| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

นิราศพระบาท
loading picture
จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก บริโภคโภชนากระยาหาร
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย
แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค มีรูปรากษสสองอสูรขยัน
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย
มีต้นกำมพฤกษ์ทานในลานวัด ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว
ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจุกแจ่ม กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย
มีดอกจันทน์ก้านแยงสลับลาย กลางกระจายดอกจอกประจำทำ
พื้นผนังหลังบัวที่ฐานบัทม์ เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ กินนรร่ำรายเทพประนมกร
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคนธร กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง วิเวกวังเวงในหัวใจครัน
บานทวารลานแลล้วนลายมุก น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์ รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม
ชมภูพานกอดก้านกระหนกรุม สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑเหิร พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์ เสด็จทรงคชสารในบานบัง
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม
มณฑปน้อยสวมรอยพระบาทนั้น ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง
พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท อภิวาทห้ตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง เดชะกองกุศลที่ตนทำ
มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์...
อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง มีกุฏิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน
มีชะวากคูหาศิลาหุบ ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์
แต่คนนมัสการนานอนันต์ บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย...
ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ กงกระทบเขากระจายทลายหมด
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ จึงปรากฎตั้งนามมาตามกัน...
มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน พิศเพลินพฤกษาบรรดามี
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก ชื่อสำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี
สำคัญปากคูหาศาลามี ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ห้อย มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน...
ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดดิน
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้ เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน
บนยอดเขามีสองสุนักขา สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง...
ถึงคูหาชื่อชาลวันถ้ำ วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง
สมมติแลแง่หินชะง่อนหุบ เป็นที่รูปสิงห์สัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม ศิลาแวววาววามอร่ามฉาย...
    จะกลับหลังยังพระพุทธบาท เหนื่อยอนาฤอกใจมิใช่เล่น
ครั้นค่ำนอนตะละตายทั้งกายเย็น ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย
สารพันกันภัยลูกนาคพช เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง
    พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพง เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง กระทั่งถึงธารเกษมค่อยส่างใจ
    ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม ให้แสนโทมนัสทัศนา
    คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ สนุกคือเรื่องอิเหนาเสนหา
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง
ล้วนจับคู่ชู้ชายชะม้ายเมียง ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน...
    ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย
มีละคอนผู้คนอลหม่าน กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน
    ละคอนหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์ พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน
    จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ อภิวันท์ลาบาทพระชินวร
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร
แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย เราจดหมายตามมีมาชี้แจง
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ

 
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |