ค จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก | บริโภคโภชนากระยาหาร |
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ | เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย |
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น | พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย |
แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย | ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน |
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค | มีรูปรากษสสองอสูรขยัน |
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน | ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น |
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น | ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น |
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น | ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย |
มีต้นกำมพฤกษ์ทานในลานวัด | ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย |
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย | บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว |
ค ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น | มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว |
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว | ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง |
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น | สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง |
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง | พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน |
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด | ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์ |
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน | ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย |
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจุกแจ่ม | กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย |
มีดอกจันทน์ก้านแยงสลับลาย | กลางกระจายดอกจอกประจำทำ |
ค พื้นผนังหลังบัวที่ฐานบัทม์ | เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ |
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ | กินนรร่ำรายเทพประนมกร |
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข | สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร |
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคนธร | กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง |
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย | ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง |
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง | วิเวกวังเวงในหัวใจครัน |
ค บานทวารลานแลล้วนลายมุก | น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน |
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์ | รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม |
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว | เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม |
ชมภูพานกอดก้านกระหนกรุม | สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง |
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑเหิร | พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์ |
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์ | เสด็จทรงคชสารในบานบัง |
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน | โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง |
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง | ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม |
มณฑปน้อยสวมรอยพระบาทนั้น | ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม |
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม | พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย |
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย | ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย |
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย | ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง |
ค พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท | อภิวาทห้ตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง |
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง | เดชะกองกุศลที่ตนทำ |
มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว | ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์... |
ค อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท | เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์ |
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน | มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง |
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย | เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง |
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง | มีกุฏิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน |
มีชะวากคูหาศิลาหุบ | ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์ |
แต่คนนมัสการนานอนันต์ | บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย... |
ค ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา | ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา |
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา | ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ |
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ | กงกระทบเขากระจายทลายหมด |
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ | จึงปรากฎตั้งนามมาตามกัน... |
ค มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ | ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน |
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน | พิศเพลินพฤกษาบรรดามี |
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก | ชื่อสำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี |
สำคัญปากคูหาศาลามี | ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน |
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ห้อย | มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน... |
ค ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น | สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง |
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง | เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดดิน |
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้ | เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน |
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน | กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน |
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น | ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน |
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ | ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร |
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว | ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้ |
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน | ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา |
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา | รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน |
ค บนยอดเขามีสองสุนักขา | สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน |
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน | สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง... |
ค ถึงคูหาชื่อชาลวันถ้ำ | วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง |
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง | เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง |
สมมติแลแง่หินชะง่อนหุบ | เป็นที่รูปสิงห์สัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง |
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง | ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว |
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ | เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว |
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว | ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย |
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม | ศิลาแวววาววามอร่ามฉาย... |
ค จะกลับหลังยังพระพุทธบาท | เหนื่อยอนาฤอกใจมิใช่เล่น |
ครั้นค่ำนอนตะละตายทั้งกายเย็น | ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง |
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ | ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง |
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง | เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย |
สารพันกันภัยลูกนาคพช | เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย |
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย | เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว |
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า | ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว |
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว | มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง |
ค พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพง | เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง |
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง | ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร |
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม | วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน |
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร | เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง |
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม | โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง |
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง | กระทั่งถึงธารเกษมค่อยส่างใจ |
ค ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย | พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย |
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว | สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน |
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า | ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน |
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน | ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม |
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง | ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม |
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม | ให้แสนโทมนัสทัศนา |
ค คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ | สนุกคือเรื่องอิเหนาเสนหา |
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา | อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน |
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช | สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน |
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน | แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม |
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ | ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม |
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม | แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง |
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย | ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง |
ล้วนจับคู่ชู้ชายชะม้ายเมียง | ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน... |
ค ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ | ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม |
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ | เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง |
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า | เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง |
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง | หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย |
มีละคอนผู้คนอลหม่าน | กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส |
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป | พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล |
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก | ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่ |
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ | บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน |
ค ละคอนหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ | ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน |
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน | ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ |
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด | ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ |
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ | คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง |
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก | จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง |
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์ | พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร |
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา | บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร |
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน | แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน |
ค จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง | จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์ |
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ | อภิวันท์ลาบาทพระชินวร |
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด | ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร |
แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร | น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย |
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด | โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย |
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย | เราจดหมายตามมีมาชี้แจง |
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ | ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง |
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง | ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ |