| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |


ขุนช้างขอนางพิม
ขุนช้างมีความรัญจวนใจถึงนางพิมมาก จนนั่งนอนไม่เป็นสุข ไม่ยอมกินข้าวกินปลา จนนางเทพทองสงสัย ขุนช้างบอกว่า ตั้งแต่เมียตายไป ก็ให้เป็นทุกข์ตลอดมา ซ้ำเงินทองที่มีอยู่มากมายก็ไม่มีใครจะช่วยดูแล เห็นอยู่แต่นางพิมพิลาไลย ขอให้นางเทพทองไปสู่ขอมาให้ นางเทพทองจึงว่า นางพิมนั้นเป็นหญิงรูปงามเกินกว่าใครในสุพรรณบุรี คงจะไม่มารักขุนช้างที่รูปชั่ว แล้วให้ขุนช้างไปหาเมียที่กรุงศรีอยุธยาแทน ขุนช้างเห็นว่าแม่ไม่ยอมไปขอให้ จึงแต่งตัวไปหานางพิมที่บ้าน พบนางพิมอาบน้ำอยู่ที่ท่าน้ำ ก็อ่านเพลงยาวลวนลามนางพิม แล้วก็ขึ้นมาหานางศรีประจันบนบ้าน เล่าเรื่องที่เมียตาย แล้วทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มากมายก็ไม่มีคนดูแล อยากจะให้นางพิมไปช่วยดูแลให้ เมื่อฟังถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทอง นางศรีประจันเกิดความโลภขึ้นมา อยากจะยกนางพิมให้ ขุนช้างได้ฟังก็ดีใจแล้วบอกว่า นางพิมนั้นไม่ใช่คนอื่นไกล เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมา รักกันเหมือนพี่น้อง หลังปลงศพบิดาก็จะให้แม่มาขอ แต่กลัวนางศรีประจันจะโกรธ แต่เมื่อนางศรีประจันตกลงก็จะให้ผู้ใหญ่ พร้อมทั้งวัว ควาย ไร่ นา มาสู่ขอ
ฝ่ายนางพิมรู้ว่าขุนช้างมาขอตนกับนางศรีประจัน และนางศรีประจันก็มีท่าทีจะยกให้ เพราะเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองของขุนช้าง ก็กลุ้มใจมาก ทั้งเณรแก้วก็หายหน้าไปหลายวัน จึงปรึกษากับนางสายทอง นางสายทองรับปากว่าจะช่วย
รุ่งเช้านางสายทองก็แกล้งไปบอกนางศรีประจันว่า เมื่อคืนนางพิมฝันว่าไฟไหม้ ไม่รู้ว่าดีร้ายอย่างไร จึงจะไปถามท่านสมภารวัดป่าเลไลย
นางศรีประจันก็ให้นางสายทองไปถามสมภารดู นางสายทองก็จัดอาหารคาวหวานไปถวายพระที่วัด ระหว่างฉันอาหาร นางสายทองก็แอบไปหา เณรแก้วในห้องแล้วบอกว่า นางพิมคิดถึงมาก แล้วเมื่อวานขุนช้างไปทำหยาบช้ากับนางพิมที่ท่าน้ำ และได้ไปสู่ขอนางพิมอีกด้วย เณรแก้วบอกว่าตนก็คิดถึงนางพิมอยู่ทุกวัน แต่ติดขัดอยู่ที่จะต้องร่ำเรียนวิชากับท่านสมภารตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น ขอให้นางสายทองไปช่วยปลอบใจนางพิมให้ด้วย เมื่อตนว่างก็จะรีบไปหา แล้วเณรแก้วก็เป่าคาถามหาละลวยไปที่นางสายทอง และเสกหมากให้กินอีกด้วย เมื่อนางสายทองกินหมากเสกแล้ว ก็ให้รัญจวนใจมาก เณรแก้วเห็นดังนั้นก็เข้าเล้าโลม ขณะนั้นมีเถรรูปหนึ่งเดินผ่านห้องเณรแก้ว ได้ยินเสียงผู้หญิง เมื่อเห็นผู้หญิงอยู่ในห้องเณรแก้ว ก็รีบไปบอกสมภาร สมภารโกรธมาก รีบมาที่ห้องเณรแก้ว แต่ไม่พบ เพราะทั้งเณรแก้วและนางสายทองหลบหนีไปเสียก่อน
นางสายทองเมื่อหนีมาถึงบ้านแล้ว นางศรีประจันก็ถามว่าฝันของนางพิมนั้นดีร้ายประการใด นางสายทองบอกว่าเป็นฝันร้ายจะต้องระวังตัวไว้ภายในสามเวลา หากพ้นไปแล้วก็จะดี แล้วก็เข้าไปบอกนางพิมว่าไปพบกับเณรแก้วแล้ว เณรแก้วให้สัญญาว่า จะสึกมาหาโดยเร็ว
 
ฝ่ายเณรแก้วนั้น เมื่อหนีสมภารไปก็คิดว่าตนอยู่ที่ วัดป่าเลไลยมานานก็ยังไม่เชี่ยวชาญในวิชาใดเลย แล้วนางทองประศรีเคยบอกว่าเพื่อนพ่อเป็น สมภารวัดแคที่สุพรรณบุรี ชื่อ คง มีวิชาดี จึงเดินทางไปหา เมื่อสมภารคงรู้ว่าเป็นลูกขุนไกร ก็รับไว้เป็นศิษย์ ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ หลายอย่าง
 
สะกดทัพจับพลทั้งปลุกผี   ผูกพยนต์ฤทธีกำแหงหาญ
ปัถมังกำบังตนทนทาน สะเดาะดาลโซ่กุญแจประจักษ์ใจ
ทั้งพิชัยสงครามทั้งความรู้ อาจจะปราบศัตรูสู้ไม่ได้
ฤกษ์ผานาทีทุกสิ่งไป ทั้งเสกใบมะขามเป็นต่อแตน
ชำนาญทั้งกลศึกลึกลับ คุมพลแม่ทัพนับตั้งแสน
สู้ศึกได้สิ้นทั้งดินแดน มหาละลวยสุดแสนเสน่ห์ดี
จังงังขลังคะนองล่องหน ฤทธิรณแรงราวกับราชสีห์
ถอนอาถรรพ์กันประกอบประกับมี เลี้ยงผีพรายกระซิบทุกสิ่งไป..."
ฝ่ายขุนช้าง เมื่อกลับจากบ้านนางศรีประจันคราวก่อนก็ให้รัญจวนถึงแต่นางพิม จนทนอยู่ไม่ได้ ก็ได้มาหานางศรีประจันอีกครั้ง เพื่อขอนางพิมอีก นางศรีประจันก็เรียกนางพิมมาไหว้ขุนช้าง นางพิมก็ด่ากระทบขุนช้าง เมื่อขุนช้างกลับไปแล้ว นางศรีประจันก็ตีนางพิมด้วยความโกรธ

พลายแก้วได้สายทอง

นางพิมกับนางสายทองไปหาเณรแก้วที่วัดป่าเลไลย พอมาถึงก็รู้ว่าเณรแก้วหนีไปอยู่ที่วัดแคแล้ว ก็เดินทางไปหาเณรแก้วที่วัดแค นางพิมก็เล่าให้ฟังแล้วรีบลากลับ เพราะนางศรีประจันรู้ เณรแก้วจึงบอกว่าคืนนี้จะสึกไปหา ครั้นถึงเวลาเย็น เณรแก้วให้คิดถึงและเป็นห่วงนางพิม ก็ไปลาอาจารย์สึก สมภารก็คัดค้าน แต่เณรแก้วไม่ยอม จึงดูฤกษ์ยามให้ว่า เณรแก้วจะมีชะตาดีได้เป็นทหาร แล้วจะได้อยู่กินกันแต่จะไม่นานนักก็จะไปมีผัวใหม่ และเมื่ออายุ ยี่สิบห้าเบญจเพส จะมีเคราะห์ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวน พออายุสี่สิบถึงจะได้ดี เมื่อสึกแล้วก็ได้ไปปลุกผีที่ป่าช้า แล้วใช้ให้พาตนไปที่บ้านนางศรีประจัน โดยพลายแก้วนั่งบนบ่าผีไป แล้วให้ผีพรายนั้นคอยอยู่ในสวน แล้วพลายแก้วก็ขึ้นไปหานางพิมอยู่จนนางพิมหลับ ก็ให้ป่วนปั่นคิดถึงนางสายทอง
 
จึงได้สะเดาะกลอนเข้าไปหานางสายทอง และได้นางสายทองเป็นเมีย นางพิมตื่นขึ้นมาไม่เห็นพลายแก้ว ก็ลุกขึ้นตามหา แล้วจะมาถามนางสายทอง เมื่อมาถึงห้องนางสายทอง ได้ยินเสียงคนพูดกัน รู้ว่าพลายแก้วอยู่กับนางสายทองก็เปิดประตูเข้าไป แล้วเกิดต่อว่ากัน จนนางศรีประจันตื่น นางพิมจึงหนีเข้าห้องไป พลายแก้วก็ตามเข้าไปปลอบประโลมจนนางพิมหายโกรธ พอรุ่งเช้าก็บอกนางพิมว่าจะไปบอกนางทองประศรีที่กาญจนบุรี ให้มาสู่ขอภายในเจ็ดวัน นางพิมก็ให้เงินห้าชั่งแก่พลายแก้วเพื่อใช้เดินทาง

พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม
 
เมื่อจากนางพิมมาแล้ว ก็ให้ผีพรายพาไปหานางทองประศรีที่เมืองกาญจนบุรี เมื่อไปถึงก็เข้ากราบมารดาแล้วบอกให้ไปขอนางพิม นางทองประศรีขอให้บวชก่อนสักสองพรรษา สึกมาแล้วจะไปขอให้ แต่อย่าไปเอานางพิมเลย เพราะผู้หญิงที่งามกว่านางพิมก็มีมาก หรือหากจะต้องการผู้หญิงชาววังก็จะไปขอให้

ฝ่ายพลายแก้ว ก็บอกนางทองประศรีว่า ตนไม่ต้องการใครอีกนอกจากนางพิม หากไม่ตามใจคงจะต้องตาย นางทองประศรีจึงบอกว่าจะไปขอให้ อย่างไรเสียนางศรีประจันก็คงจะยกให้ เพราะเคยเป็นเพื่อนกันมา
"...ถึงยากจนอย่างไรก็ไม่ว่า   แต่พร้าขัดหลังมาจะยกให้...
อุตส่าห์ทำมาหากินไป รู้ทำรู้ได้ด้วยง่ายดาย...
...ไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเมากัญชา ฝิ่นยามันสูบบ้างฤาไม่..."
แล้วนางทองประศรีก็ให้ตระเตรียมข้าวของเพื่อจะมาขอนางพิม
รุ่งขึ้น นางทองประศรีก็เดินทางมาขอนางพิม นางศรีประจันก็ยอมยกให้ แล้วบอกว่าขอเงินสิบห้าชั่ง ขันหมาก ผ้าไหว้หนึ่งสำรับ แล้วเรือนหอห้าห้องฝากระดาน โดยจะกำหนดงานขึ้นในเดือนสิบสองวันเสาร์ขึ้นเก้าค่ำ เมื่อตกลงกันได้แล้ว นางทองประศรีก็กลับไปบอกพลายแก้ว
ฝ่ายนางศรีประจันก็ให้บ่าวไพร่จัดอาหารคาวหวาน หมากพลู ไปหาสมภารวัดแค เพื่อไปนิมนต์พระสิบองค์มาสวดมนต์ในงานแต่งงานของนางพิมและพลายแก้ว
เมื่อถึงวันก่อนแต่งงาน พลายแก้วก็พาเพื่อนไปปลูกเรือนที่บ้านนางศรีประจัน
" ให้ขุดหลุมระดับชักปักเสาหมอ   เอาเครื่องเรือนมารอไว้ที่นั่น
ตีสิบเอ็ดใกล้รุ่งฤกษ์สำคัญ ก็ทำขวัญเสาเสร็จเจ็ดนาที
แล้วให้ลั่นฆ้องหึ่งให้กระหน่ำ ยกเสาใส่ซ้ำประจำที่
สับขื่อพรึงติดสนิทดี ตะปูตกยกเสาดั้งขึ้นตั้งไว้
ใส่เต้าจึงเข้าแปลานพลัน เอาจันทันเข้าไปรับกับอกไก่
พาดกลอนผ่อนมุงกันยุ่งไป จั่วใส่เข้าฝาเช็ดหน้าอึง"
รุ่งเช้าเป็นวันกำหนดแต่งงาน นางทองประศรีก็จัดเรือกัญญาใหญ่เป็นเรือขันหมากพร้อมมโหรี เดินทางไปบ้านนางศรีประจัน
 
ฝ่ายพลายแก้วนั้นได้ให้คนไปเชิญขุนช้างมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เมื่อขุนช้างรู้ก็เสียใจมาก แต่คิดว่าถึงจะเป็นเมียพลายแก้วแล้ว ก็ไม่เป็นไร ก็จะพยายามต่อไป แล้วจึงได้เดินทางไปหาพลายแก้วที่ที่อยู่ของพลายแก้ว
ครั้นถึงเวลาบ่าย พลายแก้วและเพื่อนพร้อมทั้งขุนช้าง ก็ไปที่บ้านนางศรีประจัน เพื่อทำพิธีแต่งงาน พลายแก้วนอนหอรอกำหนดส่งตัวนางพิมอยู่ 3 วัน นางทองประศรีจึงพานางพิมมาส่งตัว ก่อนส่งตัวก็ให้โอวาทสอนเจ้าสาวให้ประพฤติตามแบบอย่างที่ดีงาม

พลายแก้วถูกเกณฑ์ไปทัพ
 
กล่าวถึงพระเจ้าเชียงอินทร์ ครองเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความเจริญ มีเมืองน้อยใหญ่ มาสวามิภักดิ์มากมาย วันหนึ่งขณะเสด็จออกขุนนาง มีชาวลาวสองคนมากราบทูลว่า เมืองเชียงทองนั้นได้แปรพักตร์ไปสวามิภักดิ์กับกรุงศรีอยุธยา คิดจะนำไทยมาตีเมืองเชียงใหม่

พระเจ้าเชียงใหม่รู้เรื่องก็โกรธมาก ให้เกณฑ์ทัพภายในเจ็ดวัน แล้วเดินทัพไปปราบเมืองเชียงทอง
"...แต่ก่อนนั้นมันขึ้นแก่เรานี้      ถือดีหยิ่งยกนกสองหัว
เฮ้ยเกณฑ์กระบวนรบให้ครบตัว นับทั่วถ้วนหมื่นพื้นฉกรรจ์
เครื่องศาสตราอาวุธปืนไฟ ทั้งน้อยใหญ่สารพัดเร่งจัดสรร
ให้พรั่งพร้อมเบ็ดเสร็จในเจ็ดวัน จงลงมือเตรียมกันแต่วันนี้
ให้ปราบเมืองแมนเป็นแม่ทัพ ไปทำมันให้ยับอยู่กับที่
แสนกำกองปลัดทัพนับว่าดี สองนายนี้กองหน้าไพร่ห้าพัน
ฟ้าลั่นนั้นให้เป็นทัพหลวง บัญชาการทั้งปวงเคยแข็งขัน
สันบาดาลเป็นปลัดเร่งจัดกัน เกณฑ์พลห้าพันให้เข้ากอง
นายรองกองทัพสำหรับตำแหน่ง ปีกซ้ายขวาแซงสิ้นทั้งผอง
ยกกระบัตรเกียกกายเอนกนอง กองซุ่มกองแล่นให้มากมี
เสบียงเลี้ยงทัพจงจัดหา ทั้งช้างม้าสำหรับขี่..."
เมื่อยกทัพไปถึง พระยาฟ้าลั่นได้ให้พลนำสารไปบอกว่า หากเมืองเชียงทองยอมอ่อนน้อมก็จะยกโทษให้ ส่วนพระยาเชียงทองแกล้งทำเป็นนบนอบ ยอมถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทอง ให้ทัพเชียงใหม่ตายใจ รวมทั้งบอกว่า ถ้าทัพไทยมาจะร่วมตีทัพไทยอีกด้วย เพื่อถ่วงเวลาให้ทัพไทยมาช่วย พระยาฟ้าลั่นหลงกลนึกว่าเป็นจริง ก็ให้เมืองเชียงทองส่งเจ้าเมืองกรมการออกมาทำพิพัฒน์สัตยากันใหม่ และให้เปิดประตูเมืองไว้ให้เชียงใหม่เข้าออกได้
พระยาเถินกับระแหง รู้ว่าทัพเชียงใหม่มาตีเชียงทอง แต่เจ้าเมืองกลับไม่สู้รบ และกลับใจไปเข้ากับเชียงใหม่ จึงส่งข่าวไปให้พระยาราม เจ้าเมืองกำแพงเพชร พระยารามจึงให้เรือเร็วส่งข่าวมาที่อยุธยา
" ครั้นว่ามาถึงอยุธยา   วางบอกที่ศาลาหาช้าไม่
นายเวรต่อยกระบอกออกทันใด แล้วซักไซ้ไล่เลียงเรื่องกิจจา"
พระพันวษารู้ข่าวคิดว่าเมืองเชียงทองคิดกบถ ก็โกรธให้ยกทัพไปตีเมืองเชียงทองคืนมา แล้วว่าเมื่อก่อนก็ให้ขุนไกรไปรบ เมื่อไม่มีขุนไกรแล้วจะให้ใครไปรบ
ขุนช้างซึ่งเป็นมหาดเล็กอยู่ ก็คิดว่าหากทูลให้พลายแก้วไปทัพได้ ก็จะกลับไปเกี้ยวนางพิมใหม่ จึงทูลพระพันวษาว่า มีบุตรขุนไกรชื่อพลายแก้ว อายุ 17 ปี มาได้เมียอยู่สุพรรณบุรี เป็นคนกล้าหาญและมีวิชาดี พระพันวษาจึงให้ขุนช้างพาตำรวจไปนำพลายแก้วเข้าไปหาในวัง นางพิมรู้ก็โกรธขุนช้าง หาว่าขุนช้างแกล้ง เพื่อให้นางต้องพลัดพรากกับพลายแก้ว ส่วนพลายแก้วก็ปลอบนางพิมว่า เรื่องราชการงานทัพนั้นมีตั้งแต่สมัยขุนไกรผู้เป็นพ่อ หากได้เป็นแม่ทัพไปตีเชียงทองสำเร็จก็คงจะได้ดีในวันข้างหน้า
รุ่งขึ้นพลายแก้วก็เข้าไปเฝ้าพระพันวษา พระพันวษาจึงตรัสว่าพลายแก้วนั้นเป็นเนื้อเชื้อไขของทหาร จงทำราชการสืบต่อขุนไกรผู้เป็นพ่อต่อไป หากตีเชียงทองได้ จะปูนบำเหน็จรางวัลให้ พลายแก้วจึงอาสายกทัพไปตีเชียงอินทร์และเมืองเชียงทอง แล้วทูลขอกลับไปบ้านก่อน จะกลับมาในเวลาสามวัน เมื่อถึงบ้านพลายแก้วก็พานางพิมไปหานางศรีประจัน แล้วบอกว่าตนจะไปทัพที่เชียงทอง อาจจะนานเกือบปี ขุนช้างอยู่ทางนี้จะคอยชิงนางพิมไป จึงขอฝากนางศรีประจันให้ดูแลนางพิมให้ หากใครมาบอกข่าวว่าตายก็อย่างเพิ่งไปเชื่อ
ฝ่ายนางทองประศรี จึงสอนพลายแก้วว่า
".... พ่ออย่าประมาทราชการ   ไม่ควรกล้าอย่าหาญไปเสียที
อันค่ายคูดูทำให้มั่นคง อย่าทะนงหลงเล่ห์จะไล่หนี
ถอยรอล่อลวงท่วงที ในราตรีอย่าเห็นแก่หลับนอน
นั่งยามตามไฟใส่ฆ้องค่อย กองร้อยมัวสุมซุ่มซ่อน...."

พลายแก้วยกทัพ
 
เมื่อพลายแก้วไปถึงอยุธยาแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระพันวษา พระพันวษาก็ประทานดาบที่มีด้ามประจุพราย และเครื่องแต่งตัวให้ แล้วพลายแก้วก็ยกทัพออกไปนอกเมือง ผ่านย่านทุ่งลุมพลี
เมื่อพลายแก้วยกทัพผ่านมาที่นางทองประศรี และนางพิมอยู่ที่ศาลาวัดป่าฝ้าย ก็ลงไปหา แล้วทั้งพลายแก้ว นางทองประศรี และนางพิม ก็ได้ปรึกษากันว่าจะปลูกโพธิ์ไว้แทนตัว หากตายขอให้ต้นโพธิ์ตายด้วย แล้วก็ได้ไปหาหน่อโพธิ์มาปลูกเรียงกันใกล้ต้นไม้ใหญ่ริมคลองบางลาง พร้อมทั้งแต่งเครื่องบัตรพลีบูชาบวงสรวงเทวดา และอธิษฐานต้นโพธิ์ของแต่ละคน ว่าหากป่วยหรือตายขอให้ต้นโพธิ์เหี่ยวเฉา หากอยู่ดีก็ขอให้ต้นโพธิ์งอกงาม
 

" ไปทัพทางไกลไม่รู้เหตุ   จะสังเกตปลูกโพธิ์ไว้สามต้น
ถ้าแม้นย่อยยับอับจน ขอให้โพธิ์พิกลไปเหมือนกัน.."
เมื่อพลายแก้วเดินทัพผ่านเมืองนครสวรรค์ เมืองกำแพงเพชร เมืองระแหง และเมืองเถิน ถึงเมืองเชียงทอง ก็นำกำลังตีทัพเชียงใหม่ เนื่องจากคิดว่าเมืองเชียงทองไม่สู้ ทั้งนายบ่าวก็เที่ยวหาผักหาปลาไม่ได้เตรียมรบให้พร้อม พวกทหารเชียงใหม่จึงถูกฆ่าตายลงเป็นจำนวนมาก
ฝ่ายเจ้าเมืองเชียงทอง เห็นทัพไทยมาช่วยก็ดีใจ ปิดประตูเมืองแล้วให้พระสังฆราชออกไปทางประตูกำแพงด้านหลัง เพื่อไปบอกข่าวแก่ทัพไทย ทหารเชียงใหม่เห็นเป็นพระก็ไม่ได้สนใจ เมื่อไปถึงทัพไทยแล้วพระสังฆราชก็เล่าให้พลายแก้วฟังว่า เมืองเชียงใหม่ยกทัพมาล้อมเมือง ก็เลยต้องแกล้งทำเป็นอ่อนน้อม เชียงใหม่จะได้ไม่ฆ่าฟัน ครั้นจะไปบอกที่กรุงศรีอยุธยา พวกลาวก็ตรวจตราเต็มไปหมด เมื่อเห็นทัพไทยมาครั้งนี้ก็ดีใจ จะช่วยรบกับเชียงใหม่ด้วย พลายแก้วเห็นว่าเป็นพระก็ไม่น่าจะพูดเท็จ จึงให้กลับเข้าไปบอกเจ้าเมืองเชียงทองว่า บ่ายวันพรุ่งนี้จะตีทัพเชียงใหม่ ให้จัดทัพไว้ให้พร้อม เจ้าเมืองเชียงทองนั้นเมื่อได้ทราบข่าวจากพระสังฆราช ก็ให้จัดเตรียมการรบให้พร้อม
ฝ่ายพระยาฟ้าลั่นและสันบาดาล ก็ปรึกษากันว่า ทัพไทยขึ้นมาล้อมแล้ว เมืองเชียงทองก็กลับทำเป็นห้าวหาญ ปิดประตูยิงปืนตอบโต้ อีกทั้งทัพไทยก็ได้โอบหลัง เพื่อจะกักทัพเชียงใหม่ไม่ให้หนีได้ หากจะนิ่งเฉยก็จะเสียทีจนทัพไทยตีมาถึงเราได้ ก็ให้ตีทัพไทยให้ถอยร่นไปเชิงเขาและตีให้แตก จับเป็นเชลยให้หมด ส่วนเจ้าเมืองเชียงทองให้จับลูกเมียมาฆ่าให้หมด เมื่อได้พิชัยเพชรฤกษ์ ทัพของเชียงใหม่ก็ยกออกมาที่ค่ายไทย
 
ส่วนพลายแก้วให้ผู้รั้งทัพสามคน เตรียมไพร่พล แล้วเสกน้ำมันทาให้ เมื่อได้มหาพิชัยฤกษ์ก็เคลื่อนทัพไปประจันหน้ากับทัพเชียงใหม่
ฝ่ายเจ้าเมืองเชียงทองนั้น ได้เตรียมทัพไว้พร้อมแล้ว เห็นทัพไทยเข้าตีประจันกับทัพเชียงใหม่ ก็เปิดประตูออกไปช่วยรบ ทั้งกำลังทัพจำนวนห้าพัน และบรรดาชาวเมืองที่ช่วยออกรบ
ฝ่ายพระยาฟ้าลั่นและสันบาดาล เห็นทัพไทยแล้วเห็นแม่ทัพที่มีรูปร่างงาม ท่าทางองอาจดังราชสีห์ ก็ร้องถามถึงชื่อของพลายแก้ว แล้วว่าทำไมกษัตริย์จึงเชื่อใจให้ออกมารบ ส่วนลาวกับลาวเขาภักดีกันมานาน แต่บัดนี้เจ้าเชียงทองกลับไปภักดีกับไทย เจ้าเชียงอินทร์จึงใช้มาจับในฐานเป็นกบถ มิใช่เรื่องของอยุธยาเลย
พลายแก้วฟังแล้วก็ตอบว่า ตนนั้นเป็นพระกาฬ ยอดทหารของอยุธยา ชื่อพลายแก้ว ที่มารบนี้ก็เพราะเจ้าเชียงทองเป็นกบถ สวามิภักดิ์กับอยุธยาแล้วกลับไปเข้ากับเมืองเชียงใหม่ พระพันวษาพิโรธมากให้ยกทัพมาปราบ เมื่อมาถึงเมืองเชียงทองก็ปรองดองเหมือนเดิม ด้วยถูกล้อมไว้หนีไม่ทัน จึงแกล้งลวงให้ทัพเชียงใหม่ตายใจ แล้วก็ถามชื่อแม่ทัพของเชียงใหม่ พร้อมกับว่าหากอ่อนน้อนก็จะยอมอภัยให้
 
พระยาฟ้าลั่นจึงว่า ตั้งแต่โบราณมาเมืองเชียงทองนั้นขึ้นกับเชียงใหม่ เป็นเพราะคิดกบถจึงได้มีภัยขึ้น ที่มารบนี้ก็เป็นเรื่องของข้ากับเจ้าไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมกับบอกว่า ตนชื่อพระยาฟ้าลั่น ส่วนเพื่อนชื่อสันบาดาล แล้วจึงขับพลเข้ารบกับพลายแก้ว และพระยาฟ้าลั่นกับสันบาดาล ถูกพลายแก้วฆ่าตาย ทัพลาวเห็นแม่ทัพของตนตายก็แตกหนี ทัพไทยไล่ตามไปตีได้เมืองนครลำปาง เมืองลำพูน และเมืองเชียงใหม่ แต่เว้นบ้านจอมทองเมืองลำพูนพลายแก้วมิได้ยกทัพเข้าตี เป็นเพราะว่าเทวดาดลใจจะได้นางลาวทอง จึงให้พลายแก้วมีใจเมตตาแก่ชาวหมู่บ้านนี้


| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |