| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง

            ฝ่ายพระอภัย ชวนน้องรักศรีสุวรรณมาปรึกษาว่า จะเลิกทัพกลับเมือง แล้วจะแต่งวิวาห์สินสมุทกับพระบุตรีอรุณรัศมี องค์ศรีสุวรรณก็เห็นด้วย พระอภัยจึงสั่งน้องให้เตรียมยกพลกลับในวันพรุ่งนี้เช้า
            ฝ่ายพระอนุชาศรีสุวรรณตรัสบอกกับพระมเหสีเกษราว่า นางรำภามีครรภ์แล้ว

พี่จะใคร่ให้ของสำคัญไว้ แหวนกำไลปะวะหล่ำเครื่องทำขวัญ
สำหรับผูกลูกเต้าเป็นเผ่าพันธุ์ จะได้กันครหาข้างหน้าไป
นางทูลตอบขอบคุณทูลกระหม่อม ซึ่งโอบอ้อมเอื้อเฟื้อแก่เนื้อไข
พระเอ็นดูกุมารประการใด น้องมิได้เขืองขัดเป็นสัจจา
ฯลฯ
            แล้วให้ไปตามนางรำภามาพบ
  มเหสีดีใจปราศัยทัก สงสารนักชันษาอ่อนกว่าฉัน
ได้ร่วมคู่รู้จักจะรักกัน เหมือนพงศ์พันธุ์พี่น้องอย่าหมองใจ
ฯลฯ
            แล้วตรัสว่า เมื่อนางรำภามีโอรสก็จะได้เป็นน้องพระบุตรี แล้วถอดแหวนเพชรเจ็ดกะรัต จากพระหัตถ์ให้นางรำภา นางรับไว้ด้วยไมตรีแล้วทูลว่า ที่ตนผิดพลั้งครั้งในสงคราม ขอให้อภัยแก่นางด้วย
  นางรับคำร่ำว่าประสาซื่อ มิได้ถือสงครามตามวิสัย
ไม่ดูถูกลูกผู้หญิงอย่ากริ่งใจ จะรักใคร่ให้เหมือนเพื่อนชีวี
ฯลฯ
            องค์อนุชาศรีสุวรรณตรัสบอก นางรำภาว่าพระองค์จะยกกองทัพกลับแล้ว จะชวนนางไปด้วย
จะชวนเจ้าเยาวลักษณ์ไปนัคเรศ จะถือเพศพุทธกิจหรือคิดไฉน
หรือรักรีตกีดขวางเป็นอย่างไร ก็ตามใจใช่จะขัดอัธยา
            นางรำภาทูลว่านางเป็นชาติฝรั่งเกาะลังกา ไม่สันทัดในภาษาไทย อนึ่งเจ้าลังกาได้เมตตาเลี้ยงตนไว้ มีพระคุณเพียงแผ่นดิน ในชาตินี้ถ้าชีวิตยังไม่สิ้น ก็ตั้งใจจะอยู่เป็นข้าองค์ละเวง
เชิญพระองค์นงลักษณ์ไปนัคเรศ คือประเทศธานินทรถิ่นสถาน
แต่หนหลังพลั้งผิดกิจการ โปรดประทานโทษาอย่าราคี ฯ
            พระอนุชาศรีสุวรรณได้ฟังนางแล้ว ก็ตรัสตอบตามใจนาง แล้วประทานของรองพานให้นางและบุตร
สร้อยสังวาลบานพับสำหรับบุตร อย่าให้สุดสิ้นเชื้อเป็นเนื้อไข
รำลึกถึงจึงค่อยพาลูกยาไป ชมเมืองไทยบ้างเถิดนางอย่างหมางเมิน
ฯลฯ
            ฝ่ายนางยุพาผกาเข้าไปขอสมาสินสมุท แล้วขอให้สินสมุทกรุณาลูกที่อยู่ในครรภ์
ความทุกข์ทนล้นเหลือแต่เมื่อคลอด จะได้รอดชีวาหรืออาสัญ
ขอบุญญาฝ่าละอองช่วยป้องกัน อย่าให้อันตรายมีทางนี้เลย
            สินสมุทได้ฟังจึงตอบนางไปว่า คิดจะพานางไปเมืองด้วย แต่เกรงเผ่าพงศ์วงศ์วาน จะว่าให้เป็นราคี เมื่อแคล้วคลาดกันแล้ว ถึงนางจะมีผัวใหม่ก็ไม่ห้าม
แต่ลูกเต้าเอามาให้ข้าเลี้ยง ตั้งชื่อเสียงตามข้าภาษาสยาม
เป็นเชื้อไขไว้ยศให้งดงาม ได้ถือตามภาษาพาราเรา
ฯลฯ
            นางรำภาได้ฟังจึงทูลประชดตอบกลับไปว่า ที่ตนนอบน้อมยอมอยู่กับสินสมุท ก็เพราะรบแพ้ สำหรับฝรั่งนั้นไม่มีผัวสอง ดังนั้นที่โปรดให้ตนมีผัวใหม่นั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ ขอมีเพียงสินสมุทแต่ผู้เดียว ถ้าเป็นอย่างอื่นขอให้ลงอาญา
จะคอยจับปรับไหมขายฝรั่ง เฆี่ยนให้หลังลายส่งไปโรงสี
ขอพึ่งบุญมุลิกาเป็นสามี  พอไพรีรู้ทั่วได้กลัวเกรง ฯ
            แล้วสินสมุทก็ถอดธำมรงค์บุษย์ให้นางเก็บไว้ให้ลูก แล้วพูดปลอบประโลมนาง
จะกลับมาหาเจ้าอย่าเศร้าสร้อย ไม่ขาดคอยลืมมิตรพิสมัย
พลางลูบหลังตามเคยชะเลยใจ  เหมือนเปลวไฟฝอยนิดก็ติดเชื้อ
ฯลฯ
            ฝ่ายพระอภัยจะไปสั่งลาองค์วัณฬา จึงออกปากกับพระมเหสี นางก็ไม่ขัดขวาง พระอภัยจึงเสด็จไปหาองค์ละเวงยังตึกทอง
  พระลูบโลมโฉมเฉลาเยาวรักษ์ ไม่สิ้นรักร่วมชีวิตพิสมัย
ถึงตัวพี่นี้จะพรากจากเจ้าไป แต่จิตใจอยู่เฝ้าทุกเช้าเย็น
ฯลฯ
แล้วเปลี่ยนเปลื้องเครื่องทรงทั้งมงกุฎ ให้นงนุชนางวัณฬามารศรี
สำหรับทรงองค์โอรสเครื่องยศนี้ เหมือนตัวพี่ผู้บิดาสถาวร ฯ
            องค์วัณฬารับประทานแล้ว ใส่พานตั้งไว้บนบัลลังก์ริมสุวรรณบรรจถรณ์ แล้วคร่ำครวญอาลัยรัก
พระจากไปไหนจะมาเห็นหน้าน้อง  เหมือนเดือนส่องภพไตรใครจะเหมือน
จะนับปีมิได้กลับมาเยี่ยมเยือน ยิ่งกว่าเดือนลับฟ้าเหลืออาลัย
จะแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าทุกเช้าค่ำ โอ้ว่ากรรมน้องสร้างแต่ปางไหน
นางครวญคร่ำกำสรดระทดฤทัย สะอื้นไห้ไม่วายฟายน้ำตา ฯ
            พระอภัยสั่งเสียและสมรักกับนางอยู่จนตีสิบเอ็ด จึงลานางกลับ
แล้วสั่งความทรามสงวนว่าจวนรุ่ง จะจากกรุงเตรียมองค์ตามวงศา
แม่เนื้อคู่อยู่จงดีพี่ขอลา นางโศกากอดบาทไม่คลาดคลาย
ทูลกระหม่อมจอมทวีปประทีปแก้ว  จะลับแล้วเช้าเย็นไม่เห็นหาย
ไม่มีท้องน้องจะขอเชือดคอตาย ไม่เสียดายชีวิตสักนิดเลย
ฯลฯ
ถึงคนอยู่ผู้อื่นสักหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นทูลกระหม่อมจอมเกศา
จะเย็นเยียบเงียบทั้งเกาะลังกา กินน้ำตาต่างข้าวทั้งเช้าเย็น
ฯลฯ
            พระอภัยรับขวัญองค์วัณฬา แล้วก็ไปสรง แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้ว กลับมาหน้าพระลาน พวกองค์วัณฬาตามมาส่งที่พลับพลาหน้าป้อม
มาตามส่งตรงพลับพลาที่หน้าป้อม ประณตน้อมยอกรให้พรผัว
พอฤกษ์ดีตีฆ้องให้หมองมัว จะทรงตัวมิใคร่ไหวฤทัยระทวย ฯ
            ระหว่างทางพระอภัยให้อาลัยถึงองค์ละเวงยิ่งนัก พระมเหสีเข้ามาปลอบโยนให้คลายใจ
            เมื่อไพร่พลเดินทางมาถึงฝั่งสมุทรเมืองลังกา พระอภัยก็ให้หยุดโยธาแล้วให้ยกโทษฝรั่ง ทั้งระเด่นที่จับคุมขังเอาไว้ พร้อมทั้งคืนของข้าไทให้กลับคืนไป บรรดาแขกฝรั่งทั้งบ่าวนาย ก็กราบถวายบังคมลาไปธานี
  ฝ่ายทุกองค์พงศ์กษัตริย์ต่างจัดทัพ ลงเรือกลับข้ามคุ้งไปกรุงศรี
ต่างถึงเมืองเรื่องสำราญผ่านบุรี พอเดือนยี่ยามหนาวคราวเหมันต์ ฯ
            ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์ สุดสาครกับหัสไชยกลับมาถึงเมือง พร้อมทั้งพราหมณ์เฒ่าก็เข้าไปเฝ้าองค์กษัตริย์ พระองค์ได้ตรัสถามถึงความหลัง พราหมณ์พฤฒาก็ทูลแถลงตั้งแต่ต้น จนถึงกลับมากรุงไกร สุดสาครร้อนใจและกำสลดเศร้า ทูลว่าตนได้ทำผิดพลั้งเหมือนชีวิตจะปลิดจากกาย เมื่อสิ้นธุระแล้วตนก็จะขอรองบาทไปจนตาย
            ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์ไม่ยอมอยู่ใกล้สุดสาคร ไปหมอบอยู่กับพวกแสนสาว แล้วถวายเพชรเตร็จแก้ว ให้กษัตริย์ไปทั้งสององค์ต่อหน้าพราหมณ์ ทูลว่าเป็นโครเพชรเพราะยายพราหมณ์บอกให้ทราบ
  ฝ่ายปาโมกข์โลกเชษฐรู้เหตุใหญ่ จะเกิดไพรีเบียนเป็นเสี้ยนหนาม
จึงทูลท้าวเจ้าเมืองตามเรื่องความ โทษยายพราหมณ์คราวนี้ถึงที่ตาย
ฯลฯ
            ด้วยเหตุที่ไม่ห้ามเสาวคนธ์แต่กลับแนะให้แกะเตร็จ ทำให้เพชรของเขาสูญหาย ชาวเมืองเคืองแค้นเสียดาย จะตามมารบพุ่งถึงเมืองการะเกด
            องค์กษัตริย์จึงตรัสว่าเป็นบุญกรรม ถ้าจะคืนเขาไปก็จะดูอดสูใจ จึงให้ประจุไว้ที่ภูผานอกเมือง
ให้ชื่อเขาเนาวรัตน์จัดสำเร็จ เมื่อเกิดเพชรจะได้ชมสมถวิล
ฝ่ายพฤฒาลาท้าวเจ้าแผ่นดิน ไปสู่ถิ่นฐานพราหมณ์ตามสำราญ ฯ


ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุท


            ฝ่ายพระอภัยให้อาลักษณ์จำลองสารไปนัดฤกษ์กับพระอนุชา เพื่อจัดงานวิวาห์ อีกฉบับหนึ่งมีไปยังเมืองการะเวก
            ศรีสุวรรณอ่านสารมีความว่าขอพระราชบุตรีให้สินสมุท แล้วจะเสกให้ทั้งสองครองเมืองแทนพระองค์ ศรีสุวรรณทราบความในสารแล้ว ก็สมถวิลที่จินดาให้ทูตหยุดพักอยู่ก่อน แล้วเอาสารพระอภัยไปถวายอ่านให้ ท้าวทศวงศ์ทรงทราบ ท้าวเธอก็ชื่นชมสมประสงค์
มเหสีดีใจดังได้แก้ว เป็นรู้แล้วพ้นทุกข์ทั้งลูกหลาน
แล้วสั่งสาวสรรค์พนักงาน ตระเตรียมการไว้เสียเจียวประเดี๋ยวนี้ ฯ
            ศรีสุวรรณทูลลาออกมาตอบสาร และให้บรรณาการมอบให้ทูตไป ทูตทูลลามาลงเรือไปกรุงการะเกด ใช้เวลาครึ่งเดือน เมื่อถึงท่าแล้วก็แจ้งความให้ล่ามทราบ
  ฝ่ายเสนีสี่นายครั้นสายแสง ต่างตกแต่งตามกำหนดมียศถา
แล้วเชิญเครื่องบรรณาการกับสารตรา ตามเสนานำเข้าไปในพระโรง ฯ
  กรมวังบังคมบรมนาถ  ทูลเบิกราชทูตถือหนังสือสาร
มาเฝ้าพร้อมน้อมประณตบทมาลย์ อาลักษณ์อ่านออกความตามกิจจา ฯ
            ในสารมีความว่าพระเชษฐาเจริญราชไมตรีกับพระอนุชา ผู้ครองเมืองการะเวกได้กรุณาต่อสุดสาครเหมือนเป็นบิดา เลี้ยงดูแทนตน ทั้งเสาวคนธและหัสไชยได้ตามไปช่วยรบเมืองลังกา สองพระธิดาสร้อยสุวรรณ จันทรสุดา พระอนุชาก็ช่วยเลี้ยงเหมือนเป็นบุตรี ส่วนเสาวคนธ์และสุดสาครนั้น ก็สุดแต่พระอนุชาจะปราณี ในเดือนสี่จะทำการวิวาห์สินสมุทกับอรุณรัศมี หลังจากนั้นเผ่าพงศ์วงศ์กษัตริย์จึงจะมาเมืองการะเกดของพระน้อง เพื่อสมานไมตรี
  พระชื่นชมสมหวังสั่งอำมาตย์ ให้นำราชทูตาไปอาศัย
แล้วจากอาสน์ยาตรย่างเข้าปรางค์ใน ตรัสบอกให้อัคเรศแจ้งเหตุการณ์
            องค์จันทวดีก็เห็นด้วย และเห็นว่าหัสไชยอาสาไปทำศึกลังกานั้น เจ้าเมืองผลึกจะใคร่ได้เป็นเขย เจ้าเมืองการะเกดจึงตรัสว่า พระองค์คิดที่จะให้ทั้งสองได้แต่งงานกัน เพื่อได้เป็นลูกจะปลูกฝัง
            ครั้นรุ่งเช้าเจ้าเมืองการะเกดจึงให้ตอบสารเป็นข้อความมีไมตรี ให้ทูตถือกลับไปเมือง เมื่อทูตมาถึงเมืองแล้ว ก็ถวายสารของสองเมืองแก่พระอภัย ในสารของพระอนุชาศรีสุวรรณตอบมาว่า ไม่ขัดข้อง และขอเชิญพระเชษฐามาในงานวิวาห์ ส่วนสารของเจ้าเมืองการะเวกตอบมาขอบพระคุณ
และทูลว่าหลานน้อยสร้อยสุวรรณ จันทร์สุดานั้น มีชันษาใกล้กับหัสไชย
ขอรับเลี้ยงเพียงบุตรสุจริต ถนอมสนิทเหมือนหนึ่งในเชื้อไข
การวิวาห์ถ้าจะเลื่อนไปเดือนใด ตามพระทัยไม่ขัดพระอัชฌา ฯ
            พระอภัยทราบความในสารแล้ว ก็ชื่นชมโสมนัสจึงตรัสสั่งบรรดาเสนาอำมาตย์ให้เตรียม กำปั่นพันลำพร้อมผู้คน เครื่องเล่น พวกเต้นรำ รวมทั้งมวยปล้ำ และละคร โขน ไปร่วมงานแต่งงาน
มาทอดท่าหน้าแพเรือแห่แหน อเนกแน่นในมหาชลาสินธุ์
บ้างร้องรำทำเพลงบรรเลงพิณ คอยท่าบนปถพีด้วยปรีดา ฯ
            ฝ่ายองค์พระอภัยพร้อมพระมเหสีและโอรส แต่งองค์ทรงเครื่องแล้วพากันมาลงเรือ ออกเดินทางไปเมืองรมจักร
พอออกจากปากน้ำก็ค่ำพลบ จุดเพลิงคบโคมรายขึ้นปลายเสา
เป็นเดืนอสามยามหนาวลมข้าวเบา พัดเพลาเพลาพอได้ใช้ใบสบาย
ลำที่นั่งดั้งกั้นเป็นหลั่นแล่น  ไปตามแผนที่ทะเลคะเนหมาย
ล้วนเคยคลื่นชื่นใจทั้งไพร่นาย นั่งสบายบังลมแลชมดาว
ฯลฯ
บอกบุตรีชี้หัตถ์แล้วตรัสว่า ที่กลางฟ้าเรืองยาวนั้นดาวไถ
โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไนย ดาวลูกไก่เขาก็เรียกสำเหนียกนาม
ฯลฯ
ไม่ขัดข้องล่องลมถึงรมจักร เสียงคึกคักฆ้องกลองแซ่ซ้องเสียง
ทหารโห่โล้ล้อมมาพร้อมเพรียง เข้าทอดเคียงรายท่าหน้าธานี ฯ
            ท้าวทศวงศ์ทรงจัดที่พักให้ฝ่ายพระอภัยตามฐานานุรูป
  หยุดสบายหลายคืนต่างชื่นแช่ม พอเดือนแรมฤกษ์ดีพิธีไสย
ให้หมายเวรเกณฑ์บอกสมนอกใน ทั้งนายไพร่พร้อมพระวงศ์พงศ์ประยูร
ปลูกโรงราชพิธีสิบสี่ห้อง มีมุขช่องมณฑปนภศูล
ประดับเครื่องเรืองแอร่มแจ่มจำรูญ  ที่พื้นพูนปูนลาดดาดศิลา
ฯลฯ
  ฝ่ายพวกถูกปลูกโรงสำหรับเล่น บ้างลากเข็นล้อเกวียนบ้างเขียนแผง
ผูกภูเขาเอาไม้ดัดขึ้นจัดแจง ต่างคิดแต่งต่างกันประชันโรง
ฯลฯ
หุ่นละครมอญรำทำโรงงิ้ว เป็นแถวทิวสองข้างทางถนน
เด็กผู้ใหญ่ไพร่ฟ้าประชาชน มาเกลือนกล่นกลาดกลุ้มประชุมกัน ฯ
  สมเด็จท้าวเจ้าบุรีรมจักร เห็นพร้อมพรักยินดีจะมีไหน
ให้โหราหาฤกษ์เจริญชัย ประจวบได้เจ็ดคำเป็นสำคัญ
ฯลฯ
ปุโรหิตติดเทียนคอยเวียนแว่น พลูคะแนนจันทน์เจิมเฉลิมศรี
โหรคอยท่าหาฤกษ์เบิกบบัดพลี ระวังตีฆ้องสำคัญเป็นสัญญา ฯ
            ฝ่ายองค์อรุณรัศมีมีความขุ่นข้องเมื่อรู้เรื่องการวิวาห์ ก็คิดถึงองค์เสาวคนธที่ได้ให้ทัณฑ์บนกันไว้ ที่วังเมืองลังกาว่าชาตินี้จะไม่มีคู่ แต่ก็กลัวพระบิดา และเชษฐา คิดจะมีดกรีดคอให้ตาย แต่ก็ไม่กล้าทำ
จะต้องดื้อถือสัตย์ขัดรับสั่ง สู้ทนทั้งตีด่าประสาหญิง
แกล้งทำหลับจับไข้ไม่ไหวติง บรรทมนิ่งนึกสะอื้นฝืนฤทัย ฯ
            ฝ่ายองค์เกษราไม่เห็นอรุณรัศมีก็ไปตามเห็นลูกรักนอนอยู่จึงตรัสว่าเวลานี้กำลังตั้งพิธีวิวาห์อยู่ให้ไปเข้าพิธี นางก็ทูลตอบว่าตนไม่สบาย เมื่อถูกคาดคั้นก็จำต้องทูลความตามจริงว่า ตนได้สาบานตัวกับเสาวคนธ์ว่าจะไม่มีคู่ ตัวสินสมุทเองก็มีเมียแล้วมีลูกอยู่ในท้อง
ทั้งลูกเต้าเล่าก็ยังอยู่ในท้อง จะไปต้องน้อยหน้าชาติทาสี
มิขออยู่สู้ตายวายชีวี พระชนนีโปรดด้วยช่วยสักครา ฯ
            องค์เกษราได้ฟังก็ทำเป็นโกรธพูดจาหว่านล้อมด้วยประการต่าง ๆ แต่ไม่เป็นผล
  ฝ่ายโหรนั่งตั้งนาฬิกากำกับ กำหนดนับนาทีสุริย์ฉาน
พอฤกษ์ดีตีฆ้องก้องกังวาน พนักงานสังข์แตรขึ้นแซ่ซ้อง
ฯลฯ
            พระอภัยเห็นผิดทำนองคงจะมีเหตุขัดข้องข้างในวัง ท้าวทศวงศ์เข้าไปต่อว่าพระมเหสี พระนางจึงตามไปปรางค์ขององค์อรุณรัศมี เห็นองค์เกษรากริ้วข้าไทอยู่ ก็โกรธพระบุตรีที่ปล่อยให้ลูกเขยคอยท่าอยู่ พระธิดาก็ทูลบตอบว่าได้ปลอบนางแล้ว ไม่เชื่อขอให้พระมารดาไปถามเนื้อความดู เมื่อนางพระยาเข้าไปพบหลานเศร้าหมองอยู่ก็ถามความ นางก็ตอบความให้ทราบ และยืนยันยอมตาย ไม่ยอมทำการวิวาห์
ด้วยเกิดมาอาภัพให้ลับเสีย ไม่เป็นเมียน้อยหญิงชาวสิงหล
จงโปรดให้ไปภิเษกเสาวคนธ์ เข้ามณฑลต่อทีหลังขอรั้งรอ ฯ
            พระอัยกีตรัสว่า สุดสาครเป็นน้องต้องรอทีหลัง ตัวเป็นพี่ต้องตั้งก่อน ในที่สุดนางทนอ้อนวอนจากบรรดาพระญาติวงศ์ผู้ใหญ่ไม่ได้ จึงยอมเข้าพิธีอย่างมีเงื่อนไข
แล้วทูลว่าถ้าหม่อมฉันทำขวัญแล้ว อย่าให้แผวพาลพบประสบสม
ยายรับคำซ้ำว่าอย่าปรารมภ์ ให้นุ่งห่มขาวผ่องละอององค์
ฯลฯ
  เข้ามณฑลมณฑปอภิวาท ประยุรยาตรโยคีฤาษีไสย
มโหระทึกกึกก้องทั้งฆ้องชัย พระอภัยน้อมประณตท้าวทศวงศ์
ฯลฯ
ปุโรหิตติดเทียนให้เวียนแว่น มาข้างแท่นถวายท้าวเจ้ากรุงศรี
ท้าวทศวงศ์ส่งให้พระอัยกี สุมาลีเกษราธิดาดวง
ฯลฯ
ถ้วนสำเร็จเจ็ดรอบได้ชอบโชค ดับเทียนโบกควันเฉลิมเจิมถวาย
ให้สององค์ทรงตรารูปนารายณ์ เป็นที่ฝ่ายหน้าพระชนกา
ต่างอำนวยอวยพรสุนทรสวัสดิ์ ทั่วกษัตริย์สุริยวงศ์เผ่าพงศา
ส่วนสององค์ลงจากทองกองจินดา นางกัมลาหลีกไปเสียในวัง ฯ
            เสร็จการอภิเษกแล้วท้าวทศวงศ์พร้อมพงศ์กษัตริย์ ออกมานั่งในพลับพลาหน้ากำแพงดูการเล่นต่าง ๆ
พวกรำเต้นเล่นงานละครโขน เสียงตระโพนกลองประชันล้วนขันแข่ง
พวกโม่งครุ่มทุ่มกลองเล่นกลางแปลง คุลาแต่งตัวดีเดินตีไม้
เล่นประชันกันกับวงพวกโหม่งครุ่ม เป็นกลุ่มกลุ่มกลางแปลงแทงวิสัย
หกตะเมนเล่นหน้าพลับพลาชัย ขึ้นกระไดดาบทะลวงลอดบ่วงเพลิง
บ้างขึ้นไต่ไม้สูงสามต่อตั้ง รำแพนทั้งโจนร่มตามลมเหลิง
บ้างสรวลเสเฮฮาเสียงร่าเริง ทำชั้นเชิงรำเต้นเล่นประชัน
ฯลฯ
เสียงกลองโยนโขนเมืองผลึกเล่น  ทำเป็นบทละครด้วยช่วยฉลอง
เล่นบุตรลบพลบค่ำต้องจำจอง ขึ้นขาหยั่งนั่งยองยองนองน้ำตา
ฯลฯ
ผู้หญิงดูอยู่ข้างโขนเมืองผลึก บ้างก็นึกเวทนาน้ำตาไหล
หุ่นละครมอญรำระบำไทย เพลงปรมไก่เทพทองร้องค้างคาว
ฯลฯ
  ฝ่ายกระบี่มีคู่สู้กับดั้ง บังคมตั้งท่าเวียนทำเหียนหัน
ต่างเยื้องกรายร่ายเรียวเข้าเคียวกัน ตั้งประจัญตามทำนองตีกลองแปลง
ฯลฯ
            ฝ่ายพระหน่อสินสมุททราบว่า องค์อรุณรัศมี เคืองด้วยเรื่องที่ผ่านมา ตั้งแต่เสร็จงานวิวาห์ ก็คอยท่าอยู่ถึงสิบห้าวันก็ไม่เห็นส่งองค์อรุณมาร่วมแท่น ก็ให้โศกเศร้ายิ่งนัก และนึกอายผู้คน จนจับไข้เป็นลม บรรดาสาวสุรางค์จึงนำความไปทูลพระบิตุรงค์พระวงศ์วาน พระอภัยได้ฟังหยั่งรู้ว่าอดสู จึงตรัสชวนพระมเหสีกับสองพระธิดาไปเยี่ยมสินสมุท พระอนุชาศรีสุวรรณกับองค์เกษราทราบเรื่องก็รู้ว่านัดดาเป็นไข้รัก
อันยาดีมีสำหรับแก้กับโรค จะดับโศกนั้นไม่ได้ทั้งไตรจักร
เมื่อหนุ่มสาวคราวเราก็เศร้านัก อันหลานรักนี้ก็เป็นเหมือนเช่นเรา
ฯลฯ
พระอัคเรศเกษราสารภาพ พระไม่ทราบเหลือปัญญาจะว่าขาน
เหมือนคเชนทรเจนขอเหลือหมอควาญ กระหม่อมฉานวอนว่าสารพัน
ฯลฯ
            แล้วพระศรีสุวรรณก็มายังห้องสินสมุท ได้พบพระอภัยที่มาอยู่ก่อนแล้ว ส่วนองค์เกษราไปเฝ้าพระชนนี พบพระธิดาอยู่ด้วยจึงทูลขอให้ช่วยบังคับ องค์อรุณรัศมีไปเยี่ยมสุนสมุท
  ฝ่ายอรุณขุนหมองเพราะครองสัตย์ สู้ทูลทัดพจนาอัชฌาสัย
เมื่อทำขวัญบัญชาให้คลาไตคล ก็ตามใจไม่ขัดพระอัชฌา
  ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี เห็นพักตร์พี่เผือดลงก็สงสาร
เพราะโศกเศร้าเปล่าใจอาลัยลาน นางรำคาญข้องขัดด้วยสัจจา
ฯลฯ
  สินสมุทสุดชื่นระรื่นรส ด้วยโอสถเสน่หามารศรี
สร่างประชวรสรวลสันต์ได้ทันที พระอัยกีดีใจกระไรเลย
ฯลฯ
  ฝ่ายพระวงศ์พงศาคณาญาติ เห็นหน่อนาถอิ่มเอมเกษมศรี
ต่างชื่นชมสมถวิลด้วยยินดี เห็นชอบทีกษัตราก็ลาไป
             ฝ่ายพระอภัยครั้นลูกรักสร่างโศกแล้ว ก็ปรึกษากับพระอนุชาว่าวันพรุ่งนี้เดือนหก จะยกพลไปเมืองการะเวกเพื่อเสกโอรสทำการวิวาห์ พระอนุชาก็น้อมรับแล้วมาเตรียมพล เพื่อออกเดินทาง
  ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี สถิตที่แท่นทองของเชษฐา
ไม่พบพานมารดรและบิดา จนออกมาถึงทะเลว้าเหว่ใจ
ฯลฯ
  จะยกหน่อนริทรสินสมุท ได้นงนุชมาด้วยกันก็หรรษา
สถิตแท่นแสนสบายท้ายเภตรา คอยเวลาที่จะลอบไปปลอบนาง
ฯลฯ
เข้านั่งแนบแอบน้องนางร้องหวีด ขยีบมีดเมินประคองของสงวน
แล้วถอยถดลดเลื่อนเบือนกระบวน จะมากวนก่อกรรมให้จำตาย
ฯลฯ
พระปิตุราชมาตุรงค์ก็ปลงให้ ควรหรือใจจึงมาเดือดไม่เหือดหาย
มิเมตตาปรานีแล้วพี่ชาย จะได้ตายเสียด้วยกันขยันดี ฯ
            นางได้ฟังคำก็ทูลตอบว่า เมื่ออยู่ที่วังลังกาได้พูดตกลงกับองค์เสาวคนธ์ เป็นทัณฑ์บนตัว
แล้วทูลความตามซื่อเพราะถือสัตย์ จึงข้องขัดข้อนี้ไม่มีผัว
จะยอมอยู่คู่สองก็หมองมัว จะฆ่าตัวเสียให้ตายวายชีวา
ฯลฯ
            แล้วทูลว่า ถ้าสินสมุทรักใคร่อาลัยตน ก็ขอได้โปรดเป็นเหมือนเชษฐา ขอให้เมตตาอย่าให้ตนต้องตาย
  สินสมุทสุดซื่อกลดมือนิ่ง ประหลาดจริงใจหนอใจคอหาย
แม้ขื่นใจเห็นไม่รอดจะวอดวาย จะลงร้ายว่าเราพามาฆ่าตี
ฯลฯ
            สินสมุทคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวแก่นางว่า
ไปพาราการะเวกเสกพระน้อง เป็นคู่ครองศฤงคารตามสารศรี
แม้ข้องขัดตัดใจไม่ใยดี ทำให้พี่อับอายเพียงวายปราณ ฯ
            องค์อรุณรัศมีได้ฟังก็สงสารจึงยอมโอนอ่อนว่า ถ้าองค์เสาวคนธ์ยอมแต่งงานแล้ว
เขายอมอยู่คู่ครองแล้วน้องรัก จะเป็นอัคเรศพระเชษฐา
นางวิงวอนผ่อนผันจำนรรจา ด้วยมารยาแยบคายให้ตายใจ ฯ


ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี


  จะกลับกล่าวเจ้าพาราการะเวก หวังภิเษกลูกรักเป็นศักดิ์ศรี
ด้วยเดือนเจ็ดเสร็จพระอภัยมณี มาบุรีเริ่มงานการวิวาห์
            พอถึงเดือนหกก็ตรัสสั่งให้แต่งวัง สำหรับให้เป็นที่ประทับของวงศาไว้สามแห่ง ให้หน่อกษัตริย์หัสไชยไปกำกับงาน
  ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลโฉม เป็นทุกข์โทมนัสในฤทัยถวิล
แต่ทูตถือหนังสือมาถึงธานินทร์ นางทราบสิ้นศุภสารการวิวาห์
ฯลฯ
            นางเห็นว่าครั้นจะอยู่สู้ดื้อด้วยถือสัตย์ ก็สุดที่จะขัดพระบิดาได้ นางจึงคิดเตรียมการเป็นความลับ ลอบทำสำเภายาวเก้าเส้น สำหรับแล่นออกทะเลลึกเพื่อฝึกทหารได้ จัดเตรียมผู้คนและเสบียงไว้พร้อม
            ฝ่ายพระอภัยแล่นเรือมาได้เดือนหนึ่ง ก็ถึงเมืองการะเวก เจ้าเมืองการะเวกก็ออกไปรับ
  ฝ่ายปิ่นปักนัคราการะเวก จึงสั่งเอกเสนาอัชฌาสัย
จัดเกณฑ์แห่แตรสังข์เรือดั้งไว้ เราจะไปรับกษัตริย์ขัตติวงศ์ ฯ
            เมื่อมาถึงแล้ว ก็ให้การต้อนรับตามประเพณีอย่างครบถ้วน แล้วก็ทูลลาแยกย้ายไปยังวังที่จัดเตรียมไว้ให้ประทับ เมื่อตอนใกล้พลบค่ำ
  ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลสมร จะจำจรจากประเทศหนีเชษฐา
คิดอาลัยในพระอนุชา ทั้งบิดามารดรจะร้อนรน
ฯลฯ
จึงตรัสสั่งทั้งหลายฝ่ายข้าหลวง ให้ทั้งปวงปิดความใครถามหา
บอกว่าเราเข้าบำเพ็ญภาวนา ไม่พูดจาว่าจะเสร็จสักเจ็ดวัน
            แล้งเขียนคำอำลาสมาโทษ กับเพลงยาวครั้งที่อยู่ลังกาไว้บนที่นอน แล้วปิดประตูใส่สลักไว้ พอใกล้พลบค่ำจึงหลบออกจากปราสาทไปลงเรือ แล้วใช้ขับแล่นไปทางทิศพายัพ หมายจะเข้าไปยังอ่าวสินธุ์มิดถิลา
  จะกลับกล่าวเจ้าพาราการะเวก จวนอภิเษกฤกษ์แรมอันแจ่มใส
แต่บุตรีศรีสวัสด์กับหัสไชย ไปไหนไม่เห็นหายหลายเวลา
ฯลฯ
            เมื่อนางกษัตริย์ไปตามที่ห้องนางได้พบสารอ่านดูรู้ความแล้ว เสียใจจนสลบไป พวกท้าวนางนำความไปทูลเจ้านครการะเกด พระองค์ได้อ่านสารทราบความแล้ว ก็เสียใจสลบไปอีกองค์หนึ่ง พระอภัยพร้อมทั้งพระอนุชา พระมเหสี พระธิดา พระโอรส และหัสไชยพากันไปยังห้องเสาวคนธ์ เจ้าเมืองการะเกดให้อ่านสารของนางให้ทุกองค์ทราบ เมื่อจบแล้วก็ให้อ่านสารของสุดสาคร ที่มีถึงเสาวคนธ์เมื่อครั้งอยู่ลังกา
  พอจบเรื่องเคืองจิตพระปิตุเรศ จึงว่าเหตุนิดหนึ่งมาหึงสา
หนังสือนี้อีลีวันใช้ปัญญา ประดิษฐแต่งแกล้งว่าสุดสาคร
ฯลฯ
  พระอภัยให้ระทดกำสรดเศร้า สงสารเสาวคนธ์น้อยละห้อยหา
ทั้งพระน้องสองนางต่างโศกา เวทนานงเยาว์เสาวคนธ์
ฯลฯ
            พระอภัยจึงทูลท้าวเจ้าเมืองการะเวกว่า พระองค์กับพระอนุชาจะออกตามหาองค์เสาวคนธ์เอง กษัตริย์สุริโยทัยก็น้อมรับ และทูลว่าเมื่อตามพระธิดามาได้แล้ว ก็จะได้วิวาห์เสกสองให้ครองกัน
  สุดสาครถอนสะอื้นค่อยฝืนพักตร์ ทูลทรงศักดิ์ตามจริงทุกสิ่งสรรพ์
อันหนังสือคืออีลาลีวัน กระหม่อมฉันมิได้ทรายที่หยาบคาย
ฯลฯ
            แล้วขอบังคมลาไปตามนางจนกว่าจะพบ แล้วจะไปฆ่าสุลาลีวันเอาศีรษะมาให้นาง สุดสาครคิดแค้นจนสลบไป พระสุริโยทัยจึงไกล่เกลี่ยตรัสว่า อย่าไปโกรธฝรั่งที่ทำหนังสือนี้เพราะว่ามันเป็นกลศึก
อย่าเพ่อคิดติดตามคอยถามข่าว ได้เรื่องราวมั่นหมายจึงผายผัน
อันฝรั่งลังกาอย่าฆ่าฟัน เสียสัตย์ธรรมทศพิธผิดโบราณ ฯ
            สุดสาครร้อนอกถึงน้องรักที่ต้องจากไป
แม้พบปะจะได้ให้ความสัตย์ ศรีสวัสดิ์จะสร่างที่หมางหมอง
ประการหนึ่งถึงมิอยู่เป็นคู่ครอง เป็นพี่น้องอยู่ด้วยกันจนวันตาย
ฯลฯ
            พระปิตุราชมาตุรงค์และวงศ์วาน ต่างพากันสงสารจึงให้โหรทำนาย โหรชำระพระชะตาของพระธิดาแล้ว เห็นว่าเป็นคราวเคราะห์วิบัติ แล้วทูลความว่าพระธิดาไปทางทิศพายัพ เมื่อตามไปก็จะพบแต่มีเหตุกลับกลายหลายสถาน ต่อเมื่อสิบสี่ปีแล้ว จึงจะได้กลับมา
            กรุงกษัตริย์ได้ฟังคำทำนาย จึงตรัสให้แต่งกำปั่นไปเที่ยวตามหาพระธิดา สุดสาครบอกว่าตนจะขี่ม้ามังกรออกตามนางเอง แล้วทูลลาท้าวการะเกดออกเดินทางไปโดยไม่รอช้า
  หน่อนรินทรสินสมุทก็สุดเศร้า แต่หมอบเฝ้าฟังรหัสเห็นขัดสน
หมายว่าน้องสองสมรเขาผ่อนปรน จะพลอยพ้นทุกข์ด้วยก็ป่วยการ
ฯลฯ
            เมื่อเห็นว่าไม่สมคะเนแล้ว ก็โศกเศร้าจนเป็นลมนิ่งไป สามกษัตริย์แก้ไหขให้ฟื้นขึ้น หน่อกษัตริย์หัสไชยก็ร้องไห้ถึงพี่ยา ทั้งอาลัยในธิดาเจ้าเมืองผลึก ฝ่ายองค์พระอภัยได้ทูลท้าวเจ้ากรุงการะเกดว่า พรุ่งนี้จะลงเรือไป แล้วลากลับมาที่ประทับ ส่วนหัสไชยก็ไปพบสองพระธิดา
ค่อยสั่งสอนน้องน้อยละห้อยละเหี่ย ต่างสั่งเสียเศร้าหมองไม่ผ่องใส
นางให้ลูกตุ๊กตากับผ้าสไบ พระหัสไชยให้แหวนทดแทนกัน ฯ
            ส่วนองค์สุวรรณมาลีเห็นสินสมุทเศร้าโศกเสียใจ จึงไปหาสินสมุทยังเรือกำปั่น แล้วไต่ถามความใน เมื่อทราบความแล้ว จึงแกล้งตรัสเปรียบเปรยว่า
อันวิสัยใจจริงหญิงมนุษย์ รักบุรุษสุดรักสมัครหมาย
ซึ่งมารยาพาทีเพราะมีอาย เขาไม่ตายจริงหรอกบอกให้รู้
ด้วยรุ่นราวสาวแส้แล้วแต่แรก เปรียบเหมือนแขกคิดเดียดด้วยเกลียดหมู
ต่อเมื่อไรได้เป็นเหมือนเช่นชู้ จึงกลับรู้รักชายถวายตัว
ฯลฯ
            เมื่อฤกษ์ดีแล้ว ก็พากันออกเดินทางแยกย้ายกันไป พระอนุชาศรีสุวรรณไปเมืองรมจักร พระอภัยก็ไปอีกทางหนึ่ง พบลูกค้าก็ไต่ถามถึงองค์เสาวคนธ์ แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวแต่อย่างใด
            ฝ่ายสินสมุทระหว่างเดินทางมากลางน้ำได้ไปหาองค์อรุณรัศมี เข้ารับขวัญนางแต่ถูกนางบ่ายเบี่ยงตามสัญญา ตอนนนี้องค์เสาวคนธ์หนีไปแล้วเป็นแคล้วกัน
ยังกลับมาหาสู่ทำจู้จี้ ประเดี๋ยวนี้ก็ได้วุ่นระหุนหัน
มาทำเทียมเลียมเล่นเหมือนเช่นกัน ผิดก็ฉันเชือดคอให้มรณา ฯ
            สินสมุทก็กล่าวแก้ด้วยเหตุผลว่า จะคอยอยู่ต่อไปคงไม่ได้ เพราะตนได้แต่งงานกับนางแล้ว ตามที่รับสั่งประทานมาให้
มิเคียงคู่ตามความรับสั่ง เหมือนชิงชังจึงไม่ชมประสมสอง
จะเคืองขัดอัธยาฝ่าละออง จึงจำต้องตามรับสั่งไม่ฟังกัน ฯ
            นางได้ฟังเห็นว่าสินสมุทตีฝีปากได้ดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน หรือว่าใครสอนมาจึงคิดจะลองดูท่วงที
ซึ่งโปรดให้ใช่จะสั่งให้สังวาส ให้รับราชกิจการผ่านกรุงศรี
จึงต้องตามความรับสั่งมาดังนี้ หมายพระพี่คงจะไม่ทำน้อง
ฯลฯ
ไม่อ่อนน้อมยอมตามความรับสั่ง พี่ก็ยังมิให้เจ้าไปสวรรค์
แม้จะใคร่ได้ตายง่ายง่ายนั้น จงผ่อนผันพอได้หว่านเป็นว่านเครือ
ฯลฯ
พระกอดเกยเชยปรางถืออย่างยอด เสียงฟอดฟอดเฟ้นซ้ายแล้วย้ายขวา
ถนอมแนบแอบอรุณอุ่นอุรา เหมือนสายฟ้าแลบรอบขอบทะเล
ฯลฯ
เมื่อเดิมทีพี่น้องร่วมห้องหับ แล้วก็กลับได้เสียเป็นเมียผัว
นางน้องสาวคราวอ่อนวอนฝากตัว ฉันได้ชั่วดีด้วยช่วยเอ็นดู
ฯลฯ
            ฝ่ายองค์พระอภัยกับศรีสุวรรณ เกณฑ์กำปั่นออกไปติดตามองค์เสาวคนธ์ทุกทิศ แต่ยังไม่พบ


ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤาษี

            ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์แปลงองค์เป็นพราหมณ์ มีบริวารติดตามไปพันร้อยคน แล่นเรือไปได้เดือนเศษเข้าเขตเมืองวาหุโลม ทางขึ้นโรมวิสัย อันเป็นเมืองใหญ่ของพวกพราหมณ์

เห็นเกาะเพลิงเริงแรงแสงสว่าง ลุกอยู่กลางเกาะเองน่าเกรงขาม
ตีนสิงขรล่อนโล่งพลุ่มโพลงพลาม ยาวสักสามสิบเส้นล้วนเป็นไฟ
ฯลฯ
            เมื่อดูในแผนที่ก็รู้ว่าเกาะนี้ชื่อชุมเพลิงเชิงไศล มีเรื่องเล่าว่าที่เกาะใหญ่มีพระยานาคอยู่เป็นจำนวนมาก ได้พ่นพิษดังเพลิงเป็นควันฟุ้งฟ้าดิน ถูกเทวดาสารพัดสัตว์ตาย พระนารายณ์รู้เรื่องจึงได้เข้ามาแก้ไข
มาปิดปล่องช่องชวากที่นาคผุด ถอนพิษภุชงค์ร้ายให้หายสูย
เหลือเปลวปล่องตรงปล่องเหมือนกองกูณฑ์  เป็นไฟพูนสักเท่าเขาคิริน ฯ
  นางอ่านดูรู้โฉลกโลกเชษฐ์ ที่เขาเขตขวางแดงกระแสสินธุ
ว่าไหลมาแต่สวรรค์ชั้นพระอินทร์ ผู้ใดกินแก้บาปอาบก็ดี
ตายจะได้ไปกำเนิดเกิดสวรรค์ ลำน้ำนั้นมาแต่หน้าพาราณสี
พวกถือไสยในจังหวัดปัถพี เอาซากผีนั้นมาทิ้งทั้งหญิงชาย
ฯลฯ
            นางอ่านดูรู้เรื่องแล้วจึงแปลงองค์ทรงหนังเสือเป็นฤาษี เปลี่ยนชื่อเป็นพระอัคคี นำพวกข้าไทไพร่พลทั้งหญิงชายแปลงตนเป็นชีพราหมณ์ เปลี่ยนนามตามที่บวชทุกคน บอกว่าพวกตนเป็นชาวกบิลพัสดุ์ เที่ยวโปรดสัตว์ตามกิจของฤาษี แล้วเขียนสำเภาอักขระปลุกเสกเลขยันต์เอาเรือนั้นลอยลงในน้ำ ใครตามมาก็จะเห็นเป็นสำเภาของนาง เพื่อให้สุดสาครเที่ยวหลงทาง แล้วให้นำเรือเข้าอ่าววาหุโลม
เห็นปากน้ำทำป้อมคร่อมภูเขา จำเพาะเข้าออกเดินเนินไศล
แลพิลึกตึกกว้านสำราญใจ เข้าจอดใกล้เมืองด่านชานบุรี
ฯลฯ
            สังเกตเห็นผู้คนบนตลิ่ง ทั้งชายหญิงโพกผมนุ่งห่มด้วยผ้าสี พวกเจ้านายและเสนีแต่งเครื่องขาว พวกไพร่นายฝ่ายทหารใส่เสื้อดำ ส่วนพลเรือนแต่งกายสีหมอก
 
ล้วนเสื้อกลีบจีบนุ่งคาดพุงทับ ไม่สลับสีไหนก็ให้เหมือน
เห็นเรือจอดทอดท่าลงมาเยือน ดูเดินเกลื่อนตามตลิ่งทั้งหญิงชาย
ฯลฯ
            ฝ่ายนางด่านให้ล่ามเข้ามาถามว่าเรือที่มานี้จะมารบหรือมาค้าขาย ฝ่ายขอเฝ้าจึงแจ้งเป็นอุบายไปว่าพวกตนเป็นชาวเมืองกบิลพัสด์ รักษาศีลสัตย์เป็นฤาษีเที่ยวทำประโยชน์โปรดสัตว์ในแผ่นดิน ที่มานี้ก็เพื่อเที่ยวชมโรมวิสัย แล้วถามล่ามว่าเมืองนี้เป็นเมืองใดใครเป็นเจ้าเมือง ล่ามตอบว่าเขตเมืองโรมวิสัยนั้นไกลมาก เดินทางทีนี้ไปเวลาถึงปีเศษ ถึงเมืองวาหุโลมเป็นที่สิ้นเขตแดน
อันเมืองกลางทางไปทั้งใหญ่น้อย ก็นับร้อยพลโจษนับโกฏิแสน
นับถือผู้รู้ไตรเพททุกเขตแคว้น บูชาแทนเทวดาเป็นอาจารย์
ฯลฯ
            แล้วนับถือพระอาทิตย์ซึ่งมีคุณยิ่งนัก แล้วถามว่าฤาษีมีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดจึงมาเที่ยวโปรดสัตว์ ฝ่ายฤาษีพี่เลี้ยงจึงบอกกับล่ามว่าคนที่รู้ตามตำรา ไม่ควรสรรเสริญให้เกินการ เป็นเดรัจฉานวิชา พวกตนถือภูมิพุทธ รักษาศีล แก้วแหวนเงินทองนั้นเหมือนดิน มีแล้วก็สิ้นสูญไป อันกุศลเป็นผลให้เป็นสมบัติ ใครถือธรรมจำศีลอภิญญาณ จะถึงนิพพาน
แม้จะใคร่ได้สดับรับโอวาท ทำธรรมาสน์พุทธเพทเทศนา
จะให้ศีลภิญโญในโลกา ที่คิดสารพัดได้ดังใจปอง ฯ
            ฝ่ายล่ามได้ฟังดังนั้นก็อยากใคร่จะได้ฟังจึงมาปรึกษากัน จะลองดูให้เห็นจริง จึงจัดแจงแต่งธรรมาสน์ แล้วบอกพวกพ้องให้ไปฟังผู้วิเศษจะเทศน์ธรรม ศีลฤาษีผู้ใดได้รับแล้วดีกว่าทรัพย์สินทุกอย่าง บรรดาชาวเมืองต่างสำคัญว่าเป็นของที่ต้องการ
บ้างแบกกระบุงถุงได้ไปใส่ศีล มาพร้อมสิ้นซ้ายขวาแน่นหน้าฉาน
แล้วล่ามตรงลงเภตราว่าอาจารย์ นิมนต์ท่านเทศน์ธรรมเหมือนสัญญา ฯ
  ฝ่ายนงลักษณ์อัคคีฤาษีเอก อดิเรกรู้ธรรมคำสิกขา
คิดประโยชน์โปรดทมิฬดังจินดา จึงครองผ้าผูกคาดราดประคต
ฯลฯ
            ฝ่ายพวกทมิฬไม่นับถือพระฤาษี ต่างมองดูไม่เห็นมีของที่ต้องการ จึงถามกันว่าศีลที่ฤาษีเอามาว่าจะให้นั้นไม่เห็นมี องค์ฤาษีบอกอานิสงส์ศีลห้าว่าผู้ใดฟังทั้งหมดเมื่อตายแล้วบุญจะส่งไปสวรรค์ชั้นวิมาน ได้เสวยอาหารทิพย์ ถ้าอุตสาห์สร้างกุศลผลทานก็จะถึงนิพพานมีความสุขทุกวัน พอจบคำ พวกทมิฬ ก็หัวเราะเยาะเย้ยหยันว่าศีล มีขี้ปดหมดทั้งนั้น ลวงให้ตนเอากระบุงถุงย่ามมาใส่เป็นการล่อลวง แล้วพากันขับไล่
ขุนด่านไล่ไพร่พลที่บนป้อม ลงพรักพร้อมนายไพร่ไล่ฤาษี
ฝ่ายโฉมยงนงลักษณ์พระอัคคี เห็นเสียทีถอยมาริมสายชล ฯ
            พวกในสำเภาเห็นชาวด่านไล่รบมาก็ฉวยอาวุธวิ่งขึ้นบกมาช่วยรุกรบ
พวกฤาษีชีพราหมณ์คุกคามขู่ ใครรบสู้ขืนขัดจะตัดหัว
แม้ไม่สู้กูไม่ฆ่าดอกอย่ากลัว แล้วหามตัวนายด่านขึ้นศาลกลาง ฯ
            พวกเหลือตายนายมูลหมื่นขุนนาง บ้างก็หลบหนีบ้างก็เข้ามาหาเป็นข้าไท พอจวนเย็นเห็นแต่พวกแก่เฒ่ามาขอพบพระฤาษีอัคคี นางก็ออกไปต้อนรับ พวกเฒ่าแก่ทูลว่า เห็นทหารของท่านฆ่าตีชาวเมือง
จึงอุตสาห์มาห้ามตามขนบ ธรรมเนียมรบเมืองได้เหมือนใจหมาย
แม้ครองแคว้นแดนด้าวเป็นเจ้านาย คนทั้งหลายก็จะมาเป็นข้าไท
ฯลฯ
            พระฤาษีอัคคีจึงตอบว่า ที่มาหานี้นั้นดีนักให้ช่วยไปบอกว่า ผู้ใดไม่ต่อสู้ฆ่าฟันทำอันตรายแล้ว ก็ให้กลับมาทำมาหากินตามถิ่นฐานดังเดิม ส่วนพวกตนเมื่อพักผ่อนพอสบายแล้วก็จะลาไป
ประการหนึ่งซึ่งเราถือเป็นฤาษี ใครเห็นดีโดยจริงจงทิ้งไสย
มาถือพุทธสดุดีไม่มีภัย อาวุธไม่ต้องตนเป็นมลทิน
ฯลฯ
            พอเวลากลางคืนมีเด็กชายหญิงสองคน มาที่ศาลากลางบอกว่าพ่อของตนถูกฆ่า พวกตนจะขอตายตามแต่ขอพบศพบิดาก่อน พระอัคคีได้ฟังแล้วมีใจสงสารเห็นรูปร่างหน้าตาแปลกกว่าทมิฬทั้งหลาย จึงเรียกมาไต่ถามได้ความว่าเป็นบุตรของนายด่าน พี่สาวอายุสิบเอ็ด น้องชายอายุได้เจ็ดปี จึงคิดใคร่ได้เป็นลูก จึงกล่าวกับเด็กทั้งสองว่า
มาตามศพพบพ่อจะขอม้วย เราจะช่วยชุบชีวิตเหมือนคิดหมาย
ให้พ่อฟื้นคืนรอดไม่วอดวาย จะถือฝ่ายพุทธหรือจะดื้อดึง ฯ
            เด็กทั้งสองได้ฟังจึงตอบว่า ถ้าแม้พ่อของตนฟื้นขึ้นมาได้ แม้เลือดเนื้อของตนก็จะเถือให้ได้
จะนับถือฤาษีผู้วิเศษ จะฟังเทศน์ถือพุทธไม่มุสา
ถ้าชุบขึ้นคืนชีวิตให้บิดา จะเป็นข้าพระฤาษีทั้งพี่น้อง ฯ
            พระอัคคีดีใจที่จะได้ลูก จึงแก้ไขนายด่านที่ต้องศรสลบไปให้ฟื้นคืนมา นายด่านเห็นลูกทั้งสองมานั่งอยู่ด้วย ในพวกพ้องข้าศึกก็นึกสงสัย จึงเรียกลูกมาไต่ถามครั้นรู้แจ้งแล้วก็คิดคุณ หมอบคำนับพระฤาษีที่มีน้ำใจดี ช่วยชุบชีวิตให้ตน แล้วให้คำมั่นสัญญาว่า
จะทิ้งชาติศาสนาข้างวาหุ ขอสาธุถือศีลพระชินสีห์
อันพี่น้องสองราบุตรข้านี้ แม่ไม่มีอุปถัมภ์เหมือนกำพร้า
ถวายไว้ในพระองค์จงช่วยบวช ให้รู้สวดศักราชพระศาสนา
ทั้งข้านี้มิได้ขัดอัธยา พระสิทธาสั่งสอนจะผ่อนตาม ฯ
            พระอัคคีรับคำนายด่านแล้ว จึงไต่ถามถึงประเทศขอบเขตคัน
  นายด่านเล่าว่าเจ้าวาหุโลมราช กษัตริย์ชาติเชื้อยักษ์มักกะสัน
เลี้ยงนกไก่ไว้กินสิ้นทั้งนั้น สารพันสัตว์ที่มีปีกบิน
ฯลฯ
            แล้วเอาขนมาทำเป็นเครื่องประดับแต่งกาย มีเครื่องยกเหมือนนก เมื่อเอามาสวมองค์ก็บินได้ไกลร้อยเส้นเศษ ได้ปราบประเทศทั้งร้อยเอ็ด มีอาณาเขตจรดเขตประเทศพราหมณ์
ข้าอยู่ด่านชานสมุทเป็นสุดถิ่น คุมทมิฬหมื่นเศษเฝ้าเขตขัณฑ์
ขึ้นไปนี้มีเมืองเนื่องเนื่องกัน ยี่สิบวันถึงพาราวาหุโลม
            แล้วทูลว่า เจ้าเมืองมีบุตร รู้พระเวทชื่อ วาโหม บิดาใช้ให้ไปยอมอ่อนน้อมถึงเมืองโรมวิสัย จึงได้วิชามาอายุได้สิบสี่ปี ตัวอ้วนเป็นพ้อม จะได้เป็นเจ้าเมืององค์ต่อไป สำหรับทางไปเมืองโรมวิสัยนั้นไกลมาก
จะบอกกล่าวราวเรื่องไปเมืองหลวง ตามกระทรวงทูลเหตุแจ้งเขตขัณฑ์
ขอเบิกด่านท่านให้เสร็จทั้งเจ็ดชั้น ได้ผายผันไปตามความสบาย ฯ
            พระอัคคีได้ฟังแล้ว ก็ตอบขอบใจนายด่าน เมื่อเห็นว่าดึกแล้ว จึงพาบุตรทั้งสองพี่น้อง ไปสั่งเมื่อคิดถึงจึงไปที่เรือ
  ฝ่ายทหารด่านแตกเมื่อแรกพบ ที่หลีกหลบเหล่าชายพลัดพรายหนี
เที่ยวบอกเล่าเจ้าเมือง เอกโทตรี ว่าโจรตีด่านได้นายใหญ่ตาย
            บรรดาด่านต่างก็บอกข่าวไปยังเมืองหลวง จะยกทัพไปจับโจร พอพวกนายด่านถือหนังสือมา อ่านดูรู้ความเป็นที่ประจักษ์ใจ จึงรีบส่งม้าใช้ถือหนังสือไปเฝ้าเจ้าเมือง
            ฝ่ายท้าวเจ้าวาหุโลม เป็นกษัตริย์ชาติเชื้อยักษ์ มีชันษาได้ห้าสิบ มีโอรสชื่อ วาโหม ครั้นรุ่งเช้าเสนาได้ทูลความตามหนังสือสองฉบับ มีความไม่เหมือนกัน ฉบับแรกบอกว่าฤาษีเข้าตีด่าน ฉบับต่อมาบอกว่าฤาษีมีเวทมนต์ ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ มีคนนับถือไปทั่ว จะเดินทางไปเมืองโรมวิสัย
  พระทราบเรื่องเคืองขัดตรัสประภาษ มันสามารถมีหนังสือรับฤาษี
สรรเสริญเกินสังเกตอันเหตุนี้ เห็นท่วงทีถ่ายเททำเล่ห์กล
ฯลฯ
            แล้วสั่งให้เสนาในบอกเมืองตะวัน ด่านชั้นสามไปปราบปรามด่านมหาชลาไหล ฆ่านายด่านสองหน้าเสียให้สิ้นโคตร รวมทั้งฤาษีด้วยอย่าให้มีเหลือจะเป็นเชื้อต่อไป เสนาจึงมาสั่งเสมียนให้เขียนข้อรับสั่ง ให้ม้าใช้ถือไปส่งทุกเมืองแจ้งเรื่องความ
  ฝ่ายเสนาราหูคนผู้เฒ่า ซึ่งเป็นเจ้าเมืองตะวันด่านชั้นสาม
รู้เวทมนตร์ทนคงเคยสงคราม ครั้นทราบความตามรับสั่งไม่รั้งรา
ฯลฯ
            ให้เกณฑ์ทหารสิบสี่หมื่น ยกออกไปจากเมืองด่านไปตามลำดับ
            ฝ่ายองค์อัคคีพักอยู่ในด่าน คอยท่าผู้ถือหนังสือไปขอเบิกด่าน โดยมีบุตรนายด่านสองคนอยู่ปรนนิบัติ นางให้นามคนพี่ว่า ธิดา คนน้องว่า โอรส รอฟังข่าวเจ้าประเทศอยู่สองเดือนเศษ นายด่านก็ลนลานมาบอกว่า ม้าใช้ที่ถือหนังสือไปขอเบิกด่าน ถูกท่านว่าเป็นขบถ ให้ยกทัพลงมา
ว่าราหูผู้เฒ่าจะเอาโทษ ให้สิ้นโคตรคนที่ถือพระฤาษี
เป็นเคราะห์กรรมจำตายวายชีวี พระมุนีจะคิดอ่านประการใด ฯ
  ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์รู้กลศึก ฉลาดลึกแหลมปัญญาอัชฌาสัย
จึงเสแสร้งแกล้งตอบว่าขอบใจ ที่รักใคร่เจ้านายสู้วายปราณ
แต่ตัวดีมิได้ผิดเขาคิดโกรธ จะฆ่าโคตรพลอยถูกทั้งลูกหลาน
ไม่ไต่ถามความสัตย์ปฎิญาณ ผิดโบราณเรื่องราวท้าวพระยา
            แล้วบอกว่า ตนเป็นฤาษีไม่ฆ่าตีชีวิต จะต่อสู้ดูฝีมือให้ปรากฎ คิดรักษาครอบครัวอย่าไปกลัวมัน
ทำไมกับทัพทมิฬเหมือนริ้นล่อง มาเข้ากองไฟฟ้าจะอาสัญ
นายด่านนั่งฟังยุพลอยดุดัน จริงกระนั้นคุณว่าไม่น่าตาย
            แล้วว่าน่าน้อยใจที่หาว่าเป็นขบถ จึงขอสู้ตายร่วมกับเท้าของฤาษี แล้วลามาเที่ยวตรวจดูทหารเตรียมป้องกันระวังภัย
  ฝ่ายราหูแม่ทัพกับทหาร มาถึงด่านแดนมหาชลาไหล
ให้ตั้งค่ายรายเรียงเคียงกันไป ปักธงชัยเมืองตะวันเป็นสัญญา
ฯลฯ
            แล้วขี่กิเลนมาหน้าป้อมปืนร้องเรียกให้นายด่านออกไปพูดจากัน บอกว่าตนถือรับสั่งมาจะไกล่เกลี่ยให้ค่อยหายผิด และเร่งเปิดประตูรับทัพของตนเข้าเมือง จะพ้นโทษไม่ตาย นายด่านได้ออกไปเจรจาบอกว่า ถ้าราหูจะช่วยทูลเรื่องให้เจ้าเมือง หายขัดเคืองตนก็จะไปเฝ้า ราหูก็ตอบว่า ถ้าจะเข้าเฝ้าตนก็จะช่วยส่งไปให้ นายด่านพาซื่อบอกว่าราหูปรานีตนเหมือนพี่น้อง ตนของตรึกตรองดูก่อนสักเวลา แล้วไปถ้าดาบสส่งความให้ฟัง แล้วบอกว่าตนจะไปเฝ้าเจ้าเมืองหลวง ถึงตนจะถูกฆ่าก็ตายคนเดียว
อันลูกหลานว่านเครือในเชื้อสาย ขอถวายไว้ธุระพระฤาษี
ช่วยรักษาอย่าให้ตายวายชีวี วันพรุ่งนี้ข้าจะลาพระคลาไคล
            พระอัคคีเห็นอาเพศสมสังเกตก็ยินดียิ่งนัก จึงจับยามก็เห็นว่าไม่เป็นไร จึงว่าจะไปเฝ้าก็ไม่ห้าม แต่ให้มีแยบคาย คิดรายคนเข้าปลอมอยู่ในเมืองสักยี่สิบคน คอยสังเกตดูเหตุผล แล้วบอกให้นายด่านรู้การกล เมื่ออับจนจะได้แก้ไขกัน
นายด่านว่าสาธุสะพระคุณช่วย จะรอดด้วยกลเม็ดไม่เข็ดขาม
แล้วเรียกบ่าวเหล่าสนิทมาคิดความ ให้ปลอมตามไปอยู่ทุกบูรี ฯ
            ฝ่ายพระอัคคีเขียนบาลีให้กระเทยที่เคยใช้ปลอมไปด้วย เมื่อมีทุกข์ร้อนให้เอาอักษรมาดูเพื่อแก้ไข ทหารดีที่กำกับไปนางก็สอนให้รู้ทั่วทุกตัวคน แล้วจัดแจงแปลงกายตามนายด่าน กับพวกทหารร้อยเศษ พอรุ่งสายนายด่าน ก็นำไพร่พลตรงไปค่ายนายทัพ แล้วพูดกับราหูว่า ตนเป็นคนถือมั่นกตัญญู ไม่สู้รบจะไม่เฝ้าเจ้าชีวิต
ทูลให้ทราบบาปบุญที่คุณโทษ ท่านช่วยโปรดผ่อนปรนให้พ้นผิด
แม้ปลดปล่อยรอดตายไม่วายคิด พระคุณติดก็จะต้องสนองคุณ ฯ
  ฝ่ายราหูผู้เฒ่าคนเจ้าเล่ห์ สมคะเนหน่วงเหนี่ยวไม่เฉียวฉุน
จะยกไว้ไม่ฆ่าด้วยการุณ ช่วยทำคุณขังกรงบอกส่งไป
ฯลฯ
ยี่สิบวันบรรลุถึงเมืองหลวง ส่งกระทรวงกรมท่าเจ้าภาษี
กราบทูลท้าวเจ้าจังหวัดปถพี เหมือนคำที่นายด่านให้การมา
ฯลฯ
จอมกษัตริย์ตรัสว่าข้านอกเจ้า ชาติโฉดเขลาชาวทะเลเดรัจฉาน
ช่างเชื่อถือฤาษีพวกชีพาล มาให้การสรรเสริญจนเกินดี
ฯลฯ
นี่แกล้งบอกหลอกเจ้าข้าวนอกหม้อ กูไม่ขอคบฆ่าให้อาสัญ
ตระเวณไปให้รอบขอบเขตคัน อย่าให้มันดูเยี่ยงทั้งเวียงชัย
ให้ราหูผู้เป็นฝ่ายนายทหาร จับชาวด่านแดนมหาชลาไหล
ที่นับถือฤาษีมีเท่าไร ฆ่าเสียให้สิ้นเสร็จสำเร็จการ ฯ
  มนตรีรับอภิวาทมาบาตรหมาย ตำแหน่งนายเพชรฆาตอันอาจหาญ
ถือดาบแดงแซงสลอนนครบาล เอานายด่านปากน้ำมาจำจอง
ติดคาข้อมือใส่ขื่อเล็ก สายโซ่เหล็กล่ามรั้งไว้ทั้งสอง
พวกตรวจตรัดพัศดีเดินตีฆ้อง สอนให้ร้องโทษทัณฑ์ที่พันพัว
ฯลฯ
  ฝ่ายมาลามาลัยไพร่ชาวด่าน เห็นเกินการแก้ไขก็ใจหาย
ฉีกหนังสือฤาษีออกคลี่คลาย ได้แยบคายเข้าไปอยู่แทรกผู้คุม
ฯลฯ
            แล้วบอกอุบายนายด่านเป็นการลับ นายด่านจึงแกล้งร้องไห้ผู้คนที่มาดูให้รู้ว่า เดิมให้ตนมาเฝ้าแล้วกลับมาเอาโทษ ไม่มีโจทก์แล้วจะจับตนฆ่าเสีย แล้วกล่าวท้าทายเจ้าเมืองอีกด้วยประการต่าง ๆ
พวกผู้คุมรุมตีมิให้ว่า แกล้งเหวี่ยงคาตบปากแล้วลากขึง
แต่ชายหญิงวิ่งฮือเสียงอื้ออึง จนทราบถึงองค์ท้าวเจ้านคร ฯ
  เจ้าพาราวาหุโลมเหงื่อโซมหน้า มันหยาบช้าแค้นจิตดังพิษศร
แม้ฆ่าตายฝ่ายอำมาตย์ราษฎร จะขอค่อนว่ามันมาแล้วฆ่าฟัน
ฯลฯ
ดำริพลางทางหาเข้ามาขู่ มึงจะสู้ฝีมือกูหรือไฉน
ยังไม่ฆ่าถ้ากูจะปล่อยไป กลัวจะไม่ต่อตีจะหนีกู ฯ
  นายด่านเห็นเป็นต่อหัวร่อร่า ให้เหมือนว่าแต่สักหนจะบนหมู
อย่าพักเย้ยเลยถ้าปล่อยจงคอยดู แม้ไม่สู้ภูวนัยไม่ใช่ชาย
ฯลฯ
            ท้าวเจ้าเมืองราหุโลมจึงให้มีหนังสือไปบอกว่า นายด่านแดนมหาชลาไหลคิดการขบถ ผู้ใดจะเข้าด้วยนายด่านก็ไม่ห้ามปราม
แล้วเอาตรามาประทับคำรับสั่ง อย่ากักขังเข่นฆ่าให้อาสัญ
แล้วปลดเปลื้องเครื่องพิฆาตราชทัณฑ์ ธงสำคัญส่งให้รีบไคลคลา ฯ
  นายด่านรับจับธงเดินตรงออก แกล้งโบกบอกหญิงชายทั้งซ้ายขวา
เราจะไปให้ผู้รู้วิชา มาเข่นฆ่าโคตรท้าวเจ้าบุรี
ฯลฯ

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |