ประเทศอินเดีย

loading picture>

            ประเทศอินเดียตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปเอเซีย ลักษณะเป็นคาบสมุทรรูปสามเหลี่ยม ยื่นออกไปในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมักเรียกว่า อนุทวีป มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่ประมาณ ๓,๒๖๗,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของโลก หรือประมาณสองในสามของพื้นที่ทวีปยุโรป ที่ไม่รวมประเทศรัสเซีย เส้นพรมแดนทางบกยาวประมาณ ๑๕,๒๐๐ กิโลเมตร ทางทะเลประมาณ ๕,๗๐๐ กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศต่าง ๆ มหาสมุทรและทะเล ดังนี้
                    ทิศเหนือ  ติดต่อกับประเทศจีน ทิเบต และเนปาล
                    ทิศตะวันออก  ติดต่อกับประเทศบังคลาเทศ และพม่า กับมีหมู่เกาะอันดามัน และหมู่เกาะนิโคบาร์ ในทะเลอันดามัน ของมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ใกล้ประเทศพม่า ไทย และอินโดนิเซีย
                    ทิศใต้  ติดต่อกับประเทศศรีลังกา มหาสมุทรอินเดีย และทะเลอาเรเบียน โดยมีหมู่เกาะลัคคาได์ว อยู่ในทะเลอาเรเบียน
                    ทิศตะวันตก  ติดต่อกับทะเลอาราเบียน และประเทศปากีสถาน
ลักษณะภูมิประเทศ
            พื้นที่ของประเทศอินเดีย แบ่งออกได้เป็นเขตที่สำคัญอยู่สี่เขตด้วยกันคือ
            เขตภูเขา  ประกอบไปด้วย เทือกเขาหิมาลัย ทางตอนเหนือซึ่งเป็นเทือกเขาสามเทือกทอดตัว เป็นแนวที่เกือบขนานกัน สลับไปด้วยที่ราบสูง และที่ลุ่มหุบเขาในบางแห่ง เช่น หุบเขาแคชเมียร์ และหุบเขาคูล เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีทิวทัศน์ที่งดงาม บรรดายอดเขาสูง ๆ ในเทือกเขาหิมาลัย มักจะอยู่ในแถบนี้ ภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย จะมีระดับลดต่ำลง เมื่อเริ่มเข้าเขตตะวันออก เข้าสู่ชายแดนพม่า และบังคลาเทศ
            เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาและแม่น้ำสินธุ  เป็นเขตที่ถัดลงมาจากเขตภูเขา มีขนาดพื้นที่กว้างประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร และยาวประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร เป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ อันเกิดจากระบบแม่น้ำที่สำคัญ สามสายคือ แม่น้ำสินธุ   แม่น้ำคงคา และแม่น้ำพรหมบุตร บริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งรกรากอยู่อาศัยของประชากร ที่หนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นบริเวณที่พื้นที่ส่วนใหญ่ ราบลุ่มเสมอกันมาก จนเกือบจะไม่มีความสูงต่ำแตกต่างกันเท่าใดนัก ดังจะเห็นได้จากบริเวณลุ่มแม่น้ำยมนา ที่กรุงเดลฮี ไปจนถึงปากอ่าวเบงกอล ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๑,๖๐๐ กิโลเมตร แต่มีระดับความสูงต่างกันเพียง ๒๐๐ เมตร เท่านั้น
            เขตทะเลทราย  แบ่งออกได้เป็นพื้นที่สองส่วนย่อยคือ ส่วนทะเลทรายใหญ่ และส่วนทะเลทรายเล็ก
                ส่วนทะเลทรายใหญ่  อยู่ตามแนวชายแดนของอินเดียกับปากีสถาน บริเวณรัฐราชสถาน ของอินเดีย กับจังหวัดสินธุ ของปากีสถาน
                ส่วนทะเลทรายเล็ก  อยู่ทางตอนเหนือของส่วนทะเลทรายใหญ่ ขึ้นไปทางเหนือคือ จากบริเวณแม่น้ำลูนิ (Luni)  ระหว่างเมืองชัยซาลเมด์ (Jaisalmer )  และเมืองจอดห์ปุระ (Jodhpur)
            ส่วนของทะเลทรายทั้งสองนี้ มีส่วนที่ไม่ได้เป็นทะเลทรายคั่นอยู่ ซึ่งเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยโขดหิน ขาดแหล่งน้ำและฝนแล้ง ทำให้บริเวณแห้งแล้งไม่แพ้เขตทะเลทรายแท้ ๆ
            เขตที่ราบสูงคาบสมุทรภาคใต้ คือ เขตคาบสมุทรเดคคาน (Deccan)  มีอาณาเขตเริ่มจากตอนใต้ของเขตที่ราบลุ่มน้ำ โดยเริ่มจากแนวเทือกเขาใหญ่น้อยที่คั่นอยู่ เช่น เทือกเขาวินไชย (Vindhya)  เทือกเขาสัตปุระ (Satpura)  เทือกเขาไมคาลา (Maikala) และเทือกเขาอชันตา (Ajanta)  เทือกเขาเหล่านี้มีความสูงต่างกัน ตั้งแต่ ๔๖๐ - ๑,๒๒๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล
            สองฝั่งของเขตคาบสมุทรเดคคาน ก่อนถึงชายฝั่งทะเลมีเทือกเขากัทส์ (Ghats)  ตะวันออก และเทือกเขากัทส์ตะวันตกขนาบอยู่ เทือกเขาดังกล่าวทางภาคตะวันออก อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลมากกว่าทางฝั่งตะวันตก ทำให้หาดชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ฝั่งอ่าวเบงกอลกว้างขวาง หาดชายทะเลในฝั่งตะวันตกด้านทะเลอาหรับ
            ฝั่งทะเลด้านตะวันตกมีภูเขาสูงชันตามชายฝั่ง ในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ลมมรสุมจะพัดเกือบตั้งฉากกับชายฝั่ง ทำให้เกิดคลื่นลมแรง และไม่มีเกาะเป็นที่กำบังคลื่นลม มีท่าเรือตามธรรมชาติที่สะดวกต่อการจอดเรืออยู่สามแห่งคือ บอมเบย์  กัว และโคชิน
            ฝั่งทะเลด้านตะวันออก ไม่ได้รับคลื่นลมเต็มที่ ฝั่งทะเลลาดตื้นเรือใหญ่ไม่สามารถเข้าออกใกล้ฝั่งได้ ท่าเรือที่สร้างขึ้นทางฝั่งนี้ได้แก่ กัลกัตตา มัทราส และวิสาขาปัตนัม
            เทือกเขากัทส์ ทั้งสองฝั่งมาบรรจบกันตรงปลายคาบสมุทรในตอนใต้ บริเวณนี้เรียกว่า เขตเนินเขานิลคีรี (Nilgiri)
            ระบบแม่น้ำ  แม่น้ำในอินเดียแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทคือ แม่น้ำหิมาลัย แม่น้ำคาบสมุทรเดคคาน แม่น้ำชายฝั่ง และแม่น้ำในดินแดนภายใน
                แม่น้ำหิมาลัย  ปกติจะเกิดจากน้ำที่ละลายมาจากหิมะ ในภาคเหนือของอินเดีย ดังนั้น แม่น้ำเหล่านี้จะมีน้ำไหลเต็มที่อยู่ตลอดเวลา ในฤดูมรสุมเมื่อฝนตกมาก แม่น้ำเหล่านี้จะรับน้ำไว้ได้ไม่หมด จึงทำให้เกิดน้ำท่วมอยู่เสมอ
                ส่วนแม่น้ำในคาบสมุทรเดคคาน โดยปกติได้น้ำจากน้ำฝน ดังนั้นปริมาณน้ำในแม่น้ำดังกล่าว จึงมักจะมากน้อยไม่แน่นอน นอกจากนี้แม่น้ำย่อย ๆ ซึ่งไม่มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำทั้งสองประเภทดังกล่าว และอยู่ตามชายฝั่งโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก จะมีเส้นทางสั้น ๆ และมีขนาดแคบ จึงรับน้ไดได้ในปริมาณจำกัด
                สำหรับแม่น้ำในดินแดนภายใน เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ไม่มีทางออกทะเล ปลายทางของแม่น้ำหากไม่ไหลลงแอ่งน้ำ ทะเลสาป  ก็จะเหือดแห้งไปในทะเลทราย
                ระบบแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียคือ แม่น้ำคงคา ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำสาขาในระบบแม่น้ำคงคาคือ แม่น้ำยมนา แม่น้ำกากรา แม่น้ำกันดัค และแม่น้ำโคสิ
                ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา จัดได้ว่ามีความอุดสมบูรณ์ และกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด เป็นบริเวณกว้างถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ ส่วนลุ่มน้ำของระบบแม่น้ำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ รองลงมาได้แก่ ลุ่มแม่น้ำโคธาวารี (Godavari) ในเขตที่ราบสูงเดคคาน ระบบน้ำตาปี (Tapi) ในภาคเหนือ และระบบน้ำเพนเนอร์ (Penner) ในภาคใต้
                การที่อินเดียถูกแวดล้อมด้วยพรมแดนธรรมชาติรอบด้าน คือมีทั้งภูเขาและฝั่งทะเลเป็นพรมแดน ได้แยกอินเดียออกจากส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย ทำให้อินเดียตั้งอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ทำให้ชาวอินเดียมีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่มีลักษณะของตนเองโดยเฉพาะ และในโอกาสเดียวกัน พรมแดนธรรมชาติดังกล่าว ช่วยให้สามารถรักษาวัฒนธรรมของตนให้สืบเนื่องตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน
ประชากรและวิถีชีวิตของประชากร
            ประชากรอินเดีย ประกอบด้วยชนชาติหลายเผ่า หลายเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม มีสีผิวตั้งแต่ผิวขาว ถึงผิวดำ ความสูงต่ำ ดำ จางของสีผมและสีตา ทั้งนี้ด้วยเหตุที่อินเดียเป็นศูนย์รวมของเชื้อชาติหลาย ๆ เชื้อชาติ ตั้งแต่เริ่มประวัติศาสตร์ของชนชาติอินเดีย
            เชื่อกันว่าชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดียมีผิวดำ รูปร่างเล็ก เตี้ย จมูกแบน เป็นพวกเชื้อชาติดราวิเดียน คนไทยส่วนมากเรียกชาวอินเดียว่า แขกอินเดียภารตะ คนอินเดียเรียกดินแดนของตนว่า ภารตวรรษ แปลว่า ที่อยู่ของชาวภารตะ ชาวภารตะคือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพระพรต ผู้เป็นกษัตริย์ต้นวงศเการพ และปาณฑพ ในมหากาพย์ภารตะ แต่คนทั่ว ๆ ไปเรียกดินแดนนี้ว่าอินเดีย ซึ่งมาจากคำว่า สินธุ อันเป็นชื่อแม่น้ำสำคัญสายหนึ่งของอินเดีย และเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลกสายหนึ่ง
            ชนชาติพวกแรกที่อพยพเข้ามาอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำนี้คือ ชนชาติเปอร์เซียน ชาวเปอร์เซียนเรียกแม่น้ำสินธุว่า ฮินดู
            ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก ได้ยกกองทัพมารุกรานอินเดียจนถึงลุ่มแม่น้ำสินธุ ทำให้ชนชาติกรีกได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบแม่น้ำนี้ กรีกเรียกแม่น้ำนี้ว่า Indos  ชาวพื้นเมืองและชนชาติอื่นเรียกเพี้ยนไปเป็น Indus  และได้กลายเป็น India
            ชาวเปอร์เซีย เป็นเชื้อสายอินโด ยูโรเปียน สาขาอินโดอารยัน มีผิวขาว จมูกโด่ง รูปร่างสูงใหญ่ เข้ามสมัยโมเฮนโจ - ดาโร (Mohenjo - Daro) และฮารัปปา (Harappa) ซึ่งเป็นความเจริญที่เกิดขึ้นประมาณ ๒๕๐๐ - ๑๕๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช ชนพื้นเมืองที่เป็นชนผิวดำ เป็นเผ่าดราวิเดียน เรียกกันว่า พวกมิลักขะ หรือทัสยุ พวกอินโดอารยันได้รุกรานพวกมิลักขะ เมื่อประมาณ ๑๐๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช สามารถเข้าครอบครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยได้ตั้งมั่นอยู่ในมณฑลปัญจาบ แล้วขยายอำนาจไปถึงลุ่มแม่น้ำคงคา ขับไล่พวกมิลักขะลงไปทางใต้แต่บางพวกไม่ยอมอพยพออกไป จึงตกเป็นทาษพวกอารยัน ดังนั้นคำว่า ทาส จึงมาจากคำว่า ทัสยุ นั่นเอง
            ในจำนวน ๒๒ รัฐของอินเดีย มีประชากรประกอบด้วย ชนหลายเชื้อชาติ ศาสนา และภาษา โดยมีเชื้อชาติต่างกันถึง ๒๐ เชื้อชาติ ส่วนใหญ่เป็นเผ่าอารยันและดราวิเดียน โดยเป็นเผ่าอารยันประมาณร้อยละ ๗๒ เผ่าดราวิเดียน ประมาณร้อยละ ๒๕ และเป็นเผ่ามองโกลอยด์ ประมาณร้อยละ ๓
            โดยอาศัยลักษณะภูมิประเทศ และภาษาพูด ประชากรอินเดียอาจแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือ
                อินเดียภาคเหนือ  ประชากรมีลักษณะที่สืบเชื้อสายมาจากพวกอารยัน ซึ่งเข้ามาอยู่ในอินเดีย เมื่อประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล เป็นชนเผ่าที่มีอารยธรรมสูง และเป็นพวกปัญญาชน
                ชาวอารยันอาจมีเชื้อชาติเดียวกับชาวยุโรป พวกนี้ได้แบ่งชีวิตสังคมของตนออกเป็นชั้นวรรณะ ส่วนใหญ่พูดภาษาฮินดี มีรัฐใหญ่ ๆ อยู่หลายรัฐ เช่น ปัญจาบ ราชสถาน อุตรประเทศ ใช้ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่คล้ายคลึงกัน
                สำหรับรัฐอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น แคว้นเบงกอลตะวันตก พูดภาษาเบงคลี ประชากรมีลักษณะที่สืบเชื้อสายมาจากพวกมองโกลอยด์ อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา มีเมืองสำคัญคือ กัลกัตตา ประชากรใช้ภาษาอัสสมี และฮินดี ในรัฐปัญจาบ ประชากรพูดภาษาปัญจบี ภาษาเหล่านี้รวมเรียกว่า ภาษาอินโด - อารยัน
                อินเดียภาคกลาง  เป็นเขตติดต่อระหว่างประชากรอินเดีย ที่ใช้ภาษาอินโด - อารยัน กับดราวิเดียน หรือภาษาทมิฬตอนใต้ ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบอมเบย์ แต่ก็มีประชากรในบอมเบย์ และที่อื่น ๆ ใช้ภาษาอื่น ๆ อีก เช่น พวกที่อยู่ทางด้านตะวันออกของที่ราบสูงเด็คคาน ใช้ภาษาเตลุคุ หรือที่เมืองปูนา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาพราหมณ์ ใช้ภาษาดุดรัต เป็นต้น
                อินเดียภาคใต้  เชื่อกันว่าประชากรในภาคนี้สืบเชื้อสายมาจากคนดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งอยู่มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์คือ พวกดราวิเดียน หรือมิลักขะ พวกนี้มีรูปร่างเล็ก ผิวค่อนข้างดำ ส่วนใหญ่ใช้ภาษาทมิฬ มีศูนย์กลางอยู่ในแคว้นมัทราส มีเมืองทางชายฝั่งทะเลตะวันออก อันเป็นที่อยู่ของประชากรที่ใช้ภาษามลายลัม
                นอกจากพวกอารยัน และดราวิเดียน จะเป็นประชากรดั้งเดิมของอินเดีย แล้วก็ยังมีพวกอื่น ๆ อีก เช่น เปอร์เซีย กรีก ฮั่น อาหรับ เตอร์ก มองโกล ชนชาติต่าง ๆ เหล่านี้ได้เข้ามาอยู่ในอินเดีย และได้เป็นบรรพบุรุษของชาวอินเดีย ในปัจจุบัน
                ประชากรส่วนใหญ่ของอินเดีย ประมาณร้อยละ ๘๐ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทประมาณ ๕๖๗,๐๐๐ แห่ง ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ ๒๐ อาศัยอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ประมาณ ๓,๖๐๐ เมือง คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร พวกศูทรจะถูกเหยียดหยาม และถูกกีดกันจากคนที่มีวรรณะสูงกว่า แม้ว่ารัฐบาลกลางของอินเดีย จะไม่ยอมรับนับถือวรรณะ แต่ปัจจุบันการแบ่งชั้นวรรณะในสังคมอินเดียก็ยังมีอยู่
                ปัญหาประชากรที่มีความแตกต่างในเชื้อชาติ มีอยู่หลายกลุ่มที่มีความแตกต่างจากส่วนใหญ่ จะมีความสำนึกในเรื่องชาติพันธุ์ของตนมากขึ้นเรื่อย ๆ และประสงค์จะมีการปกครองตนเอง เช่น ชาวนาคา ในแคว้นอัสสัม ชาวมัดกาในรัฐพิหาร เป็นต้น ชนเหล่านี้ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลกลาง และแบ่งกลุ่มถึงกับใช้กำลัง เพื่อให้ได้สิทธิการปกครองตนเอง
            ประชากรในชนบท  ประเทศอินเดียมีลักษณะพื้นที่เป็นหมู่บ้านกระจายอยู่ทั่วไปประมาณร้อยละ ๗๐ ขนาดของหมู่บ้านมีตั้งแต่ที่มีประชากร ๕,๐๐๐ คน ไปจนถึงหมู่บ้านที่มีเพียง ๒๐๐ - ๓๐๐ คน
            ลักษณะของหมู่บ้านประกอบด้วยกลุ่มของครัวเรือน ที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาที่ทำกิน และที่เลี้ยงสัตว์ ติดต่อกับหมู่บ้านอื่น หรือโลกภายนอกด้วยถนนดินโคลนเหนียว ซึ่งส่วนมากในฤดูฝนจะใช้การแทบไม่ได้
            บ้านในชนบทโดยทั่วไปสร้างด้วยดินเหนียวผสมมูลวัว หลังคามุงด้วยใบไม้หรือใบปาล์ม ที่พักหรือห้องพักผ่อนจะเป็นที่เดียวกับที่นอน กล่าวคือกลางวันใช้เป็นที่พักผ่อน กลางคืนใช้เป็นที่นอน ห้องครัวจะมีขนาดเล็ก บางบ้านจะมีห้องสำหรับเก็บอาหารเมล็ดพืชและเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ  ติดกับตัวบ้านจะเป็นคอกวัว หน้าบ้านจะมีสวนหน้าบ้าน และมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชื่อตุลสี (Tulsi) ใช้เป็นยาขนานวิเศษรักษาโรคต่าง ๆ และเป็นที่สิงสถิตย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คุ้มครองบ้านด้วย  ด้านข้างของลานหน้าบ้านจะมีบริเวณที่เรียกว่า นอกชาน (Veranda) เป็นสถานที่ที่สมาชิกในครอบครัวพบปะกัน และพบปะกับเพื่อนบ้าน เป็นศูนย์รวมข่าวและกระจายข่าว
