| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |


๑๑ กันยายน ๒๓๕๒
            พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งได้ราชสมบัติต่อจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ

๑๔ กันยายน ๒๓๕๒
            วันประสูติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ องค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นพระมหาสมณเจ้า องค์ที่ ๒ ของไทย ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้งทรงผนวชเป็นสามเณรในปี ๒๔๐๙ และเมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุในปี ๒๔๑๖

๒ ธันวาคม ๒๓๕๓
            ตราพระราชกำหนดสักเลก ในรัชกาลที่ ๒ บังคับให้ชายฉกรรจ์ ทำงานหลวงปีละ ๓ เดือน คือ เข้า ๑ เดือน เป็นการเกณฑ์แรงงานและเพื่อความพร้อมรบในยามปกติ

๒๗ เมษายน ๒๓๕๔
            วันถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ณ ท้องพระเมรุ

๓ สิงหาคม ๒๓๕๔
            ตราพระราชกำหนดห้ามสูบและซื้อขายฝิ่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ซึ่งในสมัยปลายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษเฆี่ยนหลัง ๙๐ ที ให้ตระเวนบก ๓ วัน ตระเวนเรือ ๓ วัน ริบราชบาตรทรัพย์สินบุตรภรรยาเป็นของหลวง แล้วส่งตัวไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้รู้เห็นเป็นใจมินำเอาความมาแจ้ง ให้เฆี่ยนหลัง ๖๐ ที

๒๔ เมษายน ๒๓๕๕
            พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดขบวนไปรับพระพุทธรูปแก้วผลึกองค์สำคัญคือ พระพุทธบุษยรัตน์ จักรพรรดิพิมลมณีมัย ซึ่งอัญเชิญมาจากนครจำปาศักดิ์ มาพักรออยู่ที่สระบุรี แล้วนำมาประดิษฐานไว้ในพระบรมมหาราชวัง

๒ มิถุนายน ๒๓๕๘
            วางหลักเมือง เมืองนครเขื่อนขันธ์ พระประแดง ขณะนั้นมีมอญ ๔๐,๐๐๐ คน อยู่ที่เมืองปทุมธานี และให้มอญ ๓๐๐ คน มาอยู่ที่นครเขื่อนขันธ์

๒๓ สิงหาคม ๒๓๕๘
            มอญ เมืองเมาะตะมะ หนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร

พ.ศ.๒๓๖๐
            พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้า ฯ ให้ใช้รูปช้างสีขาวไม่ทรงเครื่องอยู่ในวงจักรบนพื้นธงสีแดง เป็นธงราชนาวี ใช้เฉพาะเรือหลวงเท่านั้น ส่วนเรือเอกชนคงใช้ธงพื้นแดงล้วน

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๓๖๒
            วันยกเสาหลักเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เวลา ๑๐.๓๕ น. และสร้างป้อมขึ้นใหม่ ๖ ป้อม เพื่อป้องกันทางทะเล

พ.ศ.๒๓๖๓
            โปรตุเกส เป็นฝรั่งชาติแรกที่ได้ตั้งกงสุลมาประจำที่กรุงเทพ ฯ คือ คาร์โลส เดอ ซิลเวรา ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงอภัยพานิช และได้รับพระราชทานที่อยู่คือบ้านที่องเชียงสือ เคยอยู่มาก่อน

๑๖ มิถุนายน ๒๓๖๓
            เกิดอหิวาตกโรคระบาดในกรุงเทพ ฯ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรียกว่า ห่าปีระกา มีผู้เสียชีวิต ๓๐,๐๐๐ คน ให้ตั้งพระราชพิธีอาพาธพินาศ ที่พระที่นั่งดุสิตา ทำคล้ายพิธีตรุษ คือ ยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดรุ่ง ๑ คืน แล้วอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมธาตุออกเวียนรอบพระนคร มีพระราชาคณะในขบวนแห่ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ทั้งทางบกและทางเรือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงรักษาอุโบสถศีลพร้อมพระวงศานุวงศ์ ข้าราชการทั่วไปได้รับพระบรมราชานุญาติให้รักษาศีล ทำบุญให้ทานตามใจสมัคร ไม่ต้องเข้าเฝ้า และทำราชการที่ไม่จำเป็น

๑๕ ธันวาคม ๒๓๖๓
            พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพจากกรุงเทพ ฯ เป็น ๒ กองทัพ ไปขัดตาทัพพม่าที่เมืองราชบุรี และเมืองกาญจนบุรี เนื่องจากได้ข่าวว่าพระเจ้าอังวะจักกายแมง เตรียมยกทัพมาตีไทย แต่ไม่ได้ยกเข้ามา

พ.ศ.๒๓๖๔
            เรือกำปั่นของชาวอเมริกันลำแรกได้แล่นเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรือลำนี้ได้บรรทุกสินค้าและปืนคาบศิลาที่ทางราชการไทยต้องการ กับตันเรือได้ถวายปืนคาบศิลา ๕๐๐ กระบอก จึงได้รับพระราชทานสิ่งของตอบแทนจนคุ้มราคาปืน ได้รับการยกเว้นภาษีส่วนหนึ่ง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น ขุนภักดีราช

๕ กรกฎาคม ๒๓๖๕
            วันเกิดพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงแก่อนิจกรรม ๑๖ ตุลาคม ๒๔๓๔

๗ กรกฎาคม ๒๓๖๗
            เจ้าฟ้ามงกุฎ ฯ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ที่วัดมหาธาตุ ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สวรรคต ๗ วัน แล้วไปประทับอยู่ที่วัดสมอราย (ราชาธิวาส)

๒๑ กรกฎาคม ๒๓๖๗
        พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงประชวรและสวรรคต พระชนมายุได้ ๕๘ พรรษา ครองราชย์ได้ ๑๕ ปี (พระราชสมภพ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๓๑๐)

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |