรวงแยกแตกกลางเป็นลางแรง แล้วคลางแคลงกลับกลายเคลิ้มหายไป
พอโยธาพาศพมณฑปประดับ มาถึงทัพทูลแจ้งแถลงไข
ทราบว่าบุตรสุดสิ้นชีวาลัย สลดใจเจียนว่าเลือดตากระเด็น
ให้ปลดเปลื้องเครื่องมณฑปดูศพสด ปรอทรดรอบกายจนหายเหม็น
ฯลฯ
ยิ่งแค้นคั่งสั่งมาลีกะปิตัน ของของมันราชวัตรเครื่องฉัตรธง
ทั้งโกศทองรองศพมณฑปใส่ รักษาไว้ท่าข้ามตามประสงค์
จะจับตัวพระอภัยสับใส่ลง ข้ามไปส่งเสียเหมือนกันให้มันอาย
ฯลฯ
เมื่อดวงใจไปจากอุระแล้ว ไม่คลาดแคล้วกายาคงอาสัญ
สิ้นชีวิตบิตุรงค์สิ้นพงศ์พันธุ์ ใครจะกันเขตแคว้นแดนลังกา
ยังแต่น้องของเจ้าเป็นสาวรุ่น แม้นสิ้นบุญบิตุเรศกับเชษฐา
จะเปล่าเปลี่ยวเดียวดิ้นกินน้ำตา โอ้นึกน่าหนักทรวงเป็นห่วงใย
ฯลฯ
เสียดายศักดิ์รักตระกูลพูนเทวษ น้ำพระเนตรมิรู้สิ้นรินรินร่วง
เหมือนอกเจ็บเหน็บเข็มไว้เต็มทรวง  โอ้บาทหลวงพระไม่ช่วยฉันด้วยเลย
ระทวยทอดกอดศพซบสะอื้น ไม่พลิกฟื้นวรองค์ทรงเสวย
พอสายัณห์จันทร์กระจ่างน้ำค้างเชย  ท้าวก็เลยล่วงสวรรคครรไล
            ฝ่ายบรรดาไพร่ฟ้าเสนาในต่างก็พากันเศร้าโศกเสียใจ แล้วก็ได้หารือกันว่า
นางละเวงวัณฬาธิดาท้าว ก็รุ่นสาวควรจะได้ไอศวรรย์
สืบกษัตริย์ขัตติย์วงศ์ตามพงศ์พันธุ์ เห็นพร้อมกันถ้วนทั่วตัวขุนนาง
            นางละเวงวัณฬาทราบว่าพระพี่กับพระบิดาสิ้นพระชนม์ ก็ตกใจจนสลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ชักตรีที่เหน็บในมือเสื้อจะแทงตัวตาย
บรรดาพี่เลี้ยงแย่งเอาไว้ได้ แล้วทูลนางให้ขึ้นครองเมือง
แล้วชวนกันอัญชลีนีฤมล อย่าสิ้นชนม์เชิญบำรุงกรุงลังกา
อันเยี่ยงอย่างปางก่อนบวรนาถ เสวยราชย์เรียงกันตามชันษา
บัดนี้สิ้นปิ่นกษัตริย์ขัตติยา พระธิดาจงเป็นใหญ่ได้เอ็นดู
จะได้คิดปิดอุมงค์ปลงพระศพ เป็นเคารพรับตราพระราหู
แล้วจึงคิดกิจการผลาญศัตรู ที่เป็นคู่เคืองแค้นแทนบิดร ฯ
  ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาน้อย ให้เศร้าสร้อยโศกทรวงดวงสมร
จึงตรัสตอบขอบคำที่ร่ำวอน การนครควรคู่กับผู้ชาย
เราเป็นหญิงยิ่งเป็นเจ้าชาวสิงหล ทุกตำบลจะบังอาจประมาทหมาย
จงจัดกันบรรดาเสนานาย  ช่วยสืบสายสมบัติกษัตรา
            บรรดาพวกเสนาน้อยใหญ่ก็ช่วยกันทูลทัดทานด้วยเหตุผลต่าง ๆ
อันคนอื่นพื้นไพร่ใช่กษัตริย์ สุดจะจัดขึ้นเป็นปิ่นบดินทร์สูร
แม่เป็นหญิงจริงอยู่แต่ตระกูล สืบประยูรปกเกล้าชาวลังกา
ฯลฯ
ประการหนึ่งซึ่งตราพระราหู เป็นของคู่ขัตติยาเทวาถวาย
เป็นตราแก้วแววเวียนวิเชียรพราย แต่เช้าสายสีรุ้งดูรุ่งเรือง
ครั้นแดดแข็งแสงขาวดูพราวพร้อย ครั้นบ่ายคล้อยเคลือบสีมณีเหลือง
ครั้นค่ำช่วงดวงแดงแสงประเทือง อร่ามเรืองรัศมีเหมือนสีไฟ
แม้นเดินหนฝนตกไม่ถูกต้อง เอาไว้ห้องหับแห่งตำแหน่งไหน
ไม่หนาวร้อนอ่อนอุ่นละมุนละไม ถ้าชิงชัยแคล้วคลาดซึ่งสาตรา
แต่ครั้งนี้ท้าวมิได้เอาไปศึก เพราะท้าวนึกห่วงพระแม่แน่นักหนา
ด้วยเป็นหญิงทิ้งไว้จึงให้ตรา ไว้รักษาสารพันอันตราย
จึงธนูผู้หญิงมันยิงถูก ควรพระลูกทดแทนให้แค้นหาย
หญิงผลึกศึกกล้าเสียกว่าชาย เชิญพระแม่แก้อายอย่าวายวาง
            ฝ่ายนางละเวงวัณพาได้ฟังเหตุผลต่าง ๆ แล้วก็ตอบขอบคุณพวกขุนนางและรับจะทำตาม จากนั้นจึงให้จัดการงานพระศพ
พนักงานสำหรับประดับศพ ก็แต่งครบเครื่องอร่ามตามภาษา
อันเยี่ยงอย่างข้างฝรั่งเกาะลังกา ท้าวพระยาอยู่ปราสาทราชวัง
ก็ต้องมีที่ตายไว้ท้ายปราสาท สำหรับบาทหลวงจะได้เอาไปฝัง
เป็นห้องหับลับลี้ที่กำบัง ถึงฝรั่งพลเรือนก็เหมือนกัน
ใครบรรลัยไปบอกพระบาทหลวง มาควักดวงเนตรให้ไปสวรรค์
มีไม้ขวางกางเขนเป็นสำคัญ  ขึ้นแปลธรรมเทศนาตามบาลี
ว่าเกิดมาสามัญคนทั้งหลาย มีร่างกายก็ลำบากคือซากผี
ครั้นตัวตายภายหลังฝังอินทรีย์ เอาเท้าชี้ขึ้นนั้นด้วยอันใด
วิสัชนาว่าจะให้ไปสวรรค์ ว่าเท้านั้นนำเดินดำเนินได้
อันอินทรีย์ชีวิตพลอยติดไป ครั้นเท้าย่างไปทางไหนไปทางนั้น
จึงฝรั่งฝังผีตีนชี้ฟ้า ให้บาทเยื้องย่างไปทางสวรรค์
ครั้นสวดจบศพใส่เข้าในถุง บาทหลวงนุ่งห่มดำนำไปสวรรค์
อ่านหนังสือถือเทียนเวียนระวัน ลูกศิษย์นั้นหวั่นผีทั้งสี่คน
ฯลฯ
หกศีรษะเอาศพใส่หลุมตรุ แต่พอจุศพถุงเหมือนปรุงปรับ
พระบาทหงส์ตรงฟ้าศิลาทับ เครื่องคำนับนั้นก็ตั้งหลังศิลา
ฯลฯ
            เสร็จงานศพแล้วนางละเวงวัณฬาก็ขึ้นนั่งบัลลังก์ ให้ฝ่ายเสนีถวายราชสมบัติทั้งเมือง แล้วนางได้ปราศัยกับบรรดาเสนา ขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือทำนุบำรุงบ้านเมือง แล้วขอให้ช่วยกันปราบปรามเมืองผลึก บรรดาขุนนางจึงแนะนำให้ไปขอคำแนะนำจากสังฆราชพระบาทหลวง นางละเวงจึงให้ไปเชิญมาขอคำแนะนำ
จะชนะจะแพ้เพราะแม่ทัพ  ที่บังคับคิดอ่านการทั้งปวง
อันนักปราชญ์ราชครูผู้สำเร็จ คือสมเด็จสังฆราชพระบาทหลวง
ฯลฯ
  ฝ่ายฝรั่งสังฆราชพระบาทหลวง ฉลาดล่วงคาดการประมาณศึก
หัวร่อร่าว่าเป็นกรรมที่ล้ำลึก เมืองผลึกดีแต่สู้กับผู้ชาย
ฯลฯ
จะต้องตรองตรึกตราวิชาหญิง สละทิ้งเสียทั้งตราพระราหู
แม้นคิดเห็นแม้นเราสั่งทั้งชมพู ไม่หาญสู้ศึกโยมพระโฉมงาม ฯ
ฯลฯ
กระหัวเราะเคาะกล้องจะลองจิต บอกเป็นปริศนาว่าจิตการ
กลก็การก็กลกลปนการ เร่งคิดอ่านองค์ละเวงอย่าเกรงเลย
ฯลฯ
แต่นั้นมาข้าเฝ้าเหล่าอำมาตย์ พยาบาทเมืองผลึกจึงปรึกษา
แม้นโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาพะงา ออกนั่งว่าราชกิจที่ติดพัน
จะให้ผู้เฒ่าเฝ้าห้องร้องว่าศึก เมืองผลึกยิงบิดาท่านอาสัญ
เหมือนเดือนเจ้าเช้าเย็นไม่เว้นวัน ด้วยผูกพันพยาบาทอังชาติทมิฬ

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |