เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระพรรษา | ชาวพาราเซ็งแซ่แห่กฐิน |
ลงเรือเพียบพายยกเหมือนนกบิน | กระแสสินธุ์สาดปรายกระจายฟอง |
สนุกสนานขานยาวสาวสนั่น | บ้างแข่งขันต่อสู้เป็นคู่สอง |
แพ้ชนะประตาพูดจาลอง | ตามทำนองเล่นกฐินสิ้นทุกปี |
ไปช่วยแห่เห็นกันกระสันสวาท | นุชนาฎพายเรือใส่เสื้อสี |
จนเปียกชุ่มตุ่มตั้งอลั่งดี | เส้นเกศีโศกสร้อยก็พลอยยับ |
เหมือนตกแสกแบกโศกไว้สักพ้อม | ดูมัวมอมหน้าตาเมื่อขากลับ |
ถึงบ้านบอบหอบอ่อนลงนอนพับ | ตานั้นหลับใจตรึกนึกถึงพาย |
บ้างว่ากันวันนี้พี่คนนั้น | ช่างดูฉันนี่กระไรน่าใจหาย |
บ้างแกล้งพูดดังดังว่าชังชาย | เบื่อจะตายไปกฐินเขานินทา |
ได้ยินพูดเช่นนี้ก็มีมาก | พูดแต่ปากใจรนเที่ยวซนหา |
การโลกีย์มีทั่วทั้งโลกา | ใครบ่นบ้าว่าเบื่อไม่เชื่อเลย |
ถึงตัวเรานี้เล่าก็เร่าร้อน | แสนอาวรณ์วิญญาณ์นิจจาเอ๋ย |
ไม่ว่าเล่นเป็นหลังด้วยหวังเชย | ยิ่งเคยเคยแล้วยิ่งคิดเป็นนิจกาล |
ทุกค่ำรุ่งมุดมาดปราถนา | จะพรรณาสุดคิดให้วิตถาร |
ในเล่ห์กลโลกาห้าประการ | ฉันรำคาญสุดที่จะชี้แจง |
เดือนสิบสองล่องลอย กระทงหลวง | ชนทั้งปวงลอยตามอร่ามแสง |
ดอกไม้ไฟโชติช่วงเป็นดวงแดง | ทั้งพลุแรงตึงตังดังสะท้าน |
เสียงนกบินพรวดพรวดกวดไอ้ตื้อ | เสียงหวอหวือเฮฮาอยู่ฉ่าฉาน |
ล้วนผู้คนล้นหลามตามสะพาน | อลหม่านนาวาในสาคร |
บ้างก็แห่ผ้าป่าพฤกษาปัก | มีเรือชักเซ็งแซ่แลสลอน |
ขับประโคมดนตรีมีละคร | อรชรรำร่าอยู่หน้าเรือ |
บ้างก็ร้องสักวาใส่หน้าทับ | ลูกคู่รับพร้อมเพราะเสนาะเหลือ |
ฟังสำเนียงเสียงสตรีไม่มีเครือ | เป็นไยเยื่อจับในน้ำใจชาย |
ฟังสำเนียงเสียงนางที่กลางน้ำ | แล้วหวนรำลึกนุชที่สุดหมาย |
กลับมานอนอ่อนทอดระทวยกาย | เฝ้าฟูมฟายชลนาทุกราตรี |
เมื่อวันมีเทศนามหาชาติ | ได้เห็นนาฎนุชองค์ยอดสงสาร |
สัปบุรุษคับคั่งฟังกุมาร | ชัชวาลแจ่มแจ้งด้วยแสงเทียน |
พี่ฟังธรรมเทศจบไม่พบน้อง | เที่ยวเมียงมองเลี้ยวลัดวัดเฉวียน |
ไม่พบพักตร์เยาวมาลย์ในการเปรียญ | ก็วนเวียนมาบ้านรำคาญใจ |
ถึงฤดูเดือนอ้ายไม่ได้สมร | ยิ่งหนาวนอนทอดประทับไม่หลับไหล |
ถึงกอดหมอนนอนนิ่งแล้วผิงไฟ | ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดรัก |
พี่เป็นทุกข์ทุกเดือนเหมือนจะม้วย | ใครจะช่วยทุกข์ได้ไม่ประจักษ์ |
ให้คับแค้นวิญญาหนักหนานัก | จนสุดรักสุดฤทธิ์จะคิดการ |
ให้สุดแค้นแสนวิตกในอกพี่ | เหมือนพระสี่เสาร์กษัตริย์พลัดสถาน |
พระเสาร์ทับชันษาอยู่ช้านาน | พระภูบาลเป็นบ้าเข้าป่าไป |
ครั้นล่วงเข้าเดือนยี่ทวีหนาว | นางสาวสาว อาบน้ำทำหน้าเฉย |
อุตส่าห์แต่งบำรุงกายให้ชายเชย | ไม่ขาดเลยแป้งขมิ้นดินสอพอง |
ไม่ใคร่ผิงอัคคีกลัวศรีเสีย | อลิ้มอะเลียเหลือดีไม่มีหมอง |
ดัดปีกเปิดเสิศล้วนนวลละออง | อนงค์น้องน่ารักลักขณา |
บ้างก็กางคันฉ่องส่องกระจก | เห็นผมดกคิ้วดำขำหนักหนา |
อุตส่าห์ถอนอุตส่าห์ตัดหัดเล่นตา | เป็นวิชาชวนชายให้ตายใจ |
บ้างหัดยิ้มพริ้มพรายขยายแก้ม | เอาหมึกแต้มให้ดำทำเป็นไฝ |
ล้วนแต่งตัวทั่วกันทุกวันไป | นี่หรือใครจะไม่รักภัคินี |
ทั้งขาวขำสำอางค์เหมือนอย่างปั้น | ย่อมหวานมันเหมือนหมดรสอิตถี |
ผูกสายสร้อยข้อมือลือว่ามี | ทุกวันนี้นับถือข้อมือทอง |
บ้างก็ไปวัดวาหาหลวงพี่ | ขึ้นกุฎีน้อมกายถวายของ |
ใครไม่รู้ดูทีเหมือนพี่น้อง | เขาแอบมองลอบดูรู้อุบาย |
ธรรมดาว่ารักเขามักรู้ | เพราะตาหูบอกเหตุสังเกตง่าย |
จะเจรจาพาทีมีแยบคาย | ใครอย่าหมายว่าจะปิดไม่มิดเลย |
เช่นทำนองของฉันทุกวันเล่า | เขารู้เท่าทั้งนั้นฉันก็เฉย |
โอ้โอ๋อกของชายที่หมายเชย | ยังไม่เคยแล้วยิ่งคิดจิตระบม |
ถึงเดือนสามความโศกไม่เสื่อมสูญ | จันทร์จำรูญแสงงามยามปฐม |
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างพรม | ทีนั่งชมจันทร์เพ็งเปล่งโพยม |
ดูแวววับเวหาล้วนดาเรศ | เหมือนดวงเนตรนุชน้องสำอางโฉม |
ดูกระพริบริบแดงดังแสงโคม | ลอยพยอมล้อมจันทร์พรรณราย |
พี่นั่งชมตรมตรึกดึกสงัด | น้ำค้างหยัดเยือกเย็นกระเซ็นสาย |
บุปผาเผยกลีบก้านบานกระจาย | ต้องพระพายหอมกระถินดังกลิ่นนาง |
พี่เคลิ้มคลั่งนั่งอยู่ดูมะลิ | ลืมสติหลงพลอดกอดกระถาง |
ฟังเป็นเสียงสายสมรวอนให้วาง | จึงปลอบนางพางว่าด้วยอาลัย |
ถึงเดือนยี่ปีสุดจะตรุษใหม่ | ยังไม่ได้นุชนาฎที่ปราถนา |
ฟังเสียงปืนยื่นยัดอัฎฎนา | รอบมหานัคเรศนิเวศน์วัง |
ถ้าความทุกข์เราดังเหมือนอย่างปืน | พิภพพื้นก็จะไหวเหมือนใจหวัง |
นวลหงส์ดงจะรู้ถึงหูดัง | จะนอนฟังทุกข์พี่ไม่มีเว้น |
ทุกวันคืนเดือนปีไม่มีหยุด | พี่แสนสุดทุกข์ใจใครจะเห็น |
ในทรวงช้ำเหมือนเขาเชือดเลือดกระเด็น | ใครจะเห็นเช่นข้าทั้งธานี |
จะว่าเมาเมาอะไรก็ไม่หนัก | อันเมารักเช่นนี้มีทุกแห่ง |
เกิดยุ่งยิ่งชิงกันถึงฟันแทง | ใครพลาดแพลงล้มตายวายชีวา |
บ้างชกต่อยถึงบอบลอบตีหัว | เขาจับตัวใส่คุกทุกข์หนักหนา |
อันโกรธขึ้งหึงกันทุกวันมา | เพราะตัณหาตัวเดียวมันเรี่ยวแรง |
จนพระเณรเถรตู้อยู่ไม่ได้ | สึกออกไปซัดเพลาะเที่ยวเสาะแสวง |
บ้างร้อนตัวกลัวจะอดเหมือนมดแดง | นอนตะแคงคว่ำหงายวุ่นวายใจ |
บ้างก็แต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม | ว่ารักโฉมมิ่งมิตรพิสมัย |
พอลงเอยให้แม่สื่อถือเอาไป | แต่ละใบราคาถึงตำลึงทอง |
บ้างถูกแม่สื่อหลอกปอกเอาหมด | เจ็บอกอดอับอายเสียดายของ |
ถ้าแม่สื่อซื่อตรงคงได้ครอง | เป็นหอห้องเรือนเรือตามเชื้อวงศ์ |
บ้างรักเขาข้างเดียวลงเคี่ยวเข็ญ | บ้างก็เป็นสังฆ์การีสึกชีสงฆ์ |
วิสัยพระทุกวัดขัดทุกองค์ | ถ้าลาภตรงมาหาเปลื้องผ้าไตร |
บ้างก็ถูกลมหลอกออกมาเก้อ | ชักสะพานแหงนเถ่อน้ำตาไหล |
ไม่ได้เมียเสียของร้องเอาใคร | กลับบวชใหม่สวดมนต์ไปจนตาย |
เขาว่าพระคราวนั้นก็ขันอยู่ | บวชเณรรู้ไว้เป็นศิษย์ดังจิตหมาย |
ท่านจับสึกสักหน้าพากันอาย | พวกหญิงชายลือดังทั้งพิภพ |
เพราะโลกีย์ฟั่นเฝือเหลือสละ | แต่เป็นพระแล้วยังคิดผิดขนบ |
นี่หรือคฤหัสถ์จะไม่โลภละโมบมบ | ให้ปรารภเรื่องผู้หญิงประวิงวอน |
จะพรรณาว่าไปไหนจะหมด | เหลือกำหนดนับไม่เสร็จเหมือนเม็ดฝน |
มิใช่ฉันหยาบช้าแกล้งว่าคน | อย่าร้อนรนร้าวรานรำคาญเคือง |
ฉันคนชั่วตัวโศกเป็นโรครัก | อกจะหักเสียด้วยตรอมจนผอมเหลือง |
สวาทหวังตั้งจิตเป็นนิตย์เนือง | จึงแต่งเรื่องรักไว้ให้คนฟัง |
ไว้อ่านเล่นเป็นที่ประกันทุกข์ | ให้ผาสุกตามประสาที่บ้าหลัง |
ท่านทั้งหลายชายหญิงอย่าชิงชัง | ฉันต่อตั้งแต่งความตามทำนอง |
อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส | ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง |
อุตสาห์หัดวิชาหาเงินทอง | ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน |
ถึงยากจนซนหาประสายาก | ที่มีมากตั้งกองครองสงวน |
บ้างก็ชอบชาววังรังกระบวน | เนื้อก็นวลเสียงก็หวานขานก็เพราะ |
ที่เต็มอัดกลัดมันกลั้นไม่ หยุด | ก็รับรุดเร็วรัดไปวัดเกาะ |
เป็นเงินแดงแย่งยุดฉุดเอาเพลาะ | เถียงทะเลาะวุ่นวายไม่อายกัน |
เพราะโลกีย์เจ้ากรรมแกทำเข็ญ | เผอิญเป็นทั่วโลกให้โศกศัลย์ |
ถึงเทวบุตรภุชงค์พงศ์สุบรรณ | ก็เหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ |
ถ้ารักกันลั่นเปรี้ยงดังเสียงฟ้า | หูจะชาเสียงด้วยดังฟังไมไหว |
แต่เงียบเงียบสิยังอึงคนึงไป | ราวกับไฟไหม้ฟางสว่างโพลง |
ถ้าคนอื่นตรึกตรองก็ต้องที่ | แต่เรานี้วุ่นวายแทบตายโหง |
ก็มิได้สายสมรนอนคลุมโปง | ยังดังโด่งพลอยเขาน่าเศร้าใจ |
จำจะแต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม | ว่ารักโฉมนพคุณจำรูญศรี |
งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ | ตั้งแต่พี่ได้เห็นไม่เว้นคะนึง |
จึงสอดส่งศุภอรรถมาบัดนี้ | ว่าสุดที่เจรจามาไม่ถึง |
แสนอาวรณ์ร้อนจิตดังกฤชตรึง | ประดุจหนึ่งชีวันจะบรรลัย |
ใครอยู่ดูเยี่ยงข้าหนาพ่อแม่ | ลำบากแท้ยิ่งกว่าหลงเข้าดงหนาม |
ถ้าใครรักประโลมลูบแต่รูปงาม | บังเกิดความทุกข์นานรำคาญใจ |
ถ้ารักเขาเขาชังไม่หวังรัก | ก็ทุกข์นักทุกข์หนาเลือดตาไหล |
ถ้าถ้อยทีถ้อยรักก็คงไว | คงจะได้เชยชิดสนิทกัน |
งามมิงามฉันไม่ว่าถ้าควรคู่ | อุตส่าห์โอบอ้อมถนอมขวัญ |
เขมรลาวชาวพม่าแลรามัญ | ถ้ารักฉันก็รักไม่พักวอน |
ที่กลางแห่งท่านก็ถือทำหื้อหา | ต่างภาษาแล้วไม่ขอสโมสร |
บ้างเลือกไปเลือกมาปาเอามอญ | ต้องง้องอนอิงแอบเขาแทบตาย |
ที่ไม่เลือกได้ดีก็มีถม | ภิรมย์สมนุชนาฏไม่ขาดสาย |
ไม่ขัดสนพ้นที่จะอภิปราย | ท่านทั้งหลายฟังรู้อยู่แก่ใจ |
ว่าด้วยเรื่องตัณหาแล้วน่าเกลียด | ฉันขี้เกียจอธิบายน้ำลายไหล |
สำหรับโลภโศกศัลย์ทุกวันไป | กว่าจะได้พระนิพพานสำราญครัน |
จะเวียนตายเวียนเกิดกำเนิดนับ | สักกี่กัปป์จึ่งจะสิ้นที่โศกศัลย์ |
กิเลสเล่าเมามัวเข้าพัวพัน | มัดกระสันฝูงสัตว์อยู่รัดรึง |
ทำกระไรจะได้รอดตลอดล่วง | ให้พ้นห่วงตัณหาราคาขึง |
ฉันก็นึกเหนื่อยหน่ายหายคะนึง | ให้คิดถึงชีวิตอนิจจัง |
เดือนก็จบครบปีเดือนสี่สิ้น | ใครอย่าได้นินทาว่าลับหลัง |
เอาเรื่องรักชักเหตุเทศน์ให้ฟัง | ก็เอวังหมดทีเท่านี้เอย |