ค ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า | พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี | ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว |
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง | แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว |
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว | ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ |
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ | ต้องเที่ยวเตร็จเตร่หาที่อาศัย |
แม้กำเนิดเกิดชาติใดใด | ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี |
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้าง | อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี |
เหลืออาลัยใจตรมระทมทวี | ทุกวันนี้ซังตายทรงกายมา |
ค ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง | ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา |
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา | นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ |
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม | ดังขวากแซมเสี้มแซกแตกไสว |
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย | ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง |
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว | ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง |
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง | เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไร |
ค โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด | ตัดสวาทตัดรักมิยักไหว |
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ | ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น |
ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง | ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ |
เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น | เที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอา |
ค พระสุริยงลงลับพยับฝน | ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา |
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา | ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว |
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง | ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว |
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว | ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย |
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด | เรือเราผืดเผือมานิจจาเอ๋ย |
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคย | ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก |
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน | เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก |
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก | น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด |
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง | พอหยุดยุงฉู่ชุมเข้ารุมกัด |
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด | ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน |
ค แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง | ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน |
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร | กาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม |
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย | พระพายเฉื่อยฉิวฉิวจะหวิวหวาม... |
...จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก | ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย |
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย | ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร |
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก | ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร |
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร | ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา |
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า | เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา |
กระจับจอกดอกบัวบานผกา | ดาษดาดูขาวดังดาวพราย... |
...พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน | ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจ |
ค มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง | คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล |
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย | ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน |
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก | อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล |
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร | จะต้องม้วนหน้ากลับอัประมาณ |
ค มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม | ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน |
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ | ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง |
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ | ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง |
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง | เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู |
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก | ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู |
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู | จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน |
ค ได้ฟังเล่นต่างต่างนี้ข้างวัด | จนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน |
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร | อ้ายโจรจงจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ |
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง | มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ |
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ | เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ |
แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง | ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ |
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ | ชัยชนะมารได้ดังใจปอง |
ค ครั้นรุ่งเช้าเช้าเป็นวันอุโบสถ | เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง |
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง | ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย |
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น | เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส |
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได | คงคาลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน |
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด | ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น |
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน | เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม |
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น | ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม |
ประทักษิณจินตนาพยายาม | ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์ |
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย | ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน |
เป็นลมทักชิณาวัฏน่าอัศจรรย์ | แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก |
ทั้งองค์ฐานรานร้าวถึงเก้าแสก | เผยอแยกยอดสุดก็หลุดหัก |
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก | เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น |
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ | จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น |
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น | คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น |
ค ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ | บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์ |
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์ | เป็นอานันต์อานิสงส์ดำรงกาย |
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ | ให้บริสุทธ์สมจิตที่คิดหมาย |
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย | แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์ |
ทั้งโลโภโทโสและโมหะ | ให้ชนะใจได้อย่าไหลหลง |
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง | ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน |
อีกสองหญิงสิ่งร้ายแลชายชั่ว | อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน |
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ | ตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวร |
ค พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ | พบพระธาตุสถิตในเกสร |
สมถวิลยินดีชุลีกร | ประคองช้อนเชิญองค์ลงนาวา |
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว | ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา |
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา | ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ |
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ | ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล |
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล | เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน |
สุดจะอยู่ดูอื่นในฝืนโศก | กำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน |
พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ | ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานี |
ค ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวง | ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์ |
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้ | ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา |
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป | ทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา |
เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธา | ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ |
ใช่จะมีที่รักสมัครมาด | แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย |
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร | ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา |
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงพะแนงผัด | สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา |
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา | ต้องโรยหน้าเสียสักหน่อยอร่อยใจ |
ค จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น | อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน |
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ | จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย |