บันทึกจดหมายเหตุของ คุณฉบับ ชูจิตารมย์ ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ.
๒๔๘๗ ปลายสงครามมหาเอเซียบูรพา ใช้ภาษาและตัวเขียนภาษาไทยในครั้งนั้น
เป็นการปฎิบัติงานของฝ่ายพลเรือนที่ไปสนับสนุนการสร้างทางให้แก่กองทัพพายัพ
ที่ขึ้นไปปติบัติการในสหรัฐไทยเดิม
๔ ธันวาคม
๒๔๘๔
ก่อนสงครามมหาเอเซียบูรพา ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปติบัติงานด่วนอีก เมื่อสงครามยี่ปุ่น
- อังกริด - ไทย ได้ร่วมรบเป็นพันธมิตรกับยี่ปุ่น การเดินทางคราวนี้เป็นไปอย่างเร่งด่วนมาก
และได้ไปถึงตาก ข้ามน้ำปิง ถึงที่ปติบัติงานตำบลท่าช้างตายริมห้วยแม่ท้อ
๒๐ ธันวาคม
๒๔๘๔
มีคำสั่งบรรจุกำลังของ ผสส. (ผู้บันชาการทหารสูงสุด จอมพลป. พิบูลสงคราม)
ให้ทำหน้าที่กำกับการสร้างทางลำลอง จากตาก
ให้ถึงแม่สอดภายใน
๓๐ วัน ถ้าไม่เส็ดจะพิจารนาโทสตามกดอัยการสึก การทำงานครั้งนั้นได้เป็นไปอย่างรีบเร่งมาก
ได้เกนคนงานจากตาก สุโขทัย เถินและกำแพงเพ็ชร ประมาณ ๒ - ๓ พันคน
ฝ่ายทหารมี พันโท.ม.ล.โอสด ทินกร และ ช.พัน ๓ ยย. และ ช.ยี่ปุ่น หนึ่งกองร้อย
จึงได้แบ่งหน้าที่มอบหมาย ปติบัติไปตามส่วนและจัดการเส็ด รถยนต์ข้ามทิวขุนเขาจากตาก
- แม่สอด - น้ำเมย - เมียววดี - กรุกกริกได้สดวก
๑ มีนาคม
๒๔๘๕
ระหว่างปติบัติงานได้มีเครื่องบินข้าสึกเข้าโจมตีสนามบินตาก ถูกเครื่องบินยี่ปุ่นไหม้
๔ เครื่อง เครื่องบินไทย ๒ เครื่อง และถูกโจมตีที่สนามบินแม่สอด ถูกเครื่องบินยี่ปุ่นไหม้
๑ เครื่อง ร้อยตรีทหารไทยตาย ๑ คน แล้วเครื่องบินข้าสึกยังได้ยิงกราดด้วยปืนกล
ตามเส้นทาง แต่ไม่เกิดความเสียหายแต่ประการใด เมื่อ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๘๕
ได้กลับจากปติบัติการ รวมเวลาประจำการหยู่ประมาณ ๑ ปี ถึงได้มีคำสั่งย้ายไปประจำกองทางสนาม
กองทัพพายัพอีกตั้งแต่
๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๕ เป็นการออกคำสั่งล่วงหน้าก่อนงานเส็ด
ฉันรู้สึกท้อใจและเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากที่จะต้องไปประจำทำงานสนามบินอันเร่งด่วน
เพราะเวลาปกติก็ได้ประจำแผนสำหรวด ได้ตรากตรำเดินทางบุกป่าผ่าเขาหยู่แล้ว
ตลอดมาเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี แม้นจะได้ร้องเรียนกับผู้บังคับบันชาบ้าง ก็มิได้รับความเห็นอกเห็นใจประการใด
จึงจำต้องเดินทางไปทำหน้าที่ตามคำสั่งตามกดอัยการสึก
ได้เดินทางถึงกองทางสนาม กองทัพพายัพที่ตำบลท่าขี้เหล็ก
สหรัถไทยเดิม เมื่อ ๑ มกราคม ๒๔๘๖ แล้วได้รายงานตัวต่อนายชื้น
ยงใจยุทธ หัวหน้ากองทางสนามกองทัพพายัพ แล้วได้รับคำสั่งให้ไปเป็นผู้ควบคุมทางตอนพยาค
- เชียงตุง
สำนักงานหยู่ที่ดอยจิ้งก่า เชียงตุง ฉันเป้นคนที่สุขภาพซาม และเป็นโรคโลหิตจาง
เมื่อถูกอากาสหนาวทางสหรัถไทยเดิม กล่าวได้ว่าแทบเหลือทนเพราะจาก ๑๐.๐๐ น.
เช้า ถึง ๑๖.๐๐ น. เย็นเท่านั้นที่พอมีแดดบ้าง นอกจากเวลานั้นก็ปกคลุมไปด้วยเหมย
(หมอก) ตลอดเวลา บันดาพี่น้องชาวสหรัถไทยเดิมส่วนมากนับว่าผอมและสุขภาพไม่ค่อยดีเหมือนกัน
แต่รู้สึกว่าเขาใช้เครื่องนุ่งห่มไม่มากเหมือนพวกเรา การพูดจาคงรู้เรื่องกัน
จะแตกต่างผิดเพี้ยนกันบางคำ และสำเนียงเท่านั้น วัธนธรรมของชาวเมืองเชียงตุง
ถือแบบพม่า ส่วนเมืองนอก ๆ ชาวดอยคงเป็นไปตามสภาพไทยเดิม ตลอดจนอาหารการกิน
ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ภูมิประเทสของสหรัถไทยเดิม ควรจะเรียกได้ว่าเป็นดินแดนแห่งป่าและภูเขา
หากมีที่ราบลุ่มระหว่างเขาขึ้นสัก ๑ ตารางกิโลเมตร ตรงนั้นก็คงจะเกิดเป็นเมืองขึ้น
เช่นเมืองเลน เมืองพยาค
เป็นต้น เมื่อเข้ามาครั้งแรกได้ไปรายงานตัวกับพลโทจิระ วิชิตสงคราม
แม่ทัพกองทัพพายัพ และประมานปลายเดือนมกราคม ๒๔๘๖ ผู้บันชาการทหารสูงสุด
ได้ไปเยี่ยมถึงบ้านนารี แล้วกลับที่พักที่บ้านบนเขาท่าขี้เหล็ก ริมแม่สายสหรัถไทยเดิม
๒๙ กุมภาพันธ์
๒๔๘๖
เชียงตุงได้ถูกโจมตีทางอากาสด้วยเครื่องบิน ๗ เครื่อง ที่พักกองทางสนามถูกยิงรอบ
เกิดไฟไฟไหม้ป่า ต้องรื้อโรงเรือนบางหลังออก แต่ไม่เกิดความเสียหายแก่ชีวิต
และทรัพย์สิ่งของประการใด เป็นเคราะห์ดีที่มีกองหิน อิด ที่รื้อตั้งไว้ สูงประมาน
๑ เมตร ฉันและคนงาน ๑ คน ได้อาลัยหลบกะสุนปืนกลจากเครื่องบินข้าสึกได้ เพราะยังมิได้จัดทำที่หลบภัย
หย่างใด และได้พิจารนาเห้นว่า ที่ตั้งสำนักงานเก่าหยู่บนเขาเด่นชัด เป็นโรงยาวถึง
๓๐ เมตร จึงได้รื้อย้ายไปตั้งข้างเขาใต้ต้นไม้ พออาสัยกำบังได้บ้าง ต่อจากนั้นมาเชียงตุงก็ได้ถูกโจมตีเรื่อย
แต่กองทางสนามปลอดภัย
เมื่อ พล.สคค.
(กองพลสร้างทางคมนาคม) อันมีพันเอกพระอุดมโยธาธิยุต (สด รัตนาวดี)
เป็นผู้บันชาการกองพล ได้ตั้งขึ้น ฉันได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกสากรม สคค.๑
ประจำที่บ้านปางล้อ
ตั้งแต่ เมษายน - พฤษภาคม ๒๔๘๖ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ควบคุมส้างทาง
รับงานจากกรม สคค.๒ สายเมืองเลน - เมืองพยาค หยู่จนถึง ๓๐ มิถุนายน
๒๔๘๖ จึงได้ยุบ พล.สคค.
ฉันได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้ากองทางสนาม กองทัพพายัพประจำที่ สบปางและท่าขี้เหล็ก
จนถึง ๑๘ สิงหาคม ๒๔๘๖ ได้รับโทรเลขคำสั่งจาก ผสส. แต่งตั้งให้รักษาการหัวหน้ากองทางสนามกองทัพพายัพ
และมีคำสั่งทัพบกสนามให้เข้าบันจุในอัตรากำลังพลกองทัพพายัพ จึงได้เข้ารับตำแหน่งจากนายชื้น
ยงใจยุทธ แล้วปติบัติการต่อไป
การปติบัติการในขั้นต่อไปนี้ แม้แสนที่จะหนักใจเนื่องจากสถานะการน์ ขาดแคลนและถูกถอนพนักงาน
เครื่องมือ เครื่องใช้ทุกอย่างไปเสีย ๓ ใน ๔ จึงก่อให้เกิดความหนักกายหนักใจแก่เจ้าหน้าที่ทุกชั้นอย่างยิ่ง
เพราะทางที่ควบคุมมีระยะยาวประมาน ๓๒๐ กิโลเมตร แต่ก็ได้พยายามแก้ไข ฟาดฟันอุปสักกันไปเรื่อย
ได้ปรับปรุงโยกย้ายเจ้าหน้าที่ และหยิบยืมเครื่องมือเครื่องใช้จากกองทัพพายัพ
เข้าแก้ปัญหาจึงดำเนินการได้ตลอดมา
แม้ว่าเครื่องบินข้าสึกจะได้เปิดจากการโจมตีรบกวนอย่างกว้างขวาง และรุนแรงตั้งแต่
มีนาคม ๒๔๘๗ เป็นต้นมา บันดาข้าราชการ พนักงาน และคนงานของกองทางสนามคงอดทน
ตั้งหน้าปติบัติหน้าที่โดยไม่ท้อถอยต่อการโจมตีของข้าสึก
๓๐ เมษายน
๒๔๘๗
เครื่องบินข้าสึกได้เข้าโจมตีท่าขี้เหล็กเป็นครั้งแรก ได้ทิ้งระเบิดที่สพานแม่สาย
และที่กองทางสนามรวม ๒ แห่ง ฉเพาะกองทางสนามถูกทิ้งระเบิดสังหาร ๑๒ ลูก พัสดุซึ่งได้โยกย้ายสิ่งของไปแล้วส่วนมาก
ถูกระเบิดพังแต่ไม่มีอันตรายถึงเสียชีวิต สิ่งของ รถยนต์ชำรุดเสียหายเล็กน้อย
๑ พฤษภาคม
๒๔๘๗
เครื่องบินข้าสึกได้เข้าโจมตีทิ้งระเบิดสพานแม่สายและยิงกราดซ้ำอีก แต่สพานแม่สายรอดอันตราย
หน่วยอื่นเสียหายเล็กน้อย ลูกระเบิดตกพลาดที่หมาย เครื่องบินข้าสึกได้ออกล่าตามทาง
ยิงรถยนต์ เกวียนและวัวต่างของทหาร จากแม่สายถึงเชียงตุง
๕ พฤษภาคม
๒๔๘๗
เครื่องบินข้าสึกได้เข้าโจมตีทิ้งระเบิดสพานแม่รวก
สพานเหมืองแหยง
รวม ๖ ลูก ลูกระเบิดตกพลาดที่หมาย ต่อจากนั้นเครื่องบินข้าสึกได้ออกล่าตามทาง
จากแม่สาย ยิงเกวียนกองสนาม ถูกวัวตาย ๓ ตัว บาดเจ็บ ๑ ตัว รถยนต์บรรทุก ๓.๖
ตัน ถูกยิงหลังคาทะลุ ๒ แห่ง วันนั้นฉันได้เดินทางไปตรวดงานที่เชียงตุงก่อนที่เครื่องบินข้าสึกจะโจมตีสพานแม่รวก
ได้บินผ่านฉันที่พยาคเวลาประมาน ๑๔.๓๐ น. รวม ๗ เครื่อง โดยมิได้โจมตี
ฉันได้รีบออกรถพ้นพยาคโดยด่วน เพราะมีรถยี่ปุ่นผ่านและจอดขวักไขว่มาก
แต่พอวิ่งรถพยาค ๑๐ กิโลเมตร เวลาประมาน ๑๕.๐๐ น. ก็ได้เห็นเครื่องบินข้าสึก
๓ เครื่อง บินกวดมาทางหลัง ได้รีบสั่งหยุดรถข้างทางทันที แล้วออกวิ่งโดยเร็ว
เพราะเครื่องบินทั้ง ๓ กำลังมุ่งหน้าจิกหัวตรงลงมา พอลุยน้ำข้ามถึงโกรกห้วย
ฟ้าก็ผ่าดังสนั่น ฉัน นายเอี้ยงพนักงานขับรถ นายเทพนายจิตต์ ช่างทางได้หลบกันหย่างอกสั่นขวันหาย
พอเงียบเสียงปืนเครื่องบินข้าสึก ก็ได้ร้องถามว่าใครได้รับอันตรายบ้าง ได้ความว่า
พวกเราและคนงานปลอกภัยทุกคน ต่างปราสัยกันถึงความตื่นเต้นที่ได้รับ พูดยังไม่ทันทั่วคน
ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินมาอีก ๑ เครื่อง และจิงหัวทันที่เมื่อเห็นรถจอดอยู่
คราวนี้พวกเราไม่ลุยน้ำข้ามโกรกห้วย ได้หลบกำบังอยู่ใต้หัวสพาน เพราะสดวกและปลอดภัยดีกว่า
เครื่องบินข้าสึกได้ปล่อยกะสุนปืนกลขนาด ๑๒.๕ มม. ให้เราอีก ๑ ชุด เดชะคุณพระรัตนไตร
และอำนาดแห่งความเสียสละของพวกเราเพื่อชาติ กะสุนปืนได้ตกพลาดไปหลังที่หมายทั้งรถและคนแคล้วคลาดไปหมด
จึงเป็นที่น่ายินดีแก่พวกเรามาก แต่น่าเสียใจที่ได้เห็นพวกพนักงานบางคนที่ยังโง่เขลา
หรือจะตื่นเต้นจนเกินเหตุไปก็ไม่ทราบ เพราะปรากดว่าได้หลบข้างริมโกรกห้วยที่ไม่มีกำบังเป็นที่อับกะสุน
กะสุนเครื่องบินข้าสึกได้ตกคร่อมระหว่างเขาทั้ง ๒ อย่างน่าขวัญหาย และฝังบี้แบบอยู่ในดิน
เขาทั้ง ๒ ได้พยายามขุดขึ้นมาได้คนละกอบ แล้วฉันจึงได้ชี้แจงวิธีหลบหาที่กำบังให้แก่เขา
ให้เข้าใจเพื่อไว้ระวังรักษาตัวต่อไป ในวันนั้นได้เดินทางไปถึงเชียงตุงตามทางได่ผ่านรถยนต์ถูกยิง
วัวตายและเจ็บ ที่ท่าเจี่ยว
เนื่องจากการล่าของเครื่องบินข้าสึกเช่นเดียวกันกับที่ฉันถูกมา แต่เป็นที่น่าเสียใจสำหรับเขา
๑๐ พฤษภาคม
๒๔๘๗
มีเครื่องบินตรวดการข้าสึก มาบินวนเวียนที่บริเวนท่าขี้เหล็ก และแม่สาย ประมาน
๒ - ๓ นาที แล้วหายไปทางเหนือ
๑๔ พฤษภาคม
๒๔๘๗
เนื่องจากเราได้เว้นการถูกโจมตีมา ๘ วัน ทำให้เกิดความประมาท จึงเมื่อประมาณ
๑๑.๐๐ น. พนักงานได้นำคนงานมา ขนของลงไปหลบภัยหลังที่พัก ฉันได้บอกว่าไม่เป็นไรกะมัง
วันนี้ไม่ต้องก็ได้เพราะท้องฟ้ามีเมคเป็นพยับฝน จึงต่างก็ได้นั่งทำงานกันไปจน
๑๒.๐๐ น. จึงหยุด พอเวลา ๑๒.๑๐ น. อาหารได้ยกวางพร้อมบนโต๊ะ ฉัน นายบูรนะ
และนายเกีรยติ ก็ได้เข้านั่งกินข้าว พอเปิบกันได้คนละช้อน ๒ ช้อน ก็ได้ยินเสียงค้องสัญญานหลบภัยแม่สายดังขึ้น
ผู้คนต่างพากันวิ่งเข้าหลุมหลบภัย ฉันชักไม่พอใจเพราะการวิ่งหลบภัยของคนงานมักเป็นเด็กเลี้ยงแกะ
(แตกตื่น) ไม่จิงอยู่บ่อย ๆ จึงได้ถามว่า วิ่งทำไมกัน เขาบอกว่ามีสัญญานหลบภัย
ขนะนั้นพอดีได้ยินแตรเหตุสำคัญของทหารเป่าอีก
ฉันก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อว่าเครื่องบินจะมา แต่ได้หิ้วกระเป๋าหนังขนาด ๒ ฟุดครึ่ง
ซึ่งได้ใส่เงินและสิ่งของใบสำคัญที่รวบรวมไว้จากการใช้จ่ายเงินตอนเชียงตุง
- พยาค - ยอง
ยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าปึก จึงได้วางไว้ที่หัวบันไดก่อนแล้ววิ่งลงมาดู เพราะได้ยินเสียงหึ่ง
ๆ พอลงกลางถนน ก็เห็นเครื่องบินข้าสึกเป็นหมู่ ๆ เลยแม่สายไปตามลำน้ำโขง
ประมาณ ๑๖ เครื่อง กำลังแปรขบวนทำวงเลี้ยวกลับจิกหัวหาแม่สายเป็นหมู่ละ
๓ เครื่อง ขนะนั้นฉันใจหาย ครั้งจะกลับขึ้นบ้านรวบรวมของก็ไม่ทันแล้ว จึงได้วิ่งเข้าหลุมข้างเสาธง
ซึ่งได้ขุดทำขึ้นใหม่ เวลานั้นในหลุมที่ฉันอยู่ มีฉัน นายเกียรติ นายสมคิด
พลทหาร ๑ คน และคนงานไม่ซาบชื่ออีก ๓ คน
ฝูงบินข้าสึกได้จิกหัวมาหมู่ละ ๓ เครื่อง พอปรากดเสียงเครื่องบิน บนหลุมก็มีเสียงกำปนาทของลูกระเบิด
และปืนกลดังอย่างหูดับตับไหม้ เสียงเปรี้ยง ๆ แล้วก็ตึง ๆ ๆ ตูม อาการสท้อนสเทือนของอำนาดลูกระเบิดทั้งเล็ก
และใหย่ ทำให้คนภายใน ซึ่งก้มฟุบหยู่ตามก้นร่องหลุม ตัวสั่นสเทือน และกะท้อนขึ้นลง
ดินที่ถมไว้บนหลุมได้ไหลพังลงเรื่อย ๆ หมู่หนุ่งแล้ว ก็หมู่ต่อไป จนหมด ๕
ฝูง ขนะนั้นผู้อยู่ภายในหลุมทุกคน ต่างระลึกและสาธยายคุณพระรัตนไตรกันพึมพำ
บางขนะได้ยินเสียงร้องแสดงความตกใจ บ้างก็วิ่งออกมาข้างนอก เนื่องจากความตื่นเต้นอย่างสุดขีด
ฉันได้ยึดและปลุกขวันไว้ โดยให้สติว่า เราทุกคนทำงานด้วยความบริสุทธิ์ เพื่อชาติ
- ศาสนา - พระมหากสัตริย์ และรัถธัมนูญ ฉะนั้น ผลแห่งการปติบัติหน้าที่นี้
คงปกป้องบันดาลให้เราแคล้วคลาดได้โดยแน่นอน หลบหยู่ประมาณ ๑๐ นาที
เมื่อเงียบเสียงระเบิด ฉันจึงค่อย ๆ โผล่หัวออกมาจากหลุม เพราะเข้าใจว่า
เครื่องบินข้าสึกกลับหมดแล้ว ขนะนั้นได้มีนายสมคิด นายเกียรติ และทหารตามออกมาด้วย
การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ พอมองไปรอบ ๆ ถึงทางด้านแม่โขง - แม่สาย
ปรากดว่าเครื่องบินข้าสึกได้แยกออกปติบัติการเดี่ยวเป็นเครื่อง ๆ บินทำวงทยอดกันมาอีก
จึงได้สั่งให้รีบเข้าหลุมเดิม ขนะนั้นมีเรื่องหน้าขันเกิดขึ้น คือนายสมคิดซึ่งได้ออกมาดูข้างนอก
ต้องการจะเข้าหลุม แต่นายเกียรติยังหยากมองดูอีก จึงเกิดขวางทางกันตรงปากช่องเข้าหลุม
นายสมคิดได้เอะอะนายเกียรติเสียงลั่น แม้จะขันบ้างแต่ไม่ปรากดอาการแม้แต่ยิ้ม
เพราะยิ้มไม่ออก ฉันได้บอกให้นายเกียรติรีบเข้าไป เพราะเครื่องบินข้าสึก ได้ชักโขลงเรียงหนึ่งลงมาแล้ว
เกือบจะช้าไปบ้างเพราะพอฉันซึ่งเป็นคนเข้าสุดท้ายเข้าไปในหลุม ก็ปรากดเสียงปืนจากเครื่องบินข้าสึกดังขึ้น
พร้อมด้วยลูกระเบิดตกที่สพานแม่สาย ต่อจากนั้น ทั้งหลุมแทบจะหมดสติสมปรึดี
เพราะลูกระเบิดได้ตกไม่ขาดระยะ ดินและต้นหญ้าที่ถมไว้บนหลุมหนาประมาณ
๕๐ เซนติเมตร ซึ่งได้ถูกระเบิด กะจาย กะเด็นออกในตอนแรก ๆ
จนมีสีแดงเหมือนขุดใหม่ เหลือบางอยู่แล้วนั้น เมื่อได้ถูกซ้ำเติมอย่างชนิดลืมหูลืมตาไม่ขึ้น
ก็ย่อมกะเด็นกระจายไป..... ตูม - ตูม - ตูม ดินข้างหลุมได้พังถล่มไหลท่วมสีข้างฉันขึ้นมา
มิหนำดินข้างบนได้รั่ว ร่วงพรู ไหลกลบมาบนหัวบนหลังอีก ฉันตกใจและขยับตัวขึ้น
และยิ่งตกใจอย่างสุดขีด ที่คนงานคนหนึ่งได้ร้องขึ้นว่า "หลุมพังทับตายแล้ว"
และจะวิ่งออกมา ฉันได้ให้นายเกียรติจับตัวไว้ เพราะเวลานั้นไม่เห็นกันเลย
ควันดินระเบิดได้อบเต็มหลุมไปหมด หายใจแทบไม่ออก เมื่อเหลือบตาขึ้นข้างบน
ก็เห็นแสงสว่างทะลุเข้ามาตามรูที่ระเบิด ดินไหลลงมาทับตัว รู้สึกเหมือนกับจะเป็นลม
แต่ปากก็คงตะโกนห้าม และให้สติอยู่เสมอ ในปากและจมูก เต็มไปด้วยทราย
ขนะนั้นขากันไกรฉันได้หยุดแข็งขึ้นมาทันที และรู้สึกตัวว่า กะท้อนขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดขนาดหนัก
ซึ่งฉันซาบภายหลังว่า ได้ตกที่หัวหลุม เพื่อนร่วมตายของฉันที่หลุมบนห่างประมาณ
๕ เมตร หูดับหมด ดินก็ไหลเรื่อยจนฉันรู้สึกว่าเราจะถึงที่อับจนเสียงแน่
กะมั่ง
ขนะนั้นเสียงเครื่องบินข้าสึกได้ดังห่างไป เสียงระเบิดและอาการกะเทือนยังมีอยู่ทุกคนพยายามสงบใจนิ่ง
เวลานั้นทุกคนเหมือนตายหมด ฉันสติดีขึ้นได้เอื้อมมือไปจับนายสมคิด เรียกก็ไม่ตอบ
จึงเขย่าจึงได้รับตอบ และถามว่าใครเป็นอย่างไรบ้างก็เงียบ จึงเรียกนายเกียรติ
ดีใจมากที่นายเกียรติปลอกภัย พอเงียบเสียงเครื่องบินข้าสึกในอากาสว่าไปหมดหรือยัง
เพราะขนะนั้นหูยังดับ ไม่ค่อยได้ยิน ก็ได้ยินเสียงแหลมของนายเกียรติ ร้องตะโกนดังสุดขีดว่า
"ลูกระเบิดใหย่ อยู่ริมหลุมข้างหลัง" แล้วก็ออกวิ่งตื๋อไป ฉันเหลียวขวับไปทันที
"โอ้โห!" ดำอึ้ดทึ้ดแอบหยู่ข้างหลุม มองเป็น "ผีท้องขึ้น" ทีเดียว ฉันตกใจ
ในหลุมก็แทบหมดสติสมปรึดีอยู่แล้ว เมื่อมาถูกเช่นนี้ รู้สึกคล้ายพบมัจจุราช
เพราะขนะนั้นแม้เครื่องบินข้าสึกจะหายไปแล้วก็ดี แต่เสียงระเบิดก็ยังดัง ตูม
- ตูม - ตูม..... อยู่เป็นระยะ ๆ ทั่วไป เพราะบางลูกเป็นระเบิดช้า
รู้สึกคล้ายกับจะหมดกำลังเรี่ยวแรง แต่เมื่อเห็นพวกเรา ต่างวิ่งกันไม่คิดชีวิต
ฉันก็ไปกับเขาได้เหมือนกัน ทีแรกว่าจะวิ่งขึ้นไปบนเขาหลังที่พักตามพวกเราไป
แต่กำลังกายใจไม่ให้ทำได้ เมื่อได้วิ่งลุยซากบ้านเรือนที่พังไปถึงข้างหลุมเพื่อนเราที่หลุมบน
ได้รีบร้องตะโกนบอกให้ออกจากหลุม เพราะไม่แน่ว่า อ้าย "ผีท้องขึ้น" นั้นจะระเบิดขึ้นมาเมื่อใด
เมื่อบอกแล้วเข้าก็วิ่งขึ้นเขากันไปแล้ว ฉันจึงไม่สามารถตามเข้าไปได้ จึงวกไปอาศัยหลุมตำหรวดหลังบ้าน
เมื่อลงไปในหลุม ปรากดว่าหลุมเต็มปรี่ ก็อาศัยซุกหัวกันสเก็ดระเบิดเขาหน่อย
และได้บอกว่าลูกระเบิดขนาดใหย่ยังไม่ระเบิด หยู่ที่ข้างหลุมฉันอีกหนึ่งลูก
ขนะนั้นเสียงระเบิดยังดังตูมตาม และเสียงหวือหวือของสเก็ดระเบิดยังคงปลิวว่อนอยู่
และพลตำหรวดนายหนึ่งก็แย้มขึ้นมาว่าได้ยินเสียงตูมใกล้ ๆ หลุมนี้ครั้งหนึ่ง
เข้าใจว่าลูกระเบิดตกแต่ยังไม่แตกเช่นกัน เลยไม่มีใครยอมออกจากหลุม จนเวลาได้ล่วงไปประมาน
๓๐ นาที ฉันทนไม่ไหว ประกอบด้วยเสียงระเบิดได้ห่างลงมากแล้ว จึงออกจากหลุม
ก่อนอื่นรีบเพ่งสายตามองอ้ายผีท้องขึ้นก่อน ภาพที่เห็นปรกดขนะนั้นคล้าย ๆ
กับว่า มันนอนยิ้มเพล่หยู่ เลยไม่รู้จักทำอย่างไร จะไปข้างไหนก็ไม่กล้า จนเวลาล่วงไปอีกประมาน
๑๕ นาที ก็เริ่มมีคนเดินถนนและจะผ่านไปทางอ้ายผีท้องขึ้นนั้น
ฉันจึงรีบตะโกนบอก พอพวกเขาแลเห็นก็ออกวิ่งอย่างสุดลิดธิจนเวลาล่วงไปอีกราว
๑๐ นาที ผเอินมีทหารเหล่าช่างแสงชั้นร้อยเอกหนึ่งนายผ่านมา
ฉันได้รีบบอกไปอีกและ ท่านผู้เสียสละชีพเพื่อชาติได้เตรียมเครื่องมือมาพร้อมแล้วได้รีบวิ่งเข้าไปไขชนวนออก
พอเส็ดก็บอกว่าปลอดภัย ฉันหายในโล่งอก แต่เมื่อมองไปเห็นมันนอนอยู่ก็ยังคงไม่สบายใจอยู่นั่นเอง
จนกะทั่งทหารได้นำรถยนต์มา และขอคนช่วยยกขึ้นรถยนต์ ฉันรีบสั่งการเร็วจี๋
เพื่อขอให้มันพ้นไปเสียที ใช้คน ๖ คน ก็ไม่ไหว ต้องใช้ถึง ๘ คน ก็ล่อก็อึกอัก
ฉันหยากช่วยเต็มแก่ แต่ใจยังไม่ดีและยังละเหี่ยหยู่มาก พอรถเอาไปแล้วก็สบายใจหน่อย
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า มันจะมีพวกอ้ายผีท้องขึ้นนี้ไปนอนอึ้ดทึ้ดหยู่ที่ไหนอีก
และการน์ก็จริงดังว่า เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ตรวดค้นในวันต่อมา ปรากดว่ามีอ้ายผีท้องขึ้นชนิดนี้ประมาน
๓ - ๔ ลูก นอนกลิ้งอยู่ แต่ลูกที่ข้างหลุมฉันท่านร้อยเอกผู้กล้าหาญได้บอกว่าขนาดหนัก
ประมาน ๕๐๐ ปอนด์ หรือ กิโลกรัมไม่แน่
เมื่อเส็ดพิธีเชินอ้ายผีท้องขึ้นไปรถแล้ว ปรากดว่าฉันไม่สามารถปติบัติการอย่างไร.....
บอกไม่ถูก มองไปทางใดก็ราบเรียบพังทลาย เสียงไฟไหม้โรงเรือนและควันยังขึ้นโขมงหยู่
จึงได้พากันไปดูบันดาเอกสารใบสำคัญ และสิ่งของต่าง ๆ ปรากดว่า แตกหัก หลุด
พัง กะจัดกะจายละเอียดไม่มีชิ้นดี กระเป๋าหนังขนาด ๒ ฟุดครึ่ง ได้แตกละเอียดปลิวหายไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
มองหาโต๊ะอาหารปรากดว่า แหลก เขาไปทาง พื้นกะจาย ถ้วย จาน ชามแตกละเอียด จานสังกะสีขาดเหลือครึ่งใบบ้าง
ปลิวหายไปบ้าง ซ่อมช้อนไม่มีเลย ข้าวก็ไม่ได้กินและก็ไม่หิวด้วย กะเป๋าหนังขนาด
๒ ฟุดครึ่ง ซึ่งบันจุใบสำคัญและสิ่งของมีราคา อันเคยหิ้วลงหลุมพร้อมกันทุกคนนั้นแหลกละเอียด
เพราะหิ้วไปไม่ทัน ได้เอาวางไว้หัวบันไดจึงแหลกหมด มองดูมุ้ง ที่นอนกะจุยกะจาย
ท่อนไม้ กะเบื้อง ก้อนดิน เต็มไปหมด มีควันไฟพลุ่งขึ้นที่ใต้ถุน จึงพากันดับแล้วได้ช่วยกันรวบรวมเท่าที่มีเหลืออยู่เข้าเป็นกลุ่ม
กองยัดใส่กะสอบ และปรึกสากันว่าจะไปนอนที่ไหน จะไปตั้งที่ทำการที่ใด เสบียง
๙๙% ขอให้ย้ายออกนอกเขตสหรัถไทยเดิม ฉันพยายามชี้แจงว่า ควรย้ายเข้าในเขตสหรัถไทยเดิมเพราะใกล้เขตงาน
ได้โต้แย้งเหตุผลกันอยู่นาน ไม่ตกลง ฉันจึงตกลงใจสั่งให้ย้ายไปตั้งที่ทำการที่วัดบ้านแก้ว
ในเขตสหรัถไทยเดิมลึกเข้าไปอีก ๑๑ กิโลเมตร และได้ให้ขนย้ายสำนักงานแต่ในคืนนั้น
ส่วนฉันคงนอนเฝ้าอยู่ท่าขี้เหล็กเพราะไม่มีคน สำหรับ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๘๗
เครื่องบินข้าสึกได้โจมตีเฉพาะสพาน และฝั่งท่าขี้เหล็กเท่านั้น พอรุ่งขึ้น
๑๔ พฤษภาคม ๒๔๘๗ เช้า ต่างคนก็เตรียมหีบห่อไปเข้าถ้ำ ขึ้นเขา หลบภัยกันหมด
เพราะกลัวเครื่องบินข้าสึกจะมาโจมตีซ้ำเติม ฉันคงยังอยู่เพราะไม่มีใครอยู่
พอ ๑๑.๐๐ น. ล่วงไปแล้ว อกในให้ระทึกอยู่ตุ๊บ ๆ หูก็แว่วได้ยินอยู่แต่เสียงเครื่องบิน
เสียงรถยนต์วิ่งมาก็ขยับวิ่งจะเข้าหลุม พอเวลา ๑๒.๐๐ น. ก็ยังเงียบ วันนี้ฉันหยู่กับนายเกียรติ
นายจัน พนังงานขับรถยนต์ นายส่ง พนักงานสถิติ และนายพล พนักงานขับรถบด
เมื่อยังไม่มีวี่แววประการใด จึงได้ให้ ๓ คนนี้ไปหุงหาอาหารกลางวัน เขาไปจัดการกันได้ประมาน
๒๐ นาที ค้องสัญญานภัยอากาสที่แม่สายก็ดังขึ้น
พวก ๓ คน ได้พากันวิ่งมาที่หลุมที่ฉันอยู่ (หลุมของตำหรวด) ทิ้งกะทะผัดหมูไว้บนเตา
มาอยู่ที่นั้นประมาน ๒ นาที ก็ไม่ได้ยินอะไรฉันจึงบอกให้ไปเอากะทะลงเสีย
เขาได้พากันเดินไป พอถึงถนนได้พากันมองไปทางเมืองพยาค ขนะนั้นฉันนั่งหยู่ที่โรงตำหรวด
พอเสียงตึ้กตั๊ก ฉันเหลียวไปดูเขา ๓ คน ได้วิ่งน่าตื่นกลับมา ละล่ำละลักบอกว่า
"มันมาแล้ว" หลายหมู่ (วันนั้นมา ๙ เครื่อง) ฉันจึงได้ยินเสียงกะหึ่มใกล้เข้ามา
จึงได้ค่อยมองดู มันมาคราวนี้ได้บินตามแนวทาง ไม่ได้มาตามน้ำโขงอย่างคราวก่อน
พอใกล้จะถึงท่าขี้เหล็ก - แม่สาย ก็ดำจิกหัวลงมาทีเดียว ฉันสารภาพว่า วันนี้กำลังใจฉันเสื่อมซามยิ่ง
ความเข้มแข็งแทบจะไม่มีเหลืออยู่ เมื่อได้ลงอยู่ในหลุม ก็ได้แต่ระลึกถึงคุณพระรัตนไตร
คุณบิดามารดา ต่าง ๆ และคิดว่าเราจะตายเสียวันนี้กะมัง ชักใจเสียมาก เมื่อมันบินผ่านคงได้เห็นว่าโรงเรือน
กองทางสนามพังเคฉิบหายหมอแล้ว จึงมิได้ทำอะไร พอเลยไปเข้าใจว่าคงเห็นสพานแม่สายยังหยู่ดี
มันก็เลี้ยวกลับ และอาการสท้อนกะเทือนก็ได้เกิดขึ้นทันที เพราะมันเริ่มโปรยลูกระเบิดทำลายขนาดหนักลงมาตั้งแต่หัวตลาดแม่สายฝั่งใต้
ถึงแถบฝั่งตะวันออก เป็นระยะห่างกันลูกละประมาน ๕๐ เมตร จนถึงสพานแม่สาย ก็ได้หย่อนขนาดหนักลงประหัดประหารสพานอย่างเหี้ยมโหดเป็นครั้งที่
๔ เดชคุณพระรัตนไตร และไทยเทวาธิราช คุ้มครองสพานแม่สาย จึงได้แคล้วคลาดไปได้ในครั้งนี้
ส่วนตลาดแม่สายฝั่งตวันออก ได้เริ่มเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง แม้กะนั้นเครื่องบินข้าสึกก็มิได้หยุดยั้ง
เวียนทิ้งระเบิดและยิงกราดด้วยปืนกลไปมาหยู่ตลอดเวลา
จนเห็นว่าพระเพลิงได้กะพือฮือโหมโชติช่วงเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็เกาะฝูงชักโขลงกลับด้วยความเบิกบานใจ
เมื่อเงียบเสียงเราต่างพากันโผล่ออกจากหลุมมองไปรอบ ๆ ได้เห็นควัน แสงไฟลุกพุ่งหยู่ที่ตลาดแม่สาย
จะไปช่วยก็ไม่ได้เพราะไม่มีคนเฝ้าดูแลสิ่งของ ที่เรี่ยราดกะจัดกะจายทั่วไป
ได้แต่นึกภาวนาเอาใจช่วยให้ไฟระงับลงเสียโดยเร็วเถิด แล้วได้พากันไปที่โรงพัสดุเพราะบ่ายลงมากแล้ว
แต่ไม่มีอาการหิวเลย มีแต่โหยละเหี่ยใจ ตื้นตันเมื่อไปถึงปราดว่ากะทะไหม้คาเตาหยู่
จึงช่วยกันจัดทำอีกพักหนึ่งก็ร่วมวงกินกัน ปรากดว่า ทุกคนกินไม่ลง ต่างนั่งกรอกไปตามมีตามเกิดกันหิว
พอเส็ดอาหารแล้ว ฉันได้ชวนนายเกียรติไปตรวจสภาพสพานแม่สาย เมื่อเดินเกือบถึงสพานได้เกิดเสียงระเบิดตูมใหย่ขึ้นข้างหลัง
กิ่งอำเภอ ได้ความว่าเป็นลูกระเบิดเวลาของเครื่องบินข้าสึกทิ้งไว้
จึงปรึกสากันว่าจะควรไปหรือไม่ ได้มีทหาร พลเรือน เดินกลับหลายคน แต่เราคงพากันเดินต่อไปจนถึงสพาน
เมื่อตรวจพิจารนาแล้วเห็นว่าสภาพเช่นวันก่อน จึงเดินเลยไปที่ตลาดไฟไหม้
เมื่อไปถึงไฟเริ่มโซมเพราะหมดไปหนึ่งแถบแล้ว เหลือหัวบ้านอีกเล็กน้อย ได้ไปเยี่ยมหน่วยโทรสัพท์
พบตายหนึ่งบาดเจ็บสาหัสหนึ่ง เจ็บเล็กน้อย ๒ แล้วได้กลับขึ้นท่าขี้เหล็ก พอตกบ่ายรถยนต์ซึ่งได้ไปหลบภัยก็วิ่งกลับมา
ก็ได้ข่าวว่า ในเที่ยวกลับเครื่องบินข้าสึกได้ร่อนกราดตามทาง และหมู่บ้านข้างทางตลอดไป
ฉันจึงขึ้นรถไปบ้านแก้ว ได้รับรายงานของนายบูรนะ และพนักงานทุกคนว่า หยู่ไม่ได้แล้ว
และหน่วยกองทางสนามเป็นจุดหมายทำลาย เพราะมีเครื่องมือเครื่องใช้มาก ควรหลบหลีกให้ปลอดภัยเพราะในสหรัถไทยเดิมดาดดื่นไปด้วยแนวห้า
(หน่วยจารกรรมของฝ่ายข้าสึก) ฉันรับซาบแล้วได้กลับมานอนท่าขี้เหล็ก
พิจารนาตกลงใจว่าควรจะย้าย จึงได้ออกตรวจหาสถานที่ในรุ่งขึ้นแต่เช้า พอข้ามสพานแม่สายก็พบกับเสนาธิการกองทัพพายัพ
และผู้บังคับหน่วยทหารช่างกองทัพพายัพ จึงได้รายงานเหตุการทั้งมวล เสนาธิการกองทัพพายัพบอกว่าควรจัดหาสถานที่ย้ายใหม่
ผู้บังคับหน่วยทหารช่างบอกว่าควรไปหยู่แถววัดขัวแคร่
ฉันได้ตอบว่า จะไปตรวจและพิจารนาดูก่อน จึงได้ลามาตรวดเห็นว่าที่วัดห้วยไคร้พอเหมาะดี
และห่างเขตงานไม่มากนัก จึงได้จัดการย้ายที่ทำการมาจากบ้านแก้วแต่ในคืนวันที่
๑๖ ส่วนฉันยังนอนท่าขี้เหล็ก
หลังจากท่าขี้เหล็กถูกโจมตีเมื่อ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๘๗ แล้วคืนนั้นทหารได้ส่ง
ปตอ. (ปืนต่อสู้อากาสยาน)
ได้ตั้งที่บนเขาหลังที่ทำการกองทางสนาม ๒ กะบอก และได้เริ่มยิงต่อสู้ในวันที่
๑๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ จึงทำให้กองทางสนามเป็นที่หมายสำรอง ในการที่เครื่องบินข้าสึกจะโจมตีต่อสู้กับ
ปตอ. ของเรา ซึ่งย่อมจะมีลูกหลงไม่ใช่น้อย จึงได้รีบย้ายน้ำมันในหลุมทุกชนิดในคืนนั้นโดยเร็ว
การทำงานไม่สะดวก มีเวลาแค่กลางคืน การบันทุกก็มากไม่ได้เพราะสะพานแม่สายชำรุด
คนงานหลบหนีหมดเกนไม่ได้เลย แม้แต่พนักงานของเราก็ใจไม่ดี ส่วนมากฉันได้ขับรถและช่วยขน
อำนวยการโดยเร่งรีบ และจำต้องปลูกส้างขนย้าย ยุดโทปกรณ์ที่ชำรุด แม้นการตรวจสอบความเสียหายก็ไม่มีเวลา
ซ้ำต่างก็ป่วยไข้ไปตาม ๆ กัน พอย้ายมาหยู่ห้วยไคร้ได้ ๕ วัน ก็มีเครื่องบินตรวดการข้าสึกเข้ามาร่อนวนเวียนอีก
ก่อให้เกิดความตื่นเต้นแก่พวกเรา และพอหยู่ได้ ๑๑ วัน ถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม
๒๔๘๗ เวลา ๑๒.๐๐ น. ขนะที่ฝนกำลังตก ได้มีเครื่องบินข้าสึก ๔ เครื่อง เข้าโจมตีสพานแม่สาย
และยิงกราดท่าขี้เหล็ก - แม่สาย เกิดความเสียหายแก่สพานแม่สายเพิ่มขึ้น และสิ่งของเสื้อผ้าพนักงานที่อยู่เฝ้าโรงงานถูกยิงทะลุแตก
ขาด เสียหาย คราวนี้เครื่องบินข้าสึกมุ่งทำลายฉเพาะสพานเป็นส่วนใหย่
จึงไม่ใคร่มีความเสียหายแก่หน่วยใด ๆ เกิดขึ้น