            ตามหมู่บ้านที่ไม่มีแม่น้ำหรือลำห้วยผ่าน จะมีบ่อน้ำที่ใช้สำหรับเป็นน้ำดื่ม น้ำใช้  การใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำดังกล่าวเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ทำให้บรรดาผู้หญิง ได้มีโอกาสพบปะกัน และเป็นแหล่งข่าวสำคัญ บรรดาข่าวสารต่าง ๆ จะแพร่ออกไปจากแหล่งนี้ เพราะชาวอินเดียจะมีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ หรืออ่านหนังสือได้เพียงประมาณร้อยละ ๓๐ เท่านั้น
                แบบอย่างชีวิตในชนบทของอินเดีย  มีความใกล้ชิดกับหมู่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของเศรษฐกิจคือการเกษตร อันมีความเกี่ยวโยงคนกับที่ดิน แต่ละครอบครัวมีที่ดินเป็นของตนเอง การทำงานจะใช้แรงงานคนในครอบครัว ที่ดินจึงมีความสำคัญต่อการผลิตภายในประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างทางสังคม ปรัชญาและอุดมคติสำหรับชาวชนบท
                คุณลักษณะของชีวิตชาวชนบทของอินเดีย  พอจะประมวลได้ดังนี้
                    ทางด้านเศรษฐกิจ การผลิตทางเศรษฐกิจเป็นการผลิตเบื้องต้น และเป็นแบบเก่า ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างทางสังคม และแบบแผนของการดำเนินชีวิตของชาวอินเดีย ในชนบททั่วอินเดีย การประกอบอาชีพของชาวชนบทคือการเกษตรกรรม และใช้แรงงานคนเป็นส่วนสำคัญ
                    มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ  อิทธิพลของธรรมชาติได้กำหนดวิถีชีวิตของชาวอินเดียในชนบทในหลาย ๆ ด้าน เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี บุคลิกภาพและความเชื่อต่าง ๆ
                    ขาดความชำนาญในการผลิตทางเศรษฐกิจ  ทำงานตามฤดูกาล  การดำเนินชีวิตเป็นแบบง่าย ๆ  ไม่มีการคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ มาใช้
                    ถูกควบคุมโดยสถาบันของสังคมเก่า  เช่น ครอบครัว วรรณะ แบบแผนของการดำเนินชีวิต ถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ
                    ข้อบังคับทางศาสนา  มีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อิทธิพลของศาสนาได้กำหนดวิถีชีวิตของชาวชนบทในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านสติปัญญา อารมณ์ แนวทางการปฏิบัติ รูปแบบของศิลปะ และบรรทัดฐานของสังคมทางเชื้อชาติ
                    วรรณะ (Caste)  ชาวชนบทในอินเดียประกอบด้วยกลุ่มวรรณะต่าง ๆ  วรรณะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ได้กำหนดหน้าที่สถานภาพ และอาชีพของบุคคลไว้อย่างชัดแจ้ง หน้าที่ทางการบริหารทั้งหมดถูกแบ่งโดยวรรณะ
                    การที่ประชาชนอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งศาสนานี้ได้แบ่งชั้นวรรณะของคนตามชาติกำเนิด แต่ละวรรณะไม่สามารถเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันด้วยกิจกรรมใด ๆ เป็นอันขาด แต่ละวรรณะก็แบ่งหน้าที่ของตนโดยเฉพาะ จึงเข้าลักษณะต่างกลุ่มต่างวรรณะ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ปะปนกัน มีความรังเกียจเดียดฉันท์ซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังมีคนนับถือศาสนาอื่น เช่น พุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกข์และเชน จึงต่างแยกกันอยู่เป็นหมู่เหล่า ไม่สังสรรค์กัน แต่ละกลุ่มต่างก็ปรับปรุงตนให้เข้ากับธรรมชาติ และสภาพของสังคม ผู้คนในชนบทจึงอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว เฉพาะคนในศาสนาหรือวรรณะเดียวกัน
            ประชากรในเมือง  พื้นที่ที่เป็นเขตเมืองนับว่ามีส่วนสำคัญอยู่มากในประวัติศาสตร์ของอินเดีย
            ในสมัยเมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปีก่อนพุทธศักราช อินเดียมีชุมชนที่เป็นเมืองใหญ่ ๆ อยู่สองแห่งคือโมเฮนโจ - ดาโร (Mohenjo - Daro) และฮารัปปา (Harappa)  แต่ละแห่งมีประชากรประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน
            เมืองเก่าแก่บางเมืองของอินเดียเช่น เมืองพาราณสี มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
            เมืองที่มีประชากรมากกว่าแสนคน มีอยยู่ไม่น้อยกว่า ๑๕๐ เมือง ในจำนวนนี้มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๑๐ เมือง ที่มีประชากรมากกว่าล้านคนคือกัลกัตตา ๗ ล้านคน บอมเบย์ ๖ ล้านคน เดลฮี ๔ ล้านคน มัทราช ๓.๕ ล้านคน ไฮเดอราบัด ๒ ล้านคน อาเมตบัด ๒ ล้านคน บังกาลอ ๒ ล้านคน กัมเปอร์ ๑.๕ ล้านคน พุเน ๑.๕ ล้านคน โดยประมาณเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕
            เมืองพารารสี เป็นเมืองเก่าแก่ที่รุ่งเรืองมาตลอด ส่วนเมืองกัลกัตตา บอมเบย์ และมัทราช เจริญและขยายตัวมากในช่วงที่อังกฤษเข้ามาครอบครองอินเดีย และมีการพัฒนาแบบประเทศทางตะวันตก
            ความแออัดเนื่องมาจากการพัฒนาเพื่อการชุมชน ไม่ทันกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากร เป็นผลให้เกิดสลัมในเมืองใหญ่ ๆ มากมาย ชาวเมืองเป็นจำนวนมาก ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่ตามริมถนน ทางเดิน อาศัยวัสดุที่พอหาได้มาทำเป็นที่กำบังให้พออยู่ได้
            ในเมืองเหล่านี้จะเห็นความเหลื่อมล้ำอย่างถึงที่สุดระหว่างคนรวยกับคนจน สลัมจะอยู่ริมร่มเงาของบ้าน ที่เป็นคฤหาสน์ใหญ่โตเหมือนวัง พวกขอทานตามถนน ห้อมล้อมรถยนต์คันใหญ่ราคาแพง เป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นปกติของชุมชนใหญ่ ๆ ที่แออัดในอินเดีย
            ทัศนคติของคนอินเดียต่อชาวต่างประเทศ  อาจจำแนกออกได้เป็นสามประเภทคือ
                ทัศนคติต่อชาวเอเซียด้วยกัน  ชาวอินเดียมีความยึดมั่นในความเป็นอินเดียสูงมาก คนอินเดียจะมองคนญี่ปุ่น และจีน เป็นเพื่อนผู้มีฐานะเท่าเทียมกันกับตน ส่วนคนชาติอื่น ๆ ในอาเซียด้วยกัน คนอินเดียจะมองว่าด้อยกว่าตน โดยเฉพาะคนไทย ชาวอินเดียจะมองว่าคนไทยเป็นลูกไล่ เป็นฝ่ายที่อินเดียถ่ายทอดวัฒนธรรมต่าง ๆ ให้ แม้พระพุทธเจ้าก็เป็นคนอินเดีย และเกิดหลังเทพของพราหมณ์ และฮินดู
                การให้เกียรติคนอื่นและความเป็นสุภาพบุรุษ มีความเกรงอกเกรงใจผู้อื่นของชาวอินเดีย จึงมีน้อยมากในสายตาคนไทย จึงมองคนอินเดียว่าเป็นแขก และแขกคือ พวกที่มีนิสัยเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้
                พฤติกรรมดังกล่าว ของชาวอินเดียยังความเกลียดชังแก่ชาวเอเซียมาก และชาวเอเซียก็มองคนอินเดียในแง่ของความยากจน ทิฐิ ซึ่งก่อให้เกิดความช้ำใจแก่คนอินเดียมาก
                ทัศนคติต่อชนผิวขาว  มีลักษณะแตกต่างไปจากทัศนคติต่อชาวเอเซียด้วยกัน อันเป็นผลสืบเนื่องจากพฤติกรรม ของชาวอังกฤษในระหว่างที่เข้ามายึดครองอินเดีย ชาวอังกฤษมีพฤติกรรมต่อชาวอินเดียเยี่ยงนายกับบ่าว พฤติกรรมดังกล่าวยังฝังใจชาวอินเดียสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อชนต่างชาติผิวขาว
                อย่างไรก็ดี ชาวอินเดียไม่ได้แสดงอาการเกลียดชังชนผิวขาวอย่างออกนอกหน้า โดยเฉพาะต่อชาวอังกฤษรวมทั้งประเทศในเครือจักรภพด้วย อินเดียถือว่าอังกฤษได้ช่วยสร้างสมพัฒนาบ้านเมืองให้มากมาย
                ทัศนคติต่อชนในประเทศเพื่อนบ้าน  ด้วยเหตุที่อินเดียเป็นประเทศเก่าแก่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับหลายประเทศ มีความขัดแย้งกัน และรบราฆ่าฟันกันมามาก ความรู้สึกของชาวอินเดียต่อประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นความรู้สึกที่หนักใจ ขมขื่น ที่มีเสมือนหอกข้างแคร่ หรือหนามยอกอก เช่น กรณีปัญหาแคว้นปัฐจาบ ที่มีว่ามีประเทศเพื่อนบ้านทางด้านนั้นอยู่เบื้องหลัง ปัญหากับประเทศศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล ในกรณีที่ชาวบังคลาเทศและเนปาล อพยพเข้าไปทำมาหากิน ค้าขาย ตลอดจนมีตำแหน่งทางราชการ และมีอิทธิพลทางสังคมวัฒนธรรมเหนือชาวพื้นเมือง ก่อให้เกิดความไม่พอใจจากชาวพื้นเมือง เกิดการจราจลยกพวกขับไล่ชาวต่างชาติ ที่อพยพถึงขั้นฆ่าฟันกันอย่างนองเลือด โดยเฉพาะในมณฑลอัสสัม ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากแก่รัฐบาลกลาง
                การหยิ่งในความเป็นอินเดีย อันเนื่องมาจากอารยธรรมของอินเดียเอง เป็นฐานหลักนำไปสู่ความมีชาตินิยมสูง ชาวอินเดียมีค่านิยม และทัศนคติ ที่น่าสนใจหลายประการด้วยกันคือ การห้าม และไม่ให้นิยมเห่อเหิมกับวัฒนธรรม และแม้แต่เทคโนโลยีใหม่ ๆ จากชาติที่เจริญพัฒนามาแล้ว การแต่งกาย ความเป็นอยู่ง่าย ๆ และการไว้ตัวของสตรีอินเดีย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติ ที่คนอินเดียมีต่อชนชาติของเขาเอง และต่อชาติอื่น ๆ