| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

มรดกทางวัฒนธรรม

            สิงห์บุรีมีความอุดมสมบูรณ์ในหลาย ๆ ด้าน ทำให้มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่ต่อเนื่องกันมานาน ได้สร้างสมผลงานที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจากการประดิษฐคิดค้นเครื่องมือเครื่องใช้งานศิลปกรรม และศาสนวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เป็นหลักฐานทางวิชาการที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี หรือชาติพันธุ์วิทยา บอกถึงความเป็นมาของชุมชน วิถีชีวิตผู้คนในอดีตต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
โบราณวัตถุ

            โบราณวัตถุที่พบในเขตจังหวัดสิงห์บุรี ตามยุคสมัยของศิลปะในประเทศไทยคือ
            สมัยก่อนประวัติศาสตร์  โบราณวัตถุที่พบได้แก่ หินดุ ขวานหิน
            สมัยทวารวดี  โบราณวัตถุที่พบได้แก่ ธรรมจักร พระพุทธรูปหิน แท่นหินบด ภาชนะดินเผา แว ตะคัน ลูกปัดหินสี
            สมัยอยุธยา  โบราณวัตถุที่พบได้แก่  พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาทั้งเคลือบและไม่เคลือบ จากเตาแม่น้ำน้อย เช่นไหสี่หู กระปุก แจกัน ฯลฯ
            สมัยรัตนโกสินทร์  โบราณวัตถุที่พบได้แก่ พระพุทธรูป  เครื่องถ้วยเบญจรงค์ เครื่องถ้วยจีน และสิ่งของเครื่องใช้ในการพระพุทธศาสนา
โบราณสถาน
            โบราณสถานในเขตจังหวัดสิงห์บุรี มีทั้งในส่วนที่เป็นแหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ แหล่งอุตสาหกรรม และสถานที่สำคัญของทางราชการ ที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมดีเด่น นอกจากนี้ยัวมีอาคารโบราณสถานที่เป็นวัดสำคัญทางพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยโบสถ์ วิหาร พระปรางค์ มณฑป ฯลฯ ล้วนเป็นมรดกที่ภาคภูมิใจ
            โบราณสถานของจังหวัดสิงห์บุรี ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่สำคัญ มีอยู่หกแห่งด้วยกันคือ วัดพระนอนจักรสีห์ วัดหน้าพระธาตุ เมืองโบราณบ้านคูเมือง วัดโพธิเก้าต้น คูค่ายพม่า และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทรบุรี

            เมืองโบราณบ้านคูเมือง  อยู่ในเขตตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี เป็นชุมชนโบราณสมัยทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๖ ลักษณะตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบสี่ด้าน มีพื้นที่ประมาณ ๕๐๔ ไร่ สภาพโดยทั่วไปในปัจจุบันยังปรากฎร่องรอยการอยู่อาศัยของชุมชนโบราณ พบเศษภาชนะดินเผา และสิ่งของเครื่องใช้ประเภทต่าง ๆ ที่บริเวณเนื้อดิน พบลูกปัดดินเผาและหินสี ในส่วนที่เป็นโบราณสถานไม่ปรากฎให้เห็นรูปทรงชัดเจน เหลือแต่เพียงชิ้นส่วนที่ใช้ตบแต่งสถาปัตยกรรมเท่านั้น
            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓

            คูค่ายพม่า  ตั้งอยู่บริเวณหลังวัดคู ตำบลโนนแป้ง อำเภอพรหมบุรี มีลักษณะเป็นแนวคันดินรูปปีกกา ส่วนหนึ่งของคูค่ายมีทางหลวงสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข ๒) ตัดผ่าน เป็นคูค่ายที่พม่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๑๒๗ เมื่อครั้งพระเจ้าเชียงใหม่ยกทัพมาที่เมืองชัยนาท และให้ทัพหน้าลงมาตั้งค่ายที่ปากน้ำบางพุทรา แขวงเมืองพรหม โดยจะมาสมทบกับกำลังของเจ้าเมืองพสิม ที่ยกมาทางด่านเจดียสามองค์เพื่อรวมกำลังกันเข้าตีกรุงศรีอยุธยา กองทัพฝ่ายกรุงศรีอยุธยา ได้ต่อสู้จนกองทัพพม่าที่ปากน้ำบางพุทรา ต้องถอยร่นไปที่เมืองชัยนาท พระเจ้าเชียงใหม่ต้องถอยทัพกลับ ทิ้งร่องรอยคูค่ายไว้ให้เห็นถึงปัจจุบัน
            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘

            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  เดิมเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัดโบสถ์ ต่อมาได้รวบรวมโบราณวัตถุและสิ่งของต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมไว้ออกมาจัดแสดงในรูปพิพิธภัณฑ์ของวัด มีผู้เข้าชมมากขึ้นตามลำดับ ทำให้อาคารไม้หลังเดิมไม่เพียงพอแก่การนี้ จึงได้ก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่ แต่ยังไม่พอจึงได้ซ่อมแซมศาลาการเปรียญขึ้น เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์อีกหลังหนึ่ง
            มีโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ตั้งแต่สมัย ทวารวดี สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น พระพุทธรูปต่าง ๆ พระธรรมจักร ตาลปัตรพัดยศ เครื่องประกอบสมณศักดิ์ของพระสงฆ์
            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖
แหล่งโบราณคดี
            แหล่งโบราณคดีเป็นแหล่งที่มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ในอดีต แต่ไม่ปรากฎสิ่งก่อสร้างให้เห็นอย่างชัดเจน ในเขตจังหวัดสิงห์บุรี มีการค้นพบแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง ซึ่งมักจะพบเศษชิ้นส่วนภาชนะรูปทรงต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ที่ยังมีร่องรอยปรากฎให้เห็นชัดเจนมีดังต่อไปนี้
            แหล่งโบราณคดีบ้านชีน้ำร้าย  อยู่ในเขตตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทรบุรี เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีพื้นที่เป็นที่ราบน้ำท่วมถึง พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบเผาด้วยอุณหภูมิต่ำ มีทั้งชนิดปากขอบโค้งเข้า โค้งออก และปากตรง การตกแต่งมีแบบเคลือบน้ำดินข้น ลายเชือกทาบ ลายขูดขีด ลายกดประทับ ลายปั้นแปะ และผิวเรียบไม่มีลาย แวดินเผาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ชิ้นส่วนกำไลสำริด ชิ้นส่วนที่คล้ายตุ๊กตาดินเผา ชิ้นส่วนขวานหิน
            แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ เป็นชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่คือ แม่น้ำเจ้าพระยา
            แหล่งโบราณคดีเมืองบ้านคู  ตั้งอยู่ที่บ้านคู ตำบลพักทับ อำเภอบางระจัน ปัจจุบันเหลือร่องรอยของคันดินเฉพาะทางด้านทิศเหนือ อีกส่วนหนึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคันดินชั้นเดียวแต่ปัจจุบันถูกไถออกไปหมดแล้ว เมืองโบราณทั้งสองแห่งนี้ตอดต่อกันโดยคูน้ำ

            จากการสำรวจภายในเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ เศษเครื่องถ้วยจีนลายคราม ขวานหินขัด ระฆังหิน และยังพบซากเจดีย์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๙ เมตร ยอดเนินดินสูงประมาณ ๑ เมตร บริเวณนอกเมืองทางด้านทิศเหนือ
            ส่วนเมืองโบราณขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ได้พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบเผาด้วยอุณหภูมิต่ำ ตกแต่งผิวภาชนะด้วยลายขูด ลายเส้นขนานสลับฟันปลา เหมือนกับเศษภาชนะดินเผาที่พบในสมัยอยุธยาตอนกลาง - ตอนปลาย เศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง เผาด้วยอุณหภูมิสูงชนิดไม่เคลือบ มีการตกแต่งผิวภาชนะแบบลายเส้นขนานสลับลายหวี
            แหล่งโบราณคดีแห่งนี้มีอายุเก่าถึงสมัยทวารวดี และคงมีผู้คนอยู่อาศัยภายในเมือง บริเวณรอบ ๆ เมืองในสมัยอยุธยา
            แหล่งโบราณคดีบ้านคีม  ตั้งอยู่ในเขตตำบลสระแจง อำเภอบางระจัน  มีลักษณะเป็นเนินดินรูปวงรี กว้าง ๒๐๐ เมตร ยาว ๕๐๐ เมตร มีคูน้ำขนาดกว้าง ๕ เมตร ล้อมรอบพื้นที่เป็นลานตะพักน้ำระดับต่ำ มีลักษณะเรียบจนถึงเป็นลูกคลื่นลอนลาด สภาพตัวเมืองโบราณแต่เดิมมีลักษณะเป็นเนินสูง
            จากการสำรวจ พบเฉพาะเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ พบไม่มากนักและเป็นชิ้นเล็ก ๆ  มีการตกแต่งผิวแบบเคลือบน้ำดินข้นและลายเชือกทาบ สันนิษฐานว่า เป็นชุมชนโบราณที่มีการสร้างคูน้ำคันดินล้อมรอบ ซึ่งคงมีอายุร่วมสมัยกับชุมชนโบราณทวารวดี ที่กระจายตัวอยู่ทั่วไป บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน
            เมืองโบราณบ้านคูเมือง  อยู่ในเขตตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี  เป็นแหล่งชุมชนโบราณขนาดใหญ่ มีขนาดกว้างประมาณ ๖๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๗๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินดินรูปร่างกลมรี สูงกว่าพื้นที่โดยรอบประมาณ ๓ เมตร มีคูน้ำล้อมรอบ ๑ ชั้น คูน้ำกว้างประมาณ ๑๐ เมตร บางตอนกว้าง ๕๐ เมตร คูน้ำยาวรอบตัวเมือง มีน้ำขังตลอดปี ปัจจุบันบริเวณเมืองเป็นสวนรุกขชาติของกรมป่าไม้ สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นทุ่งนา
            หลักฐานทางโบราณคดีส่วนใหญ่พบภาชนะดินเผาประเภทหม้อ ไห ชาม กาน้ำ ตะคันดินเผา ตะเกียง พระพุทธรูปหินสีเขียว พระธรรมจักรหิน เครื่องประดับประเภทต่าง ๆ เช่น ตุ้มหู สำริด ลูกกระพวนสำริด ตุ้มหูตะกั่ว ลูกปัดหินสี ลูกปัดแก้ว เบี้ยดินเผาหินบดยา โครงกระดูกกลายเป็นหิน ฐานศิวลึงค์ กังสดาล เหรียญเงินมีคำจารึกว่า ศรีทวารวดีศวรปุณยะ และพบสระน้ำโบราณอยู่ ๓ สระ
            จากการนำชิ้นส่วนถ่านที่ได้จากชั้นดินที่ทับถมอยู่บริเวณคูเมืองโบราณไปทดสอบอายุ พบว่ามีอายุสัมพันธ์กับโบราณวัตถุสมัยฟูนันตอนต้น ติดต่อมาถึงสมัยทวารวดี ที่เห็นเด่นชัดคือภาชนะดินเผาที่มีการตกแต่งด้วยลวดลายประดับรูปสัตว์สลับดอกไม้กรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า และกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรียงในแนวนอน มีลวดลายไข่ปลาในแนวตั้ง ลายแบบนี้นิยมทำภาพสลักที่เจดีย์สมัยทวารวดีในจังหวัดนครปฐมด้วย
แหล่งประวัติศาสตร์
            พิ้นที่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ของสิงห์บุรี เป็นสถานที่สู้รบระหว่างชาวบ้านบางระจันกับกองทัพพม่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุงครั้งที่สองในปี พ.ศ.๒๓๑๐ โดยรวมตัวกันตั้งค่ายป้องกันข้าศึก ได้ชัยชนะถึงเจ็ดครั้ง ต้านทานข้าศึกได้นานถึง ๕ เดือน นับเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาติ

            ค่ายบางระจัน  อยู่ในเขตตำบลบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน มีประวัติความเป็นมาโดยสังเขปคือ เมื่อเดือนสาม ปีระกา พ.ศ.๒๓๐๘ พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่าแห่งกรุงอังวะ ให้เนเมียวสีหบดี (มังโปสุพลา) เป็นแม่ทัพฝ่ายเหนือยกกำลังมาทางเหนือเข้าตีเมืองรายทาง แล้วลงไปตั้งค่ายอยู่ที่วัดป่าฝ้าย (ในเขตอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปัจจุบัน)
            ให้มังมหานรธาเป็นแม่ทัพฝ่ายใต้ พร้อมด้วยติงจา แมงข่อง จอกาโม งาจุนหวุ่น และจิกแก ปลัดเมืองทวาย ยกกำลังมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แล้วมาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลสีกุก (ในเขตอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปัจจุบัน)
            เนเมียวสีหบดีให้สุรินทจอข่องเป็นแม่ทัพถือพลหนึ่งพันเศษ ยกไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ เที่ยวออกปล้นสะดมชาวบ้านเป็นที่เดือดร้อนไปทั่ว
            ได้มีชาวบ้านสี่คนคือนายแทน นายอิน นายเมือง และนายโชติ เป็นชาวบ้านศรีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์บุรี และอีกสองคนคือ นายดอกและนายทองแก้ว เป็นชาวเมืองวิเศษไชยชาญ บ้านสี่ร้อย  ทั้งหกคนได้ร่วมสาบานกันและขอเป็นศิษย์พระอาจารย์ธรรมโชติ สำนักวัดเขาขึ้น ยอดเขานางบวช
            ขุนสรรค์สรรพกิจ กรมการเมืองสรรคบุรี ศิษย์ของพระอาจารย์ธรรมโชติ ได้อพยพครอบครัวและราษฎรประมาณสองร้อยคน
มาพึ่งพระอาจารย์ธรรมโชติ พระอาจารย์ธรรมโชติจึงหาทำเลที่ตั้งค่ายที่วัดโพธิ์เก้าต้น ตำบลบ้านบางระจันทร์ แขวงเมืองสิงห์บุรี เพราะมีภูมิประเทศคล้ายเป็นเกาะ เหมาะแก่การตั้งรับข้าศึกและป้องกันตัว มีเสบียงอาหารสมบูรณ์
            ขณะนั้นได้มีกลุ่มคนซ่องสุมกำลังฝึกอาวุธอยู่บริเวณเหนือวัดโพธิ์ทะเล อยู่หลายกลุ่มด้วยกันคือ
                   นายพันเรือง กำนันตำบลบางระจัน
                   นายจันเขียว  หรือนายจันหนวดเขี้ยว นายบ้านโพธิ์ทะเล
                   นายทองเหม็น ผู้ใหญ่บ้านกลับ
                   นายทองแสงใหญ่  ผู้ช่วยกำนันตำบลบางระจัน
            ทั้งสี่คนเป็นชาวเมืองสิงห์บุรี ทุกคนเป็นศิษย์พระอาจารย์ธรรมโชติ ได้มารวมตัวกันกับพระอาจารย์ธรรมโชติ ได้มีการสร้างค่ายสองค่าย ค่ายใหญ่อยู่บริเวณวัดโพธิ์เก้าต้น ค่ายเล็กอยู่บริเวณวัดประโยชน์ (วัดยวด) ให้นายแท่นเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้นายทองเหม็นเป็นนายกอง ทางปีกขวา นายพันเรืองเป็นนายกองทางปีกซ้าย ขุนสรรค์สรรพกิจ เป็นกองหน้า ชาวบ้านบางระจันได้รวมกำลังกันดังกล่าวต่อสู้กับพม่าหลายครั้งดังนี้
                     - ครั้งที่ ๑ สุรินจอข่อง รู้ว่ามีการจัดตั้งค่ายบางระจัน จึงให้จัดกำลังร้อยคนมุ่งหน้าไปบางระจัน ทางค่ายบางระจันให้นายแท่นเป็นนายกองออกไปสู้พม่า เมื่อพม่ายกมาถึงด้านใต้ลำราง ชาวค่านบางระจันก็เข้าโจมตีพม่าได้ฆ่าฟันพม่าตายเกือบหมด เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็ทำให้ผู้ที่หลบซ่อนอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ อพยพเข้ามาอยู่ในค่ายบางระจันมากขึ้นจนมีกำลังเกือบพันคน
            สุรินจอข่อง เห็นสถานการณ์เช่นนั้น จึงมีใบบอกไปยังแม่ทัพใหญ่ เนเมียวสีหบดีจึงให้งาฉุนหวุ่นถือพล ๕๐๐ ยกออกไปปราบเมื่อมาถึงบ้านแสวงหา พระอาจารย์ธรรมโชติให้นายดอกกับนายทองแก้วคุมกำลังออกรบ ฝ่ายพม่าแตกกลับไป
                     - ครั้งที่ ๒  เนเมียวสีหบดีจัดกำลังเจ็ดร้อยคน ให้เยกินหวุ่นยกกำลังไปปราบ ทางค่ายบางระจันยกกำลังไปตั้งรับที่บ้านห้วยไผ่ เมื่อปะทะกับฝ่ายค่ายบางระจัน ได้ชัยชนะฆ่าฝ่ายพม่าตายเป็นจำนวนมาก
                     - ครั้งที่ ๓  เนเมียวสีหบดีจัดกำลังเก้าร้อยคน ให้ติงจาโปคุมกำลังไปปราบ ฝ่ายค่ายบางระจันซุ่มคอยที่อยู่ เมื่อพม่ายกมาถึงทุ่งขุนโลก (ปัจจุบันอยู่ที่วัดประดับ) ฝ่ายไทยยกกำลังเข้าตีพม่าแตกกลับไป
                     - ครั้งที่ ๔  เนเมียวสีหบดีจัดกำลังหนึ่งพันคน ให้สุรินจอข่องนำไปปราบค่ายบางระจัน เมื่อมาถึงบ้านหัวไผ่ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญใกล้ค่ายบางระจัน ทางค่ายบางระจันให้นายแท่นเป็นกองกลาง นายทองเหม็นเป็นปีกขวา นายพันเรืองเป็นปีกซ้าย มีกำลังพลกองละสองร้อยคน และให้ขุนสรรค์คุมพลแม่นปืน ร้อยคนเป็นกองหน้า กำลังทั้งหมดไปพร้อมกันที่สะตือสี่ต้น ริมคลองบางระจัน ตั้งรับพม่าอยู่ด้านเหนือบ้านห้วยไผ่ เมื่อเข้ารบกันได้มีกองม้าบ้านโพธิคำหยาด แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ มีม้า ๓๐ ตัว ผ่านมาพบเหตุการณ์จึงได้เข้าร่วมรบด้วย ฝ่ายพม่าแตกยับเยินกลับไป สุรินจอข่องนายทัพพม่าตายในที่รบ นายแท่นถูกปืนพม่าได้รับบาดเจ็บ
                     - ครั้งที่ ๕  เนเมียวสีหบดีให้แยจอฮากา ถือพลพันสองร้อยคนมาตีค่ายบางระจัน ทางค่ายบางระจันจัดกำลังออกไปซุ่มระหว่างทาง ฝ่ายพม่าเดินทัพเข้าสู่ที่ล้อมที่บ้านขุนโลก กองทัพพม่าแตกร่นไปไม่เป็นขบวนล้มตายเป็นจำนวนมาก แยจอฮากาหนีกลับไปได้
                     - ครั้งที่ ๖  เนเมียวสีหบดีจัดกำลัง ๑,๒๐๐ คน ให้จิกแกปลัดเมืองทวาย ยกไปตีค่ายบางระจันกำลังทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันที่ชายทุ่งบ้านกระทุ่มรายและวัดบ้านสร้าง ฝ่ายพม่าแตกกลับไป
                     - ครั้งที่ ๗  เนเมียวสีหบดีจัดกำลัง ๑,๕๐๐ คน ให้อากาปันคยีเป็นเม่ทัพ มีทั้งทหารราบและทหารม้า ยกไปตีค่ายบางระจัน ใช้วิธีเดินทัพช้า ๆ ตั้งค่ายเป็นระยะ ๆ สุดท้ายมาตั้งที่ชายป่าบ้านขุนโลก ตอนนี้ทางค่ายบางระจันมีกำลังคนมากขึ้น ได้จัดกำลัง ๑,๐๐๐ คนเศษ ให้นายจันหนวดเขี้ยวเป็นเม่ทัพมีกำลัง ๓๐๐ คน นายโชติเป็นปีกขวามีกำลัง ๒๐๐ คน นายทองแก้วเป็นปีกซ้ายมีกำลัง ๓๐๐ คน ขุนสรรมีกำลัง ๑๒๐ คน กองม้ามี ๔๐๐ ตัว มอบให้นายทัพเป็นนายกองม้าประจันบาน ฝ่ายค่ายบางระจันตีพม่าแตกพ่ายกลับไป
                     - ครั้งที่ ๘ หลังจากการรบคร้งที่ ๗ ต่อมาอีก ๒๐ วัน มีมอญคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไทยมานาน พม่าได้ตั้งตัวให้เป็นพระนายกอง รับอาสาคุมกำลังไปตีค่ายบางระจัน ได้คุมกำลังผสมพม่ามอญจำนวน ๒,๐๐๐ คน พร้อมยุทธภัณฑ์ เครื่องม้า ปืนเล็ก ปืนใหญ่ เดินทัพอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงที่เหมาะสมก็จะตั้งค่าย โดยตัวค่ายแต่ละครั้งจะมีสามค่าย แล้วรื้อค่ายหลังไปตั้งค่ายหน้า ทำเช่นนี้ตลอด ๒๐ วัน ก็เข้าประชิดบ้านขุนโลกใกล้เขตบ้านบางระจัน ฝ่ายค่ายบางระจันจัดทัพเข้าโจมตี แต่ฝ่ายพม่าตั้งมั่นอยู่ในค่ายแล้วใช้ปืนใหญ่ปืนเล็กยิงต่อสู้ นายทองเหม็นออกรบถุฝ่ายพม่ารุมตีตาย นับเป็นครั้งแรกที่ชาวบางระจันแพ้ ส่วนนายแท่นถูกพม่ายองบาดเจ็บและตายในที่สุด พม่าพยายามขุดอุโมงค์เข้าประชิดค่ายบางระจัน เพื่อตั้งปืนใหญ่ยิงได้สะดวกขึ้น
            ชาวค่ายบางระจัน ได้ทำใบบอกไปยังกรุงศรีอยุธยา ขอปืนใหญ่กับกระสุนดินดำมาต่อสู้พม่า แต่ทางกรุงศรีอยุธยาเกรงว่าจะถูกพม่าช่วงชิงระหว่างทาง แต่ได้ให้พระยารัตนาธิเบศร์มาแนะนำช่วยเหลือ โดยได้เรี่ยไรทองเหลือง ทองแดง ตลอดจนโลหะที่พอมีมาหล่อปืนใหญ่ แต่ปรากฎว่า ปืนใหญ่ที่หล่อทั้งสองกระบอกร้าวใช้การไม่ได้ เมื่อพม่าขุดอุโมงค์เข้าประชิดค่ายบางระจัน แล้วใช้ปืนใหญ่ระดมยิงติดต่อกันสามวัน พม่าก็เข้ายึดค่ายเล็กไว้ได้ ต่อมาอีก ๒๐ วันพม่าก็รวมกำลังกันเข้าตีค่ายบางระจันได้ เมื่อวันแรมสองค่ำเดือนแปด พ.ศ.๒๓๐๙ รวมเวลาที่ชาวบ้านบางระจันได้ตั้งค่ายสู้พม่าอยู่ถึงห้าเดือน
            ร่องรอยของค่ายบางระจันคงเหลือแต่คันดินเป็นแนวอยู่ทางทิศใต้ของวัดโพธิ์แก้ว ทางราชการได้แต่งตั้งคณะกรรมการบูรณะฟื้นฟูค่ายบางระจัน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ โดยให้กรมศิลปากรขุดแต่งตัวค่ายและสระ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๓ คณะกรรมการได้มีดำริให้สร้างค่ายจำลองแทนค่ายเก่าซึ่งสร้างด้วยไม้ประกอบด้วยเชิงเทิน ระเนียด ป้อมและหอคอยห้าป้อม เป็นป้อมใหญ่สองป้อม ป้อมเล็กสามป้อม อยู่ที่มุมทิศตะวันออกหนึ่งป้อม ทิศตะวันตกสองป้อม ตัวป้อมสูง ๘ เมตร กว้าง ๔.๖๐ เมตร มีหอคอยหลังคาเหลี่ยมมุงด้วยแฝก กว้าง ๒.๕๐ เมตร ป้อมใหญ่มีพื้นสามชั้น ป้อมเล็กมีสองชั้น มีบันไดขึ้นกำแพงค่ายหรือระเนียด กำแพงป้อมรักษาการณ์ มีลักษณะการเรียงเสาสามต้นให้สูงขึ้น มาสลับกับเสาสองต้นเป็นระยะ สำหรับบังตัวตามแบบใบเสมาของกำแพงเรียกว่า ลูกป้อม เสาระเนียดทั้งหมดเสี้ยมปลายแหลม หลังค่ายยกเป็นเนินดินสูง ๑.๒๐ เมตร ตัวค่ายจำลอง มีความยาวประมาณ ๑.๗๕ เมตร

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |