| จงจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร | เหมือนอาภรณ์เครื่องประดับอยู่กับกาย |
| จะชูเชิดเฉลิมศรีเป็นที่ยิ่ง | สรรพสิ่งสวัสดีนั้นมีหลาย |
| ล้วนแต่ข้อปฎิบัติอธิบาย | บรรยายกลกลอนไว้สอนใจ |
| แสดงความตามบาลีโลกนิติ | สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่ |
| เด็กใดดีปรีชาปัญญาไว | ก็หยิบใช้แต่ที่ชอบประกอบการ |
| จะเป็นคนควรรู้ระเบียบบท | พึ่งกำหนดตรึกตรองสองสถาน |
| อย่างหนึ่งนั้นรักอยู่กับหมู่พาล | ร่วมกระพอกจอกจานร้านเรือนเดียว |
| อันคนชั่วเช่นกะปิกับปลาร้า | เอาใบคาเข้าห่อพอประเดี๋ยว |
| ดาก็เหม็นเช่นกันฉะนั้นเจียว | เหมือนอยู่เที่ยวแปดปนกับคนร้าย |
| อันคบท่านที่เป็นปราชญ์ฉลาดเลิศ | จะบังเกิดความสุขทุกข์ร้อนหาย |
| ได้สดับตรับธรรมที่บรรยาย | หมั่นขวนขวายก็จะรู้จิรังกาล |
| เหมือนใบพ้อห่อจันทน์อันอย่างยิ่ง | ใบก็พริ้งเพริดพร้อมด้วยหอมหวาน |
| อนึ่งลูกนกสองสัตว์ลมพัดพาน | ไปตกลงตรงสถานพระสิทธา |
| แต่นกหนึ่งพายุพัดพลัดกันไป | ตกอยู่ในระหว่างโจรอันใจกล้า |
| มั่นสั่งสอนการบาปที่หยาบช้า | สกุณานั้นก็ได้เหมือนใจโจร |
| ส่วนโปฎกตกอยู่อาศรมบท | พระนักพรตค่อยศึกษาวิชาโหร |
| นกนั้นรู้สวดมนต์บ่นตะโกน | จิตก็โอนอ่อนน้อมต่อภูมิธรรม์ |
| ใครคบปราชญ์ก็เป็นปราชญ์ปรีชาหาญ | ใครคบพาลก็เป็นพาลไม่ผิดผัน |
| เหมือนหมากม่วงไม้สะเดาเข้าพัวพัน | รสหวานนั้นขื่นขมไม่สมฤดี |
| จะป่วยกล่าวไปไยใจมนุษย์ | คนชั่วฉุดแล้วคงไม่ตรงที่ |
| ถึงมิยอมหมองหน้าคงราคี | ที่จะดีอยู่นั้นอย่าสงกา |
| มีญาติมิตรคิดควรให้รอบคอบ | เลือกที่ชอบใจจริงจึงคบหา |
| ลางมิตรอยู่ลับหลังตั้งนินทา | มาพูดจ้อต่อหน้าก็ว่าดี |
| เห็นซุบซิบหยิบแยบสิ่งใดได้ | ก็เก็บไปบอนบอกเขาออกมี่ |
| ถึงปากหวานปานชะเอมอย่าเปรมปรีดิ์ | น้ำตาลบี้คลุกเคล้าเข้าตายาย |
| อันคนอื่นถึงเขาค่อนก็ควรการ | มิตรประจานเจ็บอยู่ไม่รู้หาย |
| เช่นโรคภัยไข้เจ็บอยู่กับกาย | อย่าพึงหมายว่าอยู่ใกล้ได้พึ่งพัก |
| พฤกษาชาติอยู่ไกลถึงในป่า | ยังเป็นยาแก้คลายหายประจักษ์ |
| เช่นผู้อื่นที่เขามีภักดีรัก | คุณนั้นหนักเห็นอุกฤษฎ์กว่ามิตรเรา |
| สหายใดไข้เจ็บอยู่รักษา | ช่วยฝนยาพยุงหยอดน้ำข้าว |
| เป็นยามโศกผ่อนกระสันต์ค่อยบรรเทา | ปางหนึ่งเล่ามีผู้โจทย์ต้องโทษทัณฑ์ |
| ปางที่เสียสินทรัพย์ต้องปรับไหม | ก็แก้ไขแคะค่อนช่วยผ่อนผัน |
| เมื่อวอดวายก็จะตายไปตามกัน | ปางหนึ่งนั้นข้าวยากและหมากแพง |
| เห็นหน้ามิตรมาละเหี่ยเสียไม่ได้ | ค่อยแบ่งบั่นปันให้ที่ละแล่ง |
| เขาร่วมไร้ได้เช่นนี้มิเสียแรง | ไม่ควรแหนงหนายกันคุ้งวันตาย |
| อนึ่งผู้ใดใครซื่อให้ซื่อต่อ | เขาขัดคอแล้วให้เหมือนใจหมาย |
| ใครคดคิดจิตประทุษกระทำร้าย | จงอุบายคดตอบให้ชอบที |
| อนึ่งผู้ใดใครเขารักเร่งรักบ้าง | อย่าทำเมินเหินห่างหันหน้าหนี |
| ใครนบนอบตอบพลันอัญชลี | อย่าถือดีด่วนตั้งอหังการ์ |
| แม้นมีแขกไทยใครมาหา | จงพูดจาให้ละออพออ่อนหวาน |
| อันหวานอื่นถึงจะล้ำเพียงน้ำตาล | ไหนจะปานหวานถ้อยวาทีดี |
| ประการหนึ่งวาจาเหมือนงางอก | ให้ลั่นออกแล้วอย่าหดถดถอยหนี |
| ศีรษะเต่ายาวสั้นนั้นก็มี | ไม่ควรที่จะหยิบมาเจรจา |
| อย่าพลอดพล่อยถ้อยคำแต่พอควร | เห็นท่านสรวลสรวลยิ้มอยู่ในหน้า |
| เห็นท่านโศกโศกต่อคลอน้ำตา | ทำมายาพอให้พ้นคนชิงชัง |
| เห็นคนซื่อโง่เง่าอย่าโป้ปด | ใครบ้ายศยอให้สมอารมณ์หวัง |
| เนื้อความลับอย่าไปเล่าให้เขาฟัง | ไม่ควรบังอย่าปิดผิดถึงตัว |
| ประหยัดหย่อนผ่อนผันแต่พอพักตร์ | อย่าสูงศักดิ์เหลือล้นให้คนหวัว |
| โบราณว่าฟ้าคะนองแล้วต้องกลัว | เอามือตัวปิดหูไว้ดูการ |
| ซ่อนเงื่อนงำน้ำขุ่นขังอยู่ใน | ภายนอกนั้นแจ่มใสเสมอสมาน |
| เหมือนหินแท่งทับที่ไม่มีราน | ต่อประหารจึงได้เห็นว่าอัคคี |
| จะทำการสารพัดประหยัดยั้ง | ให้มีทั้งทางไล่ไว้ทางหนี |
| จึงจะแก้ตัวตนพ้นไพรี | เอาใจดีดีต่อด้วยดัสกร |
| อันคนเวรถึงจะเวียนมาเป็นมิตร | ให้ควรคิดเช้าค่ำจงจำสอน |
| ได้โอกาสเราประมาทคงม้วยมรณ์ | จะยืนนอนเดินนั่งเนืองเนืองคะนึง |
| อย่าเก็บเอาสุกซนมาปนดิบ | ควรจะหยิบให้มั่นคั้นให้ขึง |
| ควรจะคั้นคั้นข่มให้ล้มตึง | ที่ควรถึงปล่อยปลดก็ลดละ |
| แม้บ่าวไพร่ใช้ชิดจะผิดชอบ | จงสวนนอบให้สว่างกระจ่างจะ |
| อย่าเชื่อคำคนยุทำงุงะ | เอาธุระดูแลเผื่อแผ่มัน |
| จะดูญาติก็เมื่อยากประดากเสีย | จะดูเมียก็เมื่อไข้ใกล้อาสัญ |
| จะดูข้าก็เมื่อหน้างานหนักนั้น | ได้เห็นกันถ้วนทั่วว่าชั่วดี |
| จะยอข้าควรยอต่อแล้วกิจ | จะยอมิตรอย่าให้มากจะบัดสี |
| จะยอครูดูระบอบให้ชอบที | ยอสตรีชมรูปซูบทรงงาม |
| แสวงหาผลนั้นให้หมั่นสู่ | แสวงรู้รักรู้เร่งไต่ถาม |
| แสวงทรัพย์ให้อุตส่าห์พยายาม | เห็นพาณิชติดตามไปคบค้า |
| อนึ่งทรัพย์มีสี่ส่วนให้ควรแบ่ง | สองส่วนแจกแจกใช้ตามปรารถนา |
| อีกส่วนหนึ่งซื้อเสบียงเลี้ยงอาตมา | ส่วนหนึ่งอย่าหยิบใช้ไว้กับตน |
| อันมีเงินแล้วอย่าให้ผู้ใดกู้ | มีความรู้อยู่ในสมุดไม่เป็นผล |
| มีเมียอยู่ต่างบ้านย่านตำบล | เมื่อยามจนจะต้องการรำคาญแค้น |
| เป็นคนตรงสงวนวงศ์ให้จงหนัก | ถนอมรักษาตัวเหมือนหัวแหวน |
| อย่าปนปัดให้เขาอยู่มาดูแคลน | ถึงหากแค้นรักนวลสงวนกาย |
| จงดูเยี่ยงจามรีมีสัตย์มั่น | แต่ขนข้องอยู่เท่านั้นไม่หนีหาย |
| ค่อยเปลื้องปลดเสียหมดราคีคาย | ไม่เสียดายชีวาตม์จะขาดกระเด็น |
| ชมพูนุชเนื้อทองเรืองรองรูป | ใส่เข้าสูบสิบเที่ยวเฝ้าเคี่ยวเข็ญ |
| พอเทน้ำลงที่ร้อนก็ผ่อนเย็น | ไม่เจ็บเช่นช่างช้ำด้วยกล่ำกลอม |
| ทั้งกิริยาพาทีก็ดีพร้อม | จึงชุบย้อมกล่อมเกลี้ยงเคียงประคอง |
| แม้นทาสีมิใช่เช่นทาสา | อย่าเรียกหาขึ้นบนเตียงเข้าเคียงสอง |
| มันรู้รสกำเริบฤทธิ์จิตคะนอง | เหมือนแมงป่องยกหางอ้างอวดกาย |
| คำโบราณท่านว่าถ้าสีหราช | เคียงโคนาคลาคลาดไม่เฉิดฉาย |
| อันสินธพเทวาม้าพระพาย | เข้าฝักฝ่ายอยู่กับลาพาไม่งาม |
| อนึ่งอย่าแคะควักดีเอาที่หนู | หาเลือดปูริแงะแกะก้าม |
| เที่ยวค้นคว้าตีนงูดูสุดทราม | เขาจะหยามเย้ยเยาะหัวเราะเอา |
| อย่าเชือดเฉือนเนื้อหนูไปเพิ่มช้าง | อย่าคัดง้างปลวกเตี้ยเติมภูเขา |
| แบ่งพิษงูเพิ่มนาคยากไม่เบา | อย่ารองเอาน้ำค้างใส่สาคร |
| อย่าเอาภัยในพนมข่มราชสีห์ | เอาวารีขู่ให้มังกรหยอน |
| เอามะพร้าวไปขายสวนไม่ควรจร | เอาบทกลอนอวดกวีเป็นที่อาย |
| อย่าอวดดีขี่ช้างซับมันบ้า | อย่าอวดกล้ายิงปืนปากสลาย |
| อย่าเลี้ยงดูลูกจระเข้คะนองร้าย | เลี้ยงลูกเสือหมีหมายให้คุ้มตน |
| อย่าลากคอสรพิษติดตามหลัง | เที่ยวแหย่รังแตนเล่นไม่เป็นผล |
| เอาไม้สั้นรันคูถมูตรระคน | จะต้องตนเปล่าๆ ไม่เข้าการ |
| อุตส่าห์จำนะจะร่ำสอนให้สิ้น | อย่าดูหมิ่นของน้อยนั้นสี่สถาน |
| หนึ่งงูเล็กเล็กพริกพระกุมาร | ทั้งไฟถ่านเท่าหิ่งห้อยอย่าไว้ใจ |
| เห็นเสือผอมเพียงพินาศจะขาดจิต | อย่าอวดฤทธิ์คึกคักเข้าผลักไส |
| ทั้งทรชนคนชั่วพวกหัวไม้ | อย่าทำคุณมันให้เสียเงินทอง |
| อนึ่งช้างสูญเสียงาชราแก่ | งูเห่าแม่งูปลาก็อย่าต้อง |
| อีกข้าเก่ากล่าวเสนาะเพราะพร้อง | ทั้งเมียเก่าร่วมห้องต้องระวัง |
| อนึ่งถ้าไม้ล้มจะข้ามดูกาลก่อน | คนล้มนอนแล้วอย่าข้ามไปโดยหวัง |
| แม้มิม้วยเขาจะรวยขึ้นสักครั้ง | จะเป็นที่ชิงชังเราไม่เข้ายา |
| ดั่งกวางเห็นเสือหิวหอบฮักฮัก | ไม่รู้จักกำลังท่านโถมขวิดถลา |
| ต่อเสือตบล้มคว่ำคมำมา | จึงรู้ว่าแรงเสือนั้นเหลือแรง |
| จงเจียมจิตคิดเหมือนนกจ้อยจ้อย | ตัวนั้นน้อยทำรังพอฝังแฝง |
| รอดจากภัยพาธาดาเหยี่ยวแร้ง | พอคล่องแคล่งอยู่สบายจนวายปราณ |
| อย่ามักใหญ่ใฝ่สูงให้เกินศักดิ์ | จะพลันหักด้วยกำลังล้มประหาร |
| อนึ่งรู้น้อยศึกษาวิชาการ | สำคัญมั่นประมาณว่ามากมาย |
| เหมือนกบเกิดในสระกว้างสักเส้น | ไม่เคยเห็นน้ำในทะเลหลาย |
| ก็สำคัญมั่นใจไม่เคลื่อนคลาย | ว่ามากมายหนักหนาน้ำสระเรา |
| เช่นคนรู้ไม่ถึงไหนขึ้นไปสวด | ยังไม่ควรที่จะอวดอย่าอวดเขา |
| อย่าบรรทุกเกวียนหนักจะหักเพลา | ลำสำเภาเพียบล้นจะล่มพลัน |
| อนึ่งใช่ญาติมิตรสนิทเชื้อเขาเกื้อหนุน | ควรคิดคุณท่านกว่าจะอาสัญ |
| ถึงไม่มีสิ่งไรจะได้ปัน | อุตส่าห์หมั่นสรรเสริญเจริญพร |
| อย่าดูเยี่ยงยูงอกตัญญู | มิได้รู้คุณท่านที่ทำก่อน |
| กลับแกล้งทำเวทนาให้อาทร | ในอักษรนิทานโบราณมี |
| เดิมนกยูงยินยังไม่เลขา | อีกทั้งกากายยังไม่มีสี |
| ยูงไปพบคบค้าแล้วพาที | ให้กานี้เขียนให้ก่อนผ่อนผลัดกัน |
| ฝ่ายออกาพาซื่อถือว่ามิตร | ค่อยเพ่งพิศเขียนลายให้ฉายฉัน |
| จะให้เขาเขียนบ้างเหมือนอย่างนั้น | ด้วยสำคัญคู่มิตรจิตจะตรง |
| นกยูงพาลขี้คร้านจะตรองตรึก | เอาน้ำหมึกชะโลมให้ดังใจประสงค์ |
| กาก็ดำดุจเหนี่ยงนี้เที่ยงตรง | เพราะอัปมงคลมิตรจิตใจพาล |
| อันคนอกตัญญูไม่รู้คุณ | ถึงการุณย์เช้าค่ำพร่ำว่าขาน |
| แล้วเอาทรัพย์นับให้ทั้งจักรวาฬ | ไม่เนิ่นนานหน่อยจิตที่คิดร้าย |
| เช่นกับหงส์สงเคราะห์ภรรยา | อุตส่าห์มาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย |
| แล้วสลัดขนสุวรรณพรรณราย | ให้เมียขายเลี้ยงอาตมามา |
| พราหมณีมีจิตคิดประทุษ | ปรึกษาบุตรว่าเราคนจนหนักหนา |
| ได้ขนทองทีละอันไม่คัณนา | ทีนี้มาเราจะถอนเสียทั้งกาย |
| ฝ่ายหงส์ถึงคำรบครบเจ็ดวัน | ก็บินผันผยองไปดังใจหมาย |
| ประเดี๋ยวหนึ่งถึงที่สถานยาย | นางพราหมณ์ร้ายออกมารับจับเข้าไป |
| ช่วยกับบุตรฉุดชักกระชากถอน | จนขนล่อนเลี่ยนสิ้นบินไม่ไหว |
| ขนที่ถอนไม่เป็นทองต้องฤทัย | ก็ยากไร้เสื่อมลาภทำลายกาย |
| อันกมลคนโลภนี้เหลือรู้ | ทำให้ตัวชั่วอยู่ไม่รู้หาย |
| ฉ้อกระบัดเฟื้องสลึงจนถึงตาย | เอาติดกายไปได้เมื่อไรเลย |
| ต่อท่านผู้เข้าใจทางไตรลักษณ์ | เห็นประจักษ์อนิจจจังก็ชั่งเฉย |
| ถึงสมบัติมั่งคั่งไม่หวังเชย | เอาเปิดเผยออกแจกจำแนกทาน |
| เหมือนแม่น้ำห่อนล้ำกล้ำกลืนชล | เมฆนั้นห่อนหวงฝนเป็นอาหาร |
| บรรดาสรรพพฤกษะมะพร้าวตาล | ห่อนหวงผลอันตระการเก็บไว้กิน |
| ผู้มีทรัพย์สินน้อยก็หย่อนให้ | คงจะได้ไปข้างหน้าอุตส่าห์ถวิล |
| เหมือนบ่อน้อยน้ำใสไหลรินริน | พอวิดวักตักกินแก้ค่นจน |
| ทรัพย์ของผู้มั่งมีตระหนี่เหนียว | ดังน้ำเชี่ยวในสมุทรสุดขัดสน |
| ไม่เป็นที่พึ่งพาประชาชน | ถึงมากล้นลึกเปล่าไม่เข้าการ |
| จะเดินห่างต่างประเทศพินิจก่อน | ที่นั่งนอนน้ำท่าอีกอาหาร |
| ทั้งความโกรธห่อนเหือดจะเดือดดาล | อย่านอนนานหมั่นนั่งระวังภัย |
| อนึ่งนะเสพสูปเพียรชนะภักษ์ | ที่เรือนไม่รู้จักเขาหาให้ |
| จงทดลองถ่องแท้ให้แน่ใจ | จึงจะไม่มีเหตุเภทพาธา |
| อันเรือนมิตรที่สนิทไม่นึกแหนง | มีแต่ข้าวกับแกงเขาจัดหา |
| สำราญเสพรังเกียจนะสงกา | ก็โอชารสดีด้วยรักกัน |
| ผูกสนิทชิดเชื้อนี้เหลือยาก | ถึงเหล็กฟากรัดไว้ก็ไม่มั่น |
| จะผูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์ | ไม่เหมือนพันผูกไว้ด้วยไมตรี |
| อันรักกันอยู่ไกลถึงขอบฟ้า | เหมือนชายคาเข้ามาเบียดดูเสียดสี |
| อันชังกันนั้นอยู่ใกล้สักองคุลี | ก็เหมือนมีแนวป่าเข้ามาบัง |
| อนึ่งเพื่อนบ้านนั้นจงมีอารีรัก | อย่าลอบลักกล่าวขวัญเขาลับหลัง |
| เราผู้เดียวอย่าไปเที่ยวโดยลำพัง | เร่งระวังคนชั่วจะชวนชัก |
| อันเบี้ยฝิ่นกินกัญชามักพาเพลิน | ที่ยับเยินยากเย็นเห็นประจักษ์ |
| จนโซซูบรูปกายพิกลนัก | ใครพบพักแทบไม่รู้ว่าผู้ดี |
| เห็นยากเขาเอาใส่ที่ในจิต | อย่าควรคิดเข้าไปเคลียให้เสียศรี |
| อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนการก็มี | ลอกท้องที่สับฟันปลูกมันกลอย |
| เห็นเขามั่งมีมากอย่าอยากได้ | เรายากไร้ก้มหน้าอย่าท้อถอย |
| ค่อยหนีบเหน็บเก็บเล็กผสมน้อย | เหมือนกัดอ้อยเคี้ยวข้างปลายสบายใจ |
| อย่าดูเยี่ยงกาบกที่บาปหนา | เห็นกาน้ำดำปลาขึ้นมาได้ |
| กำลังโลภห่อหุ้มไม่เห็นภัย | คิดจะใคร่เสพบ้างเหมือนอย่างกัน |
| ก็บินถลาลงน้ำดำในสระ | ไม่พบปะปลาสักตัวก็เต็มกลั้น |
| ผุดขึ้นมาแหงนหงายสาหร่ายพัน | ดิ้นยันยันอยู่ในน้ำจำใจตาย |
| เหมือนเราท่านที่เป็นคนอยู่บนบก | ไม่เข้าอกใจชำนาญการซื้อขาย |
| อย่าคบแขกเข้าไปค้าซื้อผ้าลาย | จะต้องตายอยู่เหมือนกาที่ว่าไว้ |
| อนึ่งริร่ำทำสิ่งใดผิด | ควรจะคิดสิ่งนั้นแลเอาแก้ไข |
| เหมือนเสี้ยนหนามยอกตำช้ำฤทัย | เอาหนามได้เขี่ยกันจึงพลันคลาย |
| ถ้าทำการสิ่งใดที่ใหญ่ยศ | อย่ากลัวหมดเงินเบี้ยจะเสียหาย |
| หวังไว้ชื่อลือชาว่าฆ่าควาย | เฝ้าเสียดายพริกแกงไม่เป็นการ |
| แสวงมันดั้นป่าไปหาหมู | อย่ากลัวหอกว่าจะยู่เยินป้าน |
| รักจะหยอกยามยังกำลังพาล | อย่าควรย่านผู้หญิงหยิกขยายไย |
| รักเป็นมวยคาดเชือกจะเข้าชก | กลับกลัวฟกบวมนี้เป็นไฉน |
| รักเรียนรู้อายครูนี้เพื่อใด | อายแก่ไทถอดยศไม่งดงาม |
| เรียนคัมภีร์พากเพียรเรียนช้าช้า | ที่เคลือบไคล้ไตร่ตราตรึกตรองถาม |
| ขึ้นภูเขาสูงสู้พยายาม | อย่าผลีผลามพลาดเซจะเสียตัว |
| การโลกีย์กามคุณอย่ามุ่นหมก | ผ่อนวิตกนั้นให้น้อยค่อยยังชั่ว |
| ถึงใหญ่ยศก็อย่าเฝ้าแต่เมามัว | ระเริงตัวลอยเลิศจนเหลิงลม |
| อันธรรมดาน้ำป่วนชวนเป็นตม | พายุลมแรงแล้ก็แพ้ไม้ |
| อนึ่งเริ่มคิดเก็บไว้แต่ในอก | ต่อคิดตกจึงค่อยแย้มขยายไข |
| เช่นกับเดื่อออกดอกไม่บอกใคร | ครั้นผลใหญ่เห็นทั่วทุกตัวคน |
| จะเป็นช่างชอบชำนาญให้ยิ่งผู้ | รักจะรู้เร่งรู้ให้เป็นผล |
| ถึงจะเงื่องเงื่องแต่เอาแง่ปน | ระวังตนตามประสาปัญญาเยา |
| จะเจรจาความถ้อยอย่าพล่อยพลั้ง | ค่อยหยุดยั้งฟังกระบวนสำนวนเขา |
| จะมีแก่นหรือเป็นเปลือกจงเลือกเอา | เห็นลาดเลาใช้ได้เก็บไว้ดี |
| อนึ่งไม่มีธุระอยู่เปล่าเปล่า | ไปขึ้นเรือนเขาน่าบัดสี |
| เขาไม่ถามก็จงอย่าพาที | เหมือนเภรีใครไม่ค่อนห่อนจะดัง |
| อันคนโฉดชั่วช้าบ้าบุ่มบ่าม | ถามไม่ถามกล่าวถ้อยพล่อยพล่อยพลั่ง |
| จนเจ้าเรือนรำคาญขี้คร้านฟัง | ไม่หยุดยั้งพูดเพลินจนเกินการณ์ |
| เห็นโทษเขาแต่สักนิดมาติดต่อ | เอาเรียงข้อแยกย้ายไปหลายสถาน |
| ที่โทษตนอ้ายกะโตโอฬาฬาร | เกลี่ยสมานปกปิดให้มิดแม้น |
| ถ้าอุปมัยก็คล้ายกับตัวเต่า | เอาหัวเข้าซ่อนไว้มิให้เห็น |
| หยิบโทษเหี้ยบรรยายไม่วายเว้น | ว่าหัวหูดูเป็นกระปมกระเปา |
| อนึ่งแมลงป่องยกหางอ้างอวดสกนธ์ | ก็เฉกชนชั่วช้าที่โฉดเฉา |
| นาคราชพิษนั้นไม่บรรเทา | จะเลื้อยเล่าค่อยเขยื้อนเลื่อนกายา |
| อนึ่งพงศ์เผ่าผู้ดีที่มีชาติ | ดำเนินนาดย่อมเหมือนนางวิสาขา |
| ถึงฝนตกต้องสกนธ์ทนทรมา | ก็ลีลามิได้ด่วนสงวนงาม |
| อันชาติไพร่ไม่มีผู่ดีปน | เดินลุกลนลุกลี้กระผลีกระผลาม |
| ทั้งน้ำในใจคอก็หมอความ | เหมือนหนึ่งหนามเหน็บทั่วทั้งตัวมัน |
| ท่านว่าไว้ไข้เจ็บถึงหนักหนา | ถ้าเยียวยาก็รู้หย่อนค่อยผ่อนผัน |
| ถึงจะไม่เร็วหายก็หลายวัน | หยดนั้นถึงจะยาไม่อยากคลาย |
| อันจะหลบหลีกม้าขากระจอก | สักสี่ศอกเห็นจะได้ดั่งใจหมาย |
| หกศอกหลีกโคต่างก็ห่างกาย | หลีกช้างพลายแปดศอกก็พอควร |
| อันจะหลีกทรชนคนพาล | ชอบทิ้งบ้านเรือนจำหน่ายขายเรือกสวน |
| หนีให้ไกลอย่าให้พบมันรบกวน | จึงจะควรคำโบราณท่านว่าไว้ |
| แม่น้ำคุ้งคดเคี้ยวก็ควรจร | ไม้ที่คดเขาทำศรก็เชื่อได้ |
| เหล็กที่คดทำเคียวเกี่ยวข้าวใช้ | อันคนคดนี้เห็นไม่ต้องการ |
| ถึงมาตรแม้นจะเดินไปปะพบ | เอาทองรานรู่กระเบื้องก็เปลืองทอง |
| อนึ่งสตรีถึงจะงามแต่สามผัว | อย่าคบค้าพาตัวให้มัวหมอง |
| บ่าวหนีนายหลายยกอย่าปกครอง | เอาเป็นเพื่อนพวกพ้องจะมีภัย |
| อนึ่งน้ำตาลหวานนักอย่ามักกลืน | ที่ขมขื่นไม่สู้จัดระมัดไส้ |
| จึงเสพแต่ขนุนหนามอันงามใน | อย่ารักใคร่ผลเดื่อที่ดูแดง |
| เช่นวิหคนกยางสำอางสะอาด | ข้างนอกผาดนวลขาวราวกับแป้ง |
| เสพปูหากินที่กรรมร้ายแรง | เคลือบแฝงภายนอกว่านวลดี |
| อันรูปแร้งทรชนเป็นพ้นรู้ | ไม่น่าดูใกล้เคียงเหนียงยู่ยี่ |
| เที่ยวสืบเสาะเสพสัตว์สิ้นชีวี | ก็กลับดีด้วยในน้ำใจบุญ |
| อนึ่งยังไม่เห็นน้ำอย่าทำกระบอก | ไม่เห็นกระรอกอย่าเพ่อก่งกระสุน |
| ดินจะพังฝั่งน้ำอย่าค้ำจุน | จักรจะหมุนอย่าเอาคอไปรอง้าง |
| ที่น้ำเชี่ยวเรี่ยวแรงทุกแห่งหาด | อย่าคัดวาดลำเรือให้รีขวาง |
| อย่าจอดเรือริมต้นไม้ใกล้หนทาง | อย่ากั้นกางช้างสารจะสู้กัน |
| อย่าเห็นกรวดตรัดเตร็จว่าเพชรพลอย | เห็นหิ่งห้อยว่าดีกว่าสุริย์ฉัน |
| อย่ารักทองกาไหล่หนากว่าสุวรรณ | เห็นกำนั้นดีกว่ากอบไม่ชอบกล |
| อย่าเคี้ยวอ้อยว่าอร่อยอ้อยไม่หวาน | ทุเรียนรานปลูกหญ้าว่าเป็นผล |
| อย่ารักทรัพย์สินทักกว่ารักตน | อย่ารักคนอื่นดีกว่าพี่น้อง |
| อันลูกเมียเหมือนหนึ่งกับผืนผ้า | ถ้าขาดฉีกชั่วแล้วหาก็ได้คล่อง |
| น้องที่รักร่วมชีวีพี่ร่วมท้อง | เหมือนหนึ่งสองแขนติดสนิทกาย |
| หนีน้ำบกตกไหนคงไปด้วย | คงชูช่วยเพื่อนผีไม่หนีหน่าย |
| รู้รักกันอย่ารู้มีราคีคาย | ใครกล่าวร้ายเจ็บแทนด้วยแค้นเคือง |
| อนึ่งธรรมเนียมพยัคฆ์มักพึ่งป่า | ธรรมเนียมปลาชอบใจที่ใหญ่เหมือง |
| ธรรมเนียมนกพึ่งไม้มะไฟมะเฟือง | คนทั้งเมืองชื่นชมร่มโพธิ์สบาย |
| อันดอนใดไร้ถ้ำที่สำนัก | ไม่สมศักดิ์ราชสีห์ก็หนีหน่าย |
| สระโกมุทแม้นบุษบาวาย | หงส์ก็หายห่างไกลมิได้ลง |
| อนึ่งพฤกษาสูงใหญ่ใบหล่นสิ้น | นกก็บินบากไปไม่ประสงค์ |
| ที่ต้นไม้ไหนชะอุ่มพุ่มพวงพง | ก็ร่อนลงจับแจอยู่แซ่เซ็ง |
| อนึ่งป่าใดไกลหมู่มฤคร้าย | ก็อันตรายหมดม้วยไม้ขลู่เขลง |
| ที่ป่าใดล้วนสะพรั่งด้วยรังเต็ง | เพราะเสือเก่งอาจคุ้มจึงพุ่มชิด |
| อนึ่งนาอาศัยน้ำฝนขัง | เลี้ยงเป็ดไก่อาศัยรังบังป้องปิด |
| มีเหย้าเรือนหาเพื่อนเป็นคู่คิด | มีการกิจกอบโกยโปรยให้ปัน |
| อนึ่งเราให้เขาไม่ตอบให้มาบ้าง | อย่าริร้างให้อีกจนอาสัญ |
| คนยากเย็นเข็ญใจพึงให้ปัน | อย่าหมายมั่นจะเอาของสนองคุณ |
| ท่านว่าไว้แต่ประถมก็สมบท | ทรัพย์หมดไม่มีเหลือเพราะเกื้อหนุน |
| จะสิ้นซวดชวดค้าเพราะขาดทุน | จะสิ้นบุญก็เพราะกรรมที่ทำมา |
| อนึ่งฟืนไฟในเหย้าเอาเอาออก | เพลิงข้างนอกอย่าเอาเข้าคูหา |
| อย่านำศึกสู่เหย้าเข้าตำรา | อย่าเปิดฝาเรือนตนให้คนดู |
| เมียชั่วจริงนิ่งไว้แต่ในอก | อย่าหยิบยกออกขยายให้หลายหู |
| เหมือนการกิจผิดก็ได้ไว้เป็นครู | ให้เขารู้เรื่องไปทำไมมี |
| จับมัจฉาคว้าไขว่ไว้สองหัตถ์ | ข้างโน้นพลัดข้างนี้หายไม่วายหนี |
| ค่อยจ้องจ้องมองดูให้ดีดี | เห็นได้ทีจับกำขยำเป็น |
| อนึ่งหมูเขามัดไว้จะหาม | งานใช่งานคานตามไปสอดเล่น |
| ชู้ของเขาเคล้าเคลียจะคลึงเคล้น | อย่าทำเป็นศึกแซกแหวกเข้ากลาง |
| อย่าเรียนรู้ขวนขวายแก่ภายแก่ | อยู่ใกล้แกล่นาเกลือจะกินด่าง |
| เป็นชาวสวนหรือควรขาดม่วงปราง | เขาอยู่กลางป่าไกลยังได้กิน |
| เหมือนกบเกิดในสระปทุมเมศ | ไม่สังเกตเกษตรขจรกลิ่น |
| แมลงภู่หมู่ผึ้งภุมริน | หวังถวิลบินมาชมก็สมคิด |
| อันความรู้จริงจริงถึงสิ่งเดียว | แต่ข้อเขี้ยวขึ้นใจอยู่ในจิต |
| ได้เป็นเพื่อนเช้าเย็นอยู่เป็นนิจ | เลี้ยงชีวิตลูกหลานจนว่านเครือ |
| เหมือนชายเปลี้ยดีดกรวดอวดพญา | เธอชมว่าศิลปศาสตร์ฉลาดเหลือ |
| ให้ประทานของเข้าเหย้าเรือนเรือ | ทั้งผ้าเสื้อสินทรัพย์นับประมาณ |
| อีกบ่าวไพร่ไม่น้อยร้อยบ้านส่วย | ก็รื่นรวยบริบูรณ์จนบุตรหลาน |
| ได้กินเฉาะเพราะความรู้ชำนาญ | เรื่องนิทานเทียบไว้เป็นใจความ |
| อนึ่งคนดื้อถือตัวว่าตัวเอก | วิชาเอกสัพพัญญูรู้เหลือหลาม |
| บุญไม่ส่งคงไม่เสร็จสำเร็จความ | ก็ได้นามอยู่แต่ว่าปัญญาไว |
| เมื่อยามยศยศย่องให้ลอยตัว | เมื่อคราวชั่วกรรมชักให้ตักษัย |
| นี่เนื้อแนวหลังล้ำได้ทำไว้ | อย่าโทษไทเทวาคณายักษ์ |
| อย่าโทษภุมภูผาพฤกษาสินธุ์ | อย่าโทษอินทร์องค์พรหมบรมจักร |
| อย่าโทษญาติกากายสหายรัก | โทษบุญกรรมทำชักให้ชั่วดี |
| ข้างแพทย์ดูว่าเป็นลมให้สมบท | อีแม่มดว่าวุ่นถูกคุณผี |
| ข้างโหรเห็นเทวดาเข้ายายี | ท่านภูรีร้องว่ากรรมเขาทำมา |
| ประการหนึ่งร้อนไฟในมนุษย์ | ไม่ร้อนสุดสู้ไฟดำกฤษณา |
| ศัตรูอื่นหมื่นแสนที่ศักดา | ไม่เหมือนข้าศึกพยาธิ์อยู่ในกาย |
| สว่างอื่นอันใดในอากาศ | ไม่โอภาสเท่าแสงตะวันฉาย |
| แรงสิ่งอื่นเข้มแข็งที่แรงร้าย | ก็แพ้พ่ายแรงกรรมที่ทำไว้ |
| ถึงมีฤทธิ์สิทธิศักดิสามารถ | ยกปราสาทเวชยันต์ก็หวั่นไหว |
| ทั้งดำดินบินฟ้านภาลัย | รู้เท่าไรก็ไม่รอดคงวอดวาย |
| ไม่ควรนับกับมนุษย์ปุถุชน | ที่จะพ้นมัจจุราชอย่ามาตรหมาย |
| สิ่งกุศลอุตส่าห์สร้างอย่าห่างคลาย | เป็นอุบายที่จะให้ไปนิพพาน |
| อนึ่งหอมกลิ่นที่จริงสิ่งดอกไม้ | แต่หอมตามไปไม่ไกลสถาน |
| หอมประทินกลิ่นกล่าวคือศีลทาน | ย่อมแผ่ซ่านหอมหวลไปทวนลม |
| อนึ่งดอกเทียนไทหงอนไก่ชบา | พวงผกางามงดสดสีสม |
| แต่ไร้กลิ่นสิ้นดีที่จะชม | ก็ทิ้งถมอยู่ที่ต้นคนไม่จง |
| อันสตรีรูปงามทรามสวาท | แต่มรรยาทผิดสกุลประยูรหงส์ |
| ชายที่ดีเขาไม่มีจิตจำนง | ก็คงลงอยู่ว่างามทรามกิริยา |
| ถึงรูปทรามพอดีดูแต่สุภาพ | ไม่หยามหยาบมรรยาทสมวาสนา |
| จะกล่อมเกลี้ยงนอนเคียงหมอนนอนเต็มตา | คงดีกว่างามพริ้งเป็นลิงลน |
| ชายจะงามความรู้เป็นเครื่องประดับ | ตกถึงไหนได้ทรัพย์ไม่ขัดสน |
| บรรดาหญิงถ้วนทั่วทุกตัวตน | จะงามล้นเลิศฟ้าเพราะสามี |
| สัตว์สี่เท้ากล่าวว่างามที่ใหญ่ยิ่ง | งามร่างรูปซูบทรงนั้นฤาษี |
| จันทร์จะงามแจ่มฟ้าเพราะราตรี | บุตรที่ดีงามหน้าบิดาตน |
| ในคัมภีร์มีบุตรหลายสถาน | ลูกหนึ่งไซร้ใจพาลไม่เป็นผล |
| ลูกหนึ่งนั้นรู้เสงี่ยมเจียมกมล | หาใส่ตนพอเพียงเลี้ยงชีวี |
| ลูกหนึ่งนั้นใจรักเป็นนักปราชญ์ | เฉลียวฉลาดล้ำบิดามีภาษี |
| เป็นอภิชาติบุตรสุดแสนดี | จะพาทีสอนสั่งก็ฟังคำ |
| อันลูกร้ายคล้ายบุตรท่านพราหมณ์แก่ | ไม่ดูแลเลี้ยงบิดาหาอุปถัมภ์ |
| พฤฒาเฒ่าเฝ้าเจ็บใจระกำ | ก็กล่าวคำเป็นคาถาด่าลูกชาย |
| ว่าเลี้ยงบุตรสุดรักนั้นน้อยหรือ | ไม่แทนเท้าแทนมือได้เหมือนหมาย |
| คุณของไม้เท้านี้มีมากมาย | ได้ค้ำกายย่างย่องจ้องจดจุน |
