จากการสันนิษฐาน
เข้าใจว่า น่าจะเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องแรกของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เดิมเรียกว่า กลอนเพลงยาวนิราศเรื่องรบพม่าที่ท่าดินแดง นิราศเรื่องนี้ได้ทรงพระราชนิพนธ์
เมื่อ พ.ศ. 2329 เมื่อคราวเสด็จไปทรงทำศึกกับพม่า ที่ยกมารุกรานไทยที่ท่าดินแดง
ทรงเสด็จไปการทัพครั้งนี้พร้อมกับ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จโดยขบวนเรือจากกรุงเทพ
ฯ ไปจนถึงเมืองไทรโยค แล้วจึงเดินทัพทางบกต่อไป
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
ฯ ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดง ในขณะที่กรมพระราชวังบวร ฯ ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ตำบลสามสบ
ได้เข้าตีค่ายพม่าพร้อมกันทั้งสองทัพ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2329 รบกันอยู่
สามวัน ถึงวันที่ 23 เวลาบ่าย ฝ่ายไทยตีฝ่าเข้าค่ายพม่าได้ และได้รบติดพันกันอยู่จนพลบค่ำ
พม่าจึงทิ้งค่ายแตกหนีไป กองทัพไทยได้ไล่ติดตามไปถึงค่ายพระมหาอุปราชา ที่ตำบลแม่กษัตร
พระมหาอุปราชารู้ว่ากองทัพหน้าแตกแล้วก็ไม่ให้คิดต่อสู้ กองทัพพม่าแตกยับเยิน
เสียรี้พลและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย โดยเฉพาะปืนใหญ่ไม่สามารถจะลากกลับไปได้แม้แต่กระบอกเดียว
ทุกอนงค์ทรงลักษณ์อันสุนทร | สถาวรพูนสวาดิสวัสดี |
ประกอบศักดิ์สมบูรณ์จำรูญเนตร | อัคเรศงอนงามจำเริญศรี |
แสนกระสันปั่นป่วนฤดีทวี | มีมโนเสน่ห์น้อมถนอมนวล |
อันราคีมิให้เคืองระคางข้อง | ปองประคองนิ่มเนื้อนวลสงวน |
หวังสวาสดิ์มิรู้ขาดอารมณ์ครวญ | เป็นที่ชวนชูชื่นทุกอิริยา |
เกษมสุขภิรมย์สมสมาน | เคยสำราญมิได้แรมนิราศา |
ไม่นิราศขาดชมสักเวลา | บำเรอล้อมพร้อมหน้าไม่ราวัน |
นิจาเอ๋ยโอ้กรรมจึงจำไกล | มาซ้ำให้ทุเรศร้างมไหสวรรย์ |
ก็เพราะมีอธิราชไภยัน | เข้าหักหั่นด่านแดนบุรีรมย์ |
จึงต้องกรูกรีธาพลากร | มาจำจรจากสุขเกษมสม |
สารพัดสิ่งสวัสดิ์ที่เคยชม | ก็นิยมให้วิโยคด้วยจำเป็น |
เมื่อวันออกนาเวศทุเรศสถาน | แสนสงสารสุดอาไลยใครจะเห็น |
พี่เคยทัศนาเจ้าทุกเช้าเย็น | เพราะเกิดเข็ญจึงต้องละสละมา |
ครั้นถึงด่านดาลเทวษทวีถึง | คนึงในให้หวนละห้อยหา |
ถึงนางนองเหมือนพี่นองชลนา | ยิ่งทวาอาวรณ์สท้อนใจ |
ครั้นถึงโขลนทวารยิ่งลานแล | ให้หวาดแหวอารมณ์ดังลมไข้ |
จนลุล่วงคลองชลามหาไชย | ย่านไกลสุดสายในตาแล |
เหมือนอกเราที่นิรามาทุเรศ | เหลือสังเกตมุ่งหามาห่างแห |
ระกำเดียวเปลี่ยวดิ้นฤดีแด | จนล่วงกระแสสาครบุรีไป |
ลุสถานบ้านบ่อนาขวาง | ให้อางขนางร้อนรนกมลไหม้ |
ถึงย่านซื่อเหมือนพี่ซื่อสังวรใจ | มิได้มีลำเอียงเที่ยงธรรม |
เมื่อถึงสามสิบสามคดแล้ว | แคล้วแคล้วเหมือนจะกลับมารับขวัญ |
คล้ายคล้ายอัษฎงค์พระสุริยัน | ก็บรรลุถึงคลองสุนัขใน |
พอชลาถอยถดลดลงฝั่ง | เรือดั่งเคืองเขินไม่เดินได้ |
พลพายรายกันลงเข็นไป | เหมือนเข็ญใจเคืองจิตที่จากมา |
ครั้นเพลาสุริยาอรุณเรือง | แสงประเทืองเบื้องบูรพ์ทิศา |
พอตกลึกแล้วให้ล่องนาวาคลา | ประทับท่าเมืองสมุทรบุรีรมย์ |
อันฝุงชนชาวบ้านย่านนั้น | ผิวพรรณไม่รื่นรวยสวยสม |
ไม่เป็นที่ชวนชื่นอารมณ์ชม | ยิ่งเกรียบกรมสุดแสนระกำใจ |
ให้ปั่นป่วนหวนสวาสดิ์ประวัติหา | จะดูใครไม่พาใจชื่นได้ |
จึงให้ออกนาวาคลาไคล | รีบไปตามสายชลธี |
อันเรือหลังตั้งกันสิ้นทั้งหลาย | ก็พายแซงแข่งขึ้นไปอึงมี่ |
โห่สนั่นครั่นครึ้นทั้งนาวี | มีแต่ความเกษมสุขไปทุกคน |
เสียงเส้าเร้าเร่งพลพาย | เหมือนรักหมายสายสวาททุกขุมขน |
ให้อักอ่วนป่วนจิตจลาจล | ถึงตำบลบางกุ้งเป็นคุ้งเลี้ยว |
ยิ่งลับไม้ไกลเนตรทุเรศสถาน | ให้แดดาลหวั่นหวั่นกระสันเสียว |
ดังเอกามาแต่นาวาเดียว | เปลี่ยวสวาสดินิราศไร้ภิรมย์ชม |
มาถึงย่านนกแขวกแสกส่งเสียง | ทั้งสำเนียงถอนใจเพียงใจล่ม |
เคยยินเสียงประโคมขานสำราญรมย์ | โอ้ครั้งนี้มาระงมแต่เสียงนก |
แสนทุเรศเวทนานิจาเอ๋ย | นี่ใครเลยจะเล็งเห็นในอก |
ได้ระกำช้ำใจมาหลายยก | หวังจะป้องปิดปกให้พ้นไภย |
มิให้หมู่พาลาอาธรรม์ | มาย่ำยีเขตขัณฑ์บุรีได้ |
จึงสู้สละรักหักใจ | มาทนเทวษอยู่ไกลเอกา |
|
ให้อักอ่วนครวญใคร่อาลัยหา |
ครั้นลุราชบุรีภิรมยา | ที่อาทวาหักอารมย์ค่อยสมประดี |
จึงรีบรัดจัดหมู่โยธา | ให้อยู่รักษาบุรีศรี |
ครั้นอรุณเรืองแรงแสงรวี | ก็จรลีนาเวศทุเรศจร |
ด่วนเดินทางโดยทางชลมารค | แสนลำบากด้วยร้างแรมสมร |
กระหายหิวหวิวใจให้อาวรณ์ | แต่ข้อนข้อนขุ่นเข็ญเป็นนิรันดร์ |
ถึงท่าราบเหมือนพี่ทาบทรวงถวิล | ยิ่งโดยดิ้นโหยหวนครวญกระสัน |
ด้วยได้ทุกข์ฉุกใจมาหลายวัน | จนบรรลุเจ็ดเสมียนตำบลมา |
ลำลำจะใคร่เรียกเสมียนหมาย | มารายทุกข์ที่ทุกข์คนึงหา |
จึงรีบเร่งนาเวศครรไลยคลา | พอทิวากรเยื้องจะสายัณห์ |
ก็ลุถึงวังศาลาท่าลาด | ชายหาดทรายแดงดังแกล้งสรร |
จึงประทับแรมรั้งยังที่นั้น | พอพักพวกพลขันธ์ให้สำราญ |
พรั่งพร้อมล้อมวงเป็นหมู่หมวด | ชาวมหาดตำรวจแลทวยหาญ |
เฝ้าแหนแน่นนันต์กราบกราน | นุ่งห่มสะคราญจำเริญตา |
ต่างว่าจะเข้าโหมหักศึก | ห้าวฮึกขอขันอาสา |
ไม่คิดกายขอถวายชีวา | พร้อมหน้าถ้วนทุกตัวไป |
แต่ตริการที่จะผลาญอรินราช | จนโอภาสแสงจันทร์จำรัสไข |
ให้ขุกคิดอาวรณ์สะท้อนใจ | ถึงอนงค์นางในไม่รู้วาย |
ด้วยเคยทอดทัศนาไม่รารัก | ภิรมย์พักตร์ร้องรำบำเรอถวาย |
บ้างเฝ้าแหนหมอบเมียงเรียงราย | กรกรายโบกพัชนีพาน |
ยิ่งเร่าร้อนทอนทอดฤทัยทุกข์ | เมื่อเคยสุขฤามาเสื่อมทุกสิ่งสมาน |
จนลืมหลงที่ดำรงดำริการ | แต่เดือดดาลอารมณ์ไม่สมประดี |
จนเพลาสิบทุ่มยิ่งรุ่มร้อน | ให้ยกพลนิกรออกจากที่ |
กระบวนทัพซับซ้อนมามากมี | โห่มีสะเทือนก้องท้องวาริน |
ถึงม่วงชุมเหมือนเคยประชุมเฝ้า | ยิ่งร้อนเร่ารื้อกำหนัดประวัติถวิล |
ยามเสวยเคยเห็นเป็นอาจิณ | แดดิ้นถึงเนื้อวิมลมาลย์ |
แสนเทวษเสื่อมสิ้นสิ่งสวาสดิ | ด้วยนิราศแรมร้างห่างสถาน |
ถึงยามชื่นมิได้ชื่นสำราญบาน | แต่นี้นานสวาสดิ์เว้นไม่เห็นใคร |
ถึงปากแพรกซึ่งเป็นที่ประชุมพล | พร้อมพหลพลนิกรน้อยใหญ่ |
ค่ายคูเขื่อนขัณฑ์ทั้งนั้นไซ้ | สารพัดแต่งไว้ทุกประการ |
จึงรีบรัดจัดโดยกระบวนทัพ | สรรพด้วยพยุหทวยหาญ |
ทุกหมู่หมวดตรวจกันไว้พร้อมการ | ครั้นได้ศุภวารเวลา |
ให้ยกพลขึ้นทางไทรโยคสถาน | ทั้งบกเรือล้วนทหารอาสา |
จะสังหารอริราชพาลา | อันสถิตย์อยู่ยังท่าดินแดง |
|
ย่ำรุ่งสี่บาทอรุณแสง |
จึงให้ยกพหลรณแรง | ล้วนกำแหงหาญเหี้ยมสงครามครัน |
ไปโดยพยุหบาตรรัถยา | พลนาวาตามไปเป็นหลั่นหลั่น |
สะพรึบพร้อมหน้าหลังตั้งกัน | โห่สนั่นสะเทือนท้องนทีธาร |
รีบเร่งพลพายให้เร่งพาย | ฝืนสายชลเชี่ยวฉ่าฉาน |
ถึงตำแหน่งแก่งหลวงศิลาดาล | ชลธารไหลเชี่ยวเป็นเกรียวมา |
แต่จำเพาะเตราะตรอกซอกทาง | แก่งเกาะขัดขวางอยู่หนักหนา |
แสนลำบากยากใจที่ไคลคลา | ใครจะเห็นเวทนาบรรดามี |
สองวันบรรลุถึงวังยาง | คนึงวังอ้างว้างเกษมศรี |
เคยเป็นสุขทุกเวลาราตรี | โอ้ครานี้มีกรรมมาจำไกล |
ถึงบางลางยิ่งดาลทรวงสมร | ให้ขุ่นข้อนอารมณ์หม่นไหม้ |
จึงเร่งรีบนาวาคลาไคล | มาถึงไศลชลชีสีขริน |
สูงส่งตรงโตรกโดดเดี่ยว | อยู่ริมสายชลเชี่ยวกระแสสินธุ์ |
พรายแพร้วดังแก้วแกมนิล | ปักษินบินร้องร้องระงมไพร |
บ้างจับไม้รายเรียงบนเชิงเขา | บ้างง่วงเหงาหาคู่พิศมัย |
นกเอ๋ยยังรู้มีอาลัย | อกเราฤาจะไม่เวทนา |
ครั้นบรรลุถึงศาลเทพารักษ์ | อันพิทักษ์ปากน้ำประจำท่า |
มีแต่ศาลสันโดษอยู่เอกา | คิดมาเหมือนอกพี่ที่จากจร |
เห็นอารักษ์แล้วคิดสังเวชจิต | มาใช้มิตรเหมือนพี่ร้างแรมสมร |
สารพัดจะวิบัติอนาทร | แต่ร้อนแรมตามทางทุเรศมา |
ครั้นมาถึงวังนางตะเคียน | พิศเพี้ยนมิ่งไม้ใบหนา |
ตั้งเคียงเรียงราบริมชลา | สาขารื่นรมสำราญใจ |
ต้นไม้เปลาเปลาอยู่สล้าง | เหมือนไม้กระถางวางเรียงงามไสว |
ชมพลางพลางรีบนาวาไป | บรรลุล่วงมาได้หลายตำบล |
มาพลางทางแสนคนึงหา | นัยนาแลลับไพรสณฑ์ |
ยิ่งแดดาลร่านร้อนทุรนทน | จนลุดลเข้าท้องไอยรารมย์ |
เป็นช่องชั้นเชิงผาศิลาลาด | รุกขชาติรื่นรวยสวยสม |
ไพจิตรพิศพรรณอยู่น่าชม | ลมพัดพากลิ่นสุมาลย์มา |
มีท่อธารน้ำพุดุดัน | ตลอดลั่นไหลลงแต่ยอดผา |
เป็นโปลงปล่องช่องชั้นบรรพตา | เซนซ่าดังสายสุหร่ายริน |
บ้างเป็นท่อแถวทางหว่างบรรพต | เลี้ยวลดไหลมามิรู้สิ้น |
น้ำใสไหลรินซอกศิขริน | แสนถวิลถึงสวาดิไม่คลาดคลา |
เกษมสุขสรงสนานสำราญเริง | บันเทิงจิตพิศวงหรรษา |
ชลอได้ก็จะใคร่ชลอมา | ให้เป็นที่ผาสุขทุกนางใน |
คิดเคยเมื่อเคยสรงสนาน | สุธาธารทิพรสสดใส |
อันหอมหวลอวลอบสุมาไลย | มาร้างไร้สุคนธกำจร |
เจ้าเคยถวายภูษาสุธาสรง | อันบรรจงทิพรสเกษร |
เคยไพบูลย์ด้วยดรุณนิกร | ทีนี้มาจำจรอยู่เอกา |
ชมเขาลำเนาพนาวาศ | แสนสวาดิไม่วายถวิลหา |
|
มิให้หยุดโยธาเร่งคลาไคล |
แต่เห็นทางท่าชลานั้น | เป็นเกาะแก่งขัดขึ้นล้วนเนินไศล |
ยากที่นาวีจะหลีกไป | จึงสั่งให้รอรั้งยั้งนาวา |
เร่งรีบคชสารอัสดร | บทจรตามแถวแนวพฤษา |
ชมพรรณมิ่งไม้นานา | บ้างทรงผลผกาเขียวขจี |
ลางต้นสาขาดูน่าชม | รื่นร่มมิดแสงพระสุริยศรี |
สดับเสียงปักษาสุวาที | ลิงค่างบ่างชนีวิเวกดง |
เสนาะเสียงจักจั่นสนั่นไพร | แม่ม่ายลองในในป่าระหง |
เรไรร้องหริ่งหริ่งอยู่ริมพง | ส่งเสียงดังสำเนียงอนงค์นวล |
คิดคล้ายลม้ายเหมือนดนตรี | จำเรียงรี่เรื่อยโรยโหยหวน |
ยิ่งซับซาบอาบชื่นอารมณ์ชวน | กำสรวลว้าเหว่ทุเรโรย |
ฟังแต่เสียงสำเนียงนกวิหคร้อง | วิเวกก้องเกริ่นไพรฤทัยโหย |
รุกขชาติแกว่งกวัดสบัดโบย | ลมโชยคันธรสจรุงใจ |
ตะวันรอนอ่อนแสงจะอัสดง | เหล่าจัตุรงค์เตรียมกายทั้งนายไพร่ |
แรมรอนนอนแนวพนาไลย | แต่ไศลป่าระหงดงดอน |
นอนเดียวเปลี่ยวเทวษทวีทุกข์ | ไม่มีสุขเร่าร้อนสท้อนถอน |
แสงจันทร์ส่องสว่างกลางอัมพร | ยิ่งอาวรณ์หวังสวาดิไม่ขาดคิด |
วายุพัดพานดวงศศิธร | เขจรจรบังเมฆมิดสนิท |
พิรุณโรยโปรยปรายใบไม้ชิด | สะท้านจิตเจียนจักเป็นไข้ใจ |
เย็นฉ่ำน้ำฟ้าละอองฝน | มาทนเทวษครั้งนี้จะมีไหน |
ถึงทั้งหลายหนาวกายได้ผิงไฟ | ไม่เหมือนพี่หนาวใจที่ในทรวง |
เห็นดาวดึกนึกหวนรัญจวนหา | ในอุษาเพียงทับด้วยเขาหลวง |
อันหาบหามที่เขาตามมาทั้งปวง | ไม่หนักทรวงเหมือนพี่หนักอาลัยไกล |
เขาหนักหาบถึงที่ก็ได้พัก | พี่หนักรักนี้ไม่ปลงเอาลงได้ |
มีแต่คอยคอยทุกข์ทุกวันไป | จะเห็นใจฤาที่ใจการุณกัน |
แต่นอนนิ่งกลิ้งกลับไม่หลับสนิท | ยิ่งคิดคิดก็ยิ่งโทมนัสสัน |
จนอรุณเรืองศรีรวีวรรณ | จึงให้ยกพลขันธ์ยาตรา |
ออกจากเนินผาศิลาพนัส | เร่งรัดทวยหาญทั้งซ้ายขวา |
ไปตามแนวแถวในพนาวา | พอสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน |
ก็ถึงด่านท่าขนุนโดยหมาย | ให้ตั้งค่ายตามเชิงศิขร |
แล้วรีบเร่งพหลพลนิกร | ทั้งลาวมอญเขมรไทยเข้าโจมตี |
ทัพพม่าอยู่ยังท่าดินแดง | แต่งค่ายรายไว้เป็นถ้วนถี่ |
ทั้งเสบียงอาหารสารพันมี | ดังสร้างสรรค์ธานีทุกประการ |
มีทั้งพ่อค้ามาขาย | ร้านรายกระท่อมพลทุกสถาน |
ด้านหลังท่าทางวางตะพาน | ตามละหานห้วยน้ำทุกตำบล |
ร้อยเส้นมีฉางระหว่างค่าย | ถ่ายเสบียงมาไว้ทุกแห่งหน |
แล้วแต่งกองร้อยอยู่คอยคน | จนตำบลสามสบครบครัน |
อันค่ายคูประตูหอรบ | ตบแต่งสารพันเป็นที่มั่น |
ทั้งขวากหนามเขื่อนคูป้องกัน | เป็นชั้นชั้นอันดับมากมาย |
ให้ทหารเข้าหักโหมโรมรัน | สามวันพวกพม่าก็พังพ่าย |
แตกยับกระจัดพลัดพราย | ทั้งค่ายคอยน้อยใหญ่ไม่ต่อดี |
ให้ติดตามไปจนแม่กษัตร | เหล่าพม่ารีบรัดลัดหนี |
บ้างก็ตายก่ายกองในปัถพี | ด้วยเดชะบารมีที่ทำมา |
ตั้งใจจะอุปถัมภก | ยอยกพระพุทธศาสนา |
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา | รักษาประชาชนแลมนตรี |
จะบำรุงทั้งฝูงสุรางค์รัก | ให้อัคเรศเป็นสุขเจริญศรี |
ครั้นเสร็จการผลาญราชไพรี | ก็ให้กรีธาทัพกลับมา |
ทั้งทิวาราตรีไม่หยุดหย่อน | ด้วยอาวรณ์ทนเทวษถวิลหา |
แสนคนึงถึงสวาดิไม่คลาดคลา | แต่พร่ำปรารภนั้นเป็นอาจิณ |
จิตเจ็บจะขาดด้วยนิราศรส | จะอดไว้ก็สุดอาลัยถวิล |
อันบำราบรบราชไพริน | ถึงจะไร้ศรศิลป์ที่ชิงไชย |
ก็พอจะพยายามตามตี | ให้ชนะไพรีจงได้ |
จะสู้สงครามรักนี้หนักใจ | ด้วยไร้ศรรสสวาดิจะราวี |
อันแสนศึกทั้งหลายก็พ่ายแพ้ | ยากแต่จะรบรักให้หน่ายหนี |
ที่ลำบากแต่หลังในครั้งนี้ | สุดที่จะปรับทุกข์กับผู้ใด |
อันฝูงสุรางค์นางทั้งหลาย | ยังค่อยอยู่สุขสบายฤาไฉน |
ฤาในจิตคิดอ่านประการใด | อย่าอำไว้จงแจ้งแต่จริง เอย ฯ |