ดังศรสักปักซ้ำระกำทรวง | เสียดายดวงจันทราพงางาม |
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ | แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม |
จนพระหน่อสุริยวงศ์ทรงพระนาม | จากอารามแรมร้างทางกันดาร |
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท | จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร |
ตามเสด็จโดยแดนแสนกันดาร | นมัสการรอยบาทพระศาสดา |
ค วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ | พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า |
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา | ที่ตั้งตาแลแลตามแพราย... |
ค ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต | ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น... |
ค ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก | เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี |
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี | ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน |
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง | เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น... |
ค ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิค | นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล... |
...ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต | เหมือนซื่อจิตพี่ตรงจำนงสมร... |
...ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ | ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง... |
ค ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน | เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว |
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว | พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง |
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก | ตะหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง |
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง | ต้องน้ำค้างช่อชุมเป็นพุ่มพวง |
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น | แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง... |
ค ถึงแขวงแพแลตลอดตลาดขวัญ | เป็นเมืองจันตะประเทศระโหฐาน |
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน | เรือขนานจอดโจษกันจอแจ |
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม | ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่ |
ใส่เสื้อตึงรึงรัดอยู่อัดแอ | พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย |
ชมคณาฝูงนางมากลางชล | สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย |
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย | หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน |
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก | เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น |
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน | พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว... |
ค ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง | โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย |
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย | โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล |
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม | ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน |
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน | สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน |
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น | ระวังคนตีนดีนมือระมัดมั่น |
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน | ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล |
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ | เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน |
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน | ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง |
ค ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก | พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง |
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง | จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแชง |
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก | ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง |
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง | เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง |
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมมากรอบส้น | เป็นแยบยลเมื่อยกขยับย่าง |
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง | ใครยลนางก็เป็นน่าจะปราณี |
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนกับไทยไม่ | หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโลงผี |
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี | จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป |
ค ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย | แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล... |
ค ถึงทุ่งขวางกลางบ้านบางกระบือ | ที่ลมอื้อนั้นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง |
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นกาะกลาง | ต้องแยกทางสองแควกระแสชล |
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม | ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์... |
...ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ | นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล |
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ | ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน |
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม | เป็นสามง่ามน้ำนองเป็นคลองเขิน... |
ค ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม | เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล |
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส | พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ... |
...ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง | เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา |
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา | ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง |
ดูหน้าตาไม่น่าจะชมชื่น | พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง |
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง | จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน |
ค เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง | ออกแจ้งจริงเหลือจะจำไปคำเขียน |
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร | การเปรียญโบสถ์กุฎีชำรุดพัง... |
ถึงคลองสระประทุมานาวาราย | น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา |
ทั้งวังหลวงวังหลั่งก็รั้งรก | เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา |
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา | ดังป่าช้าพงชัฎสงัดคน |