| อนึ่งเดินไปไหนที่ไกลสถาน | เมื่อพบพานสัตว์ร้ายจะวายวุ่น |
| ไม้เท้าปัดวัดเหวี่ยงไปตามบุญ | คงมีคุณกว่าลูกที่ละเลย |
| เช่นเขาพูดเจรจาว่ากันเกลื่อน | ว่าลูกเหมือนลูกขี้กาเจ้าข้าเอ๋ย |
| มีแม่เรือนเปื้อนปอกไม่งอกเงย | เป็นกะเทยเกิดจะดีมีทำไม |
| เมียที่ร้ายหลายอย่างต่างๆ กัน | เมียหนึ่งนั้นเหมือนตำแยแส่ไสร้ |
| เมียหนึ่งนั้นล้นโลภเหลือออกเบื่อใจ | เมียหนึ่งไซร้จ่ายทรัพย์เสียยับเยิน |
| อีกเมียโทโสพูดไม่หยุดหย่อน | ตีเมียน้อยอ้อยอ่อนตะออกเพิ่น |
| เมียหนึ่งนั้นเคยโอภาสประมาทเมิน | ก็ออกเดินเดี่ยวดอดด้อมดูชาย |
| เป็นบุรุษสุดอยู่เพียงรู้เท่า | อย่ามัวเมาเชื่อเมียจะเสียหาย |
| จงหวนเห็นเช่นกับเขาเล่านิยาย | ว่ากากายขาวผ่องละอองนวล |
| ถึงไม่เห็นจริงเจือต้องเชื่อถือ | ว่าหญิงซื่อนั้นให้ป้องปิดปากสรวล |
| ด้วยแยบคายหลายชั้นเชิงกระบวน | แก้อับจนเจียนจวนชำนาญชาญ |
| ประมาทใจให้อยู่ผู้เดียวสงัด | ก็แน่ชัดชายจะชมภิรมย์สมาน |
| เหมือนน้ำอ้อยใกล้มดอดอยู่นาน | หญ้าสคราญโคเว้นไม่เห็นเลย |
| ที่ลุ่มเลนเสน่หาแห่งกาสร | หมู่ภมรมาลียินดีเสวย |
| สระปทุมเป็นที่หงส์จะลงเชย | ชายจะเฉยจากสตรีไม่มีแล้ว |
| อันเรือแพนั้นเป็นที่ข้ามสมุทร | เครื่องอาวุธสำหรับตนแห่งคนแกล้ว |
| อันหยูกยากับพยาธิไม่คลาดแคล้ว | นกกับแร้วคงจะรึงอยู่ตรึงตรา |
| อันหมู่จระเข้เต่าปลาพึ่งวาริน | สกุณบินร่อนเร่พึ่งเวลา |
| ทารกเล็กเด็กน้อยพึ่งมารดา | คนเข็ญใจไพร่ฟ้าพึ่งบารมี |
| ธรรมเนียมเสือพึ่งพนัศชัฏพึ่งเสือ | ธรรมเนียมเรือพึ่งพายไม่หน่ายหนี |
| ความเท็จพึ่งจริงชั่วกลัวคนดี | หญิงพึ่งสามีก็พึ่งพัก |
| อนึ่งธรรมดาว่าพิชัยรถ | จะปรากฏงอนระหงเพราะธงปัก |
| บ่าวจะงามเฉิดฉายเพราะนายรัก | ได้ยศศักดิ์เป็นโสดเพราะโปรดปราน |
| รำละครฟ้อนดีด้วยรูปเหยาะ | ร้องจะเพราะเพื่อเสียงสำเนียงหวาน |
| เป็นมวยปล้ำล่ำสันจึงทนทาน | ปากฉาดฉานโต้ตอบจึงชอบที |
| ประการหนึ่งถึงเป็นปราชญ์ฉลาดรู้ | คนไม่ชูก็คงอับลับรัศมี |
| เหมือนหนึ่งเพชรมกยกว่าดี | แม้ไม่มีเหลี่ยมแต่งไม่ต้องการ |
| อนึ่งบัวบุษป์บังเกิดในตมเปือก | อีกช้างเผือกเกิดแต่ป่านาสถาน |
| ทั้งทองคำเกิดบ่อบางตะพาน | ยังประมาณกันว่าเป็นที่รัก |
| ก็สมที่ชี้เช่นกันกับนักปราชญ์ | เกิดในชาติทรชนคนต่ำศักดิ์ |
| แต่ตัวดีมีปัญญาสวามิภักดิ์ | ก็พร้อมพรักนับถือออกชื่อชม |
| อนึ่งคนโทษนั้นหมั่นขวนขวาย | มีทรัพย์หลายเหลือล้ำเพราะส่ำสม |
| ทั้งเชื้อไพร่ได้เป็นนายขึ้นนั่งพรม | พึงนิยมจิตรู้อย่าดูเบา |
| อนึ่งนายสี่นี้อย่าเสพแสวง | เข้าแอบแฝงพึ่งพาอาศัยเขา |
| นายที่หนึ่งมักโกรธชักหน้าเง้า | ร้องเรียกเล่าลมก็เติบกำเริบฤทธิ์ |
| นายที่สองตั้งใจใช้จนบอบ | มีความชอบไม่ยกเอาปกปิด |
| นายที่สามนั้นค่อยแกะและเล็มลิด | ทรัพย์สักนิดก็ไม่เผื่อเอาเจือจาน |
| นายที่สี่นั้นดีแต่ข่มคุณ | ทั้งทารุณพูดจาทั้งว่าขาน |
| ไม่ได้เรื่องล้วนเครื่องจะอัปมาณ | อย่าแผ้วพานหลีกละสละเว้น |
| อนึ่งเป็นนายก็เอาใจไพร่มันมั่ง | อย่าตึงตังไปทีเดียวเฝ้าเคี่ยวเข็ญ |
| ถึงตกทุกข์ที่ลำบากได้ยากเย็น | จะตายเป็นมันไม่ทิ้งจริงจริงเจียว |
| อนึ่งบ่าวไพร่ไม่ดีจะตีด่า | อย่าโกรธาหันหุนให้ฉุนเฉียว |
| ประหยัดหย่อนผ่อนใช้แต่ไม้เรียว | อุตส่าห์เหนี่ยวหน่วงจิตคิดเมตตา |
| อันช่างหม้อตีหม้อไม่หวังฉาน | ตีเอางานงานใช้มิให้หนา |
| ดั่งอาจารย์ตีศิษย์ให้วิทยา | มิใช่ว่าจะประหารให้ไปอบาย |
| สิ่งจะสอนสอนสกนธ์ตนเสียก่อน | จึงจะสอนผู้อื่นได้ดังใจหมาย |
| ผจญจิตตนเสียก่อนให้ผ่อนคลาย | จึงค่อยร่ายไปผจญคนทั้งปวง |
| อนึ่งผจญคนเวรเป็นเวรี | ทำไมตรีเข้าไปให้ใหญ่หลวง |
| ผจญคนกลิ้งกลอกหลอกลวง | เอากระทรวงสัตย์สู้ให้เสื่อมเท็จ |
| ผจญคนโลภละโมบนั้น | ของกำนันให้อักขูหมูไก่เป็ด |
| ผจญหมู่ทรชนคนใจเพชร | ให้อ่อนอาตม์ขาดเด็ดด้วยความดี |
| อนึ่งทำศึกสงครามได้ชัยชนะ | มีเดชะเป็นสง่าชูราศรี |
| รบแม่เรือนแพ้พ่ายไม่วายตี | ก็ได้มีชื่อเชิดว่าชายชาญ |
| ไหนจะเท่าบุคคลผจญจิต | เอาสุจริตเป็นตาต่อประหาร |
| ตัดอกุศลสิ้นห่วงบ่วงมาร | ก็สำราญนิราศทุกข์สุขสบาย |
| อนึ่งแพ้ศึกเสียทีในที่รบ | เขาหลีกหลบรอดชีวิตมามีหลาย |
| แพ้ถ้อยความเสียทรัพย์นับกระทาย | ยังไม่ตายหาใหม่ก็ได้คง |
| อันแพ้เมียทำลายสายสินทรัพย์ | ก็ย่อยยับยุ่ยเป็นผุยผง |
| ยากจะอยู่ตราบเท่าชีวิตปลิดปลง | ญาติวงศ์พงศ์เผ่าเขาไม่แล |
| เมื่อคราวดีมีทรัพย์คนนับถือ | ครั้นสิ้นชื่อคนก็ต่างจะห่างแห |
| ชั้นเพื่อนฝูงชอบพอเขางอแง | ลูกเมียแปรเป็นอื่นตื่นตะโกรง |
| ปางมียศก็ปรากฏว่าเลิศลาภ | ล้มพังพาบสิ้นสง่าที่อ่าโถง |
| กาเหยี่ยวแร้งแย่งเนื้อเหลือแต่โครง | ที่เรือนโรงเยียบสงัดวิบัติเป็น |
| ถ้าอุปไมยคล้ายกับไม้เมื่อยามแล้ง | ใบนั้นแห้งหล่นว่างห่างหายเห็น |
| ที่แก่นเปลือกเลือกถากทุกเช้าเย็น | สำหรับเป็นฟืนโอ้อนิจจา |
| เห็นสมความพราหมณ์รู้คัมภีร์เวท | เมื่อเคราะห์ดีดูวิเศษนั้นหนักหนา |
| คราวเคราะห์ขัดวิบัติเข็ญจะเป็นมา | มนต์และยาเสื่อมสร่างค่อยบางเบา |
| อันร่างกายมนุษย์นี้เป็นที่รัก | เมื่อยามจักไปจริงก็ทิ้งเปล่า |
| เหมือนท่อนไม้แก่นปราศอนาถเนา | สำหรับเน่าผุเปื่อยไม่เป็นการ |
| ไม้ที่คดขดวงเป็นกงจักร | ตามแต่รักจะประดิษฐ์คิดอ่าน |
| ที่ตรงกลมล้มลากไปถากกระดาน | ทั้งกิ่งก้านดาษดื่นทำฟืนใช้ |
| ที่ควรเลื่อยเลื่อยชักเขาจักชอย | เศษเล็กน้อยทำเขียงรองเตียงได้ |
| ชั้นโดยต่ำแต่สะเก็ดเก็บก่อไฟ | กายนี้ไม่มีของที่ต้องการ |
| ใครทำบุญบุญนั้นก็ให้ผล | คงตามตนติดไปในสงสาร |
| ใครทำบาปหยาบช้าอันสาธารณ์ | บาปก็ติดตามผลาญไม่ละทิ้ง |
| เหมือนจักรเวียนหมุนไปไม่คลาดเคลื่อน | กระทบเตือนตัวฬาขามหิงส์ |
| ตัวไหนเดินดันแรงขึ้นแข่งชิง | แอกที่อิงออดเสียดเบียดเบียนคอ |
| ควรจะทราบบาปบุญพหุลกรรม | เหมือนคนปล้ำทั้งสองข้างต่างแข็งข้อ |
| ใครแรงมากทรหดไม่ทดท้อ | ก็ผลักคอคนหิวให้ล้มลง |
| ข้างบุญแรงแบ่งบาปให้สาปสูญ | บุญก็พูนเพิ่มให้ดังใจประสงค์ |
| ข้างบาปแรงแบ่งบุญให้ปลดปลง | บาปก็คงวิ่งเข้าเป็นเจ้างาน |
| อนึ่งผู้ใดใหญ่กว่าเยิ่นอายุยิ่ง | ไม่รู้สิ่งธรรมที่เป็นแก่นสาร |
| ลูกอ่อนออกวันเดียวแต่เชี่ยวชาญ | รู้เล่าอ่านเรียนธรรมก็จำจอง |
| พระอริยประยูรบัณฑูรถ้อย | ว่าเด็กน้อยนั้นเหลือดีไม่มีสอง |
| ท่านว่าไว้ให้เห็นเป็นทำนอง | ให้ตรึกตรองว่าผู้หญิงไม่ใฝ่ธรรม |
| อนึ่งปราชญ์ใดเล่าเรียนเพียรหนักหนา | มีปัญญารู้ยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
| ไม่สำแดงแจ้งออกทุกสิ่งอัน | ก็อัดอั้นอยู่ไม่รู้ว่าภูรี |
| ถ้าอุปไมยก็คล้ายอัปสรสาว | เมื่อรุ่นราวคราวกำดัดมีรัสมี |
| อยู่ร่วมเรือนผัวขวัญเป็นขันที | ห่อนจะมีเทือกแถวแนวหน่อเนื้อ |
| อนึ่งเป็นปราชญ์ปรีชาปัญญาขยัน | สำแดงธรรมไพเราะเสนาะเหลือ |
| แต่น้ำจิตนั้นประหวัดอสัตย์เจือ | เหมือนดอกเดื่อไปสถิตที่เรือนพาล |
| จงตรองเห็นเช่นกับข้างน้ำอ้อย | ลิ้มที่ไหนก็อร่อยมีรสหวาน |
| แม้นดูชื่นใจจิตพินิจนาน | จะซาบซ่านสุขสบายไม่วายเว้น |
| อีกอย่างหนึ่งว่าอย่าดีอย่ามีชั่ว | อย่าขาดกลัวอย่ากล้าเหมือนว่าเล่น |
| ย่อมใช้ทั่วทุกตำรายาเช้าเย็น | จำไว้เป็นอย่างยิ่งอย่าทิ้งเอย |