| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

   นางศรีประจันครวญถึงลูก
loading picture
วันรุ่งขึ้นขุนแผนจึงให้คนไปบอกข่าวแก่นางศรีประจัน ไปพบสายทองก่อนได้แจ้งเรื่องให้ทราบ  สายทองก็เสียใจยิ่งนัก ถึงกับสลบไป  เมื่อนางศรีประจันรู้เรื่องก็เสียใจ จนเป็นลมไปอีกคน คร่ำครวญถึงนางวันทองและตำหนิทั้งขุนช้าง ขุนแผน และพลายงามที่เป็นเหตุให้นางวันทองตาย

 

 
 
 

...โอ้ว่าวันทองของแม่เอ๋ย ไม่ควรเลยจะเข้าไปให้เขาฆ่า
ถ้าเจ็บไข้อยู่บ้านกับมารดา  ก็จะได้รักษาพยาบาล
เมื่อพ่อตายหมายจะอยู่เป็นเพื่อนแม่  จนเถ้าแก่ไม่พรากไปจากบ้าน
เผอิญเนื้อเคราะห์กรรมนำบันดาล ไปได้ผัวจัณฑาลให้ผลาญตัว...
...ทั้งอ้ายแผนอ้ายล้านกระบาลใส ล้วนจัญไรได้มาเป็นลูกเขย...
...โอ้อกกูแก่เถ้ามาเปล่าเปลี่ยว ตัวคนเดียวลูกผัวก็ศูนย์หาย
 จะอยู่ใยให้ยากลำบากกาย แกฟูมฟายครวญคร่ำอยู่ร่ำไร ฯ
   นางสายทองมาเยี่ยมศพนางวันทอง
ฝ่ายนางสายทองคิดถึงนางวันทองมาก จึงลานางศรีประจัน เดินทางไปกรุงศรีอยุธยา พบขุนแผนรู้ว่าศพนางวันทองฝังอยู่ที่วัดตะไกร ก็เดินทางไปที่ป่าช้าฝังศพ คร่ำครวญถึงนางวันทอง
...แม่มานอนอยู่ใยในปัถพี ตัดช่องน้อยหนีไปแต่ตัว
เสียแรงรักกันมาแต่ไร ร่วมเรือนร่วมใจแล้วร่วมผัว
สุขทุกข์ปรองดองไม่หมองมัว พันพัวเลี้ยงกันมาแต่น้อย...
...โอ้แต่นี้นับปีจะแลลับ นับเดือนจะวิโยคโศกศัลย์
จะคร่ำครวญหวนไห้ไปทุกวัน เมื่อไรนั้นจะได้ไปพานพบ...
จากนั้นก็ให้บ่าวไพร่กลับสุพรรณ ส่วนตัวนางจะอยู่ช่วยพระไวยจัดงาน

   งานศพนางวันทอง
พระไวยเข้าไปกราบทูลพระพันวษาเรื่องงานศพของมารดา  พระองค์ได้ฟังก็สงสาร ตรัสสั่งให้เอาข้าวของจากท้องพระคลังไปช่วยงานศพ
...อย่าทุกข์ไปกูจะให้ซึ่งเงินทอง ข้าวของแต่งศพให้เหมาะเหมง
ทำให้หลายวันคืนให้ครื้นเครง อย่าได้เกรงต้องการสิ่งอันใด
เองมาเอาข้าวของท้องพระคลัง  กูจะสั่งพนักงานให้จ่ายให้
จัดแจงให้งามตามใจ จะต้องการสิ่งไรอย่าอำปลัง
มีทั้งโขนละครมอญรำ  มวยปล้ำค่ำลงจงมีหนัง
ตีประโคมฆ้องกลองให้ก้องดัง  ให้หีบตั้งใส่ศพให้ครบครัน
ร้านม้าเครื่องประดับสรรพเสร็จ การเล่นเบ็ดเตล็ดทุกสิ่งสรรพ์
ดอกไม้ไฟช่องระทาสารพัน ทำให้ทันการของเอ็งอย่างเกรงใจ
จากนั้นพระไวยก็ถวายบังคมลาบวชเป็นเวลาเจ็ดวัน  สมเด็จพระพันวษาก็ทรงยินดี แล้วให้จัดผ้าไตรครอง  พระราชทานให้พระไวย
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วทุกคนก็พร้อมกันมาช่วยปลงศพ
...เกือบจะบ่ายชายแสงพระสุริยัน ขุดศพนั้นอาบน้ำแล้วชำระ
ยกศพใส่หีบพระราชทาน เครื่องอานแต่งตั้งเป็นจังหวะ
ปี่ชะวาร่ำร้องกลองชะนะ นิมนต์พระให้นำพระธรรมไป
พลายชุมพลนุ่งขาวใส่ลอมพอก โปรยข้าวตอกออกหน้าหาช้าไม่
พวกพ้องพี่น้องก็ร่ำไร  นุ่งขาวตามไปล้วนผู้ดี
ศรีประจันมารดาน้ำตาพราย เดินมากับท่านยายทองประศรี
ครั้นมาถึงโรงทึมเข้าทันที  อึงมี่ยกศพขึ้นร้านม้า
พอตกเย็นก็มีการเล่นทุกชนิด โหมโรงตั้งแต่หัวค่ำ  ครั้นรุ่งเช้าก็ลงโรงเล่นประชันกัน มีโขน ละคร มอญรำ หุ่นเชิด จำอวด งิ้ว ปรบไก่ ผู้คนก็พากันมาดูมหรสพกันมากมาย พอตกบ่ายก็มีการทิ้งทาน ตกค่ำก็จุดดอกไม้ไฟ ไฟพะเนียง พลุ แล้วมีหนัง
ฝ่ายขุนช้างรู้ข่าวทำศพนางวันทอง ก็ล่องเรือมาจากสุพรรณ ถึงวัดตะไกร แล้วเข้าไปหาสมภาร ขอให้พูดจาว่ากล่าวไกล่เกลี่ย เรื่องที่ร้าวฉานกับพระไวย สมภารก็ดำเนินการให้ พระไวยให้อภัยขุนช้างแล้วร่วมกันทำบุญ เมื่อครบกำหนดสามวัน บังสุกุลเสร็จพระไวยก็ไปที่ป่าช้า อ่านพระคาถา เอาน้ำมันงาทาตัวจนทั่ว แล้วขึ้นไปนอนบนเชิงตะกอน ให้เอาศพนางวันทองขึ้นวางทับบนตัว แล้วจุดไฟเผาจนโลงไหม้หมด แล้วจึงคืนกลับออกมา  เป็นที่อัศจรรยแก่บรรดาผู้คนที่ไปร่วมงาน

   พระไวยบวชพระ ขุนช้างบวชเณร
เสร็จงานเผาศพแล้ว พระไวยก็ให้พระสงฆ์ที่วัดตะไกรบวชให้  ขุนช้างเกิดศรัทธาขอบวชเป็นเณร หลวงตาหนูก็จัดการบวชให้ เมื่อครบสามคืนก็ลาสึก กลับไปเมืองสุพรรณ พระไวยบวชได้เจ็ดวันก็สึก แล้วไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษา ถวายพระราชกุศล พระองค์ก็ทรงอนุโมทนา แล้วทรงห่วงใยเรื่องชายแดน จึงให้พระไวยไปเตือนขุนแผน ให้ไปครองเมืองกาญจนบุรี

   ขุนแผนทูลลา
ขุนแผนเมื่อทราบความตามกิจจาแล้ว ก็เตรียมดอกไม้ธูปเทียน เพื่อกราบถวายบังคมลาไปทำหน้าที่ พอตกค่ำก็บอกกับนางทองประศรีว่า จะเชิญนางไปอยู่เมืองกาญจนบุรีด้วย    นางทองประศรีจะไปก็ห่วงพระไวย ครั้นจะไม่ไปก็อาลัยพลายชุมพล จึงออกปากขอพลายชุมพลให้อยู่กับตน นางแก้วกิริยาก็อาลัยลูก แต่ก็จำให้ให้อยู่กับย่า
...โอ้โอ๋อนิจจาแก้วตาแม่ จะห่างแหเข้าไปใจคออ่อน
แต่กอดลูกร้องไห้ไม่หลับนอน จนอัมพรแจ่มแจ้งแสงอุไทย
รุ่งขึ้นขุนแผนไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษา พระองค์ตรัสสั่งงานขุนแผนและให้พร
...ราชการบ้านเมืองเอาใจใส่ ระวังระไวเขตต์ขอบบุรีศรี 
ตรวจตราด่านดงพงพี  เองไปจงดีอย่ามีภัย ฯ

loading picture

ขุนแผนรับพระพรแล้ว กลับมาเตรียมตัวออกเดินทาง พาแก้วกิริยาและลาวทอง ไปลานางทองประศรี ขุนแผนสั่งสอนพระไวยและลูกสะใภ้ทั้งสองคน มอบดาบฟ้าฟื้น และให้พรพระไวย ฝากฝังพลายชุมพลให้ช่วยกันดูแล แล้วออกเดินทางบุกป่าฝ่าดงมาสามวัน ก็ถึงเมืองกาญจนบุรี เกณฑ์ไพร่พลตัดไม้ปลูกเรือน อยู่กันต่อมาด้วยความสุข


นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์
loading picture
พระไวยอยู่กับนางสร้อยฟ้ากับนางศรีมาลาด้วยความผาสุข แต่ธรรมดาชายหนุ่มมีเมียสอง ย่อมจะมีเรื่องแข่งแย่งผัวกัน  มาวันหนึ่งเกิดเรื่องขึ้น พระไวยให้ทั้งสองนางทำขนมเบื้อง ศรีมาลาทำได้ดี แต่สร้อยฟ้าไม่สันทัด พลายชุมพลจึงพูดว่า ขนมที่นางสร้อยฟ้าหนาเหมือนแป้งจี่ แล้วพากันพูดกระทบกระเทียบขนมเบื้องของสร้อยฟ้า ทำให้นางไม่พอใจ  ตกค่ำพระะไวยเข้าห้องนางศรีมาลา นางก็ต่อว่ายังหัวค่ำอยู่ พระไวยก็ไม่ยอมนางจึงว่า

 

 
 
 

...ศรีมาลาว่าชะช่างร้อนจิตต์  พระอาทิตย์ยังไม่ลับดับแสงเหลือง
เด็กเด็กยังตื่นครื้นทั้งเมือง  ขนมเบื้องทำด้วยปากยากอะไร ฯ
นางสร้อยฟ้าได้ยินแว่วว่าขนมเบื้อง ก็คิดว่านางศรีมาลานินทาตน จึงร้องว่านางศรีมาลาไป  นางศรีมาลาก็ย้อนกลับ เกิดโต้ตอบกันไปมาด้วยคารม  พระไวยได้ฟังก็ชอบใจ  นางทองประศรีได้ยินเสียงเถียงกัน ก็ว่ากล่าวนางสร้อยฟ้า  แล้วก็ว่าพระไวยที่ไม่ห้ามเมีย

   สร้อยฟ้าศรีมาลาทะเลาะกัน
วันรุ่งขึ้นนางสร้อยฟ้ายังคิดเคืองอยู่ไม่หาย พอเห็นพระไวยลงเรือนไปแล้ว ก็แกล้งด่ากระทบพวกบ่าวไพร่ จนที่สุดก็ทะเลาะกับนางศรีมาลา จนถึงขั้นตบตีกัน พลายชุมพลเข้าห้าม นางสร้อยฟ้าจึงผลักพลายชุมพลตกล่อง นางทองประศรีได้ยินเสียง ก็รีบออกมาดู เห็นหลานบาดเจ็บก็โกรธ ด่าว่านางสร้อยฟ้า นางสร้อยฟ้าก็เถียงย่า พอดีพระไวยกลับมาเห็นเข้าสอบถาม  นางสร้อยฟ้ายังโต้เถียงไม่รับผิด  พระไวยโกรธจึงตีนางสร้อยฟ้า นางศรีมาลาเข้าห้ามไว้
นางสร้อยฟ้าหนีเข้าไปในห้องของตน แล้วให้คิดแค้น พอตกดึกนึกได้ถึงเถรขวาด  วันรุ่งขึ้นจึงใช้นางไหม ข้าเก่าจากเชียงใหม่ให้ไปหาเถรขวาด เล่าความทุกข์เข็ญที่เป็นมา ขอให้เถรขวาดช่วยแก้แค้นให้ด้วย



| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |