| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

นิราศพระบาท

loading picture
โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง
ดังศรสักปักซ้ำระกำทรวง เสียดายดวงจันทราพงางาม
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
จนพระหน่อสุริยวงศ์ทรงพระนาม จากอารามแรมร้างทางกันดาร
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร
ตามเสด็จโดยแดนแสนกันดาร นมัสการรอยบาทพระศาสดา
วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา ที่ตั้งตาแลแลตามแพราย...
ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น...
ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น...
ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิค นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล...
...ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต เหมือนซื่อจิตพี่ตรงจำนงสมร...
...ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง...
ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก ตะหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง ต้องน้ำค้างช่อชุมเป็นพุ่มพวง
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง...
ถึงแขวงแพแลตลอดตลาดขวัญ เป็นเมืองจันตะประเทศระโหฐาน
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน เรือขนานจอดโจษกันจอแจ
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่
ใส่เสื้อตึงรึงรัดอยู่อัดแอ พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย
ชมคณาฝูงนางมากลางชล สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว...
ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น ระวังคนตีนดีนมือระมัดมั่น
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง
ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแชง
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมมากรอบส้น เป็นแยบยลเมื่อยกขยับย่าง
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง ใครยลนางก็เป็นน่าจะปราณี
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนกับไทยไม่ หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโลงผี
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป
ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล...
ถึงทุ่งขวางกลางบ้านบางกระบือ ที่ลมอื้อนั้นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นกาะกลาง ต้องแยกทางสองแควกระแสชล
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์...
...ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม เป็นสามง่ามน้ำนองเป็นคลองเขิน...
ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ...
...ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
ดูหน้าตาไม่น่าจะชมชื่น พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน
เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง ออกแจ้งจริงเหลือจะจำไปคำเขียน
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร การเปรียญโบสถ์กุฎีชำรุดพัง...
ถึงคลองสระประทุมานาวาราย น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
ทั้งวังหลวงวังหลั่งก็รั้งรก เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฎสงัดคน

 
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |