| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
มะโหรีปี่กลองจะก้องกึก จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก ชตาตกสูญสิ้นพระชันษา
แต่ปู่ย่าตายายเราท่านเล่ามา เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
กษัตริย์สืบสุริยวงศ์ดำรงโลก ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
หรือธานินทร์สิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง...
สุริยนเย็นสนธยาย่ำ ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า
พลพายนายไพร่บรรดามา หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮึอ...
...ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน
ครั้งรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา
เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ ดูเกะกะรอร้างทางพม่า
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ...
ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน ถึงปากจั่นตะละเตือนให้ตรอมใจ...
...ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย...
ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น...
...ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่ แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย...
...ถึงอรัญญิกแดดแผดพยับ เสโทซับซาบโทมนัสา
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว
พยุยวบกิ่งเยือกขะเยื้อนใบ ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด เรือตลอดแลหลามตามกระแส
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด อุตลุดขนของขึ้นกองสุม
เสบียงใครใครนั่งระวังคุม พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี
ฝ่ายพระหน่อสุริยวงศ์ทรงสิกขา ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย...
...กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส
ที่เด่นดีขี่กูบไม่แกว่งไกว วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน
อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์ เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ...
...สดับเสียงสัปบุรุษที่หยุดพัก เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน...
...เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง
บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นก็เซ็งแซ่ บ้างจอแจจัดการประสานเสียง
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง เสียงโฉ่งฉ่างชามแตกกระแทกขัน
จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน
สงสารนางชาวในที่ไปด้วย ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น
หวีกระจกตกแตกกระจายดิน เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ
มือตะกายสายรัดสคนคอ เห็นช้างงองวงหนีดก็หวีดอึง
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง
สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์ รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน ขะเยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย...
ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง ไม้สล้างลู่ล้มระทมทับ
รุกขชาติดาษดูระดะป่า สกุณาจอแจประจำจับ
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น
ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น
มีโพธิพุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น ไม่ว่างเว้นสัปปบุรุษเขาหยุดเรียง
บ้างขายของสองข้างตามทางป่า จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง เห็นของเรียงอยู่ในร้านทั้งหวานคาว
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
พี่คลื่นไส้ไสช้างให้ย่างยาว มาตามราวมรคาพนาวัน
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน ไก่เถื่อนขันขานเขาชะวาคู
ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู...
...ระยะเดินเถินทางมากลางป่า สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่...
...ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงคาดำ
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ...
...กำหนดนับมรคำพยายาม ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย...
...จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง พะยอมยางตาพยัคฆ์พะยุงเหียง
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ...
ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร ในบริเวณอึกกระทึกด้วยพฤกษา
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน...
...ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล...
...ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน
พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ ให้ป้องกันอันตรายในแนวไพร...
ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม
ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย
ทั้งไพร่นายรายเรียงกันเรียดไป ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง
ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม
ทุกที่ทับสับบุรุษก็พูดพึม รุกขาครื้มครอบแสงพระจันทร
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร
เป็นวันบรรณรสีรวีวร พระจันทรทรงกลดรจนา
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน
ดอกไม้ร้องป้องปีบสนั่นป่า ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน...

 
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |