| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี


  ฝ่ายพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท บำรุงราษฎรเจริญจิตทุกทิศา
คิดคะนึงถึงองค์พระธิดา ยังไม่ลาพรตเลยทำเฉยเชือน
เสียแรงรักฝักฝ่ายหมายสงวน เจ้ากระบวนนี่กระไรใครจะเหมือน
นิ่งกระนี้มิได้จะไปเตือน แม้นบิดเบือนบาปกรรมก็ทำเนา
ฯลฯ
ครั้นสรรพเสร็จเสด็จมามนเทียรทอง ถึงห้องน้องศรีสุวรรณจำนรรจา
พ่อไปด้วยช่วยชวนหลวงชีสึก แม้นสมนึกครั้งนี้ดีหนักหนา
พระน้องยิ้มพริ้มพักตร์พจนา อุปมาเหมือนหนึ่งไก่อยู่ในมือ
ฯลฯ
  พระเชษฐาว่าพี่คิดผิดถนัด สารพัดแพ้รู้แก่ผู้หญิง
แล้วลูกเต้าเล่าก็หวงคอยท้วงติง ต้องยุ่งยิ่งยอดยากลำบากใจ
ฯลฯ
  ฝ่ายพระนุชบุตรีฤาษีสาว เวลาเช้าออกอยู่หน้าพระอาศรม
ทั้งพี่น้องสองกุมารสำราญรมย์ ชวนกันชมนกใต้ต้นไทรทอง
ฯลฯ
พอผันแปรแลเห็นพระอภัยมณี  เลียบคีรีมากับพระอนุชา
จึงสั่งสองหน่อไทให้ไปรับ มาหยุดยับยั้งนั่งบัลลังก์ผา
พระอภัยให้เอาพานพวงมาลา กับพานผ้าถวายองค์นางนงเยาว์
ฯลฯ
คุณคะนึงถึงโยมอยู่บ้างหรือ หรือเพลินถือธรรมขันธ์ไม่หวั่นไหว
ตัดสวาทขาดเด็ดสำเร็จไป เจียวหรือใจเจ้าคุณพระมุนี ฯ
  นางฟังรสพจมานโองการเกี้ยว ให้ซาบเสียวเสน่ห์ในใจฤาษี
แต่มารยามานะกษัตรี ทำพาทีเพทุบายถวายพร
ได้ตรวจรำลึกนึกไม่ขาด ถึงเบื้องบาทบพิตรอดิศร
มิตรจิตรมิตรใจอาลัยวรณ์ เว้นแต่นอนหลับไปไม่ได้คิด
ทั้งทราบว่าวาลีมีความรู้ เขามาสู่สมภารสำราญจิต
พอเข้านอกออกในได้ใช้ชิด สำเร็จกิจข้าน้อยพลอยยินดี
            พระอภัย ชี้แจงให้เหตุผลที่รับนางวาลีไว้ใช้ก็เพื่อบำรุงกรุงผลึก แล้วขอให้พระธิดาลาสิกขามาช่วยกัน
โปรดบำรุงกรุงผลึกให้ครึกครื้น สำราญรื่นเรืองเดชของเชษฐา
เมื่อแก่เฒ่าเล่าจึงกลับมาบรรพชา จำพรรษาเสียด้วยกันจนวันตาย ฯ
            พระอภัยอ้อนวอนให้นางสึก แต่นางก็พยายามบ่ายเบี่ยง พระอภัยที่กล่าวแก้
แต่ไม่งามความอายอยู่ภายหน้า เขาจะว่าเจ้าเมืองผลึกสึกฤาษี
นานนานหน่อยคอยท่าพาฤกษ์ดี อย่าให้มีมลทินที่นินทา
พระฟังนางช่างฉลาดไม่พลาดเพลี่ยง รู้หลีกเลี่ยงหลายทำนองคล่องหนักหนา
จึงแกล้งตรัสตัดคำว่าธรรมดา วิสัยสามัญทั่วทุกตัวคน
ที่รักกันสรรเสริญเจริญสิ้น ที่ชังนินทาแถลงทุกแห่งหน
การทั้งหลายร้ายดีมิได้พ้น จะกลัวคนครหาว่ากระไร
ฯลฯ
            พระอภัยไม่รู้ที่จะคิด จึงแกล้งทำโกรธแล้วบอกว่า ให้เวลาสามวัน ขอให้สึก ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้เห็นหน้ากัน แล้วเสด็จกลับวัง รออยู่สามวันนางก็ยังไม่ยอมสึก ทำให้พระอภัยเศร้าเสียใจมาก จนไม่เสวย นางวาลีสังเกตดูก็รู้ว่า พระอภัยน้อยใจในพระธิดา จึงคิดหาทางช่วย เมื่อตนถึงเวรเฝ้าในที่ไสยา จึงให้บรรเลงเพลงขับกล่อม โดยเอาเรื่องอุณรุท มาเป็นตัวอย่างเปรียบเปรย พระอภัยได้ฟังก็นึกชมเชยปัญญาของนางวาลี แล้วจึงเรียกนางมาไต่ถาม หาทางแก้ไขอย่างไร พระบุตรีจึงจะสึก นางวาลีจึงรับอาสาดำเนินการ
จงสั่งพระอนุชาเสนานาย ให้บัตรหมายจัดงานการมงคล
ทั้งการเล่นเต้นรำเครื่องทำขวัญ อีกเจ็ดวันจะวิวาห์สถาผล
จะเชิญองค์นงเยาว์เข้ามณฑล ขึ้นนั่งบนแท่นรัตน์ชัชวาล
ฯลฯ
            พระอภัยจึงถามถึงความคิดนี้ แต่นางวาลีไม่ยอมเฉลย ทูลตอบว่าให้คอยดูผล เพราะงานยังไม่สำเร็จก็ไม่ควรไขกลเม็ด ทูลว่า ถ้าทำการนี้ไม่สำเร็จ ก็ขอให้ฆ่านางเสีย
            พระอภัยได้ฟังคำนางเห็นว่าลึกซึ้ง แต่คิดไม่ถึงความคิดของนาง จึงตรัสว่าถ้าเป็นผลสำเร็จ จะให้รางวัลนางให้มียศ แล้วเรียกนางวาลีขึ้นร่วมอาสน์
พระตรัสพลางทางเรียกขึ้นร่วมอาสน์  ทรงสมพาสเพิ่มรักขึ้นหนักหนา
ฯลฯ
เหมือนม้าดีขี่ขับสำหรับรบ ทั้งดีดขบโขกกัดสะบัดย่าง
ทั้งเรียบร้อยน้อยใหญ่ที่ไว้วาง สันทัดทางถูกต้องคล่องอารมณ์
ฯลฯ
            ครั้นรุ่งขึ้นนางจึงเขียนหมายรายความตามรับสั่ง แล้วเอาไปถวายพระอนุชา จากนั้นพระอนุชาก็ออกท้องพระโรง ตรัสสั่งมหาเสนาใน
จงหมายสั่งตั้งพิธีอภิเษก กับองค์เอกอัคเรศตามเพทไสย
มีเยี่ยงอย่างปางก่อนประการใด เสนาในรีบรัดไปจัดแจง
ให้สำเร็จเจ็ดค่ำเป็นกำหนด ชนบทบอกทั่วทุกรั้วแขนง
มีการเล่นเต้นรำนอกำแพง ตามตำแหน่งน้อยใหญ่เร่งไคลคลา ฯ
  มนตรีกราบทราบความตามรับสั่ง ออกมานั่งเตียงริมทิมดาบขวา
อยู่พร้อมเพรียงเวียงวังทั้งคลังนา จึงเรียกหาให้เสมียนมาเขียนคำ
เป็นหมายบอกนอกในทั้งใหญ่น้อย ให้เตรียมคอยพร้อมเสร็จขึ้นเจ็ดค่ำ
ฯลฯ
            ฝ่ายท้าวนางใน ครั้นได้หมายแล้วก็นำไปถวายนางพระยามณฑา นางกษัตริย์ได้ทราบเรื่องก็อัดอั้นตันพระทัย ด้วยไม่แจ้งจิต เนื่องจากเจ้าสาวยังบวชอยู่ แล้วพระอภัยจะอภิเษกกับผู้ใด จึงไปถามพระธิดาให้รู้ความ เมื่อไปถึงแล้ว จึงแจ้งเรื่องราว และต่อว่าพระธิดา
ถึงกุฎีที่สถิตพระธิดา พอเห็นหน้านึกแค้นว่าแสนงอน
เห็นเขาง้อขอรักแล้วหักหาญ เหมือนสามานย์มิได้ฟังซึ่งสั่งสอน
เมื่อเจ็ดค่ำจะทำสยุมพร ยังนิ่งนอนภาวนาอยู่ว่าไร ฯ
            นางสุวรรณมาลี ได้ทราบเรื่องก็ให้อัดอั้นอายจิตคิดสงสัย คิดสงสัยว่าพระอภัยจะอภิเษกนางวาลี คิดไปแล้วก็ให้หมองใจ จึงทูลพระชนนีว่า ตนไม่ทราบเรื่อง พระชนนีก็ตกพระทัย บอกว่าถ้านางไม่สึกเมืองผลึกจะแยกแตกฉาน
จึงทูลว่าข้าน้อยไม่ทราบเหตุ พระทรงเดชคิดการงานไฉน
พระชนนีตีอกตกพระทัย นั่นมิใช่หรือเราคิดไม่ผิดนัก
นางวาลีมิใช่ชั่วเขาตัวโปรด จะเป็นโสดสูงเสริมเฉลิมศักดิ์
ผู้ดีเด่นเหิมฮึกทำคึกคัก จะต้องหักทางพับอัประมาณ
เหมือนครั้งนี้วิวาห์ถ้ามิสึก เมืองผลึกก็จะแหลกต้องแตกฉาน
ฯลฯ
            พระบุตรีไม่ทันได้คิดให้ลึกซึ้ง ก็พรั่นใจเกรงว่าพระอภัยจะกินแหนงระแวงความ ทั้งสงสารพระมารดา จึงยอมรับผิด แล้วลาพรตกลับเข้าเมือง พระอภัยเห็นปัญญานางวาลี จึงถอดเครื่องทรงสังวาลเพชร ประทานให้นางวาลีเป็นบำเหน็จ ผู้คนทั้งหลายก็คิดเกรงนางวาลี ด้วยความปรีชาของนาง จากนั้น ก็ได้มีการอภิเษกสองกษัตริย์ตามกำหนด
            พระอภัยเมื่อได้ราชาภิเษกแล้ว ก็ได้เสวยราชสมบัติมาได้หลายเดือน ก็คิดถึงพระชนกชนนี ที่ได้จากมานานถึงสิบปี จึงเรียกพระอนุชามาหารือว่า ตนจะอยู่รับศึก ส่วนพระอนุชาให้พาหลานไปกรุงรัตนา
เราพรากพลัดรัตนามาช้านาน ไม่แจ้งการว่าข้างหลังเป็นอย่างไร
ครั้นตัวพี่นี้จะกลับไม่รับศึก เมืองผลึกก็ไม่มีที่อาศัย
คิดจะใคร่ให้พ่อพานัดดาไป เยี่ยมกรุงไกรกราบทูลมูลความ
ฯลฯ
            ศรีสุวรรณได้ฟังพระพี่แล้วก็ทูลตอบว่า ตนก็ได้คิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่งานยุ่งอยู่จึงต้องนิ่งไว้ เมื่อพระพี่ออกโอษฐมาเช่นนี้ ก็เป็นที่สมถวิลยินดียิ่งนัก แล้วจึงออกมาเตรียมตัวเดินทาง
            นางสุวรรณมาลีรู้ว่า จะต้องพรากจากสินสมุท ก็เศร้าเสียใจแต่เห็นว่าเป็นการใหญ่ สุดที่จะทัดทานได้ ถ้าตนไม่มีผัวก็จะไปด้วย
แม่อยู่หลังข้างนี้จะวิตก ระกำอกอาดูรถึงทูนหัว
พ่อจะไปใจแม่อยู่แต่ตัว ไม่มีผัวหรือจะได้ไปด้วยกัน
             วันรุ่งขึ้นศรีสุวรรณกับลูก และหลานก็ออกเดินทางไปกรุงรัตนา
แล้วสามองค์ทรงลำกำปั่นใหญ่ ให้กางใบล้วนแต่ผ้าแพรสี
ทั้งเรือตามสามร้อยลอยวารี พอลมดีใช้ใบไรไรมา ฯ
ฯลฯ
พระพี่น้องสองกุมารสำราญรื่น ต่างชวนชื่นชมทะเลพระเวหา
น้ำสุดใสไหลแลเห็นแต่ปลา เที่ยวเคลื่อนคลาคล้ายคล้ายในสายชล
ปลาวาฬใหญ่ไล่คู่ขึ้นฟูฟ่อง บ้างพ่นฟองฟุ้งฟ้าดังห่าฝน
จะหลีกทางข้างไหนก็ไม่พ้น พวกต้นหนสั่งให้ปืนใหญ่ยิง
เสียงตูมตามสามลูกถูกสีข้าง พอโบกหางหันวนเป็นก้นสวิง
สูบกำปั่นหันเหียนเวียนระวัง  บ้างจมดิ่งหายวับแล้วกลับลอย
เหมือนติดแน่นแล่นไปก็ไม่ออก ฟูมระลอกเลี้ยววนเป็นก้นหอย
แต่เช้าตรู่สุริย์ฉายจนบ่ายคล้อย จึงหลุดลอยแล่นหลามไปตามกัน
            เรือแล่นมาได้เดือนครึ่ง ก็ถึงเมืองรมจักรแวะพักอยู่สามวัน แล้วออกเดินทางต่อไปอีกเดือนครึ่ง จึงถึงกรุงรัตนา ชาวเมืองคิดว่าข้าศึกจะเข้าตีเมือง ท้าวสุทัศน์ตรัสสั่งให้เตรียมต่อสู้ข้าศึก แต่พอรู้ว่าเป็นพระโอรส ก็คอยรับอยู่ที่หน้าฉาน แล้วพากันเข้าวัง พระอัยกาอัยกี พบหลานทั้งสองก็ชื่นชมยินดียิ่งนัก ทั้งหมดก็พักอยู่ที่กรุงรัตนา


ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร


  จะกล่าวถึงเงือกน้อยกลอยสวาท ซึ่งรองบาทพระอภัยเมื่อไกลสถาน
อยู่วนวังหลังเกาะแก้วพิสดาร ประมาณกาลสิบเดือนไม่เคลื่อนคลา
ให้เจ็บครรภ์ปั่นป่วนจวนจะคลอด ระทวยทอดลงกับแท่นที่แผ่นผา
จะแลเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา ไม่เห็นหน้าผู้ใดที่ไหนเลย
ฯลฯ
สะอื้นอ่อนอ่อนระทวยแทบม้วยมุด หากบุญบุตรบันดาลช่วยมารดา
ให้นึกคำพระอภัยเมื่อไปจาก ว่าจะฝากโยคีมีคาถา
ฯลฯ
โอ้ครั้งนี้ชีวิตจะปลิดปลด พระดาบสเอาบุญเถิดคุณเอ๋ย
นางครวญคร่ำร่ำไรด้วยไม่เคย สลบเลยลืมกายดังวายปราณ ฯ
            พระดาบสรู้ได้ด้วย กสิณอภิญญาณ จึงลงมาช่วยนางเงือกให้คลอดบุตร
เอาโคมส่องมองเขม้นเห็นนางเงือก สลบเสือกอยู่ที่ทรายชายกระแส
เป่ามหาอาคมให้ลมแปร ที่ท้อแท้ค่อยประทังกำลังนาง
ฯลฯ
แล้วจับยามสามตาตำราปลอด จวนจะคลอดแล้วหวาสีกาเอ๋ย
กูถูกต้องท้องไส้ไม่ได้เลย ยังไม่เคยพบเห็นเหมือนเช่นนี้
แล้วหลีกไปให้ห่างเสียข้างเขา ช่วยเสกเป่าป้องปัดกำจัดผี
เดชะฤทธิ์อิศโรพระโยคี มิได้มีเภทภัยสิ่งไรพาน
ทั้งเทวาอารักษ์ที่ในเกาะ ระเห็จเหาะมาสิ้นทุกถิ่นฐาน
ช่วยแก้ไขได้เวลากฤษดาการ คลอดกุมารเป็นมนุษย์บุรุษชาย
เนตรขนงวงนลาฎไม่คลาดเคลื่อน ละม้ายเหมือนพระอภัยนั้นใจหาย
มีกำลังนั่งคลานทะยานกาย เข้ากอดกายมารดรไม่อ่อนแอ
ฯลฯ
            นางเงือกขอให้พระโยคี ช่วยเลี้ยงดูบุตรด้วย นางเป็นเงือกมีวิสัยอยู่ไกลกันกับมนุษย์
  นางเงือกน้ำคำรพอภิวาท ข้าเป็นชาติเชื้อสัตว์เหมือนมัจฉา
จะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมนุษย์สุดปัญญา ขอฝากฝ่าบาทบงส์พระทรงธรรม์
ช่วยเลี้ยงดูกุมารเหมือนหลานเถิด เสียแรงเกิดกายมาจะอาสัญ
อันข้านี้วิสัยอยู่ไกลกัน เช้ากลางวันเย็นลงจะส่งนม ฯ
  พระโยคีมีจิตผิดสงสาร ด้วยเหมือนหลานลูกศิษย์สนิทสนม
ฯลฯ
ฤกษ์วันนี้ตรีจันทร์เป็นวันโชค ต้องโฉลกลัดนามหาอุด
จะให้นามตามอย่างข้างมนุษย์ ให้ชื่อสุดสาครอวยพรชัย
          นางเงือกได้เอาของสองสิ่งที่พระอภัยมอบไว้มาให้โอรส  แล้วมอบสุดสาครให้พระโยคีไปเลี้ยง
จึงหยิบของสองสิ่งซึ่งซ่อนไว้ เป็นของพระอภัยให้โอรส
ทำขวัญลูกผูกธำมรงค์รัตน์ ไว้กับหัตถ์เบื้องขวาให้ปรากฎ
กุณฑลทองขององค์พระทรงยศ ให้ดาบสเก็บไว้ให้กุมาร
ฯลฯ
ให้กินนมชมชูพระกุมาร แล้วให้คลานขึ้นบนเพลาพระเจ้าตา
ฯลฯ
ถึงดึกดื่นตื่นนอนป้อนกล้วยน้ำ กุมารกล้ำกลืนกินจนสิ้นหวี
ฯลฯ
ครั้นรุ่งอุ้มดุ่มเดินไปเนินเขา ให้ดื่มเต้ากษิราสี่ห้าหน
เป็นแถวเทือกเงือกบุรุษมนุษย์บิน แรงกว่าคนเราชาวบุรี
ได้สิบเดือนเหมือนได้สักสิบขวบ ดูขาวอวบอ้วนท้วนเป็นนวลฉวี
ออกวิ่งเต้นเล่นได้ไกลกุฎี เที่ยวไล่ขี่วัวควายสบายใจ
แล้วลงน้ำปล้ำปลาโกลาหล ดาบสบ่นปากเปียกเรียกไม่ไหว
สอนให้หลานอ่านเขียนร่ำเรียนไป แล้วก็ให้วิทยาวิชาการ
รู้ล่องหนทนคงเข้ายงยุทธ เหมือนสินสมุทพี่ยาทั้งกล้าหาญ
เห็นแต่แม่มัจฉากับอาจารย์ จนกุมารอายุได้สามปี
            วันหนึ่งเมื่อพระสิทธาเข้านั่งฌาน สุดสาครได้หนีลงทะเลไปเล่นปล้ำปลา ได้ไปพบม้าหน้าเหมือนมังกร จึงเข้าจับแต่มันไม่ยอม จึงเกิดต่อสู้กันจนมืดค่ำ สุดสาครจึงกลับมาบอกพระโยคี พระโยคีได้ฟังก็นึกไม่ออกเป็นตัวอะไร จึงเล็งญาณ ดูก็รู้ว่าเป็นสัตว์ที่เกิดจากม้ามังกรสมจรกัน พระโยคีเห็นว่าเป็นม้ามีฤทธิ์จึงคิดที่ให้หลาน จะได้ใช้ขับขี่ไปตามพระบิดา จึงบอกว่าเป็นม้าที่ดี และสอนวิธีจับให้ สุดสาครก็จับม้ามังกรมาได้
ม้าตัวนี้ดีจ้านเจียวหลานเอ๋ย เป็นกระเทยเขี้ยวเพชรไม่เข็ดขาม
จับไว้ขี่สง่ากล้าสงคราม จะได้ตามบิตุเรศไปเขตคัน
แล้วบอกมนต์กลเล่ห์กระเท่ห์ให้ จะจับได้ด้วยพระเวทวิเศษขยัน
สุดสาครนอนบ่นมนต์สำคัญ ได้แม่นมั่นเหมือนหนึ่งจิตไม่ผิดเพี้ยน
จึงลงหวายสายเอกเสกประทับ ไว้สำหรับผูกรั้งเช่นบังเหียน
แล้วท่องบ่นมนต์เก่าที่เล่าเรียน พอสิ้นเทียนเพลินหลับระงับไป
พอเช้าตรู่รู้สึกให้นึกแค้น ฉวยเชือกแล่นลงมหาชลาไหล
ฯลฯ
เอาวงหวายสายสิญจน์สวมศีรษะ ด้วยเดชะพระเวทวิเศษขลัง
ม้ามังกรอ่อนดิ้นสิ้นกำลัง ขึ้นนั่งหลังแล้วกุมารก็อ่านมนต์
ได้เจ็ดคาบปราบม้าสวาหะ แล้วเป่าลงตรงศีรษะสิ้นหกหน
อาชาชื่นฟื้นกายไม่วายชนม์ ให้รักคนขี่หลังดังชีวา
ฯลฯ
พระนักสิทธิ์พิศดูเป็นครู่พัก หัวร่อคักรูปร่างมันช่างขัน
เมื่อตัวเดียวเจียวกลายเป็นหลายพันธุ์ กำลังมันมากนักเหมือนยักษ์มาร
กินคนผู้ปูปลาหญ้าใบไม้ มันทำได้หลายเล่ห์อ้ายเดรฉาน
เขี้ยวเป็นเพชรเกล็ดเป็นนิลลิ้นเป็นปาน ถึงเอาขวานฟันฟาดไม่ขาดรอน
เจ้าได้ม้าพาหนะตัวนี้ไว้ จะพ้นภัยภิญโญสโมสร
ให้ชื่อว่าม้านิลมังกร จงถาวรพูนสวัสดิ์แก่นัดดา
ฯลฯ
            พระโยคีได้เรียกสุดสาครมาเล่าความเรื่องพระบิดาให้ฟังว่าเป็นหน่อกษัตริย์ชื่อพระอภัยมณี พลัดพรากจากเมืองมาอยู่กับพระโยคีเป็นเวลานาน พึ่งโดยสารเรือกลับไปเมื่อปีจอ ตอนนี้ปีชวดก็เป็นเวลาสามปีมาแล้ว ให้สุดสาครติดตามหาพระบิดา จะได้ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง และสืบตระกูลต่อไป อยู่ที่เกาะแก้วพิสดารก็เป็นการอยู่เสียเปล่าไม่เข้าการ
            สุดสาครได้ฟังเรื่องจากพระโยคีแล้วก็คิดว่าเป็นลูกทิ้งบิดานั้นน่าอาย ตนจะขอลาเจ้าตาเพื่อตามหาพระบิดา พระดาบสก็บอกว่า พระอภัยไปครองเมืองผลึก จะทำศึกชิงผู้หญิงกับสิงหล  แล้วบอกทางไปเมืองผลึกว่าอยู่ทางทิศพายัพ ไกลจากที่นี่มาก แล้วให้ไม้เท้าทิพย์ไว้ป้องกันภัย พร้อมกับปิ่นทองของพระอภัย
ตรงมืองชี้นี่นะจำเอาตำบล เป็นมณฑลทิศพายัพอยู่ลับลิบ
อันพ่อเจ้าไม่แก่ไม่หนุ่มนัก อายุสักยี่สิบเก้าเข้าสามสิบ
พระบอกพลางทางประทานไม้เท้าทิพย์ ไปทางนี้ผีดิบมันดุดัน
สำหรับมือถือไว้อย่าให้ห่าง  เปรียบเหมือนอย่างศรแผลงพระแสงขรรค์
ทั้งแคล้วคลาดศาสตราสารพัน ประกับกันผีสางปะรางควาน
อันปิ่นทองของพระอภัยให้ ช่วยแซมใส่เกศีเมาลีหลาน
บิดาเจ้าเผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน ใครพบพานจะได้เห็นเป็นสำคัญ
แล้วจัดแจงแต่งนุ่งหนังเสือให้ ครบเครื่องไตรครองประทานพระหลานขวัญ
ผูกชฎาหนังรัดสะพัดพัน ฝนแก่นจันทน์เจิมมหาอุณาโลม
ฯลฯ
            สุดสาครบอกฝากมารดาแก่พระเจ้าปู่ บอกว่าเมื่อตนไปพบพระบิดาแล้วจะกลับมา  แล้วก็หาแม่ บอกอำลาจะไปตามหาพระบิดา นางเงือกได้ฟังก็กำสรดสลดจิต จะห้ามปรามไว้ก็เกรงว่าสุดสาครจะเสียใจ
นางดูหน้าอาลัยใจจะขาด ดังฟ้าฟาดทรวงแยกให้แตกฉาน
สะอื้นอั้นตันใจอาลัยลาน แสนสงสารโศกาแล้วว่าพลาง
โอ้ทูนหัวตัวแม่นี้ไม่ห้าม สุดแต่ตามใจปองอย่าหมองหมาง
แต่ปรานีที่ไม่แจ้งรู้แห่งทาง จะอ้างว้างวิญญาในวารี
ฯลฯ
ทั้งผีสางกลางชลาล้วนน่ากลัว  จะจับตัวตัวฉีกเนื้อเป็นเหยื่อกิน
สารพัดมัจฉาก็กล้าหาญ ในกลางย่านยมนาชลาสินธุ์
ทั้งครุฑาวายุภัสนกหัสดิน เที่ยวโบยบินบนอากาศไม่ขาดวัน
เห็นเดินหนคนเดียวจะเฉี่ยวฉาบ  พิฆาตคาบเข่นฆ่าให้อาสัญ
น่าใจหายตายเป็นไม่เว้นวัน แม่พรั่นพรั่นเพราะว่าเจ้ายังเยาว์นัก
ถึงสิบรู้บุราณท่านเฉลย ไม่เหมือนเคยฝึกสอนด้วยอ่อนหัด
อย่าจู่ลู่ดูถูกนะลูกรัก จงคิดหนักหน่วงใจดูให้ดี ฯ
            สุดสาครก็บอกแม่ว่าตนมีของดีไว้ป้องกันตัวทั้งไม้เท้าและม้ามังกร กับทั้งมีวิชาที่พระเจ้าตาสอนให้  การไปตามหาบิดา พระเจ้าปู่ก็บอกทางให้แล้ว และบอกว่า
ถึงยังเด็กเหล็กเพชรไม่เข็ดขอน จะเจาะชอนเชิงลำเนาภูเขาขุน
จะลำบากยากแค้นเพราะแทนคุณ ก็ได้บุญเบื้องหน้าขอลาไป ฯ
            นางเงือกได้ฟังจึงบอกว่าถ้าไปพบพระบิดาแล้วอย่ากลับ ให้อยู่กับพระบิดาต่อไป ส่วนแม่นั้นเมื่อลูกอยู่สุขสบายแล้วถึงตัวตายก็ไม่อาลัยตัว แต่ถ้าไปตามหาแล้วไม่พบก็ขอให้กลับมา เมื่อได้พบพระบิดาแล้วก็ให้ทูลบอกมูลเหตุให้ทราบ  แล้วให้พรสุดสาคร
ให้เดินทางโดยปลอดภัย
พ่อไปถึงจึงทูลเหตุ ให้ทรงเดชทราบความตามประสงค์
ว่าชาตินี้มิได้ปะกับพระองค์ ขอดำรงรองบาททุกชาติไป
ฯลฯ
  ฤาษีสุดสาครรับพรแม่ จะห่างแหหวนจิตคิดสงสาร
จึงสั่งซ้ำว่าไม่ช้านาน สำเร็จการจะมาหามารดร
ฯลฯ
            สุดสาครออกเดินทางไปทางทิศพายัพจนมาถึงเมืองล่มจมสมุทร พวกผีเข้ากลุ้มรุมทำร้าย พระเจ้าตามาช่วยไว้ทัน
  ถึงเมืองล่มจมสมุทรมนุษย์ม้วย ประกอบด้วยยักขินีพวกผีดิบ
เห็นมนุษย์สุดอยากปากยิบยิบ ทำซุบซิบเสแสร้งจำแลงกาย
เป็นถิ่นฐานบ้านเมืองเรืองอร่าม ทั้งตึกรามเรือนเรือดูเหลือหลาย
ตลาดน้ำเรือสัญจรเที่ยวคอนพาย บ้างร้องขายข้าวของที่ต้องการ
สุดสาครอ่อนแอครั้นแลเห็น คิดว่าเป็นปัถพินที่ถิ่นฐาน
ทั้งแลเห็นเต้นรำน่ารำคาญ เขาเรียกขานขับม้าเขาธานี
เข้าประตูดูกำแพงตะแคงคว่ำ อยู่ในน้ำเก่าแก่เห็นแต่ผี
เป็นเงาเงาเข้ากลุ้มรุมราวี กุมารตีด้วยไม้เท้าพระเจ้าตา
ฯลฯ
ม้ามังกรถอนถีบกีบสะบัด เอาหางรัดราวกับนาคทั้งปากขบ
สังหารผีรี้พลอยู่จนพลบ เห็นเพลิงคบล้อมรอบขอบกำแพง
พวกผีดิบสิบโกฎิมันโลดไล่ จะเข้าใกล้กลัวมนต์ขนแสยง
ฯลฯ
ถึงเจ็ดวันมันไม่แตกไม่แยกย้าย จนม้าว่ายน้ำเวียนเจียนจะจม
ทั้งตัวสุดสาครก็อ่อนจิต รำลึกคิดถึงเจ้าตาที่อาศรม
พอเสียงดังหวังหง่างมากลางลม ปีศาจจมหายวับไปลับตา
ฯลฯ
  โยคีครูผู้เฒ่าจึงเล่าเรื่อง นี่คือเมืองท้าวปักกาภาษาไสย
เพราะพรากพระโดดมจึงจมไป เห็นแต่ใบเสมาอยู่ช้านาน
ฯลฯ
ไปข้างหน้าถ้าพบมันรบอีก จงเลี่ยงหลีกเลยไปในวิถี
มันเข้าใกล้ใช้ไม้ถือที่มือดี พระมุนีแนะอุบายแล้วหายไป ฯ
            สุดสาครออกเดินทางต่อไปอีกเดือนเศษ จึงถึงเขตคนได้พบชีเปือย
  จะกล่าวความพราหมณ์แขกซึ่งแปลกเพศ อยู่เมืองเทศแรมทางที่กลางหน
ครั้นเสียเรือเหลือตายไม่วายชนม์ ขึ้นอยู่บนเกาะพนมในยมนา
ไม่นุ่งห่มสมเพชเหมือนเปรตเปล่า เป็นคนเจ้าเล่ห์สุดแสนมุสา
ทำเป็นทีชีเปลือยเฉื่อยเฉื่อยชา ไม่กินปลากินข้าวกินเต้าแตง
พวกสำเภาเลากาก็พาซื่อ ชวนกันถือผู้วิเศษทุกเขตแขวง
คิดว่าขาดปรารถนาศรัทธาแรง ไม่ตกแต่งแต่คิดอนิจจัง
ใครขัดสนบนบานการสำเร็จ เนื้อแท้เท็จถือว่าวิชาขลัง
คนมาขอก่อกุฎิ์ให้หยุดยั้ง  นับถือทั้งธรณีเรียกชีเปลือย
ส่วนชายปลอมพร้อมหมดไม่อดอยาก มีโยมมากเหมือนหมายสบายเรื่อย
จนหนวดงอกออกขาวดูยาวเฟื้อย ทั้งผมเลื้อยลากสันอยู่คนเดียว
            สุดสาครเดินทางมาถึงเกาะ เห็นมีกุฎีตั้งอยู่โดดเดี่ยว สำคัญว่ามีดาบสอยู่ จึงคิดจะพักให้หายเหนื่อย เห็นชีเปลือยหลับอยู่ เห็นลักษณะประหลาดจึงร้องปลุก
จึงขับม้ามากุฎีเห็นชีเปลือย ยังหลับเรื่อยรูปร่างโตว่าคร่างครัน
ไม่นุ่งผ้าคากรองครองหนังเสือ ประหลาดเหลือโล่งโต้งโม่งโค่งขัน
น่าเหียนรากปากมีแต่ขี้ฟัน กรนสนั่นนอนร้ายเหมือนป่ายปีน
ประหลาดใจใยหนอไม่นุ่งผ้า จะเป็นบ้าไปหรือว่าถือศีล
หนวดถึงเข่าเคราถึงนมผมถึงตีน ฝรั่งจีนแขกไทยก็ใช่ที
ฯลฯ
            ชีเปลือยตื่นขึ้นมาเห็นฤาษีน้อยขี่ม้ามังกรก็คิดกลัวถามว่า มาแต่ไหน มีธุระอะไร สุดสาครบอกว่าให้บอกตนก่อนอชีเปลือยก็หลอกสุดสาครว่าตนถือศีล สละโลก ไม่รักรูปกาย
เราตัดขาดปรารถนาไม่อาลัย ด้วยเห็นภัยวิปริตอนิจจัง
อันร่างกายหมายเหมือนหนึ่งเรือนโรค แสนโสโครกคืออายุกเป็นทุกขัง
เครื่องสำหรับยับยุบอสุภัง จะปิดบังเวทนาไว้ว่าไร
เราถือศิลจินตนาศิวาโมกข์ สละโลกรูปนามตามวิสัย
บังเกิดเป็นเบญจขันธ์มาฉันใด ก็ทิ้งไว้เช่นนั้นจึงฉันนี้
ไม่รักรูปร่างกายเสียดายชาติ อารมณ์มาดมุ่งหมายจะหน่ายหนี
นี่ตัวท่านการธุระอะไรมี มาเดี๋ยวนี้จะไปหนตำบลใด ฯ
            สุดสาครได้ฟังก็ไม่สงสัย ลงจากหลังม้ามังกรแล้วขออภัยชีเปือย แล้วบอกเรื่องของตนให้ฟังและตนจะไปหาบิดา แล้วถามชีเปลือยว่า ได้ยินคนเล่าลือถึงพระอภัยกับสินสมุทหรือไม่
            ชีเปลือยได้ฟังแล้วก็คิดว่าสุดสาครคงมีฤทธิ์ รู้เวทวิเศษ จึงคิดจะลวงถามถึงความในจากสุดสาคร คิดว่าถ้าตนเดินน้ำได้เช่นสุดสาครตนก็จะเป็นที่เลื่องลือไปทั้งเมือง คิดแล้วจึงกล่าวลวงสุดสาครว่า
แต่แถวทางข้างหน้านั้นปรากฎ มีน้ำกรดลีกเหลวเป็นเปลวไหล
ต่อมีมนต์กลเวทวิเศษไป จึงข้ามได้โดยง่ายไม่วายชนม์
นี่ตัวเจ้าเล่าเรียนมาแล้วหรือ จะดึงดื้อไปแล้วเห็นไม่เป็นผล
ซึ่งเดินน้ำร่ำมาในสาชล ด้วยเวทมนต์เชี่ยวชาญประการใด ฯ
            สุดสาครถูกลวงจึงบอกเรื่องที่ครูสอนมาให้ฟัง โดยไม่ปิดบัง แล้วบอกว่า แก้กรดบทนี้ยังไม่รู้ จึงขออยู่ศึกษาวิชาด้วย
            ชีเปลือยได้ฟังความจากสุดสาครแล้วก็รู้ว่า ถ้าลวงได้ไม้เท้าแล้วก็จะขี่ม้ามังกรได้ จึงคิดหลอกกสุดสาครไปบอกมนต์บนเขา เห็นว่าแม้สุดสาครจะอยู่คง แต่เมื่อถูกผลักตกเหวก็จะเหลวไป แล้วพาสุดสาครขึ้นไปบนภูเขาจนถึงปากเหวลึก
บอกให้นั่งประนมพรหมพรต วางไม้เท้าดาบสไว้ริมกาย
เห็นได้ทีชีเมียวเข้าเคียงข้าง กระซิบพลางผลักตกหัวหกหาย
กระทบหินสิ้นแรงพลิ้วแพลงกาย ทรวงทลายล้มซบสลบไป ฯ
            ชีเปลือยได้ไม้เท้าของดาบส แล้วตรงมาที่ม้ามังกรแล้ว เงื้อไมเท้าขึ้นม้าก็กลัวก้มหัวลง ชีเปลือยจึงขึ้นขี่หลัง ม้าก็หันเหียนเวียนวงด้วยรักสุดสาคร ชีเปลือยจึงแกว่งไม้เท้า ม้ามังกรกล้วต้องตามใจชีเปลือย ชีเปลือยจึงขับม้านิลมังกรมุ่งไปสู่กรุงการะเวก
            กล่าวถึงเจ้าพาราการะเวก พึ่งได้อภิเษกแทนกษัตริย์ที่ตักษัย มีพระนามว่าพระสุริโยทัย อายุได้ยี่สิบสองปี มีมเหสีชื่อจันทวดี มีพระราชบุตรีชื่อเสาวคนธ์ อายุได้สองปีกับสี่เดือน วันนั้นได้ฝันว่ามีแร้งคาบแก้วบินมา มีกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ ครั้นแร้งหายไปก็มีดวงแก้วิเชียรสว่างเวียนวนรอบเมือง แล้วลอยมาจนช้อนมาได้เอาไปส่งให้แก่ธิดา โหรทำนายว่า แร้งที่คาบแก้วมาแล้วหายไปนั้นคือ คนร้ายที่มีรูปจริตผิดวิสัย จะนำหน้าพากุมารอันชาญชัยเข้ามายังพระนครในไม่ช้า ที่ฝันว่าได้แก้วและประทานให้ธิดาคือ กุมารนั้นจะได้พระธิดาเป็นคู่ครอง กษัตริย์สุริโยทัยได้ฟังคำทำนายแล้ว ก็พอพระทัย
            ฝ่ายชีเปลือยขับม้ามาถึงธานีแล้ว ชาวเมืองก็พากันออกมาดู ผู้ที่รู้จักมาก่อนก็บอกว่า เป็นผู้วิเศษขอให้หยุดยั้งอยู่ก่อน ถามว่าต้องประสงค์สิ่งไรก็จะจัดมาให้ ชีเปลือยเจ้าเล่ห์ก็หลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อ
ส่วนตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย เรามาหมายโปรดสัตว์กำจัดภัย
ด้วยบัดนี้ผีห่ามันกล้าหาญ จะเกิดการโกลาโรคาไข้
ให้รากพ้นคนตายฉิบหายไป จงบอกให้กันรู้ทุกผู้คน
แม้นกลัวตายชายหญิงอย่านิ่งช้า จงออกมานั่งข้างทางถนน
กูจะประพรำด้วยน้ำมนต์ ให้รอดพ้นความตายสบายใจ
            ผู้คนต่างก็พากันมาอย่างล้นหลามจนแน่นถนน บรรดาเสนาในก็เข้าไปกราบทูลเจ้าเมืองว่า ชีเปลือยมาโปรดสัตว์จะขจัดโรคภัย เจ้าเมืองได้ทราบเรื่องก็ยินดี แล้วบอกว่าจะนิมนต์เข้ามาในวัง ชีเปลือยได้ทราบก็ดีใจจึงลงจากหลังม้า ม้านิลมังกรก็กระโดดลงน้ำกลับไปหานาย ชีเปลือยเห็นม้าหนีไป ก็ลมจับล้มลง เจ้าเมืองมาดูแล้วเวทนาจึงให้เสนาพาไปรักษาที่ริมทิมโอสถ แล้วกลับไปวังสิ้นศรัทธา ในตัวชีเปลือย
            ม้านิลมังกรควบกลับมายังเกาะที่สุดสาครถูกชีเปลือยผลักตกเหว เที่ยวดมตามกลิ่นสุดสาครมาจนถึงปากเหว ก็รู้ว่าเจ้านายอยู่ในเหว จึงร้องเรียกตามประสาม้า แล้วคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ไกลจากปากเหว

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |