ตอนที่
๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
ฝ่ายองค์วัณฬาเสียสองหน่อนาถไปเหมือนในฝัน จึงปรับทุกข์กับนางรำภาผกา สุลาลีวัน
แล้วคิดถึงบาทหลวงจะไปหาเพื่อขอวิชาช่วย แล้วจึงพากันไปหาบาทหลวง บาทหลวงเห็นก็ร้องด่าทั้งสี่นางด้วยประการต่าง
ๆ และต่อว่าองค์วัณฬาว่า
ครั้นมาถึงมึงครองไอศูรย์ |
ผ่าประยูรเสียศักดิ์กูรักหลง |
เสียดายเหลือเชื่อกษัตริย์ขัตติยวงศ์ |
ไม่ดำรงรักศักดิ์รักแต่ตัว |
ฯลฯ
นางได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ฟัง แล้วหยิบธงกับดอกไม้ให้บาทหลวงดูด้วยอยากรู้ความ
บาทหลวงเห็นอักษรผิดกับของลังกาและสยาม เคยเรียนรู้มาว่าเป็นภาษาพราหมณ์
แล้วอ่านตามปริศนา พออ่านออกดอกไม้นั้นก็ร่วงยับลง จากนั้นจึงดูธงยันต์ที่ประจุเสกล้างเสน่ห์
ก็รู้ว่าทิศาปาโมกข์ผู้วิเศษเมืองการะเกด เสกมาให้จึงนึกใคร่จะลองฤทธิ์ไม่คิดกลัว
แล้วจึงให้ทั้งสี่นางทำสัตย์ปฎิญาณ
ค
ทั้งสี่นางรับคำแล้วทำสัตย์ |
ไม่ข้องขัดคิดคดให้อดสู |
มิสัตย์ซื่อถือมั่นกตัญญู |
พระเยซูจงสังหารผลาญชีวี
ฯ |
แล้วบาทหลวงก็จัดทำพิธีให้บรรดาผัวของสองนางกลับมา
จะต้องเชือดเลือดอกออกประสม |
กับน้ำนมฝิ่นเสกเมฆฉาย |
แม้ใครกินโลหิตไม่คิดกาย |
รักจนตายทั้งชาติไม่คลาดคลา |
ในตอนค่ำให้ยุพาผกากับสุลาลีวัน เอายาพาย่องตอดดอดออกไปเป่ามนต์สะกดทัพ ถ้าไม่หลับสองนางยิงเกาทัณฑ์ข้ามมันไป
พอมนต์ไสยเสื่อมหายให้พรายทับ แล้วให้เอายาทาลิ้นสินสมุทกับสุดสาคร
ทั้งที่นอนหลับ แล้วปลุกให้ตื่นกลืนน้ำนมอาคมลงไปก็จะรักกลับตามมา องค์ละเวงกับนางรำภาก็ทำอย่างสองนางเช่นกัน
ค
ฝ่ายทิศาปาโมกข์โลกเชษฐ์ |
เสกทรายเวทอาถรรพ์ให้กันผี |
โรยรอบค่ายควายธนูประตูมี |
ในราตรีตรวจตราเรียกหากัน |
ฯลฯ
ค
ฝ่ายสุวรรณมาลีปราณีบุตร |
กลัวสินสมุทจะไม่ชื่นคิดคืนหลัง |
เหมือนนกผู้คู่พรากมาจากรัง |
ใจจะยังปั่นป่วนถึงนวลนาง |
ฯลฯ
ฝ่ายยุพาผกาสองพี่น้อง เมื่อถึงยามสองต่างพากันขึ้นม้าออกไปนอกกำแพง ให้ย่องตอดแต่งตัวนำช่วยกำบัง
พอมาถึงที่ฝังอาถรรพ์เป็นควันโพลง เหมือนเพลิงลามไหม้ ย่องตอดกระโดดหลบหลีกไป
ม้าของสองนางต่างก็เต้นตะโพงฉุดรั้งไว้ไม่อยู่ พอออกห่างจากค่ายเพลิงก็ดับหมด
สองนางกับย่องตอดจึงกลับมายังพลับพลา แล้วยิงธนูข้ามหลังคาพราหมณ์ ภูมิเจ้าที่ก็หนีออกนอกพลับพลา
พอเสื่อมมนต์คนเล่นเห็นประหลาด |
เสียงหวีดหวาดเฝืองฝาหลังคาไหว |
ย่องตอดเข้าเป่ามนต์ดลฤทัย |
ทั้งนายไพร่สามทัพหลับระเนน |
ฯลฯ
สองพี่น้องขับม้าเข้าไปพร้อมย่องตอด เข้าประตูธนูควาย
มันขวิดย่องตอดจนกระดูกแหลกแต่กลับหาย
แล้วฟันฟาดพลาดมือกระบือสู้ |
สองนางรู้แยบคายว่าควายหมอ |
ง้างธนูคู่มือแล้วถือรอ |
หมายแต่พอตรงข้างสองนางยิง |
พอถูกควายหายเห็นเป็นเส้นตอก |
มนต์ต้องออกหนีธนูอีผู้หญิง |
พลทั้งหลายนายไพร่ไม่ไหวติง |
ระเนนนิ่งนอนหลับทุกทัพชัย |
แต่ปาโมกข์โลกเชษฐวิเศษขลัง |
ร่ายมนต์บังนิ่งระงับไม่หลับไหล |
แต่ความรู้ผู้หญิงแก้สิ่งไร |
ก็เสื่อมไปเป็นว่าแก้ได้แต่ตัว
ฯ |
สองนางเข้าไปหาสินสมุทกับสุดสาคร จนพบแล้วใส่ยาที่เตรียมมาทั้งสองหน่อกษัตริย์ก็กลับหลงใหลในตัวนาง
แล้วสองนางก็พาสองหน่อกษัตริย์กลับเข้าวังใน นางสุลาลีวันได้เขียนหนังสือทำลายมือให้เหมือนสุดสาคร
วางไว้ข้างเสาวคนธ์ มีความกล่าวค่อนว่าเสาวคนธ์ด้วยประการต่าง ๆ ก่อนจะพาสุดสาครไป
ครั้นรุ่งขึ้นฤทธิ์มนต์สร่างต่างพากันเที่ยวหาสินสมุทสุดสาคร นางเสาวคนธ์ได้อ่านลิขิตที่นางสุลาลีวันแปลง
เป็นสารของสุดสาครแล้วก็เสียใจ จนคิดจะฆ่าตัวตาย
เดี๋ยวนี้พี่เข้ารีตฝรั่งแล้ว |
จะคลาดแคล้วเสาวคนธ์อย่าหม่นหมอง |
จะรับเจ้าเข้ามาเลี้ยงเคียงประคอง |
ฝรั่งสองเมียห้ามบอกตามจริง |
ฯลฯ
หรือรักเราเจ้าไม่กลับจะรับเลี้ยง |
อย่าทุ่มเถียงทะเลาะเขาเป็นเจ้าของ |
จงวันทาลาลีเป็นที่รอง |
จะเลี้ยงสองไว้สักครั้งที่ลังกา
ฯ |
ค
พอจบคำนางรำพึงคะนึงคิด |
ความนี้ผิดทรงเดชพระเชษฐา |
ชะรอยอีลีวันมันมารยา |
มาแกล้งว่าจะให้ขาดญาติวงศ์ |
ฯลฯ
เป็นสาวแส้แร่วิ่งมาชิงผัว |
อันความชั่วดังเอามีดมากรีดหิน |
ถึงจะคิดปิดหน้าสิ้นฟ้าดิน |
ก็ไม่สิ้นสุดอายเป็นลายลือ |
มิขออยู่สู้ตายวายชีวิต |
นางชักกริชข้างองค์มาทรงถือ |
คิดจะแทงที่คอแล้วรอมือ |
อารมณ์รื้อรักน้องเป็นสองใจ |
ฯลฯ
ฝ่ายองค์สุวรรณมาลีเห็นสินสมุทกับสุดสาครหายไปก็เศร้าโศกเสียใจ ท้าวทศวงศ์จึงตรัสว่าจะไปอ้อนวอนท่านอาจารย์
ให้ช่วยแก้ไข
แล้วพากันไปหาท่านพราหมณ์ เล่าความที่เกิดขึ้นให้ทราบ ทิศาปาโมกข์ก็ทูลตอบว่าตนได้นั่งระวังภัยอยู่
แต่ไม่เป็นผล
ซึ่งป้องกันมันไม่อยู่เพราะผู้หญิง |
มันลอบยิงข้ามหลังคาคาถาสลาย |
จึงได้เป่ามนต์พลนิกาย |
ทั้งไพร่นายนอนหลับพากลับไป |
ฯลฯ
แม้มีใครไปถึงจึงจะเสก |
นกการเวกการวิกให้จิกผี |
โลหิตออกนอกกายจึงหายดี |
แต่ไม่มีใครจะไปถึงในวัง |
ฯลฯ
ฝ่ายฝรั่งลังกาพวกข้าเฝ้าเที่ยวป่าวร้องให้ชาวเมืองมารับแจกทรัพย์ที่หน้าพลับพลา
มีผู้คนมารอรับอยู่ล้นหลาม
ฝ่ายเสาวคนธ์คิดหาทางฆ่านางสุลาลี พอรู้ว่าเจ้านายฝ่ายฝรั่งจะออกนั่งยังพลับพลา
จึงปลอมตนแต่งเป็นชายชาวเมืองเข้าไปถึงพลับพลาหน้ากำแพง
ฝ่ายองค์ละเวงเมื่อถึงเวลาบ่ายชายคล้อยก็มาประทับที่พลับพลาพร้อมบุตรีสี่กษัตริย์
เอาทองในคลังออกมาโปรยปรายให้ชาวเมือง
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์เห็นนางสุลาลีนั่งอยู่เคียงสุดสาคร จึงขึ้นสายเกาทัณฑ์ยิงไปถูกแก้มนางฝรั่งจนแก้มทะลุ
สุดสาครเห็นคนยิงขี่ม้าหนีไป จึงออกไล่สกัดไปจนทัน พบว่าเป็นเสาวคนธ์ จึงต่อว่าแล้วกลับไปพยาบาลเมียรัก
เนื่องจากนางสุลาลีวันได้เคยกินดินถนันมา แผลที่แก้มจึงมีเนื้องอกออกมา ไม่ถึงวัน
แผลก็หายสนิท
ฝ่ายองค์ละเวงมีความพยาบาทพระมเหสี คิดจะแก้แค้นแทนนางสุลาลี
จึงลอบสั่งนางรำภาผกาช่วยกำกับกองทัพ ให้ยันตัง วิรุญกับกุนตันไปตั้งกันกองทัพที่จะกลับไป
แล้วเร่งลากปืนใหญ่ขึ้นใส่ป้อม |
ยิงค่ายอ้อมเสียให้ยับยกทัพไล่ |
สกัดสแกงแทงฟันให้บรรลัย |
แม้ถอยไปกองซุ่มเร่งรุมรบ |
ฯลฯ
พอตกเย็นย่ำค่ำคลุ้มชอุ่มอับ |
ต่างยกทัพแยกย้ายตามซ้ายขวา |
บ้างโอบหลังตั้งหลีกเป็นปีกกา |
สกัดหน้าปลีกทางที่กลางไพร
ฯ |
ค
ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกาเวลาดึก |
เห็นข้าศึกสามทัพจะหลับไหล |
พอฤกษ์ดีตีฆ้องฆาตกลองชัย |
ยิงปืนใหญ่เป็นสัญญาเข้าราวี |
ฯลฯ
ฝ่ายทัพลังกาเข้ารุกไล่ฝ่ายองค์สุวรรณมาลีซึ่งเสียทีทัพ พอรุ่งสาง ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกากับสองนางคุมพลเข้ารุกรบเข้าพังค่ายเป็นตลุมบอน
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์เห็นนางผกาออกรบ จึงบอกให้นางผกามารบกันตัวต่อตัว ทั้งสองนางได้ประคารมกัน
นางยุพาให้ไพร่พลเข้ารุมรบเสาวคนธ์ แต่สู้ไม่ได้ พอย่องตอดเข้ามาช่วย
นางฆ่าเท่าไรมันก็ไม่ตาย จึงต้องถอยกลับเข้าค่าย แล้วไปหาทิศาปาโมกข์ ขอให้หาทางช่วย
ค
ฝ่ายปาโมกข์โลกเชษฐ์แจ้งเหตุสิ้น |
เสกสายสิญจน์สามเกลียวลงเรียวหวาย |
ส่งให้นางพลางให้มนต์กลอุบาย |
อย่าให้ตายแต่พอหลาบให้ปราบปราม
ฯ |
นางกลับออกมารบกับย่องตอดอีกครั้ง นางเอาด้ายสายสิญจน์ไปสวมคอย่องตอด มันก็กลัวฟุบลงแล้วนางจึงตีซ้ำด้วยหวาย
มันก็ล้มลงดิ้น แล้วนางจึงเอามันไปผูกไว้ในค่าย แล้วออกมาขับไพร่ไล่ฆ่าพวกฝรั่งแตกหนีไป
ค
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์ขับพลไล่ |
เก็บของได้ดาษดื่นดาบปืนผา |
เที่ยวตามน้องสองทัพที่อัปรา |
ไม่รู้ว่าจะไปหนตำบลใด
ฯ |
ฝ่ายสามพราหมณ์ตามท้าวรมจักร ได้พบกับทัพรำภา ก็เข้ารบกัน ทั้งสองฝ่ายได้ประคารมกัน
ตัวเป็นแต่พระสนมรมจักร |
ควรจะรักอย่างเป็นข้านราสรรค์ |
บัดนี้ท้าวทศวงศ์พาพงศ์พันธุ์ |
มาพร้อมกันอัคเรศเกศสตรี |
จงไปเฝ้าเคารพอภิวาท |
จะพ้นราชอาชญารำภาสะหรี |
แม้มิฟังยังจะดื้อเฝ้าถือดี |
โทษจะมีไม่แคล้วแล้วนะนาง
ฯ |
นางรำภาย้อนว่าศรีสุวรรณเข้ารีตแล้ว ไม่นับญาติเผ่าพงศ์วงศา เป็นอุปราชอยู่เมืองลังกา
ฝ่ายสามพราหมณ์ควรจะภักดีต่อนางที่เป็นเจ้านาย
จะได้เกียรติเจียดกระบี่ได้มียศ |
ให้ปรากฏกตัญญูไม่รู้หาย |
อันข้าครอกนอกเจ้าบ่าวนอกนาย |
หลังจะลายเลอะล้นถึงต้นคอ |
ฯลฯ
สามพราหมณ์ได้ฟังก็โกรธแทนเจ้านายของพวกตน จึงตอบไปว่า
จะให้เกียรติเจียดกระบี่เป็นที่พึ่ง |
ไม่คิดถึงต่างชาติศาสนา |
มาจาบจ้วงล่วงพระราชอาญา |
โทษถึงผ่าปากเจ้านางชาววัง |
ฯลฯ
ฝ่ายสามพราหมณ์ตามจนพบจอมกษัตริย์แล้วก็พากันออกตามหาพระมเหสีกับหัสไชย
ฝ่ายองค์สุวรรณมาลีหนีทัพมาพร้อมกับหัสไชย หมายจะไปยังเขาเจ้าประจัญ
ฝ่ายฝรั่งลังกาก็ตั้งทัพสกัดทาง รวมทั้งกองทัพองค์วัณฬาก็ไล่ติดตามมาด้วย
หัสไชยดำเนินการต่อสู้ องค์สุวรรณมาลีตรัสว่า
ถึงแม้นี้มิรอดจะมอดม้วย |
พ่อจงช่วยชีวิตกนิษฐา |
แม่ยกให้เป็นน้องทั้งสองรา |
เจ้าเมตตาน้องหญิงอย่าทิ้งกัน
ฯ |
พอกองทัพฝ่ายลังกาเข้ามาใกล้ หัสไชยก็ออกไปรบ
ขึ้นทรงสิงห์วิ่งเข้ารับทัพฝรั่ง |
ต่างแตกพังล้มตายกระจายหมด |
ใครกีดกันฟันอาไม่ละลด |
แล้วนำรุกฝ่าฟันป้องกันไป
ฯ |
ฝ่ายวิรุญกุนตันเข้ามาต่อสู้ก็ถูกหัสไชยฆ่าตาย องค์ละเวงต้อนพลเข้ารุมล้อม
นางยุพารำพาเข้ามาช่วยรุมรบกันพัลวัน หัสไชยเห็นรถทรงของลูกสาวเจ้าลังกา จึงร้องว่าถากถาง
เป็นผู้หญิงชิงเอาผัวเขาไว้ |
แล้วยังไม่สาสมทำข่มเหง |
เขารู้เช่นเห็นชั่วไม่กลัวเกรง |
มารำเพลงอาวุธยุทธนา
ฯ |
ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงนึกเกรงฤทธิ์ |
ลูกนิดนิดมันแข็งแรงหนักหนา |
แต่ยังเด็กเล็กอ่อนหย่อนปัญญา |
จะพูดจาล่อลวงดูท่วงที |
ฯลฯ
แม้งอนง้อขอโทษไม่โกรธขึ้ง |
นั่นแหละจึงจะไม่ฆ่าให้อาสัญ |
แม้มิฟังตั้งบึ่งทำดึงดัน |
จะห้ำหั่นเสียให้แร้งมันแย่งกิน |
ฯลฯ
ด้วยมากมายหลายทัพจะจับเจ้า |
น้อยกว่าเรานี้จะสู้ได้อยู่หรือ |
จะตรองตรึกไปปรึกษาพูดหารือ |
แม้ดึงดื้อก็จะได้ไล่ตะลุย
ฯ |
หัสไชยไม่กลัวคำขู่กลับหัวเราะเยาะ แล้วตอบไป
ถึงโกฎิแสนแน่นมากเหมือนหยากเยื่อ |
เราเหมือนเชื้อเพลิงน้อยจะคอยพลาญ |
ไม่ย่อท้อง้องอนมารอนราญ |
อย่ามาพาลผิดที่พระพี่ยา |
ฯลฯ
องค์สุวรรณมาลีได้ยินเสียงโต้ตอบกันก็โกรธ จึงแต่งองค์ถือเกาทัณฑ์ออกมา แล้วร้องด่าว่ากล่าวองค์ละเวง
จะให้กูผู้ใหญ่นี้ไหว้กราบ |
ช่างหยาบหยามยิ่งกว่ากะลาสี |
ถึงขั้นไพร่ในจังหวัดปัถพี |
ก็ไม่มีผู้ใดไหว้เมียน้อย |
มึงอย่าพักยักยอกตะคอกขู่ |
ถึงม้วยสู้ไว้ยศไม่ถดถอย |
เห็นเอนเอียงเพลี่ยงพล้ำมาซ้ำพลอย |
อีกิ่งก้อยก็จะแปรเป็นแม่มือ |
แล้วนางก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกองค์วัณฬา แต่เนื่องจากมีเกราะป้องกันไว้จึงเพียงแต่เป็นรอยเชือดพอเลือดไหล
ครั้นยิงซ้ำนางรำพาก็คว้าลูกเกาทัณฑ์ไว้ได้ องค์ละเวงก็เร่งทัพเข้ารุมรบ
ฝ่ายสามพราหมณ์ตามมาพบก็ช่วยตีหนุนหลัง หัสไชยเห็นได้ทีก็ตีกระทบ พอเสาวคนธ์เข้ามาพบก็เข้าตีทัพฝรั่งเมืองลังกาแตกหนีอลหม่านเมื่อเวลาเย็น
องค์ละเวงขับม้าหลบหนีเข้าไปในป่า โดยมีนางรำพาอยู่คอยป้องกันให้
ค
ฝ่ายข้าเฝ้าชาวผลึกรมจักร |
กลับฮึกฮักโห่ลั่นด้วยหรรษา |
ทั้งสามทัพขับกันไล่ฟันมา |
พลลังกาแตกพลัดกระจัดกระจาย |
ตอนที่
๔๔ กษัตริย์สามัคคี
ฝ่ายฝรั่งสังฆราชเห็นไพร่พลเหลือตายแตกกลับมาถึงเมือง จึงรับพาลูกศิษย์ที่อยู่ด้วย
จะไปช่วยองค์วัณฬา ให้พวกพ้องป่าวร้องชาวเมืองว่าถ้าใครมีกตัญญูก็ให้ตามตนมา
ไปช่วยเจ้าคราวนี้เสียทีทัพ |
จะสูญลับศักราชศาสนา |
แม้เจ้าตายฝ่ายฝรั่งทั้งลังกา |
จะเป็นข้าครอกเขาชาวชมพู |
ฯลฯ
บรรดาชาวเมืองชายหญิงเห็นจริงด้วย ก็พากันคว้าอาวุธรวบรวมกันได้ห้าพันคน
ได้ห้าพันบรรดาซึ่งมาด้วย |
จะไปช่วยลูกสาวเจ้าสิงหล |
ให้ถือคบครบทั่วทุกตัวคน |
แล้วแบ่งพลกองละพันสำคัญคบ |
ฯลฯ
ค
ฝ่ายปีโปบาลีมีหนังสือ |
ให้หญิงถือมาถึงวังอยู่ข้างหน้า |
สั่งให้ทูลมูลกิจพระธิดา |
นางสุลาลีแจ้งจึงแข็งใจ |
ฯลฯ
นางสุลาลี อ่านได้ความว่า
ถ้ารบพุ่งพวกฝรั่งสิ้นทั้งหลาย |
จะล้มตายพ่ายแพ้คิดแก้ไข |
ให้พวกพ้องขององค์พระอภัย |
ช่วงชิงชัยจึงจะเสร็จสำเร็จการ |
ฯลฯ
แล้วนางก็ไปเฝ้าพระอภัยว่ากองทัพฝ่ายเมืองผลึกรุกเข้ามาเกือบถึงวังแล้ว พระชนนีพี่ผกา
ทั้งนางสะหรีก็หายสูญไปตั้งแต่ใกล้รุ่ง พระอภัยได้ฟังก็ตกใจเรียกศรีสุวรรณ
สินสมุท สุดสาคร มาแจ้งความตามที่นางสุลาลีเล่า นางสุลาลีก็ร้องไห้แกล้งอ้อนวอนพระอภัยให้เห็นแก่โอรส
พระอภัยได้ฟังก็โกรธแค้น
พระทรงฟังคั่งแค้นแทนวัณฬา |
จึงตรัสว่าพ่อจะไปชิงชัยเอง |
ใครฆ่าฟันวัณฬาจะฆ่าเสีย |
ถึงลูกเมียไม่เอาไว้ให้ข่มเหง |
ฯลฯ
แล้วให้จัดไพร่พลห้าหมื่นจุดคบเพลิงทุกคน ให้พระน้องกับสองโอรส แยกกันไปค้นหาองค์ละเวง
แบ่งเป็นกองทัพละหมื่นคน แสงคบเพลิงสว่างไปทั่วดังกลางวัน
ฝ่ายทัพสามพราหมณ์กับสามกษัตริย์ไล่ติดตามองค์วัณฬาไปจนพบกับกองทัพของบาทหลวง
ก็รบกันทัพบาทหลวงก็แตกถอยเข้าไปในป่าหนาม พอกองทัพศรีสุวรรณตามมาทันเพื่อเร่งหาองค์วัณฬา
เห็นพวกพ้องกองทัพกระสับกระส่าย |
ต่างเรียงรายรวมกันเข้าบรรจบ |
นางเสาวคนธ์คนน้อยก็ถอยรบ |
ฝรั่งหลบหลีกไปในไพรวัลย์ |
ฝ่ายสามพราหมณ์กับพี่น้องสองกษัตริย์รบกับฝรั่งลังกาจนใกล้รุ่ง ฆ่าฟันฝรั่งตายไปนับหมื่นพัน
ท้าวทศวงศ์เห็นว่าไพร่พลอ่อนกำลังลง และพวกฝรั่งชาวเมืองก็หนุนเนื่องมาเกรงจะสู้ไม่ได้
จึงให้ไปพลับพลาพักพลให้หายเหนื่อย และให้กินอาหารในค่ายใหญ่ที่ตั้งล้อมเมืองลังกาอยู่
ฝ่ายองค์ละเวงตามบาทหลวงกลับเข้าเมือง ได้ยินเสียงโห่ร้องคิดว่าข้าศึกมาแซงสกัด
จึงคิดลัดหนีสั่งให้ดับคบเพลิงแล้วขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนเขา แล้วจัดคนไปส่งข่าวนางสุลาลีวันในเมืองให้แบ่งไพร่พลบนเชิงเทินมาสมทบกองทัพ
พวกที่อยู่บนภูผาทั้งห้าพันก็เกณฑ์กันให้เก็บศิลาไว้เตรียมรบ
ฝ่ายพระอภัยคุมไพร่พลเที่ยวหาองค์วัณฬามาถึงป่าแดง ประหลาดใจที่เสียงปืนเงียบหายไปเมื่อยามศึก
จนจวนเวลาแจ้งแล้วก็ยังไม่พบพวกที่รบกัน จึงคิดจะเป่าปี่เรียกองค์ละเวง
ค
จะเป่าปี่ลองเรียกน้องรัก |
ให้ประจักษ์แจ้งความมาตามผัว |
ทั้งพวกเราชาวผลึกรู้สึกตัว |
จะเกรงกลัวลมปี่หลบหนีไป |
ฯลฯ
เมื่อได้ยินเสียงปี่องค์ละเวงจึงหารือกับอาจารย์สังฆราชว่าควรกลับไปหาหรือว่าหลบไปเสีย
พระบาทหลวงบอกให้กลับไปหา แล้วขอให้พระอภัยไปรบกับพี่น้อง
จะตั้งจิตคิดอ่านที่ราญรอน |
ไปวิงวอนว่าผัวให้มัวมนต์ |
จะฆ่าตีพี่น้องพวกพ้องเขา |
คงตามเราสารพัดไม่ขัดสน |
ฯลฯ
ค
ทั้งสี่นางต่างเข้าไปเฝ้าผัว |
ทำสั่นรัวกลัวแกล้งกันแสงศัลย์ |
นางวัณฬาว่าพระองค์ให้พงศ์พันธุ์ |
มาฆ่าฟันไพร่ฟ้าไม่ปราณี |
ฯลฯ
ค
พระฟังนางทางว่านิจจาเอ๋ย |
อย่าแคลงเลยพี่ไม่ทิ้งมิ่งสมร |
ซึ่งเผ่าพงศ์วงศ์วานมาราญรอน |
มีโทษกรณ์กฎหมายถึงวายวาง |
ฯลฯ
ฝ่ายองค์ละเวงเห็นพระอภัยเมามัวมนต์จึงทูลให้พระอภัยเป่าปี่
พระโปรดเกล้าเป่าปี่ขึ้นดีกว่า |
ให้โยธาทั้งหลายหญิงชายหลับ |
พอให้หลายปราบปรามทั้งสามทัพ |
เพียงแต่จับเอาไปส่งเสียคงคา
ฯ |
องค์ละเวงออกมาลอบสั่งชาวลังกาให้หาดินปืนและฟืนไฟ เมื่อเห็นกองทัพหลับสิ้นแล้วให้เอาดินออกไปจุดไฟคลอกทั้งกองทัพ
แล้วให้สามกองทัพไปตั้งอยู่ชายทุ่งริมกรุง แล้วไปทูลความแก่พระอภัยมณี พระอภัยจึงตรัสสั่งน้องกับโอรสรวมทั้งยุพา
สุลาลี และสะหรี ยกกำลังไปช่วยล้อมไว้
พวกฝรั่งลังกามัดหญ้าแฝก |
บ้างก็แบกดินปะสิวหิ้วเขนง |
จะไปเผาผัวไม่กลัวเกรง |
นางละเวงสมถวิลก็ยินดี |
ฯลฯ
ฝ่ายเก้าองค์พงศ์กษัตริย์ ให้พราหมณ์จัพลรบคอยป้องกันตนแล้ว พอได้รับแจ้งจากกองนอกว่าฝ่ายลังกายกพลออกมาเป็นอันมาก
ท้าวทศวงศ์เห็นว่า ผู้คนฝ่ายพระองค์มีน้อยควรจะถอยหนี แต่พระมเหสีกับองค์เกษราขอสู้ตาย
ท้าวทศวงศ์สงสารจึงตกลงใจอยู่รบไม่หลบหนี แต่เกรงปี่พระอภัย จะทำให้กองทัพหลับ
จึงไปปรึกษาปาโมกข์โลกเชษฐ ปาโมกข์จึงคิดหาทางช่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ
แต่จะช่วยด้วยวิชาสถาผล |
อย่าให้คนเข่นฆ่าให้อาสัญ |
ซึ่งเป่าปี่ขี้ผึ้งก้อนหนึ่งนั้น |
เอาปิดกรรณเสียเห็นไม่เป็นไร |
ฯลฯ
แล้วบอกว่าจะไปทำพิธีเชิญโยคีที่เกาะแก้วมาช่วย
แม้โยคีมิช่วยจะม้วยมอด |
เอาตัวรอดเถิดท้าวเหล่าทหาร |
ข้าจะอยู่ภูผาสมาทาน |
กระทำการแก้ไขช่วยไพร่พล |
แม้ข้าศึกมาอย่าเพ่อรบสงบอยู่ |
คอยเปิดหูดูสังเกตซึ่งเหตุผล |
พระองค์กับมเหสีนีฤมล |
เสาวคนธ์กับกษัตริย์หัสไชย |
ฯลฯ
ให้ออกท้ามทัพรับพระอภัย ถ้าคลุ้มคลั่งเข้าชิงชัยจึงปล่อยให้ปักษาเข้าราวี
แล้วเสกเข็มให้ใส่พกไว้จะกลายเป็นนกการวิกคอยจิกผี เสกสายกายสิทธิ์ให้ไพร่พลไว้จะได้คงกะพัน
และแคล้วคลาด จากนั้นก็พาเด็กขึ้นไปบนเขาตั้งพิธีถึงพระฤาษี
จึงจุดเทียนเขียนชื่อพระฤาษี |
ทำพิธีตั้งสัตย์อธิษฐาน |
เอาจิตวางทางกสิณอภิญญาณ |
ไปถึงท่านโยคีผู้ปรีชา
ฯ |
ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกา นางรำภาสะหรี นางผกา และสุลาลี ยกไพร่พลโยธาออกมาพร้อมสามี
พอมาถึงค่ายใหญ่ก็เข้าล้อมไว้
ฝ่ายท้าวทศวงศ์ พระมเหสีและพระธิดา และพระหลานขึ้นทรงรถ มีสามพรามหณ์คอยรายระวัง
ตรงออกไปยังทัพศรีสุวรรณ บอกฝรั่งว่าเจ้าเมืองรมจักรให้หาพระอนุชาลังกาพร้อมกับนางรัมภา
พวกฝรั่งล้อมรถไว้แต่ไม่กล้าทำอันตรายด้วยเกรงเห็นว่าเป็นพงศ์พันธุ์ เกรงตนจะได้รับโทษทัณฑ์
จึงบอกต่อไปให้ทูลศรีสุวรรณ ศรีสุวรรณพร้อมนางรำภา สะหรี ออกมาเห็นพระบุตรีพร้อมชนนี
ปิตุเรศ ก็รู้สึกองค์ลงจากม้าที่นั่ง แต่นางรำภาเข้าเป่าคาถาก็กลับคลั่งขึ้นหลังม้า
แล้วตวาดไล่ลูกเมีย องค์เกษราเสียใจบอกว่านางจะยอมเป็นข้านางรัมภา ฝ่ายองค์อรุณรัศมีกลับแค้น
ค
นางอรุณลมแค้นว่าแสนชาติ |
กูหาปรารถนาเป็นข้าไม่ |
ถึงบิดาฆ่าฟันให้บรรลัย |
กูก็ไม่คบหาสมาคม
ฯ |
นางรำภาตอบคำอรุณรัศมี หาว่านางเกี้ยวพระบิดา ท้าวทศวงศ์จึงตรัสห้ามหลานไว้ว่าอย่าไปพูดจากับทาสี
ศรีสุวรรณนั้นฟั่นเฟือนคิดได้แล้วก็กลับไหลหลงใหม่ พราหมณ์พี่เลี้ยงจึงเข้าพูดจาปลอบศรีสุวรรณ
ฝ่ายเสาวคนธ์ทรงสิงห์ออกจากค่าย เห็นสุดสาครอยู่เคียงกับนางสุลาลีวันก็ยิ่งคิดแค้น
จึงโต้ตอบคำกับสุดสาครด้วยประการต่าง ๆ แล้วเข้ารุกรบสุลาลีวัน สุดสาครก็คอยป้องกันให้นางไว้
ฝ่ายองค์สุวรรณมาลีกับลูกน้อย สร้อยสุวรรณจันทรสุดา พร้อมทั้งหัสไชยที่ขับรถให้ออกจากค่ายตรงไปยังรถของพระอภัย
ค
ฝ่ายละเวงเกรงผัวกลัวจะกลับ |
คอยกำกับเสกเป่าเป็นเก้าหน |
แล้วยคุมเชิงชิงจะจับเมื่ออับจน |
พระต้องมนต์นางวัณฬาลืมมาลี |
ฯลฯ
องค์สุวรรณมาลีและสองพระธิดา อ้อนวอนพระอภัยด้วยประการต่าง ๆ
คราวนี้ปะพระองค์ดำรงราชย์ |
ขอเชิญบาทปรเมศไปเขตขัณฑ์ |
บำรุงราษฎร์ศาสนาเป็นสามัญ |
เป็นฉัตรกั้นเกศาประชาชน |
ฯลฯ
องค์ลูกสาวเจ้าลังกาเห็นว่าพระอภัยจะไม่ฆ่าลูกเมีย จึงแกล้งพูดว่ากล่าวเสียดสีพระมเหสีด้วยประการต่าง
ๆ แล้วให้ไพร่พลเข้าล้อมไว้ องค์สุวรรณมาลีไม่กลัว ร้องท้าให้องค์ละเวงมาสู้กันตัวต่อตัว
นางจึงขอให้พระอภัยเป่าปี่ให้หลับแล้วจะจับเป็น
พระอภัยจับปี่ที่ใส่ไว้ในเสื้อ พระบุตรีเห็นจึงปล่อยนกออกไปสองตัว
นกกาสักปักษีเห็นผีสาง |
เข้าจิกนางการวิกเข้าจิกผัว |
จะตีรันมันเท่าไรมันไม่กลัว |
จะจับตัวก็ไม่อยู่มันสู้รบ |
พระอภัยไม่ทันได้เป่าปี่ เฝ้าแต่ปัดนกอยู่ ปี่พลัดตกลง องค์ละเวงก็ขับไพร่พลเข้ารุกรบ
แล้วทั้งสองฝ่ายก็เข้ารบกันเป็นหลายคู่ นายทัพฝ่ายเมืองผลึกปล่อยนกให้ช่วยจิกตีนายทัพฝ่ายเมืองลังกา
ฝ่ายบาทหลวงเป็นห่วงลูกสาวเจ้าสิงหล จึงขึ้นไปบนป้อมดูไพร่พลโยธีเข้าตีค่ายอยู่จนบ่ายเย็น
ค่ายก็ยังไม่แตก จึงให้กองนอกบอกพวกที่เข้าปล้นค่ายหลีกทางปืน
แล้วยิงปืนใหญ่ถูกค่ายทลายลงื แล้วยิงพลับพลาทลายลงอีกหลายหลัง ทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างไม่ลดละ
ค
พออากาศฟาดเปรี้ยงเสียงสนั่น |
เป็นหมอกควันมืดมิดทุกทิศา |
พวกรบสู้ดูเหมือนไม่มีตา |
ไม่รู้ว่าจะไปหนตำบลใด |
ประเดี๋ยวดังหงั่งเหง่งเสียงเครงครึก |
ลั่นพิลึกโลกาสุธาไหว |
เป็นฝนฟุ้งทุ่งท่าพนาลัย |
ทุกนายไพร่หนาวทั่วทุกตัวคน |
ฯลฯ
แต่บรรดาข้าศึกไม่นึกร้าย |
ทั้งสองฝ่ายเหลือทนปนกันได้ |
ด้วยเพลิงอุ่นรุนเบียดเสียดเข้าไป |
ทั้งนายไพร่ล้อมรอบขอบคีรี |
บรรดาเหล่าเผ่าพงศ์องค์กษัตริย์ |
มาเยียดยัดอยู่กับเหล่านางสาวศรี |
เพลิงสว่างต่างอุ่นเห็นมุนี |
พระโยคีนั่งอยู่ในกองไฟฮือ |
กับปาโมกข์โลกเชษฐ์สังเกตแน่ |
ดูรู้แท้พวกทัพต่างนับถือ |
ทิ้งหอกดาบกราบก้มประนมมือ |
ไม่อึงอื้ออุบอิบซุบซิบกัน |
ที่ต้องถูกหยูกยาถูกฟ้าฝน |
ก็สร่างมนต์เหมือนก่อนดังนอนฝัน |
ฝ่ายพวกพระอภัยมณีศรีสุวรรณ |
มาพร้อมกันกราบก้มประนมกร |
ฯลฯ
ฝ่ายพวกนางละเวงก็เกรงหมด บรรดาไพร่พลได้ฝนช่วยจึงไม่ตาย แล้วก็พากันแลดูพระมุนี
พระโยคีจึงเทศนาว่า
ถือรูปรสกลิ่นเสียงไม่เที่ยงแท้ |
ย่อมเฒ่าแก่เกิดโรคโศกสงสาร |
ความตายหนึ่งพึงให้เห็นเป็นประธาน |
หวังนิพพานพ้นทุกข์สนุกสบาย |
ซึ่งชาวเมืองเคืองเข็ญถึงเช่นนี้ |
เพราะโลกีย์ตัณหาพาฉิบหาย |
อันศีลห้าว่าอย่าทำให้จำตาย |
จะตกอบายภูมิขุมนรก |
ฯลฯ
อย่าโกรธขึ้งหึงสาพยาบาท |
นึกว่าชาติก่อนกรรมจะทำไฉน |
เหมือนดุมวงกงเกวียนวนเวียนไป |
อย่าโทษใครนี่เพราะกรรมจึงจำเป็น |
ประการหนึ่งซึ่งขาดพระศาสนา |
ทั้งโลกาเกิดทุกข์ถึงยุคเข็ญ |
ซึ่งจะกลับดับร้อนให้ผ่อนเย็น |
ก็ต้องเป็นไมตรีปรานีกัน |
ฯลฯ
อย่าโทษเขาเราก็ผิดให้คิดเห็น |
จึงจะเป็นสัตย์ธรรม์ในสัณฐาน |
จะปรองดองครองสัตย์ปฏิญาณ |
ถือศึลทานเถิดอย่าหมายทำลายกัน |
ฯลฯ
ค
ฝ่ายกษัตริย์ขัตติยาสิบห้ากษัตริย์ |
ต่างจบหัตถ์สาธุสะพระฤาษี |
โปรดปรึกษาว่าให้เห็นเป็นไมตรี |
ข้าเห็นดีพร้อมพรักจะรักกัน |
ฯลฯ
ค
พระโยคีปรีดาว่าสาธุ |
สืบอายุยืนยงอสงไขย |
แล้วเคลื่อนคลายหายวับไปฉับไว |
อโณทัยใสสว่างกระจ่างตา |
ฯลฯ
องค์ละเวงวัณฬาเชิญกษัตริย์ทุกองค์เข้าพักในนิเวศน์วัง แล้วขอให้ประทับอยู่ลังกาให้นานหน่อยแล้วค่อยไป
ฝ่ายพระอภัยได้ทรงสนทนาปราศรัยกับพระญาติพร้อมทั้งเสาวคนธ์และหัสไชย ฝ่ายสามนางต่างกราบไหว้ขอสมา
นาง
รัมภามาอภิวาทองค์เกษรา
นางยุพาสุลาลีวันมาอัญชลีพระบุตรีเสาวคนธ์ ทั้งสององค์ก็รับคำนับรับคำแล้วพูดจาปราศรัยเป็นไมตรี
ต่างสิ้นสิ่งหึงสากัน
ฝ่ายทิศาปาโมกข์เอาไม้เท้าที่ฤาษีฝากไว้มาส่งให้สุดสาคร แล้วบอกความตามหนังสือที่พระฤาษีเขียนไว้ที่แผ่นผาหน้าสิงขร
แล้วลากลับไป สุดสาครดีใจยิ่งนักที่ได้ไม้เท้ากลับคืนมา
จบพระคุณมุนีเหนือศิโรตม์ |
ด้วยมาโนชกตัญญูต่อครูเฒ่า |
เคยดับร้อนสอนสั่งแต่ยังเยาว์ |
ยังโปรดเกล้ากรุณาถึงครานี้
ฯ |
ฝ่ายสิบห้ากษัตริย์ใคร่แจ้งอรรถตามหนังสือพระฤาษี จึงพากันมาที่แผ่นผาหน้าคีรี
เห็นบาลีจารึกไว้เป็นอักษรว่า
ว่าทุกข์สุขชั่วดีเป็นสี่สิ่ง |
ให้ชายหญิงหยั่งคิดเป็นปริศนา |
กับข้อหนึ่งซึ่งเกิดกำเนิดมา |
มีหูตาปากจมูกสิ้นทุกคน |
ฯลฯ
เมื่อใครไม่เห็นหน้าหากระจก |
จะช่วยยกเงาส่องให้ผ่องศรี |
อนึ่งนั้นตัณหาตาไม่มี |
ไม่เห็นที่ทางสวรรค์เป็นสันดาน |
อนึ่งว่าตาบอดสองตาเห็น |
ให้คิดเป็นทางธรรมพระกรรมฐาน |
สืบกุศลผลผลาปรีชาชาญ |
ตามโบราณรักษาสัจจาใจ
ฯ |
แล้วกษัตริย์ทั้งหมดก็เข้าไปพักในวัง องค์ละเวงจัดแจงแต่งโต๊ะทองของเสวยสามเวลา
เลี้ยงบรรดาพงศ์กษัตริย์ทั้งหมด แล้วทูลพระอภัยกับองค์อัครชายาว่า ที่ท้ายวังมีภูเขาที่เกิดเพชรนิล
อันรุ้งแก้วแวววาวเขียวขาวเหลือง |
อร่ามเรืองรายงอกออกนอกหิน |
แล้วร่วงหล่นกล่นกลาดดาษแผ่นดิน |
ไม่รู้สิ้นสืบสำหรับกับลังกา |
ฯลฯ
ต้องก่อกำแพงล้อมรอบมีคนเฝ้ารักษา สำหรับให้เจ้าแผ่นดินลังกาเก็บจินดาไปขาย
เอาเงินมาให้ทาน แล้วเชิญทุกพระองค์ไปชมสถานที่ดังกล่าว
ตอนที่
๔๕ นางเสาวคนธ์ขูดโคตรเพชร
ฝ่ายพระอภัยคิดจะพาองค์วัณฬาไปอยู่ร่วมเมือง ก็เกรงองค์สุวรรณมาลีจะไม่ยอม
จึงตรัสว่า พรุ่งนี้จะไปชมสวนเพชรนิลจินดา แล้วจะพักอยู่สักสองสามเวลา จากนั้นจะเลิกทัพกลับไปเมืองรมจักร
เพื่ออภิเษกหลานรัก แล้วจะไปเมืองการะเวก คิดจะอภิเษกปลูกฝังทั้งลูกหลาน คิดจะให้องค์วัณฬาไปช่วยงานอภิเษกเอกโอรส
แต่ไม่มีคนอยู่เมืองลังกา หนทางก็ไกลเกรงจะเกิดกบฎ จึงขอให้นางอยู่ครองเมืองเลี้ยงโอรสในครรภ์
เมื่อพระองค์ว่างธุระแล้วจะมาหา องค์ละเวงทูลตอบว่า ได้ฤกษ์ดีเมื่อใดจะวิวาห์
นางจะขอตามไป และถ้าเมืองลังกาไม่มีภัย ก็จะตามไปเมืองผลึกกับพี่นางสุวรรณมาลี
ค
ฝ่ายสุวรรณมาลีปรานีสนอง |
สงสารน้องหาไหนจะได้เหมือน |
จะรักใคร่ให้สนิทไม่บิดเบือน |
ประสาเพื่อนผู้หญิงไม่ทิ้งกัน |
ฯลฯ
แล้วชวนองค์ละเวงไปเมืองด้วยกัน แต่องค์ละเวงทูลว่ารีตฝรั่งในลังกานั้น เมื่อสิ้นบุญแม่พ่อลูกเต้าจะเอาศพไปฝัง
แล้วคอยระวังอยู่รักษา ถ้าทิ้งไปคนจะพากันนินทาไปทั่วเมือง
ว่าทิ้งญาติศาสนาพวกฝรั่ง |
จะรุมชังรบพุ่งเอากรุงศรี |
นิคมคามพราหมณ์หมู่กระดุมพี |
ไม่มีที่พึ่งพาจะอาดูร |
ฯลฯ
จึงขออยู่ที่เมืองลังกาปีหนึ่ง เมื่อระลึกถึงแล้วจะได้ไปหา แล้วสองนางกษัตริย์ก็ลาพระสามีกลับไปห้องของนาง
พระอภัยมีเชิงฉลาดในเล่ห์เสน่หา ก็รู้ทำนองของทั้งสองนาง
อันถ่านเก่าเถ้าคงจะต่อติด |
แต่ให้คิดเขินขวยด้วยอดสู |
แล้วหวนฮึกนึกว่าเราก็เจ้าชู้ |
ถึงจะขู่คงปลอบให้ชอบใจ |
ฯลฯ
แล้วพระอภัยก็ไปห้ององค์สุวรรณมาลีตรัสกับนางว่า ได้จากกันไปสองปีตอนนี้ได้คิดที่ผิดพลั้งไป
นางได้ฟังก็ตรัสตอบว่า เชิญพระอภัยไปห้องนางละเวงอย่างเคย นางไม่หึงหวงแต่อย่างใด
พระอภัยก็ตรัสอ้อนวอน โดยท้าวความไปถึงเมื่อครั้งนางออกบวช
แต่จากน้องสองปีเข้านี่แล้ว |
ต้องคลาดแคล้วมิได้เห็นเหมือนเช่นเขา |
ครั้นมาหาว่าให้นอบก็ค่อนเอา |
จะให้เปล่าไปแล้วหรือทำดื้อดึง
ฯ |
องค์สุวรรณมาลีก็กล่าวกระทบกระเทียบเปรียบเปรย ตัดพ้อว่าด้วยประการต่าง ๆ
หรือพระมีที่รักไม่พักเรียก |
เคยสำเนียกนึกได้ทันใจหรือ |
น้องจนใจไม่สันทัดให้หัดปรือ |
ต้องดึงดื้อด้วยวิบากกระดากกระเด็น
ฯ |
พระอภัยได้ฟังจึงตรัสตอบง้องอนด้วยประการต่าง ๆ
น้อยหรือเจ้าเฝ้าแต่แกะแคะที่เจ็บ |
ทั้งเขี้ยวเล็บซ่อนไว้มิให้เห็น |
เจ้าแหละหรือซื่อราวกับลาวเป็น |
เคยรู้เช่นชาวผลึกที่ลึกซึ้ง |
ฯลฯ
องค์สุวรรณมาลีก็กล่าวแก้ย้อนคำพระอภัย ด้วยคารมคมคาย จนพระอภัยออกพระโอษฐ์ยอมแพ้
มาประเดี๋ยวเฉียวฉุนให้ขุ่นขืน |
เหมือนเงี่ยนฝิ่นใฝ่ฝันหุนหันหวน |
ว่าชักช้าทางกรรมทำกระบวน |
พระจะด่วนไปข้างไหนหรือใครคอย
ฯ |
ค
พระแกล้งว่าข้านี้แพ้แก้ไม่หยุด |
เจ้ามันสุดแสนงอนดังช้อนหอย |
กลับถามไต่ใครเล่าเฝ้าตะบอย |
ให้ข้าคอยข้างเดียวต้องเที่ยวเชือน |
ฯลฯ
เกือบจะเป็นเช่นเขาร่ำร้องจ้ำจี้ |
แม่ม่ายขี่คอนเรือมะเขือเปราะ |
อยากจะใคร่ได้ลูกมาปลูกเพาะ |
กลับกระเทาะหน้าแว่นเพราะแสนงอน |
ฯลฯ
ประคองนางวางแท่นแสนสวาท |
สัมผัสพาดเพิ่มจิตพิสมัย |
อัศจรรย์ลั่นเลื่อนสะเทื้อนไป |
ที่ถ่านไฟเก่าดับก็กลับโพลง |
ฯลฯ
ฝ่ายศรีสุวรรณก็เข้าไปหาองค์เกษราตรัสขออภัยที่ทำผิดไป นางได้ฟังก็มิได้ถือโทษ
เพราะเข้าใจดีว่าพระสวามีถูกเวทมนต์ จึงเสียทีหลงเสน่ห์
เดชะบุญทูลกระหม่อมอยู่พร้อมพรั่ง |
คิดความหลังแล้วก็ให้จิตใจหาย |
ไม่หึงหวงจ้วงจาบให้หยาบคาย |
ขอถวายความสัตย์ปฎิญาณ |
ฯลฯ
ตั้งแต่พี่มิได้พบประสบเจ้า |
ดูโศกเศร้าซูบลงน่าสงสาร |
เพราะเริดร้างห่างชมมานมนาน |
อย่าอยู่งานเลยขยับมาหลับนอน |
ฯลฯ
อัศจรรย์หวั่นไหวไม่เร่งรัด |
เป็นลมพัดเรื่อย
ๆ เฉื่อยเฉื่อยฉิว |
ช่อใบไม้ไหวกระดิกริกริกริ้ว |
ระทวยหิวหอบระเหยเลยหลับไป
ฯ |
ค
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลสมร |
อนาถนอนนิ่งตรับไม่หลับไหล |
ฟังปรึกษาว่าจะกลับกองทัพไป |
สองกรุงไกรเริ่มงานการวิวาห์ |
ฯลฯ
เห็นทีว่าสุดสาครจะไปขอตนต่อพระบิดา แต่แค้นสุดสาครที่ไม่รักหน้า มามีเมียเสียก่อน
จนมีลูกกับนางฝรั่ง นางนั้นก็จะหาว่าตนมาชิงผัว คิดไปแล้วก็หมองมัว
แม้มิพ้นจนใจจะให้อยู่ |
คงจะสู้ซอกซอนสัญจรหนี |
พรุ่งนี้เช้าเราจะลาไปธานี |
อยู่ที่นี่อีทมิฬจะนินทา |
ฯลฯ
ฝ่ายองค์อรุณรัศมีก็มีความขุ่นใจโกรธสินสมุทที่ไปมีเมียเสียก่อน
จะเสกสองครองคู่ดูเป็นน้อย |
ต้องต่ำต้อยเต็มอายสู้ตายเสีย |
คะนึงนอนร้อนใจดังไฟเลีย |
น้ำตาเรี่ยรดแขนแน่นอุรา |
องค์อรุณรัศมีได้ยินเสียงสะอื้นของเสาวคนธ์ จึงเข้าไปไต่ถามสาเหตุ เสาวคนธ์จึงเล่าความในใจให้ทราบ
เกิดเป็นหญิงสิ่งสำหรับอัปยศ |
ต้องถอยยศศักดิ์ศรีเพราะมีผัว |
พิเคราะห์ดูบุรุษก็สุดมัว |
น้องนี้กลัวจะเป็นน้อยถึงย่อยยับ |
จะตั้งสัตย์ตัดขาดในชาตินี้ |
ไม่ขอมีคู่ครองร่วมห้องหับ |
ขอพี่นางต่างพยานที่การลับ |
แม้กลายกลับก็มิใช่ใจสตรี
ฯ |
องค์อรุณรัศมีได้ฟังก็บอกว่าตนเองก็เป็นเช่นนั้นและจะไม่ขอมีคู่เช่นกัน
ต่างคาดคั้นสัญญาประสารุ่น |
ให้เฉียวฉุนขุ่นข้องไม่ตรองตรึก |
ต่างหยิบมีดกรีดหัตถาเหมือนจารึก |
ลืมรำลึกจะได้เห็นเหมือนเช่นตรา |
ฯลฯ
พอรุ่งเช้า เสาวคนธ์จึงลอบมาบอกนางพราหมณ์ว่าตนจะกลับไปเมืองการะเกด ให้ไปตามบรรดาสาวสรรค์กำนัลในมา
นางพราหมณ์เห็นผิดสังเกตจึงทูลว่า องค์วัณฬาจะพาไปชมดอกไม้แก้วเตร็จกับเพชรนิล
ให้องค์เสาวคนธ์เลือกเก็บเพชรคู่แผ่นดินอยู่ในมวกหิน
อย่าไปเก็บเพชรที่อยู่นอกหิน
อยู่กลางโขดโคตรเพชรเป็นเม็ดเอก |
สีเหมือนเมฆหมอกหมดสดสลัว |
แม้เขาให้ได้มาแล้วอย่ากลัว |
จะลือทั่วไทท้าวทุกด้าวแดน |
ฯลฯ
แล้วให้เอาเพชรเม็ดนั้นไปใส่ในภูเขาเมืองการะเกด ก็จะเกิดเพชรงอกออกมาเหมือนรังแตน
นางได้ฟังแล้วก็รับคำนางพราหมณ์เฒ่า บรรดาพนักงานก็เตรียมเครื่องอานไว้คอยท่าเจ้านายแต่เช้า
ฝ่ายองค์วัณฬา รุ่งขึ้นก็มาเฝ้าพระอภัย เชิญไปชมสวนพร้อมกันทั้งสิบห้ากษัตริย์
เมื่อพาขึ้นเนินเพชรแล้วก็เชิญให้ทุกองค์เลือกเก็บเอาไปได้ตามที่ต้องการ
เรืองจำรัสรัศมีสีต่าง
ๆ |
บ้างเขียวด่างสีกุหร่าดังตากกุ้ง |
บ้างเหลือบลายพรายแพรวแววนกยูง |
อร่ามรุ่งเรืองงามอยู่วามแวม |
ฯลฯ
แต่องค์เสาวคนธ์ไม่เก็บเพชรนิลจินดาใด ๆ เลย องค์ละเวงจึงถามถึงสาเหตุ
นางนบนอบตอบว่าถ้าแม้โปรด |
จะขอโคตรไข่เพชรก้อนเตร็จหิน |
นางวัณฬาว่าสิ่งไรในแผ่นดิน |
ฉันให้สิ้นสารพัดไม่ขัดใจ |
นางเสาวคนธ์ค้นเพชรพบเตร็จงอก |
ดูดังดอกบุษบงไม่สงสัย |
ค่อยสั่นคลอนถอนหลุดหลากสุดใจ |
แผ่นดินไหวเลื่อนลั่นเสียงครั่นครื้น |
ฯลฯ
ทุกคนพากันประหลาดใจ องค์ละเวงตรัสถามพระอภัยถึงเหตุนี้ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
พระอภัยไม่รู้จึงตรัสตอบว่าวันนี้ฤกษ์ดีมาก ได้มาชมเตร็จเพชรนิล แผ่นดินจึงไหว
เพราะจะได้ปรากฏเป็นยศศักดิ์ จากนั้นองค์ละเวงก็เชิญกษัตริย์ขึ้นสรงชลบนบัลลังก์
แล้วไขสายกลไกข้างใต้ดิน
น้ำทะลุพุพลุ่งขึ้นฟุ้งฟ้า |
ดูดังห่าฝนกระจายเป็นสายสินธุ์ |
ลงโซมองค์สรงชลสิ้นมลทิน |
ระรื่นกลิ่นลั่นฟุ้งจรุงใจ |
ฯลฯ
พอเวลาตีห้าโมง องค์วัณฬาก็พาพระอภัยและกษัตริย์ทั้งสิ้นมาหยุดพักที่ตึกโถงที่ห้องท้องพระโรงอยู่ใต้พุ่มพฤกษ์
ต้นไม้ร่มลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยพัด |
โต๊ะเขาจัดแต่งไว้ทั้งซ้ายขวา |
พอพร้อมกันลั่นระฆังสั่งสัญญา |
โต๊ะก็มาเกลื่อนกล่นด้วยกลไก |
ลูกล้อกลิ้งวิ่งเวียนเหมือนเกวียนขับ |
พร้อมสำรับหวานคาวขวดเหล้าใส่ |
เสียงกริ่งกร่างต่างเขม้นไม่เห็นใคร |
แต่โต๊ะใหญ่ไปถึงทั่วทุกตัวคน |
ฯลฯ
องค์หัสไชยชิมเหล้าจนเมา แล้วชวนสองน้องน้อยให้ลองเสวยสุราด้วยจนเมา แล้วต่อว่าหัสไชยแล้วเข้าหยิกตีข่วน
หน่อกษัตริย์ปัดป้องและได้กลิ่นอายแอบอิงสองนาง จึงชิงปล้ำถอดธำมรงค์ใส่นิ้วสองนาง
เพชรรังแตนแหวนมณฑปนพรัตน์ |
มาใส่หัตถ์ชื่นชมสมประสงค์ |
แกล้งเลียนล้อขอน้องทั้งสององค์ |
นางโฉมยงยกให้มิได้แคลง
ฯ |
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์เห็นพระญาติวงศ์พงศาอยู่พร้อมหน้ากันแล้วจึงทูลขอลากลับเมือง
พระอภัยมณีและพระมเหสีก็มีความรัก และอาลัยที่นางจะต้องลาจากไป หัสไชยจำต้องกลับไปกับพระพี่นาง
ก็มีความอาลัยในสองพระธิดาสร้อยสุวรรณจันทร์สุดายิ่งนัก
ฝ่ายสุดสาครเห็นเสาวคนธ์ทูลลาไปก็ตกใจ เห็นว่านางคงเคืองเรื่องของตน จึงขอทูลลากลับเมืองการะเกดพร้อมกับสองน้องรัก
ทำให้พระอภัยมณีและพระมเหสีอาลัยทั้งสามองค์ยิ่งนัก
ค
ฝ่ายสุลาลีวันมีครรภ์อ่อน |
สุดสาครเขาจะไปก็ใจหาย |
เห็นง่วงเหง่าเศร้าหมองคอยน้องชาย |
ทำเดินกรายเข้าไปใกล้ก็ไม่ทัก |
ฯลฯ
นางได้เข้ามากราบสุดสาครแล้วคร่ำครวญด้วยความอาลัยรัก
ไม่มีครรภ์ฉันหมายจะวายวอด |
ไม่ขอรอดอยู่เป็นคนให้หม่นหมอง |
นี่เวทนาอาลัยลูกในท้อง |
จึงจะต้องอยู่เป็นคนทนทรมาน |
ฯลฯ
ค
สุดสาครร้อนใจอาลัยรัก |
แต่เกรงนักด้วยพระน้องทั้งสองศรี |
สู้กลืนกลั้นชลนาแล้วพาที |
จงอยู่ดีเถิดข้าจะลาแล้ว |
ฯลฯ
แล้วถอดแหวนแทนองค์ออกส่งให้ |
จงใสไว้แหวนยันต์ได้กันผี |
แม้คลอดลูกผูกหัตถ์สวัสดี |
กลับไปที่เถิดเจ้าอย่าเศร้าใจ
ฯ |
ค
ฝ่ายสุลาลีวันกลับสะอื้น |
น้ำตาขืนก็กลับตกซกซกไหล |
เฝ้าอวยพรวอนวิงทุกสิ่งไป |
ประเดี๋ยวใจพระจะกลับไปลับองค์ |
ขอนั่งอยู่ดูให้เต็มนัยน์เนตร |
พระปิ่นเกศกษัตริย์ชาติราชหงส์ |
ถึงหมื่นปีมิได้พบประสบองค์ |
ธำมรงค์ลูกรักต่างพักตรา
ฯ |
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์เตรียมพลไว้พร้อมแล้ว เห็นพระเชษฐาสุดสาครยังสั่งเสียกันกับนางสุลาลีวัน
ก็ให้ยกพลออกเดินทางในกลางคืน สุดสาครรู้ว่านางออกเดินทาง ก็ตกใจเรียกหัสไชยออกจากวัง
เดินทางตามไปทันรถของเสาวคนธ์ แล้วถามนางว่าขัดเคืองตนด้วยเรื่องอันใด เสาวคนธ์ตอบว่า
ตนไม่มีห่วงอะไรจึงยกออกมาตามสบาย ไม่เหมือนพระพี่สุดสาคร ที่มีห่วงตัดรักหักสวาทได้ไม่ขาดหาย
ค
สุดสาครถอนใจไฉนหนอ |
มาเสียดส่อร้อนใจดังไฟเผา |
ปลอบประโลมโฉมยงว่านงเยาว์ |
เนื้อความเก่าเหมือนดังกายพี่วายชนม์ |
ฯลฯ
บอกว่าที่ช้านั้นเพราะสองน้องนุชยุดตัวหัสไชยไว้ สั่งความตามที่จะต้องจากมา
ส่วนนางสุลาลีวันนั้นมาขอขมา ตอนนี้ตนจะได้ช่วยป้องกันนางและกองทัพให้ เสาวคนธ์ตอบว่า
นางมีครูเฒ่าช่วยป้องกันให้แล้ว สุดสาครได้ฟังคำนางก็เศร้าเสียใจยิ่งนัก
สงสารน้องหมองเศร้าเพราะเราผิด |
สุดจะคิดคืนดีเจ้าพี่เอ๋ย |
คะนึงนึกตรึกความถึงทรามเชย |
จนหลับเลยอยู่บนหลังม้ามังกร
ฯ |
ฝ่ายหน่อกษัตริย์หัสไชย คิดถึงสองพระธิดาเมื่อจากมาก็ให้อาลัยอาวรณ์
จะเรียนร่ำทำอะไรไม่ลำบาก |
มันยอดยากอย่างเดียวเกี้ยวผู้หญิง |
ถึงยามดึกนึกนอนแนบหมอนอิง |
เรไรหริ่งเรื่อยริมหิมวา |
ฯลฯ
ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกา สงสัยที่เกิดอาเพศแผ่นดินไหว จึงตรัสใช้นางรำภาให้ไปถามพระสังฆราชว่า
เป็นเรื่องดีร้ายประการใด พระสังฆราชจับยามดูแล้ว บอกว่าผู้หญิงจะหนีไปเอาหัวใจเมืองออกไปด้วย
ไปบอกเล่าเจ้ามึงหมายพึ่งผัว |
ไม่รอดตัวเช่นบำรุงซึ่งกรุงศรี |
เร่งรำลึกตรึกตรองคืนของดี |
มาไว้ที่ลังกาให้ถาวร
ฯ |
นางรำภานำความมาทูลองค์วัณฬาตามคำของสังฆราช นางได้ฟังแล้วก็เป็นทุกข์ เห็นว่าเป็นเคราะห์กรรมให้เผอิญเป็นไป
จึงไม่บอกกล่าวแก่ผู้ใด เอาดินถนันไปถวายองค์สุวรรณมาลี และแบ่งให้สองพระธิดาด้วย
เล่าความเป็นมาของดินถนันให้ทราบ พระมเหสีดีพระทัยยิ่งนัก
ความรักพี่ดีจริงทุกสิ่งสิ้น |
สมเป็นปิ่นปถพีที่มีศักดิ์ |
ทั้งชาตินี้พี่กับน้องจะครองรัก |
สามิภักดิ์พึ่งพาพระบารมี |
ฯลฯ