| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา | |
การแต่งกาย
เอกลักษณ์การแต่งกายของชาวศรีสะเกษ เห็นได้ชัดที่การแต่งกายของหญิงในชนบท
ที่นิยมสวมใส่เสื้อแพรเหยียบดำมะเกลือ และนุ่งผ้าถุงทอในครัวเรือน เรียกว่า
ซิ่นคั่น
เสื้อแพรเหยียบดำมะเกลือ
เป็นเสื้อแขนยาว คอกลมหรือคอปก ผ่าตรงกลางตัวปล่อย ผ่าข้างจากสะโพกถึงเอว
ทอด้วยไหมหรือฝ้าย อายุการใช้งานนานถึงสี่สิบปี ผู้มีฐานะมักจะตบแต่งด้วยกระดุมเงินก้อน
สลักลายจูดบนกระดุม เป็นเครื่องหมายแสดงระดับฐานะ
ชนในท้องถิ่นจะไม่ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับอันใด นอกจากใส่กำไลข้อมือเป็นเงินแท้
และต่างหู ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปกลม ๆ เกลี้ยงเป็นเงินหรือทองแท้ ซึ่งพ่อแม่จะให้ใส่ตั้งแต่เด็ก
คือ จะเจาะหูทุกคน หรือหากมีฐานะอีกระดับหนึ่ง ก็จะใช้ต่างหูที่มีรูปทรงสวยงาม
เรียกว่า กันเจา แต่ถ้าหากไม่มีอะไรเลยก็จะใช้แก่นโสน เสียบรูหูไว้คงเป็นเพราะกันรูหูที่เจาะไว้จะอุดตัน
ผ้าถุง
จะนิยมใช้ผ้าไหมที่ทอเอง เดิมทียังไม่มีการมัดหมี่เป็นลาย จะทอโดยคั่นด้วยไหมหลากสี
มีการเข็นไหมสอง ๒ เส้น ก่อนนำไปทอ และมีสีประมาณ ๓ - ๔ สี คือ สีซิ่ว (เขียว)
สีแหล่ (ม่วง) สีแดง และสีอิฐ (ทอง) ทอแล้วจะได้ผ้าซิ่น (ถุง)
ลายทางเรียกว่า ซิ่นคั่น แต่ต้องมีการต่อเชิง (เรียกว่า ตีนซิ่น) และอาจจะต่อหัวด้วย
หัวซิ่นนิยมทอด้วยลายขิดยกดอก พื้นสีแดงเท่านั้น ในกรณีผ้าซิ่นที่ต่อหัวและตีนนั้น
จะนำไปใช้ในกรณีที่เป็นพิธีรีตอง
บุคคลสำคัญ
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์
พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ)
เป็นเจ้าเมืองคนแรกที่สร้างเมืองนครลำดวน ก่อนที่จะย้ายไปอยู่เมืองขุขันธ์
เป็นผู้นำชาวกวยคนหนึ่ง ตั้งชุมชนอยู่ที่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๒ ตากะจะ มีความดีความชอบเนื่องจากอาสาทหารเอกของกรุงศรีอยุธยา
ติดตามจับช้างเผือกได้ และนำส่งกรุงศรีอยุธยา ตะจะกะได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นหลวงแก้วสุวรรณ
นายกองส่วย หลวงแก้วสุวรรณ ส่งเครื่องบรรณาการ (ส่วย) แก่กรุงศรีอยุธยาไม่เคยขาด
เครื่องบรรณาการได้แก่ ช้าง ม้า แก่นสน น้ำมันยาง ปีกนก นอแรด ขี้ผึ้ง
สมุนไพร จนได้รับความไว้วางใจจากกรุงศรีอยุธยา จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ เป็นพระไกรภักดีศรีนครลำดวน
ยกบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวนเป็นเมืองนครลำดวน ให้พระไกรภักดี ฯ เป็นเจ้าเมือง
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๖ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๒๑ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้โปรดเกล้า
ฯ ให้พระไกรภักดี ฯ เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน
และได้ถึงแก่กรรมในปีเดียวกัน
พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขัน)
เป็นเจ้าเมืองนครลำดวนคนที่ ๒ ได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งที่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน
พร้อมกับตาจะกะ และมีความดีความชอบในการติดตามช้างเผือก คืนแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๒ ได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงปราบ
ผู้ช่วยเจ้าเมือง มีความสามารถในการรบ
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๒๑ หลวงปราบได้นำกองทัพ เมืองนครลำดวนไปทำสงครามกับกรุงศรีสตนาคนหุตร่วมกับกองทัพหลวงจนได้รับชัยชนะ
เมื่อเจ้าเมืองขุขันธ์คนแรกถึงแก่กรรม จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นหลวงปราบ
(เชียงขัน) เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองนครลำดวนคนต่อมา
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๒ เมื่อเมืองนครลำดวนกันดารน้ำ พระยาไกรภักดี ฯ จึงได้อพยพย้ายเมืองจากที่เดิมไปอยู่ที่บ้านแตระ
(อำเภอขุขันธ์ปัจจุบัน)
ในปี พ.ศ.๒๓๒๕ พระยาไกรภักดี ฯ ได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาขุขันธ์ภักดี ฯ
ต่อมา ได้ถูกพระไกร ผู้ช่วย (ท้าวบุญจัน) กล่าวโทษไปยังกรุงเทพ ฯ ว่าเป็นกบฎต่อแผ่นดินไทยโดยคบคิดกับชาวญวน
จึงถูกเรียกตัวไปพิจารณาโทษ และถูกจำคุกที่กรุงเทพ ฯ เป็นเวลาสามปี
พระไกร ผู้ช่วย (ท้าวบุญจัน) ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ขึ้นเป็นพระยาขุขันธ์ ฯ
เจ้าเมือง
พระยารัตนวงศา (ท้าวอุ่น)
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๕ ท้าวอุ่นมีบรรดาศักดิ์เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมืองขุขันธ์
ได้กราบบังคมทูลขอแยกเมืองจากเมืองขุขันธ์ ไปตั้งที่บ้านโนนสามขา (สระกำแพงใหญ่)
และได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ยกบ้านโนนสามขาขึ้นเป็นเมืองศรีสะเกษ
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๘ ได้ย้ายเมืองศรีสะเกษจากบ้านโนนสามขา สระกำแพงใหญ่
มาตั้ง ณ บ้านพันทาเจียงอี พระยารัตนวงศา (อุ่น) ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๘
พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวบุญจัน)
เป็นชาวเวียงจันทน์ ต่อมาได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระยาขุขันธ์ภักดี (เชียงขัน)
และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองขุขันธ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๕ มีบรรดาศักดิ์เป็นที่พระไกร
ได้กล่าวโทษพระยาขุขันธ์ ฯ (เชียงขัน) ว่าเป็นกบฎต่อกรุงเทพ ฯ จึงได้รับโปรดเกล้า
ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์แทน มีบรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาขุขันธ์ภักดี ฯ
ในปี พ.ศ.๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เป็นกบฎต่อกรุงเทพ ฯ ในครั้งนั้นพระยาขุขันธ์ภักดี
ฯ (ท้าวบุญจัน) ได้ยกกองทัพออกรบกับกองทัพของเจ้าโย ราชบุตรเจ้าอนุวงศ์ แล้วแพ้
พระยาขุขันธ์ภักดี ฯ (ท้าวบุญจัน) และกรมการเมืองถูกจับได้ และถูกนำไปประหารชีวิต
ณ ค่ายทหารลาวที่บ้านส้มป่อย แขวงเมืองศรีสะเกษ
พระยาขุขันธ์ภักดี ฯ (เกา หรือ พระยาสังขะบุรีศรีนครอัจจะ)
เป็นเจ้าเมืองศรีสะเกษคนที่สาม เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๑ ได้ร่วมกับกองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา
ไปรบญวนถึง ๔,๐๐๐ คน พระยาขุขันธ์ภักดี ฯ (เกา) ถึงแก่กรรม เมื่อปี
พ.ศ.๒๓๙๓ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ จนทางราชการได้สั่งให้มาเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์
ขณะที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสังขะ เป็นผู้ประสานงาน และฟื้นฟูเมืองขุขันธ์ที่ระส่ำระสาย
เพราะบุคคลสำคัญทั้งหมดเสียชีวิตในสงครามเจ้าอนุวงศ์
พระยาขุขันธ์ภักดี (วัง) เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์คนที่เจ็ด
เดิมมีบรรดาศักดิ์เป็นพระวิชัย (วัง) เป็นบุตรพระยาขุขันธ์ภักดี (เชียงขัน)
ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๖
ในปี พ.ศ.๒๔๑๐ พระยาขุขันธ์ภักดี (วัง) ได้ขอพระบรมราชานุญาต ตั้งเมืองใหม่สองเมืองคือยกบ้านกันตวดห้วยอุทุมพร
เชิงเขาตก ขึ้นเป็นเมืองชื่อเมืองอุทุมพรพิสัย
และแต่งตั้งให้ท้าวบุดดี เป็นเจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็นพระอุทุมพรเทศานุรักษ์
และยกบ้านลำแสนไพรอาบาลเป็นเมืองกันทรลักษ์
แต่งตั้งให้พระแก้วมนตรี (พิมพ์) เป็นเจ้าเมือง มีบรรดาศักดิ์เป็นที่พระกันทรลักษบาล
แต่เมืองทั้งสองนี้ตั้งได้ไม่นาน ก็ต้องย้ายขึ้นมาตั้งอยู่ที่บ้านลาวเดิม
และบ้านปรือคัน เนื่องจากถูกแม่ทัพใหญ่ของฝรั่งเศส ที่ไซ่ง่อนกล่าวหาว่าไปรุกล้ำดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศส
พระยาขุขันธ์ภักดีถึงแก่กรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๖
พระยาขุขันธ์ภักดี ฯ (ปัญญา ขุขันธิน)
เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๖ นับว่าเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์คนสุดท้าย
เพราะได้มีการเปลี่ยนแปลงปฎิรูปการปกครอง ในปี พ.ศ.๒๔๒๖ มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเจ้าเมือง
จึงได้เป็นผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ จนกระทั่งมีการยุบเมืองขุขันธ์เป็นอำเภอห้วยเหนือ
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐ จึงได้พ้นจากตำแหน่งและให้ หลวงสุระรัตนมัย (บุญมี
ขุขันธิน) เป็นนายอำเภอห้วยเหนือขึ้นต่อจังหวัดขุขันธ์
พระยาบำรุงบุรีประจันต์ (จันดี กาญจนเสริม)
เป็นข้าหลวงคนแรกของเมืองขุขันธ์ มีบทบาทสำคัญในการปราบกบฎเสือยง ผีบุญ บุญจันที่เป็นน้องชายของพระยาขุขันธ์ภักดี
ฯ (ปัญญา) เจ้าเมืองคนสุดท้าย พระยาบำรุง ฯ (จันดี) เป็นข้าราชการจากส่วนกลางที่ลงไปกำกับดูแลหัวเมืองในครั้งนั้น
| ย้อนกลับ
| บน
| หน้าต่อไป
|