| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

แหล่งอุตสาหกรรม

            แหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย  ตั้งอยู่ที่วัดพระปรางค์ พบร่องรอยเตาเผา ตั้งแต่บริเวณที่อยู่ห่างจากวัดพระปรางค์ไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ ๕๐๐ เมตร และต่อไปตามริมฝั่งแม่น้ำน้อยในระยะห่างจากริมฝั่งแม่น้ำประมาณ ๑๕๐ - ๒๐๐ เมตร จนถึงบริเวณที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัดเกือบ ๒ กิโลเมตร
            เตาเผาแม่น้ำน้อยเป็นเตาผลิตเครื่องปั้นดินเผา ที่มีอายุอยู่ระหว่าง พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๔ ลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่สามเนิน ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเตาเผาแห่งนี้ มีอยู่ ๒ ประเภทคือ เครื่องใช้สอย และเครื่องประกอบสถาปัตยกรรม
            จากการขุดค้นพอสรุปได้ว่า เทคโนโลยีเตาเผาแห่งนี้ได้มาจากกลุ่มเตาเผาเมืองสุโขทัย มีบทบาทสำคัญในการผลิตเครื่องปั้นดินเผา เพื่อการบรรจุสินค้าส่งขายแก่ต่างประเทศ นอกเหนือไปจากการผลิตใช้ในท้องถิ่น ของที่ผลิตได้แก่ ไหสี่หูขนาดใหญ่ ทั้งเคลือบและไม่เคลือบ อ่าง ครก กระปุก ขวด เครื่องประดับอาคาร เช่น ช่อฟ้า กระเบื้องปูพื้น กระเบื้องมุงหลังคา รูปปั้นสิงห์ ตุ๊กตา ตลอดจนกระสุนปืนใหญ่และท่อน้ำประปา
            จากการขุดแต่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๑ ถึง พ.ศ.๒๕๓๖ พบเตาแปดเตา เป็นการสร้างซ้อนกันหลายครั้ง
            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนแหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย เป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐
            สภาพทั่วไปเนินดินเตาเผามีพื้นที่ประมาณ ๒ ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมีอยู่ห้ากลุ่มคือ
               - กลุ่มที่ ๑  กลุ่มเนินดินหน้าโบสถ์หลังเก่า มีสี่เนินด้วยกัน
               - กลุ่มที่ ๒  เนินดินริมแม่น้ำน้อยตรงข้ามวัดชัณสูตร
               - กลุ่มที่ ๓  เนินดินบริเวณโรงเรียนวัดพระปรางค์
               - กลุ่มที่ ๔  เนินดินที่เมรุเผาศพวัดพระปรางค์
               - กลุ่มที่ ๕  เนินดินบริเวณโรงพยาบาลบางระจัน
            แหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย เป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาขนาดตั้งแต่สมัยอยุธยา ตัวเตาที่ขุดค้นแล้ว มีรูปร่างส่วนลำตัวเหมือนเรือประทุน จึงเรียกว่า เตาประทุน ก่อด้วยอิฐ ใช้ระบบความร้อนเฉียงขึ้น ยาว ๑๔ เมตร กว้าง ๕.๖๐ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของปล่องไฟ ๒.๑๕ เมตร นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบในประเทศไทย
            โบราณวัตถุที่พบส่วนมากเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่ชำรุดแตกหัก และบิดเบี้ยวเสียหาย และเศษเครื่องเคลือบจากแหล่งเตาอื่น ๆ ปะปนกันอยู่ ได้แก่เศษเครื่องเคลือบสีน้ำตาล เศษเครื่องปั้นดินเผาเนื้อแกร่งไม่เคลือบและเนื้ออ่อนไม่เคลือบ ที่รองภาชนะ เศษเครื่องเคลือบสังคโลก เศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง
            ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของแหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย ได้แก่ เครื่องประดับสถาปัตยกรรม ลูกกระสุนปืนใหญ่ และลูกกระสุนดินเผา และประติมากรรมลอยตัวในรูปแบบต่าง ๆ
            แหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย น่าจะเริ่มทำมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ดำเนินการเรื่อยมาจนถึงคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐
ศิลปกรรมและงานช่าง
    ประติมากรรม

           งานปั้นสมัยสุโขทัย  เป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติสององค์คือ หลวงพ่อสินและหลวงพ่อทรัพย์ ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดประโชติการาม อำเภอเมือง ฯ
           งานปั้นสมัยอยุธยา  ได้แก่ พระนอนจักรสีห์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร บ้านพระนอน ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง ฯ  เป็นศิลปกรรมในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
           งานปั้นสมัยปัจจุบัน  ส่วนใหญ่จะปั้นพระพุทธรูป
           งานแกะสลักสมัยอยุธยา  ได้แก่ งานแกะสลักลวดลายหน้าบันวิหารวัดดอกไม้เป็นรูปดอกไม้ เทพนมสามองค์ ผ้าทิพย์สามชายและมีมังกรขนาบข้าง ลวดลายสวยงามมาก  วัดดอกไม้ตั้งอยู่ในเขตตำบลประศุก อำเภออินทร์บุรี  นอกจากนั้นยังมีงานแกะสลักบานประตูโบสถ์วัดกระดังงา เป็นงานแกะสลักที่สวยงามมาก
           งานแกะสลักสมัยรัตนโกสินทร์  ได้แก่ งานแกะสลักหนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์ ตำบลต้นโพธิ์ อำเภอเมือง ฯ
           งานหล่อโลหะ  ได้แก่ งานหล่อหลวงพ่อเพชร วัดพงษ์สุวรรณวราราม (วัดสำโรง)  ตำบลอินทร์บุรี
    จิตรกรรม

            เป็นศิลปะการวาดรูประบายสีซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมและความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังตามศาสนสถานที่สำคัญ และจิตรกรรมในสมุดไทย เช่น ภาพวาดพระมาลัย ตู้ลายทอง และหีบพระธรรม เป็นต้น
           จิตรกรรมฝาผนังวัดม่วง  วัดม่วงตั้งอยู่ในเขตตำบลอินทร์บุรี อำเภออินทบุรี อยู่ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ลักษณะของจิตรกรรมเป็นภาพเขียนด้วยสีฝุ่น ฝีมือช่างพื้นบ้าน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ
           จิตรกรรมฝาผนังวัดสุทธาวาส  วัดสุทธาวาสตั้งอยู่ในเขตตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี ลักษณะของจิตรกรรมเขียนโดยช่างท้องถิ่น ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อยู่ในวิหารครอบรอบพระพุทธบาท เป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ พระจุฬามณี
           จิตรกรรมฝาผนังวัดพระปรางค์มุนี  วัดพระปรางค์มุนีตั้งอยู่ในเขตตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง ฯ ภาพจิตรกรรมเป็นภาพที่เขียนขึ้นในระยะเวลาที่สร้างวัดนี้ขึ้น เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐  เป็นภาพพุทธประวัติและทศชาติชาดกที่งดงาม
           จิตรกรรมฝาผนังวัดจักรสีห์  วัดจักรสีห์ตั้งอยู่ที่บ้านจักรสีห์ ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง ฯ ภาพจิตรกรรมอยู่ในอุโบสถหลังเก่า เป็นภาพจิตรกรรม ที่แตกต่างไปจากสามวัดที่กล่าวแล้ว คือ เป็นภาพพระพุทธเจ้าในปางสมาธิเกือบทั้งหมด เบื้องหลังมีหมู่ไม้ บางภาพเป็นภาพพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวก และมีภาพหนึ่งเป็นภาพพระพุทธเจ้าตอนเสด็จปรินิพพาน
           จิตรกรรมฝาผนังวัดสิงห์  วัดสิงห์ตั้งอยู่ในเขตตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี สร้างสมัยอยุธยาเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๒๕๐ ภาพจิตรกรรมอยู่ในอุโบสถ วาดไว้ที่เสาและฝาผนังของซุ้มหลวงพ่อเนตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่หลังพระประธาน ติดกับผนังด้านหลังโบสถ์ เป็นภาพพระพุทธเจ้าปางสมาธิ และประทับยืนในซุ้มดอกไม้ ภาพส่วนใหญ่เป็นลายดอกไม้ บางแห่งมียักษ์แทรกอยู่
           จิตรกรรมฝาผนังวัดหนองปลาไหล  วัดหนองปลาไหลตั้งอยู่ที่บ้านปลาไหล ตำบลประศุก อำเภออินทร์บุรี  สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๕  ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๕  ในวัดมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีค่าหลายอย่าง ภาพจิตรกรรมอยู่ในวิหารเก่า ภาพเขียนคล้ายกับที่วัดจักรสีห์ เป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งห้อยพระบาท ไสยาสน์ และภาพนรกภูมิ
            นอกจากนี้ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอีกหลายแห่ง แต่เป็นภาพสมัยใหม่ ซึ่งมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ เช่น ที่วัดตึกราชา อำเภอเมือง ฯ  วัดสาลโคดม และวัดพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง
    สถาปัตยกรรม

            สถาปัตยกรรมของจังหวัดสิงห์บุรี มีลักษณะคล้ายคลึงกับจังหวัดในแถบภาคกลาง ส่วนมากปลูกสร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น บ้านทรงไทย บ้านทรงปั้นหยา บ้านทรงมะนิลา เป็นบ้านใต้ถุนสูง ชั้นเดียว
           บ้านทรงไทย  โครงเรือนเป็นลักษณะโครงเสากับคาน แบ่งผังเสาและสัดส่วนของบ้านไทยภาคกลางคือ แบ่งเป็นสามช่วงกว้าง ๓ เมตร ส่วนพาไลอยู่หัวเรือนกว้าง ๓ เมตร ความยาวสามช่วงเสา โดยทำช่วงเสาละ ๓.๐๐ เมตร มีบานเฟี้ยม ใต้ถุนสูง
           โครงหลัง ขื่อกว้างห้าส่วน ใบดั้งสูงสี่ส่วน หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ตัวเรือนไม่มีฝ้าเพดาน ขื่อวางนอนเจาะเข้าเดือย หัวเทียบ เสากลม ปั้นลมวางบนปลาย แปหัวเสา แปลาม ยอดแหลม หน้าจั่วเป็นแบบลูกฟัก เสาดั้งตั้งคร่อมอยู่บนรอดไปรับอกไก่
            หน้าต่างด้านข้างมีสองบาน ฝังเดือยบนล่าง เปิดเข้าด้านใน เป็นบานคู่ ไม้แผ่นเดียว ตั้งบนธรณี มีลูกกรงกับคนเข้า

           บ้านทรงปั้นหยา คือทรงเรือนมีหลังคาเอียงลาดลงรอบตัวเรือนหรือเรียกว่า ทรงจั่วล้ม คือไม่มีจั่วให้เห็น โครงหลังคาจะคลุมตัวเรือนได้มากกว่าทรงมะนิลา
            ลักษณะโดยทั่วไปมีส่วนผสมผสานของแบบไทยเดิมอยู่ เช่น มีเสาค้ำยันชายคาหรือทวยค้ำ แต่ไม่มีลวดลาย การปูพื้นเรียบมีตงรองรับ และวางคานคู่ไปตามแนวยาว มีทั้งเรือนสองชั้นและชั้นเดียว
           บ้านทรงมะนิลา  หลังคาเป็นทรงจั่ว เอียงลาดด้านหน้าเท่านั้น ด้านข้างทำอุดจั่วเหมือนทรงไทยเดิม แต่จะทำกันสาดใต้หลังคารอบด้าน ตัวเรือนยังคงสัดส่วนเหมือนเรือนทรงไทยอยู่ พื้นภายในเสมอกันตลอดทั้งตัวเรือน มีชานออกด้านหลัง คู่ชายคาชนกับกลางเรือน ความสูงของโครงหลังคา และทรงตัวเรือนจะได้สัดส่วนกันพอดี โครงสร้างยึดด้วยเดือยไม้และลิ่ม

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |