การเตรียมรุกใหญ่เพื่อเข้าตี
และยึดที่มั่นขั้นต่อไป
ในปลายเดือนกันยายน ๒๔๙๔ แม่ทัพน้อยที่ ๑ สหรัฐฯ ได้กำหนดแผนยุทธการ เพื่อเข้าตีทำลายข้าศึก
และยึดแนวภูมิประเทศสำคัญ หน้าแนวไวโอมิง
ออกไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร แล้วจัดที่มั่นหลักใหม่ให้ชื่อว่า
แนวเจมส์ทาวน์
ซึ่งเมื่อยึดได้แล้วจะอำนวยประโยชน์ทั้งในทางยุทธวิธีและการเจรจาหยุดยิง
ในวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๔๙๔ กองทัพน้อยที่ ๑ สหรัฐฯ ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนที่เข้าตี
และยึดแนวภูมิประเทศสำคัญในพื้นที่รับผิดชอบ ๓ ตุลาคม ๒๔๙๔ กองพลทหารม้าที่
๑ สหรัฐฯ เริ่มเข้าตีโดยใช้กำลัง ๒ กรม เป็นกองรบเดียวกันอีก ๑ กรมเป็นกองหนุน
กองพันทหารไทยขึ้นสมทบอยู่ในกองหนุน เตรียมเคลื่อนที่เข้าตีต่อไปทางทิศเหนือ
กองพันทหารไทยได้รับคำสั่งให้เคลื่อนที่เข้ารวมพลในเขตตำบลยัลดอง ต่อมาเมื่อ
๘ ตุลาคม กรมทหารม้าที่ ๘ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นกองหนุน ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนที่เข้าประจำแนว
แทนกรมทหารม้าที่ ๗ สหรัฐฯ ในแนวหน้า กองพันทหารไทยยึดพื้นที่อยู่บนสันเขาสูง
ตามสันเขายอด ๓๓๔ ถึงยอด ๔๑๘ ต่อมา เมื่อ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๙๔ กองพันทหารไทยปรับแนวรับผิดชอบกว้างด้านหน้าในการตั้งรับ
๓,๕๐๐ เมตร หน่วยลาดตระเวณของกองพันทหารไทย ได้ปะทะกับข้าศึก จำนวนหนึ่งบนแนวสันเขาที่เรียกว่า
เขาทีโบน
(T - Bone) ๑๔ ตุลาคม ๒๔๙๔ กองพันทหารไทยได้รับคำสั่งให้ขึ้นสมทบ กรมทหารม้าที่
๗ สหรัฐฯ ๒๐ ตุลาคม กองพันทหารไทยปรับแนวใหม่โดยเข้ายึดที่มั่นตามสันเขาตั้งแต่
ยอด ๔๑๘ ไปทางขวา และได้รับคำสั่งให้กลับไปขึ้นกับกรมทหารม้าที่ ๘ สหรัฐฯ
ตามเดิม
ปลายเดือนตุลาคม ๒๔๙๔ กองพันทหารไทยได้รับคำสั่งให้วางแผน และเตรียมการเข้าตีจากแนวที่ยึดอยู่
เพื่อเข้ายึดเขาทีโบน โดยใช้กำลังกองพันทหารไทยเพียงกองพันเดียว สมทบกำลังด้วยรถถังและเครื่องยิงหนัก
พร้อมด้วยการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่กองพล และเครื่องบินโจมตี แต่ในที่สุดทางกองพลทหารม้าที่
๑ สหรัฐฯ ได้ยกเลิกแผนนี้ เพราะกำลังยิงสนับสนุนมีไม่เพียงพอ
การปฏิบัติการของหมวดคอยเหตุ
กองพันทหารไทยได้ใช้กำลัง ๑ หมวดปืนเล็กไปทำหน้าที่หมวดคอยเหตุ อยู่หน้าแนวตลอดเวลาโดยไปตั้งอยู่ที่เนิน
๒๐๐ ห่างออกไปจากแนวต้านทานหลักของฝ่ายเราประมาณ ๒.๕ กิโลเมตร และห่างจากแนวที่มั่นข้าศึกประมาณ
๑.๕ กิโลเมตร ที่เนิน ๒๐๐ นี้ ดัดแปลงพื้นที่สำหรับตั้งรับวงรอบ มีการวางเครื่องกีดขวางลวดหนาม
ประกอบการวางทุ่นระเบิด และพลุสดุด หลายชั้น วางสายโทรศัพท์ติดต่อกับที่บังคับการกองพัน
และยังคงใช้วิทยุเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักตลอดเวลา ฝ่ายข้าศึกได้ส่งกำลังเข้ารบกวนหลายครั้งในเวลากลางคืน
เมื่อ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ ข้าศึกได้เริ่มระดมยิงอย่างรุนแรงตั้งแต่ เวลา ๑๙.๐๐
น.เศษ ด้วยเครื่องยิงหนัก และปืนใหญ่มายังที่มั่นของหมวดคอยเหตุ ข้าศึกประมาณ
๒ กองร้อย พร้อมด้วยรถถังประมาณ ๑๐ คัน ได้เคลื่อนที่เข้ามาตรงหน้า และพื้นที่ราบสองข้างของเนิน
๒๐๐ และระดมยิงที่มั่นใหญ่ของกองพันทหารไทยหนาแน่น การติดต่อทางสาย และวิทยุถูกตัดขาด
จนใกล้รุ่งสว่างจึงทราบจากผู้ที่เล็ดลอดกลับมาได้ว่าหมวดคอยเหตุบนเนิน ๒๐๐
ละลายแล้วทั้งหมวด เนื่องจากข้าศึกเข้าล้อมและบุกเข้าประชิดถึงตัว มีการสู้รบกันถึงขั้นตะลุมบอน
ข้าศึกมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า การยิงฉากป้องกันจากที่มั่นใหญ่ช้าเกินไปไม่ทันการ
ทหารประมาณครึ่งหมวดเสียชีวิต ส่วนที่เหลือได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ฝ่ายข้าศึกก็สูญเสียเป็นจำนวนมากเช่นกัน
นับเป็นการสูญเสียในการรบครั้งแรกของกองพันทหารไทย ต่อมาอีก ๗ วัน กองพันทหารสหรัฐฯ
ก็ถูกโจมตีในทำนองเดียวกัน ทำให้กองพลทหารม้าที่ ๑ สหรัฐฯ สั่งเปลี่ยนที่ตั้งหมวดคอยเหตุใหม่
ให้ใกล้เข้ามาอยู่ในระยะไม่เกิน ๑.๕ กิโลเมตร จากแนวต้านทานหลัก
การกลับไปเป็นกองหนุน
กองพันทหารไทยเริ่มเคลื่อนที่ออกจากที่รวมพลหมู่บ้านชอนกอง เมื่อ ๑๖ ธันวาคม
๒๔๙๔ ด้วยขบวนยานยนต์เดินทางเลียบชายฝั่งทิศเหนือของลำน้ำฮัน ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
สู่เมืองกุมหว่าเข้าที่รวมพลในที่ตั้งใหม่ที่หมู่บ้านวาสุ ในพื้นที่กองหนุนของกองพลทหารราบที่
๒ สหรัฐฯ และเมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๔๙๔ หน่วยกำลังทดแทนของไทยจำนวน ๒๐๐ คน ก็ได้เดินทางจากตำบลทองเนเมืองบูซานมาเข้าที่ตั้งของกองพันทหารไทย
การขึ้นประจำแนวต้านทานหลักเจมส์ทาวน์
๒๕ มกราคม ๒๔๙๕ กองพันทหารไทยได้รับคำสั่ง ให้เตรียมการขึ้นไปสับเปลี่ยนกับกองพันทหารฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นหน่วยในบังคับบัญชาของกรมทหารราบที่ ๒๓ กองพลทหารราบที่ ๒ สหรัฐฯ
ในแนวต้านทานหลักเจมส์ทาวน์ ทางเหนือเมืองกุมหว่า การสับเปลี่ยนกระทำในเวลากลางคืนเริ่มตอนค่ำของ
๒๙ มกราคม ๒๔๙๕ ใช้เวลา ๒ คืนจึงแล้วเสร็จ ระหว่างนี้หิมะตกหนักมาก ข้าศึกส่วนใหญ่ปฏิบัติการอยู่บนเทือกเขานสูงจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ
กองพันทหารไทยตั้งรับอยู่ในพื้นที่ราบ ต้องขุดคูติดต่อไปยังแนวคอยเหตุของแต่ละกองร้อย
กองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ได้มีคำสั่งสให้ทุกหน่วยในแนวหน้า ปฏิบัติการสงครามจิตวิทยาตามแผนที่เรียกว่า
Operation Calm - up ระหว่าง ๑๐ - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ โดยให้กำลังทหารทุกหน่วยอยู่ในความสงบ
ไม่ให้ปฏิบัติการหรือเคลื่อนไหวทางยุทธวิธีใด ๆ งดการส่งหน่วยออกลาดตระเวณ
และไม่ยิงปืนใหญ่ รวมทั้งไม่มีการสนับสนุนทางอากาศตลอดระยะ ๒๐,๐๐๐ หลาจากหน้าแนว
เพื่อลวงให้ข้าศึกเข้าใจว่าฝ่ายเราได้ถอนตัวออกไปหมดแล้ว มีการเตรียมเสบียงสำเร็จรูปให้เพียงพอใช้ถึง
๗ วัน กระสุน ๕ อัตรายิง และห้ามยิงเด็ดขาดตลอดแนวจนกว่าข้าศึกจะบุกเข้าตีฝ่ายเราก่อน
ห้ามการติดต่อทางวิทยุ ให้ติดต่อทางโทรศัพท์เท่านั้น ปฏิบัติการเช่นนี้อยู่
๖ วัน จึงกลับสู่การปฏิบัติตามปกติ
กองพันทหารไทยได้กลับไปเป็นกองหนุนของกรม โดยลงไปพักที่บ้านชอนกอง ตั้งแต่
๒๐ กุมภาพันธ์ - ๑ มีนาคม ๒๔๙๕ จากนั้นได้กลับขึ้นไปประจำแนวเจมส์ทาวน์บริเวณเมืองกุมหว่า
กองพันทหารไทยกลับไปเป็นกองหนุน ตั้งแต่ ๑๓ - ๒๖ เมษายน ๒๔๙๕ ในที่ตั้งเดิม
การปฏิบัติของทหารบกผลัดที่ ๓
การปฏิบัติหน้าที่เป็นกองหนุนของกรมทหารราบที่
๙ สหรัฐฯ
การสงครามดำเนินมาถึงปีที่ ๓ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะยุติ แม้ว่าจะมีการเจรจาความตกลงสงบศึก
ตั้งแต่ วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๙๔ แล้วก็ตาม ทั้งสองฝ่ายยังคงยึดภูมิประเทศ
เผชิญหน้ากันอยู่ในแนวมิสซูรี
(Missouri Line)
กองพลที่ ๒ สหรัฐฯ ได้รับคำสั่งให้เข้าประจำแนว กรมทหารราบที่ ๙ สหรัฐฯ ได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปผลัดเปลี่ยนกรมทหารราบที่
๒๗๙ สหรัฐฯ บนแนวเจมส์ทาวน์ ด้านเขาทีโบนกับเขาอัลลิเกอร์จอส์ กองพันทหารไทยได้รับคำสั่ง
จากกรมทหารราบที่ ๙ สหรัฐฯ ให้เคลื่อนย้ายติดตามไป กำหนดการเคลื่อนย้ายใน
๑๕ กรกฎาคม ๒๔๙๕
ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๑ กรกฎาคม ๒๔๙๕ กำลังพลของผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๒ และส่วนที่
๓ ได้เดินทางไปผลัดเปลี่ยนกับผลัดที่ ๒
กองพันทหารไทยได้รับคำสั่งเตรียมจากกรมทหารราบที่ ๙ สหรัฐฯ ให้ผลัดเปลี่ยนกองพันที่
๓ กรมทหารราบที่ ๙ สหรัฐฯ ประมาณต้นเดือน สิงหาคม ๒๔๙๕
การปฏิบัติการรบ
ณ ที่มั่นตั้งรับแนวเจมส์ทาวน์ด้านเขาทีโบน
กองพันทหารไทยได้เข้าประจำแนวเจมส์ทาวน์ เมื่อ ๒ สิงหาคม ๒๔๙๕ ช่วงเดือนกรกฎาคม
ถึง กันยายน เป็นช่วงฤดูร้อนของเกาหลี อากาศอบอุ่นฝนตกชุก ลักษณะภูมิประเทศหน้าแนวที่ตั้งรับของกองพันทหารไทยเป็นที่ราบลุ่มและโล่ง
มีเขาทีโบนที่ฝ่ายข้าศึกยึดอยู่เป็นตำบลสำคัญ กำลังฝ่ายข้าศึกที่เผชิญหน้ากับกรมทหารราบที่
๙ สหรัฐฯ และกองพันทหารไทยมีอยู่ ๒ กรมทหารราบ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่
๙ สหรัฐฯ ได้กำชับให้กองพันในแนวหน้า ทำการลาดตระเวณทุกวัน และให้มีการปฏิบัติการเชิงรุก
โดยส่งหน่วยลาดตระเวณรบเข้าตีโฉบฉวยต่อที่มั่นตั้งรับของข้าศึก ทั้งนี้ให้กองพันทหารไทยเริ่มปฏิบัติก่อนต่อที่หมายเขาทีโบน
เมื่อ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๙๕ ในขั้นต้นได้ทำการตรวจภูมิประเทศด้วยเครื่องบินเบา
แอล - ๑๙ บริเวณหัวเขาทีโบน ขั้นต่อมามีการซ้อมปฏิบัติการเวลากลางคืน แต่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแผนให้กองพันที่
๑ สหรัฐฯ เข้าปฏิบัติการแทน
ผู้บังคับกองพันทหารไทย
กับคณะได้รับเชิญไปร่วมพิจารณาปัญหาการเจรจาสงบศึกที่ปันมุมจอม
เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๙๕ ผู้บังคับกองพันทหารไทย (พันตรี เกรียงศักดิ์
ชมะนันท์) และคณะได้เดินทางไปยังหมู่บ้านมุนซานตามคำเชิญของ พลตรี แฮริสัน
หัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาความตกลงสงบศึก ฝ่ายสหประชาชาติ ที่ต้องการให้บรรดาผู้บังคับหน่วยทหารพันธมิตร
ในสนามที่ร่วมรบในประเทศเกาหลีได้ทราบเรื่องราวที่ฝ่ายสหประชาชาติกับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์
กำลังเจรจากันอยู่ และขอทราบความคิดเห็นส่วนตัวอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจจะช่วยคลี่คลายปัญหาต่าง
ๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ให้ลุล่วงไปได้อย่างสมศักดิ์ศรีของฝ่ายกองบัญชาการสหประชาชาติด้วย
การเจรจาความตกลงสงบศึก
มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังนี้
๑. คณะผู้แทนเจรจาความตกลงสงบศึก ฝ่ายสหประชาชาติขึ้นอยู่กับกองบัญชาการสหประชาชาติ
กรุงโตเกียว มีสำนักงานอยู่ที่หมู่บ้านมุนซาน รวมทั้งเป็นที่พักของคณะผู้แทน
และเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ด้วย
๒. เรื่องที่กำลังเจรจาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเชลยศึก ซึ่งยังไม่เป็นที่ตกลงกัน
เนื่องจากฝ่ายสหประชาชาติเสนอว่า การแลกเปลี่ยนเชลยศึกต้องให้เป็นความสมัครใจของเชลยศึกเอง
แต่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เสนอว่า การแลกเปลี่ยนเชลยศึกต้องให้เชลยศึกกลับประเทศของตนทุกคน
การจับเชลยศึก
และพิธีประดับเหรียญบรอนซสตาร์
เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๙๕ กองร้อยที่ ๒ ได้ตรวจการณ์เห็นข้าศึก จำนวนหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามา
จึงได้ออกปฏิบัติการและจับข้าศึกส่วนนี้ได้ ๑ คน นับว่ากองพันทหารไทยเป็นหน่วยแรกของกองพลทหารราบที่
๒ สหรัฐฯ ที่จับเชลยศึกได้ตามนโยบายของหน่วยเหนือ ต่อมาใน วันที่ ๑๑
กัยยายน ๒๔๙๕ กองพลทหารราบที่ ๒ สหรัฐฯ ได้จัดพิธีประดับเหรียญบรอนซ์สตาร์
ให้แก่ สิบตรี ศรีบุตร หน่องาม กับพลทหาร บุญธรรม บุญเรือง ซึ่งเป็นผู้จับเชลยศึกได้
ณ บริเวณที่บังคับการกองพันหลังแนวที่มั่น โดยมีผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่
๒ สหรัฐฯ เป็นประธานในพิธี ต่อหน้าทหารเกียรติยศผสม ไทย - สหรัฐฯ
การปฏิบัติหน้าที่ในกองหนุนของกองพลที่ค่ายเคซี
(Camp Cacy)
เมื่อ ๒๑ กันยายน ๒๔๙๕ กองพันทหารไทยได้รับการผลัดเปลี่ยนจากกองพันที่ ๒ กรมทหารราบที่
๒๓ สหรัฐฯ ที่ค่ายเคซี อยู่เหนือเมือง อุยจองบู ประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ค่ายเคซีเป็นที่พักสนามสำหรับหน่วยทหารที่เคลื่อนย้ายตามแผนของหน่วยเหนือ
หมุนเวียนเข้าไปพักเป็นประจำ
ในปลายเดือนกันยายน ๒๔๙๕ กองพันทหารไทยได้รับคำสั่งจากกรมทหารราบที่ ๙ สหรัฐฯ
ให้เคลื่อนย้ายไปเข้าที่รวมพลหลังแนวเจมส์ทาวน์ ด้านเขาโอลด์บอลดี เพื่อเพิ่มเติมกำลังแนวรบด้านนี้
แต่ต่อมาได้ถูกระงับภารกิจหลังจากที่เดินทางไปถึง ได้ ๑ คืน
การปฏิบัติระหว่างเป็นกองหนุนของกองพลที่เมืองยอนชอน
ในต้นเดือนตุลาคม ๒๔๙๕ กองพันทหารไทยได้เคลื่อนย้ายกำลังจากค่ายเคซี ติดตามกรมทหารราบที่
๙ สหรัฐฯ ไปตั้งอยู่ที่บริเวณพื้นที่ข้างหลังแนวเจมส์ทาวน์ ด้านเขาโอลด์บอลดี
ไม่มีการปฏิบัติการทางยุทธวิธี คงมีแต่การลาดตระเวณตรวจภูมิประเทศเป็นครั้งคราว
ต่อมาได้กลับไปเป็นกองหนุนของกองพล กองพันทหารไทยจึงไปตั้งอยู่ที่เมืองยองชอน
ส่วนกรมหทารราบที่ ๙ สหรัฐฯ ตั้งต่อลงไปทางใต้ที่ตำบลทองดูซอน บริเวณค่ายเคซี
วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๔๙๕ กองพันทหารไทยได้รับคำสั่งเตรียมให้เข้าประจำแนวเจมส์ทาวน์
ด้านเขาพอร์คชอป ได้มีการไปตรวจภูมิประเทศก่อนขึ้นประจำแนว และในวันรุ่งขึ้น
กองร้อยกำลังทดแทนของกองพัน ผลัดที่ ๓ ได้เดินทางมาถึง และกองร้อยกำลังทดแทนกองพันผลัดที่
๒ เดินทางกลับปูซาน เพื่อเดินทางกลับประเทศไทยต่อไป
การปฏิบัติการรบบนที่มั่นตั้งรับ
แนวเจมส์ทาวน์ด้านเขาพอร์คชอป
วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๕ กองพันทหารไทยได้ผลัดเปลี่ยนกับกองพันทหารสหรัฐฯ บนแนวเจมส์ทาวน์
ด้านเขาพอร์คชอป มีเขตปฏิบัติการสำคัญคือ
เขาพอร์คชอป
(เขา ๒๕๕) กับเขาสนุ๊ค (เขา ๑๘๗) ที่บังคับการกองพันอยู่ที่หมู่บ้านอันเยิง
ส่วนกองร้อยกำลังทดแทน และคลังเก็บของอยู่ที่เมืองยอนชอน
กองพันทหารไทยได้รับมอบภารกิจ ให้ยึดรักษาเขาพอร์คชอปไว้ให้ได้ โดยได้รับการยิงสนับสนุนด้วยอาวุธหนักจากกรมทหารราบที่
๙ สหรัฐฯ ได้รับสนับสนุนรถถัง ๑ หมวด เครื่องยิงหนัก ๔.๒ นิ้ว ๑ หมวด และปืนต่อสู้อากาศยาน
๑ หมวด พื้นที่ปฏิบัติการที่กองพันทหารไทยได้รับมอบ มีความกว้างด้านหน้า ประมาณ
๓ กิโลเมตร จึงได้วางกำลัง ๓ กองร้อยในแนวหน้า จัดกองร้อยรักษาด่านรบที่หน้าแนว
๒ แห่งคือ ที่เขาพอร์คชอป มีกำลัง ๑ หมวดปืนเล็กเพิ่มเติมกำลัง และหมู่ตรวจการณ์หน้าปืนใหญ่
๑ หมู่ ส่วนที่เขาสนู๊คมีกำลัง ๒ หมู่ปืนเล็ก
พื้นที่ที่กองพันทหารไทยได้รับมอบอยู่บริเวณหน้าเขาทีโบน ภูมิประเทศสำคัญหน้าแนวคือ
เขาพอร์คชอปกับเขาสนู๊ค เบื้องหน้าเขาพอร์คชอปเป็นภูเขาลูกเล็ก ๆ ที่ฝ่ายข้าศึกยึดอยู่
๒ ลูกคือ เขาฮาร์คโกล และเขาโพลเค เขาพอร์คชอปตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองชอร์วอน
ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์เมืองหนึ่งของเกาหลี ลักษณะเป็นสันเขาโดดเดี่ยว
ล้อมรอบด้วยหุบเขาสลับซับซ้อน สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๕ เมตร เป็นชัยภูมิที่ทั้งสองฝ่ายต้องการยึดเอาไว้เพื่อความได้เปรียบทางยุทธวิธี
เพราะเป็นจุดคุมเส้นทางหลักที่จะเจาะเข้าถึงเมืองชอร์วอนทางทิศตะวันออก เมืองยอนชอนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
พื้นที่บริเวณเขาพอร์คชอปนี้ได้มีการแย่งยึดเปลี่ยนมือกันไปมา หลายครั้งของทั้งสองฝ่าย
และครั้งสุดท้ายได้ตกเป็นของฝ่ายกองกำลังสหประชาชาติ
หลังจากขึ้นประจำที่มั่น เมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๕ กองพันทหารไทยก็รีบดำเนินการปรับปรุงเส้นทางคมนาคม
จากที่บังคับการกองพันไปยังที่มั่นบนเขาพอร์คชอป แต่ทำได้ไม่สดวก เพราะถูกข้าศึกยิงรบกวนตลอดเวลา
จึงต้องใช้รถสายพานลำเลียงพล จากหน่วยเหนือมาใช้ พร้อมทั้งขอเครื่องทำควันขนาดใหญ่
มาใช้ปล่อยควันกำบังการตรวจการณ์ เพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ผ่านเส้นทางนี้เวลากลางวัน
ดำเนินการปรับปรุงคูสนามเพลาะ และเครื่องกีดขวางประเภทลวดหนาม โดยเพิ่มแนวลวดหนามจากเดิม
๒ แนวเป็น ๔ แนว วางแผนการใช้ทุ่นระเบิด และหีบระเบิดนาปาล์มที่มีอานุภาพรุนแรงเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นยังได้จัดกำลังกองหนุนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน และจำเป็นโดยใช้กำลังจากกองร้อยกองบังคับการ
และกำลังพลอืน ๆ ที่มิได้ติดพันการรบในขณะนั้น พร้อมกันนั้น ทางหน่วยเหนือก็ได้ออกคำแนะนำทางยุทธการ
ให้หน่วยระดับกองพันจัดตั้ง
ศูนย์ประสานการยิงช่วยขึ้น
นับว่าเป็นการกระทำครั้งแรกในระดับกองพัน กองพันทหารไทยได้เตรียมการขอรับการสนับสนุนฉากการยิงคุ้มครอง
เป็นวงแหวนรอบที่มั่นรักษาด่านรบเขาพอร์คชอป โดยขอให้ปืนใหญ่กองพลของกองพลทหารราบที่
๒ สหรัฐฯ ซึ่งมีอยู่ ๔ กองพัน วางฉากการยิงที่เรียกว่าวงแหวนเหล็กเอาไว้
เพื่อใช้ในกรณีที่ถูกข้าศึกเข้าตี ด้านการสื่อสารก็มีการวางข่ายการติดต่อสื่อสารให้แน่นแฟ้น
ใช้การสื่อสารทางสายเป็นหลัก ได้จัดวางข่ายการสื่อสารไปยังจุดที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังเขาพอร์คชอปถึง
๗ ทางสาย โดยฝังสายลงใต้ดิน พาดไปบนพื้นดิน และขึงสายเหนือพื้นดิน
นอกจากนี้ยังจัดกำลังออกลาดตระเวณหาข่าวประจำวัน ๆ ละ ๓ สาย มีการจัดหมวดรบพิเศษ
(Ranger Platoon) ขึ้นเป็นครั้งแรก จากผู้อาสาสมัครซึ่งมีเป็นจำนวนมาก แต่คัดเลือกไว้
๔๐ คน เพื่อใช้ในการลาดตระเวณรบลึกเข้าไปในแนวข้าศึก เพื่อจับเชลยตามคำแนะนำของหน่วยเหนือ
การรบบนที่มั่นเขาพอร์คชอป
ครั้งที่ ๑
ในคืนวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๕ ฝ่ายข้าศึกประมาณ ๑ หมวด เคลื่อนที่เข้าจู่โจมที่ฟังการณ์สาย
๘ ทางมุมด้านทิศตะวันออกของเขาพอร์คชอป ศูนย์ประสานการยิงคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง
จนข้าศึกต้องถอนตัวกลับไป ทิ้งศพผู้เสียชีวิตไว้เท่าที่ตรวจพบ ๑๐ ศพ ต่อมาเมื่อบ่ายวันที่
๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ ข้าศึกได้ยิงเตรียมมายังที่มั่นเขาพอร์คชอปด้วยปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิด
ฝ่ายเราได้รับความเสียหายมาก ตอนค่ำข้าศึกส่งกำลัง ๑ กองพัน เคลื่อนที่เข้าตี
๒ ทิศทาง ไปยังที่ฟังการณ์สาย ๔ และที่ฟังการณ์สาย ๘ ได้มีการต่อสู้กันในระยะประชิด
จนต้องถอนตัวกลับเข้าที่มั่น ข้าศึกก็ได้เคลื่อนที่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด
จนถึงบริเวณที่มั่นเขาพอร์คชอป จึงได้มีการยิงฉากวงแหวนทำลายข้าศึกที่เข้ามาถึงขอบที่มั่น
จนข้าศึกต้องถอนตัวกลับไป การรบครั้งนี้ฝ่ายเราเสียชีวิต ๘ คน บาดเจ็บ ๑๗
คน ฝ่ายข้าศึกเสียชีวิต ๕๐ คน พบร่องรอยการระดมยิงด้วยปืนใหญ่ และเครื่องยิงหนักกว่า
๖๐๐ นัด ในบริเวณที่มั่นของฝ่ายเรา ในวันรุ่งขึ้นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่
๒ สหรัฐฯ ได้เดินทางมาเยี่ยมกองพันทหารไทย ได้แสดงความประทับใจอย่างมากที่ทหารไทยมีจิตใจห้าวหาญ
แกร่งกล้า เป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง และได้หนังสือชมเชยกองพันทหารไทยด้วย
ต่อมากองพลทหารราบที่ ๒ สหรัฐฯ ได้ส่งทหารช่างพร้อมที่กำบังสำเร็จรูป (Prefabrication
Sef) มาให้ ทำให้มีความมั่นคงแข็งแรงกว่าที่มีอยู่เดิม และปรับปรุงที่มั่นให้กลับสู่สภาพเดิม
จากการเสียหายที่ข้าศึกเข้าตีในครั้งนี้
การรบบนที่มั่นเขาพอร์คชอป
ครั้งที่ ๒
เมื่อ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. ฝ่ายข้าศึกได้ส่งหน่วยลาดตระเวณ
ประมาณ ๑ หมวด เข้าโจมตีที่มั่นเขาพอร์คชอป โดยเข้าโจมที่ฟังการณ์หมายเลข
สาย ๔ และสาย ๘ ได้ ข้าศึกได้ระดมยิงด้วยอาวุธประจำหน่วย และอาวุธประจำกายอย่างรุนแรง
เพื่อพิสูจน์ทราบที่ตั้งฝ่ายเรา ทหารไทยในที่มั่นได้ยิงพลุส่องสว่างพร้อมกับขอการยิงสนับสนุนจาก
หน่วยเครื่องยิงหนักของกองพัน ข้าศึกจึงถอนตัวกลับไป
ต่อมา ระหว่าง ๐๑.๐๐ - ๐๒.๐๐ น.ฝ่ายข้าศึกทำการเข้าตีที่มั่นเขาพอร์คชอปอีกเป็น
๓ ระลอก ระลอกแรก
ข้าศึกใช้กำลังประมาณ
๑ กองร้อย เข้าตีทางทิศตะวันตก ด้านที่ฟังการณ์ ๘ ระดมยิงด้วยอาวุธประจำกาย
และประจำหน่วย พร้อมทั้งปืนใหญ่ และเครื่องยิงหนัก ใช้เวลาประมาณ ๔๕ นาที
จึงหยุดการโจมตี แต่ยังคงระดมยิงด้วยปืนใหญ่ และเครื่องยิงหนักต่อไป
ระลอกที่สอง
เริ่มประมาณ ๐๑.๔๐ น. ข้าศึกใช้กำลังประมาณ ๑ กองร้อย เข้าตีทางทิศเหนือด้านที่ฟังการณ์
๔ สนับสนุนด้วยปืนใหญ่ และเครื่องยิงหนัก และอาวุธนานาชนิด ฝ่ายเราต้านทานอย่างเหนียวแน่น
จนข้าศึกต้องยุติการโจมตีเมื่อเวลา ๐๒.๑๕ น.และถอนตัวกลับไป
ระลอกที่สาม
เวลา ๐๒.๓๕ น. ข้าศึกใช้กำลังประมาณ ๒ หมวด เข้าตีทางด้านทิศตะวันตกด้านที่ฟังการณ์
๘ อีกครั้งหนึ่ง ได้อาศัยความมืดคืบคลานเข้ามาใกล้ที่มั่นฝ่ายเรา จนถึงระยะใช้ระเบิดขว้างของทั้งสองฝ่าย
ทหารไทยที่ประจำอยู่ ณ ที่ฟังการณ์ทั้งสามสาย ได้รับคำสั่งให้ถอนตัวกลับเข้าที่มั่น
ฝ่ายข้าศึกจำนวนมาก ได้ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด จนมาถึงหน้าที่มั่นใหญ่ในพื้นที่การยิงฉาก
ผู้บังคับที่มั่นจึงขอการยิงฉากวงแหวนเหล็ก ทำให้การเข้าตีของข้าศึกหยุดชะงัก
และล่าถอยกลับไป ในการเข้าตีของข้าศึกครั้งนี้ ข้าศึกได้เปลี่ยนยุทธวิธีใหม่
เพื่อหวังผลในการจู่โจม โดยไม่ใช้การยิงเตรียมเหมือนการเข้าโจมตีทั่วไป
แต่ได้อาศัยความมืดเป็นเครื่องกำบัง หวังที่จะลอบเข้ามาใกล้ที่มั่น เพื่อหวังผลในการจู่โจม
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจการณ์ และเพื่อจำกัดเสรีในการเคลื่อนที่ของข้าศึก
ฝ่ายเราได้ยิงพลุส่องแสงจากเครื่องยิงลูกระเบิด และจากปืนใหญ่แบบประสานส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งได้ผลอย่างมากในการยับยั้งข้าศึก และยังเป็นการบำรุงขวัญฝ่ายเราได้เป็นอย่างดี
การสูญเสียจากการที่ข้าศึกเข้าตีครั้งนี้ ฝ่ายเราเสียชีวิต ๕ คน บาดเจ็บ ๕
คน ฝ่ายข้าศึกเสียชีวิต ๑๐ คน เท่าที่พบศพ และคาดว่าจะเสียชีวิตทั้งสิ้น ๕๐
คน บาดเจ็บประมาณ ๑๐๐ คน ฝ่ายเรายึดได้อาวุธยุทโธปกรณ์ของข้าศึกได้ จำนวนหนึ่ง
การรบบนที่มั่นเขาพอร์คชอป
ครั้งที่ ๓
จากการเฝ้าตรวจการณ์ทางอากาศของหน่วยเหนือมีสิ่งบอกเหตุแสดงว่า
ฝ่ายข้าศึกจะต้องเข้าตีที่มั่นเขาพอร์คชอปอีกครั้งอย่างแน่นอน ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าตีของข้าศึกสองครั้งที่ผ่านมา
ได้มาปรับปรุงการตั้งรับของหน่วยให้ดียิ่งขึ้นโดยเฉพาะที่กำบังปิด
ให้มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถต้านทานอาวุธหนักของข้าศึกได้ดีขึ้นกว่าเดิม
และได้ปรับฉากการยิงวงแหวนเหล็กเสียใหม่ ให้สามารถทำลายข้าศึกที่เข้ามาหน้าที่มั่นระยะใกล้อย่างมีประสิทธผล
ในการเข้าตีครั้งนี้ฝ่ายข้าศึกได้ยิงรบกวนด้วยอาวุธหนักชนิดต่าง
ๆ ทั้งกลางวัน และกลางคืนเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน ในคืนที่สามคือ คืนวันที่ ๑๐
พฤศจิกายน ๒๔๙๕ ตอนค่ำ ข้าศึกได้ระดมยิงอย่างหนักด้วยเครื่องยิงหนักและปืนใหญ่ไปยังเขา
อาร์เซนัล (Arsenal) และเขาเอียร์ (Eerie) ตรงปลายด้านใต้ของเขาทีโบน ซึ่งกองพันที่
๑ สหรัฐฯ ยึดอยู่ แสดงที่ท่าว่าจะเข้าตีทางด้านนั้น แต่ไม่เข้าตี จนถึงเวลา
๒๐.๐๐ น. ได้ส่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าตีทางด้านเขาโอลด์บอลดี ซึ่งกองพันทหารราบที่
๓ ของสหรัฐฯยึดอยู่ และต่อมาได้ใช้กำลัง ๑ กองพัน พร้อมด้วยกองร้อยลาดตระเวณของกรม
เคลื่อนที่เข้าสู่เขาพอร์คชอป ในการเข้าตีครั้งนี้ ข้าศึกได้ส่งกำลังเข้าตีถึง
๓ ระลอก ตลอดคืนคือ
ระลอกแรก เข้าตีเวลา ๒๓.๒๕ น. ใช้กำลัง
๒ กองร้อยเข้าตีทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ด้านที่ทำการสาย ๘ อย่างจู่โจม
โดยไม่มีการยิงเตรียมด้วยปืนใหญ่ เมื่อกำลังจากที่ฟังการณ์ทั้งสามสายถอนตัวกลับที่มั่นแล้ว
ได้มีการยิงอาวุธหนักทุกชนิดของฝ่ายเราเพื่อป้องกันที่มั่น พร้อมทั้งยิงพลุส่องสว่างทั้งจากกองร้อยอาวุธหนักของไทย
และการทิ้งพลุส่องสว่างจากเครื่องบินฝ่ายเรา เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และทิ้งระเบิดทำลายเส้นทางรุกต่าง
ๆ ของข้าศึก จนถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ข้าศึกส่วนหน้าได้แทรกซึมถึงคูสนามเพลาะ
ในเขตที่มั่นเขาพอร์คชอป เนื่องจากเครื่องกีดขวางที่กองพันทหารไทยทำไว้ถึง
๘ ชั้น ทำให้ข้าศึกไปติดอยู่แนวลวดหนาม
และถูกยิงตาย ณ ที่นั้นเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีบางส่วนเข้าเล็ดลอดผ่านเข้าไปได้
จึงมีการต่อสู้กับทหารไทยถึงขั้นตะลุมบอนเป็นจุด ๆ ข้าศึกใช้ลูกระเบิดขว้างตามช่องที่กำบังปิด
เช่นปล่องเตายิง ช่องยิง ช่องระบายอากาศ และประตูที่กำบังปิด รวมทั้งคูติดต่อที่ทหารไทยยึดอยู่
การต่อสู้ขั้นตะลุมบอนเป็นไปประมาณ
๒๐ นาที กองพันได้ส่งหมวดรบพิเศษเข้าไปเสริมกำลัง
โดยเคลื่อนที่ฝ่าฉากการยิงของเครื่องยิงลูกระเบิด
และปืนใหญ่เข้าไป จนเข้าไปถึงที่มั่นบนเขาพอร์คชอปได้เมื่อ เวลา ๐๐.๑๕ น.
ขณะที่การสู้รบในระยะประชิดยังดำเนินต่อไป
หลังจากการยิงกระสุนแตกอากาศของปืนใหญ่ฝ่ายเราเหนือที่มั่นสงบลงแล้ว หมวดรบพิเศษก็นำกำลังเข้าผลักดันข้าศึก
ร่วมกับฝ่ายเราที่บนที่มั่นจนสามารถผลักดันให้ข้าศึก ถอยกลับไปด้วยความสูญเสียอย่างหนัก
ระลอกที่สอง เมื่อเวลา ๐๐.๒๐
น. ฝ่ายข้าศึกประมาณ ๑ กองพัน เข้าตีที่มั่นเขาพอร์คชอปอีกระลอก โดยเข้ามาถึงสามทิศทาง
คือทางทิศเหนือตรงที่ฟังการณ์สาย ๔ ทางทิศตะวันออกตรงที่ฟังการณ์สาย ๒ และทางทิศตะวันตก
ตรงที่ทำการสาย ๘ ฝ่ายเราได้ยิงพลุส่องสว่างจากกองร้อยอาวุธหนัก เพื่อช่วยในการตรวจการณ์อยู่ตลอดเวลา
ฝ่ายเราได้ใช้เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนใหญ่ระดมยิงช่วยอย่างรุนแรง จนเวลา
๐๑.๐๕ น.ข้าศึกจึงถอยกลับไป
ระลอกที่สาม เมื่อเวลา ๐๓.๒๒ น. ฝ่ายข้าศึกได้ส่งกำลังเข้าตีที่มั่นเขาพอร์คชอป
๒ ทิศทาง ด้วยกำลัง ๑ กองร้อยเพิ่มเติมกำลัง โดยเข้าตีทางทิศตะวันออก ด้านที่ฟังการณ์สาย
๒ กับอีก ๑ กองร้อยเพิ่มเติมกำลังทางทิศตะวันตก ด้านที่ทำการสาย ๘ หน่วยเหนือได้ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดสะกัดเส้นทางส่งกำลังหนุนของข้าศึก
และทิ้งพลุส่องสว่างหน้าแนว ตามคำขอของกองพันทหารไทย เมื่อข้าศึกส่วนใหญ่เคลื่อนที่เข้ามาในพื้นที่การยิงฉากที่เตรียมไว้
ก็เริ่มยิงฉากวงแหวนทันที กองร้อยอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้ถูกระดมยิงจากข้าศึก หรือถูกยิงเพียงประปราย
ต่างก็ระดมยิงช่วยหน่วยบนที่มั่นเขาพอร์คชอปอย่างเต็มที่ แต่ข้าศึกส่วนหนึ่ง
สามารถเคลื่อนที่ถึงหน้าแนวที่มั่นเขาพอร์คชอปได้ เครื่องกีดขวางของฝ่ายเราถูกทำลายด้วยปืนใหญ่
และบังกาลอร์ตอร์ปิโด
ที่ใช้ยิงเจาะช่องเข้าไป
เกิดการต่อสู้กันในระยะประชิด ฝ่ายเรามีการปรับปรุงการตั้งรับให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
โดยกำหนดให้ปืนกลตั้งยิงในที่กำบังปิดทั้งหมด ส่วนพลปืนเล็กให้ต่อสู้อยู่ในคูยิงนอกที่กำบัง
ทำให้ข้าศึกถูกยิงตายเป็นอันมาก ส่วนที่เล็ดลอดเข้ามาได้ก็ตกเป็นเป้ากระสุนของฝ่ายเราอย่างเต็มที่
เมื่อจวนใกล้สว่างข้าศึกจึงเริ่มหยุดการเข้าตี และถอนตัว คงเหลือกำลังประมาณ
๑ หมวด ยึดภูมิประเทศคุมเชิงอยู่ที่ลาดเขาพอร์คชอปทางด้านเหนือ และถอนตัวกลับไปเมื่อ
๐๗.๐๐ น. ฝ่ายเราได้ส่งหมู่ลาดตระเวณติดตามข้าศึก และสามารถจับเชลยศึกได้
๔ คน
ผลการเข้าตีครั้งนี้ ข้าศึกระดมยิงปืนใหญ่ และเครื่องยิงหนักต่อที่มั่นเขาพอร์คชอปเป็นจำนวนประมาณ
๒,๗๐๐ นัด ฝ่ายไทยเสียชีวิต ๑๒ คน บาดเจ็บสาหัส ๓ คน บาดเจ็บเล็กน้อย ๕๔ คน
ฝ่ายข้าศึกเสียชีวิตนับศพได้ ๒๐๔ ศพ วันรุ่งขึ้นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่
๒ สหรัฐฯ ได้เดินทางไปเยี่ยม เมื่อเห็นสภาพการสู้รบแล้วก็ได้กล่าวกับผู้บังคับกองพันทหารไทยว่า
"ข้าพเจ้าไม่มีอะไรสงสัยในจิตใจแห่งการต่อสู้ของทหารไทยอีกแล้ว"
เนื่องจากกองพันทหารไทยได้รับความบอบช้ำอย่างหนัก จากการถูกข้าศึกเข้าตีถึง
๓ ครั้ง ในห้วยระยะเวลาเพียง ๑๐ วัน แต่ยังไม่ถึงกำหนดเวลาการผลัดเปลี่ยน
จึงได้พิจารณาให้กองร้อยที่ ๑ ถอนตัวกลับไปพักผ่อน และให้กองพันที่ ๒ สหรัฐฯ
ซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายขยายพื้นที่ความรับผิดชอบเข้ามาแทน
ในการรบดังกล่าวกองพันทหารไทย และทหารไทย จึงได้รับ อิสริยาภรณ์ เหรียญตรา
และเกียรติบัตรชมเชยในการประกอบวีรกรรมครั้งนี้ รวมทั้งสมญานาม
Little
Tiger (พยัคฆ์น้อย) จากพลเอก แวนฟลิค แม่ทัพที่
๘ สหรัฐฯ สมญานามดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในสมรภูมิเกาหลี
ต่อมาเมื่อ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ จอมพล ป.พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ได้มีหนังสือชมเชยการปฏิบัติการรบของกองพันทหารไทยที่เขาพอร์คชอป และต่อมากองพันที่
๘ สหรัฐฯ ได้มอบเกียรติบัตรของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เพื่อเชิดชูวีรกรรมอันดีเด่น และเป็นเกียรติประวัติแก่กำลังพล ในกองพันทหารไทยผลัดที่
๓ จำนวน ๒๙ คน เป็นลิเยียนออฟเมอริต
ดีกรีเลยอนแนร์ ๑ คน คือ พันโท เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เหรียญซิลเวอร์สตาร์
๙ คน เหรียญบรอนซ์สตาร์
ประดับอักษรวี ๑๕ คน เหรียญบรอนซ์สตาร์
๔ คน
การปฏิบัติหน้าที่เป็นกองหนุน
กองพันทหารไทยได้รับคำสั่งให้ลงไปเป็นกองหนุน เมื่อ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ โดยไปตั้งอยู่ที่ตำบลมักโกลเมืองชอร์วอน
ซึ่งอยู่บริเวณหลังแนวเจมส์ทาวน์
การปฏิบัติการรบ
ณ ที่มั่นตั้งรับแนวเจมส์ทาวน์ ด้านเอกซ์เรย์ - (X-1)
กองพันทหารไทยได้รับคำสั่งให้ขึ้นประจำที่มั่นตั้งรับแนวเจมส์ทาวน์ด้านเอกซ์เรย์
- 1 เมื่อ ๓ ธันวาคม ๒๔๙๕ ในพื้นที่ตรงกลางของกรม ต่อมาเมื่อ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๙๕
ได้มีพิธีรับ - ส่งหน้าที่ ผู้บังคับกองพันทหารไทย ระหว่างพันโทเกรียงศักดิ์
ชมะนันท์ ผู้บังคับกองพันผลัดที่ ๓ กับ พันตรี บุญ รังคะรัตน์ ผู้บังคับกองพันผลัดที่
๔
พิธีฌาปนกิจศพทหารผลัดที่
๓
ได้มีพิธีฌาปนกิจศพทหารไทย จำนวน ๒๘ ศพ ตามประเพณีทางพุทธศาสนา ณ วัดชานเมืองปูซาน
เมื่อ ๑๘ ธันวาคม ๒๔๙๕ แล้วนำอัฐิไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลที่วัดนิธิฮงวันจี
ที่กรุงโตเกียว โดยเชิญเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว พลเอก คลาร์ก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองบัญชาการสหประชาชาติ
และผู้อำนวยการทหารประเทศต่าง ๆ ร่วมพิธีครั้งนี้ด้วย จากนั้นจึงนำอัฐิกลับประเทศไทย