| ย้อนกลับ |

บ้านดงละคร

            ผมเคยพาท่านไปเที่ยวเมืองนครนายกโดยเน้นไปเที่ยวที่ รร.นายร้อย จปร. ซึ่งสมัยนั้นโรงเรียนชื่อนี้ผมเคยรับการศึกษาอยู่เป็นเวลานานถึง ๗ ปี คือ เรียนในโรงเรียนเตรียมนายร้อย ๒ ปี ซึ่งสมัยนั้นโรงเรียนเตรียมทหารยังไม่ได้จัดตั้ง ต่อจากนั้นจึงเรียนต่อในโรงเรียนนายร้อย จปร. อีก ๕ ปี จบการศึกษาชั้นสูงสุด ออกเป็นนายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่ ปัจจุบันโรงเรียนเตรียมทหารได้ย้ายจากกรุงเทพ ฯ ไปตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองนครนายก อยู่ติดกับ รร.นายร้อย จปร. และรร.นายร้อย จปร.ก็เปลี่ยนแปลงหลักสูตรจากเคยเรียน ๕ ปี เป็นเรียน ๔ ปี ซึ่งรุ่นแรกที่เรียน ๔ ปี จะจบการศึกษาในปี ๒๕๔๖ ก็น่าเสียดายที่ลดเวลาเรียนลงมา ซึ่งจะมีผลให้เงินเดือนของนายทหารที่สำเร็จออกมาลดตามลงไปด้วย ได้เท่ากับผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยทั่วไปที่มีหลักสูตรเรียน ๔ ปี
            คราวนี้ไปพบร้านอาหารที่อร่อยและแหล่งท่องเที่ยวที่มีโอกาสได้ไปชมอย่างมีเวลา ไม่ได้ไปอย่างวิ่งรถผ่าน จึงขอนำเรื่องบ้านดงละครมาเล่าให้ฟัง เรียกว่าใครไปเที่ยวทริปนี้ให้ไปอย่างนี้
            ออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ (หากท่านอยู่จังหวัดอื่น ท่านต้องปรับแผนการเดินทางให้เวลาสอดคล้องกัน) ประมาณสัก ๐๙.๐๐ ผมเอาระยะเวลาการเดินทางจากบ้านพักของผม ที่ถนนลาดพร้าว ซอย ๗๑ เป็นเกณฑ์ในการคิดเวลา เพราะในกรุงเทพ ฯ นั้นบ้านห่างกันสัก ๕ กิโลเมตร อาจจะใช้เวลาเดินทางห่างกันเป็นชั่วโมง
            ดังนั้นหากผมออกจากบ้านประมาณ ๐๙.๐๐ แล้วไปเข้าถนนเลียบริมคลองรังสิต - นครนายก คือสาย ๓๐๕ เส้นนี้ระยะทางถึงตัวเมืองนครนายก ๑๐๕ กิโลเมตร และเมื่อวิ่งเลีบบคลองรังสิตก็จะผ่านคลองต่าง ๆ โดยอ่านป้ายได้ตอนจะขึ้นสะพานข้ามคลอง และหลายสะพานป้ายหายไปยังไม่มีการทำขึ้นใหม่ ป้ายตรงคอสะพานจะบอกไล่ไปตลอด พอเห็นป้ายคลอง ๑๔ ขึ้นก็ชะลองความเร็วเอาไว้ พอจะขึ้นสะพานคลอง ๑๕ สำหรับคนรักต้นไม้อย่างเพิ่งวิ่งเลยไปเป็นอันขาด เพราะตรงคอสะพานคลอง ๑๕ นี้ มีถนนแยกซ้ายเลียบคลองเข้าไปยาวประมาณ ๙ กิโลเมตร และซอยแยกซ้ายทุกซอยคือ ร้านหรือสวนไม้ดอก ไม้ประดับ ซึ่งแม้จะไม่ได้ปลูกกันตรงที่วางขาย แต่ก็นำพันธุ์ไม้ที่เพาะ ที่ชำแล้ว มาลงทุนวางขายกันอยู่ริมถนนสายดังกล่าวนี้ มีพันธุ์ไม้มากทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ซื้อน้อย ๆ ก็ขาย พ่อค้าแม่ค้าขายส่งจะมารับพันธุ์ไม้เหล่านี้ไปขายส่งยังจังหวัดอื่น หรือนำไปขายปลีกตามตลาดนัด เช่น ที่สวนจตุจักรเป็นต้น ราคาพันธุ์ไม้ที่วางขายย่านนี้ราคาถูกมาก เพราะเป็นราคาขายส่ง ขอยกตัวอย่างเช่น ต้นโกสน พันธุ์ไทยทั่วไป ไม่ใช่พันธุ์ผสมที่มักจะเป็นใบกลมและสีเข้ม หากพันธุ์ทั่ว ๆ ไป แต่ก็นิยมกัน จะขายในราคาต้นเล็ก ถุงละ ๒ บาท ถุงใหญ่หน่อยก็ถุงละ ๓ บาท ซื้อไปใส่กระถาง ไม่กี่วันก็จะโตพอที่จะจับไปวางล้อมโคนต้นไม้ใหญ่ ที่โคนต้นได้รับแสงแดดอย่างน้อยครึ่งวัน วางให้เป็นกลุ่ม ใบโกสนพอได้รับแสงแดดจะเริ่มให้สีสดสวย วางรวม ๆ กันแล้วก็จะสวยดี แต่หากพวกโกสนราคาแพง พวกลูกผสมวางเป็นกลุ่มไม่สวยสู้วางเป็นแถวไม่ได้ ไม้อื่น ๆ ก็ราคาถูกกว่าที่ขายตามตลาดนัดทั้งสิ้น พุฒพิชยา ต้นละ ๑๘ บาท ถูกกว่าตามตลาดเกินครึ่ง ไปแวะตลาดต้นไม้คลอง ๑๕ แล้ว จะซื้อเสียเลยก็ได้หากท้ายรถของเราว่าง หรือไม่งั้นก็หมายตาไว้ซื้อตอนกลับจากนครนายก แต่หากซื้อเที่ยวกลับต้องเลยไปกลับรถไกล เพราะถนนเป็นสี่เลน ซื้อใส่ท้ายไว้คืนเดียวไม่เฉาแน่นอน
            จากตลาดต้นไม้คลอง ๑๕ วิ่งต่อไปอีกหน่อยเดียวก็จะถึงอำเภอองค์รักษ์ ซึ่งเราจะกินอาหารกันที่นี่ เป็นอาหารมื้อชวนชิมของผมในวันนี้ ร้านอาหารชื่อร้านจันทร์เพ็ญ ผมขอชวนชิมเสียเลยก่อนที่จะไปเมืองโบราณบ้านดงละคร เพราะจะตรงมื้อเที่ยง กำลังหิวพอดี
            เลยคลอง ๑๕ ไปแล้วให้สังเกตหลัก กิโลเมตร (เราจะไม่เลี้ยวเข้าตัวอำเภอองค์รักษ์) พอถึงกิโลเมตร ๔๓ ให้ชะลอความเร็ว พอถึงประมาณ กิโลเมตร ๔๓.๘ จะมีซอยแยกซ้ายชื่อถนนสุขาภิบาล ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายแคบ ๆ นี้เข้าไป วิ่งเข้าไปสัก ๑๐๐ เมตร เกือบจะทะลุไปออกถนนสาย ๓๐๕ ใหม่ (จะออกถนนสาย ๓๐๕ ที่หลักกิโลเมตร ๔๔) ร้านจันทร์เพ็ญอยู่ทางซ้ายมือ เป็นร้านขนาด ๒ ห้อง ไม่โก้ ไม่หรู แต่มองเข้าไปจะเห็นความสะอาดภายในร้าน มีโต๊ะนั่งได้ทั้งภายในร้าน และหลังร้านมีโต๊ะอีก ๒ - ๓ ตัว อยู่ติดกับสระน้ำ แต่มีสวะเต็มไปทั้งบ่อน้ำ แต่ก็มองดูเย็นตาและร่มรื่นดี หน้าสวะหรือผักตบชวา ออกดอกคงจะสวยดี สีม่วงไปทั้งสระ
            ร้านนี้บริการดี เอาใจลูกค้า เสริฟอาหารกันว่องไว ทำก็ไวเพราะเขาช่วยกันทำ เวียนหน้ากันเข้ามาเสริฟเลยทีเดียว คณะของผมนั่งกันหลังร้าน ไปกัน ๔ คน สั่งอาหารมา ดังนี้
            มีอาหารแพงตามราคาของประเภทอาหารสดอยู่อย่างเดียว นอกนั้นราคาปกติธรรมดาจะถูกด้วยซ้ำไป ที่ว่าแพงคือ "กุ้งแม่น้ำ" ที่หากินยากเข้าทุกวัน แต่มาแล้วต้องกิน ร้านจันทร์เพ็ญนี้ผมหมายตาไว้หลายทีแล้ว แต่ไม่เคยแวะชิมของเขาสักที พึ่งวันนี้ตั้งใจเลยจะแวะชิมมื้อกลางวันที่ร้านจันทร์เพ็ญแล้วจะไปเที่ยวบ้านดงละคร ไม่เยี่ยมลูกชายที่เป็นผู้บังคับกองพัน อยู่ที่ รร.นายร้อย จปร. (ความจริงคิดถึงหลานมากกว่า) เมื่อแวะแล้วถามเขาดูบอกว่าตั้งมา ๑๘ ปีแล้ว เรียกว่าฝีมืออยู่ตัวแล้วจึงมีลูกค้าประจำ
            สั่งกุ้งมา ๑ กิโลกรัม ให้เขากะให้ได้กุ้ง ๔ ตัว เพราะไปกัน ๔ คน จะได้ไม่แย่งกัน กุ้งแม่น้ำราคากิโลกรัมละ ๘๐๐ บาท ถือว่าเป็นราคามาตรฐาน มีแต่จะแพงกว่านี้ กุ้งเผาแล้วเขาก็ผ่าซีกมาให้เพื่อจะได้กินได้สะดวก กุ้งแม่น้ำแท้มันกุ้งจะต้องสีเหลืองอ่อน
            บรรจงตักเอามันกุ้งออกมาคลุกข้าวสวยที่กำลังร้อน ๆ คำแรกผมเหยาะด้วยน้ำปลาพริก แล้วส่งเข้าปาก อร่อยคุ้มค่าต่อการวิ่งมาชิม พอคำต่อไปเอาน้ำส้มที่เขาให้มา ซึ่งเขาทำพิเศษ คงจะเรียกว่าน้ำส้มรสประจำตระกูลของเขาเลยทีเดียว เหยาะน้ำส้มลงบนข้าวที่คลุกเคล้าด้วยมันกุ้งแล้ว ส่งเข้าปากอย่าบอกใครเชียว และจะไปกับใครก็ตาม หาก ๔ คน กุ้ง ๔ ตัว จงตักใส่จานของเราเสียก่อน ๑ ตัว กันถูกละเมิดอภิสิทธิ์ เกิดมี ๕ ตัว ผมอาจจะใช้อภิสิทธิ์ความเป็นหัวหน้าคณะหรือความอาวุโส ตักเสีย ๒ ตัว ก็คงไม่มีใครกล้าว่าอะไร และพออายุเข้าปูนนี้ ลูกหลานเขาก็เติบโตมีรายได้ดี ๆ กันแล้ว บางมื้ออาจจะไม่ต้องเสียสตางค์ด้วยซ้ำไป แต่มื้อนี้กุ้งแม่น้ำผู้อาวุโสต้องจ่ายเสียโดยดี
            ร้านนี้ลูกชิ้นปลากรายของเขาเก่งมาก จึงต้องสั่งลูกชิ้นปลากราย
            จานแรกคือ ลูกชิ้นปลากรายลวกจิ้มน้ำส้ม ลูกชิ้นของเขาเด็ดจริงสมกับการเชิญชวน ลูกชิ้นเหนียวหนับ เคี้ยวหนุบ เรียกว่าเคี้ยวสนุก หมดจานไม่รู้ตัว
            แกงป่าลูกชิ้นปลากราย ร้อนโฉ่มาทีเดียว ตอนกินข้าวคลุกมันกุ้ง ก็ตักแกงป่าซดตามไปด้วยจะทำให้ไม่เลี่ยนมันกุ้งด้วย แกงป่าของเขาใส่ผักมาสารพัดผัก น้ำมีรสหวานด้วยรสผัก
            ไส้หมูย่าง อย่าโดดข้ามไปเป็นอันขาด ย่างได้เก่งมาก นุ่ม เคี้ยวสนุก จิ้มซีอิ้วหวาน หมดในพริบตา
            สั่งอาหารมาแค่นี้ อาหารของเขามีหลายอย่างแต่ไปหลงเสียกับ มันกุ้ง เนื้อกุ้งแล้ว สั่งมากก็อิ่มเกินอร่อยไป ชิมอาหารให้อร่อยอย่ากินจนเกินอิ่ม หรือเรียกกันอย่างไม่สุภาพว่ายัด จะหมดอร่อย
            ของหวานร้านนี้ไม่มี แต่เห็นหน้าร้านของเขามีมะม่วงกวน มะม่วงแผ่น เลยสั่งมาชิมเป็นของหวาน เขามีทั้งแบบหวาน และอมเปรี้ยว อร่อยใช้ได้ อย่าเผลอไปชิมวันพฤหัสเพราะเขาหยุดนับเงินไปฝากธนาคาร
            จบรายการอาหารกลางวัน หากอร่อยมาก วันกลับเข้ามาซ้ำเสียอีกทีก็ได้ ลองเว้นกุ้งเผา สั่งอาหารอื่น ๆ แทนจะได้รู้รสของเขามากขึ้น
            ออกจากร้าน ผ่านสี่แยกที่เลี้ยวขวาจะไป บางน้ำเปรี้ยว ไปฉะเชิงเทราได้ เราไม่เลี้ยวคงตรงต่อไป ทีนี้ผ่านดงไก่ย่าง วันกลับแวะซื้อได้มีไก่ย่างขายไม่รู้ว่ากี่สิบเจ้า เป็นดงไก่ย่าง ๓ ตัว ๑๐๐ บาท ๔ ตัวร้อยบาท เขาปักป้ายบอกไว้ แต่ผมเคยซื้ออย่าง ๓ ตัวร้อยบาท เลยดงไก่ย่างไปแล้วเลียบริมคลองต่อไปจะผ่านดงส้ม และผลไม้ แต่จะหนักไปที่ส้ม แก้วมังกร แคนตาลูป ฯ ขายอยู่ริมทางเป็นดงเหมือนกัน วิ่งเลียบเรื่อยไปจนพบทางแยกซ้ายยกป้ายบอกว่าไป รร.นายร้อย จปร. หากเลี้ยวซ้ายไป ๙ กม.จะถึงตำบลพราหมณี อำเภอเมือง ตรงเข้า รร.นายร้อย จปร. เลยทีเดียว หรือจะมาจากในเมืองมาตามถนนสายนครนายก - หินกอง พอถึงตรงสี่แยกก็เลี้ยวขวาเข้า รร.นายร้อย จปร.ได้ แต่ยังไม่เข้า รร.นายร้อย จปร. ตรงต่อไปอีกหน่อยก็จะถึงสี่แยก ซึ่งหากเลี้ยวซ้ายจะเข้าเมืองนครนายก ให้ตรงต่อไป (ความจริงเลี้ยวซ้ายก็ไปได้) อีก ๗ กิโลเมตร ตามถนนสายนี้จะไปยังอำเภอบ้านสร้าง และจังหวัดปราจีนบุรีได้ เมื่อวิ่งไปประมาณ ๗ กิโลเมตร จะมีป้ายชี้ทางให้แยกขวา เลี้ยวขวาวิ่งตามป้ายไปจะเข้าสู่เมืองลับแล หรือบ้านดงละคร ซึ่งนามนี้มาเรียกกันภายหลัง
            เมืองดงละครเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ยังไม่ได้มีการสำรสวจและการดำเนินการทางโบราณคดีตราบจน ปี พ.ศ.๒๔๗๘ ซึ่งเป็นปีที่มีการประกาศโบราณสถาน ขึ้นทะเบียนมาที่สุด จึงได้ประกาศเมืองดงละครเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และได้มีการสำรวจดงละคร ๒ ครั้ง คือเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ คณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ทำการสำรวจขุดค้น ๑๒ หลุม ในเขตคันดินคูเมือง และพื้นที่โดยรอบ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๙ กองโบราณคดีได้ทำการสำรวจขุดค้นอีกครั้ง คราวนี้ได้พบหลักฐานโบราณวัตถุสมัยทวาราวดีจำนวนมาก เช่น เศษภาชนะดินเผา (ยังมีเศษไว้ให้ชม) ภาชนะเคลือบสีฟ้า ซึ่งเป็นเครื่องปั้นดินเผาของเปอร์เซีย ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน ตะคันดินเผา ห่อตะกั่วในบริเวณโบราณสถาน ขุดพบโบราณวัตถุเช่น เบี้ยดินเผา เบ้าดินเผา หินลับ เหล็ก แผ่นตะกั่ว ยอดสถูปดินเผา เมล็ดพืชถูกเผาเป็นถ่าน พระพิมพ์ทองแดง ดินเผาคล้ายที่ตั้งไส้ตะเกียง และในการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒ พบสถูปศิลาแลง พระพิมพ์ดินเผา แหวนดินเผา กระปุกดินเผา แหวนสำริด แหวนหิน กำไลสำริด ลูกกระพรวนสำริด ตุ้มหูสำริด หัวแหวนหิน ลูกปัดหิน และข้าสารดำเป็นต้น
            ชื่อดั้งเดิมของเมืองดงละครในอดีตนั้นไม่ปรากฏ จึงเรียกกันว่า เมืองลับแล ต่อมาชาวบ้านได้เล่าต่อ ๆ กันมาว่า ณ ป่าดงทึบแห่งนี้ในวันเพ็ญบางคืน ชาวบ้านจะได้ยินเสียงมโหรีพิณพาทย์แว่วมาตามลม โดยหาต้นกำเนิดของเสียงที่มาไม่ได้ ซึ่งเป็นชื่อทางตำนานของชื่อเมืองดงละคร นอกจากนี้ยังมีชื่อเพิ่มที่เรียกกัน เช่นเมืองลับแล สันคู สรุปได้ว่าเมืองดงละครเป็นเมืองโบราณขนาดกลาง สมัยทวาราวดี
            อายุของเมืองนี้อยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๖ บางเล่มก็บอกว่า ๑๔ - ๑๙ สรุปว่าอยู่ในยุคของลพบุรี และทวาราวดี จะเล่มไหนก็ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีล่วงมาแล้ว และเชื่อว่าเดิมเป็นเมืองอยู่ใกล้ทะเล เป็นเมืองท่า มีความสัมพันธ์กับเมืองศรีมโหสถของจังหวัดปราจีนบุรี เมืองดงละครตั้งอยู่บนหินดินลักษณะค่อนข้างกลม เป็นหินดินซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนแม่น้ำเก่าบนเนื้อที่ประมาณ ๖ ตารางกิโลเมตร รอบ ๆ เป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๓ - ๖ เมตร แต่ทางตะวันออกนั้นเป็นจุดสูงสุด สูงประมาณ ๓๔ เมตร
            ภายในเมืองโบราณลักษณะเป็นรูปไข่ เมื่อเริ่มถึงเขตเมืองก็มีมูลดินกำแพงเมือง ๒ ชั้น ระหว่างกำแพงเมืองยังมีคูเมือง ซึ่งเป็นลักษณะของเมืองสมัยทวาราวดี คือกำแพง ๒ ชั้น มีคูเมืองระหว่างกำแพงเส้นผ่าศูนย์กลางของเมืองประมาณ ๗๐๐ - ๘๐๐ เมตร จึงเป็นเมืองไม่ใหญ่นัก ในเมืองจึงน่าจะเป็นที่อยู่ของชนชั้นปกครอง ส่วนราษฎรทั่วไปคงจะกระจายกันอยู่รอบนอก แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีราษฎรอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นโบราณสถานเลยทีเดียว แต่มีไม่มากนัก อยู่อย่างคนรักแผ่นดิน ลำน้ำสำคัญสำหรับเมืองโบราณดงละครในอดีตน่าจะเป็นเหมืองคลอง ซึ่งไหลผ่านเนินดินทางทิศตะวันออก ไปเชื่อมกับแม่น้ำนครนายก ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเดียวของจังหวัดนี้ และยังมีคลองโพธิ์ซึ่งแยกมาจากคลองเหมือง เข้าสู่เนินดงละครทางทิศใต้ ปัจจุบันเห็นเป็นร่องน้ำเก่า
            ในเขตของดงละครยังเป็นป่ารกทึบ แต่ต้นไม้ต้นโตมาก ๆ ไม่ค่อยมี เส้นทางเข้าไปสะดวกและจะวิ่งผ่านบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีประวัติที่ปากบ่อ และวิ่งเข้าไปได้จนถึงจุดที่เป็นโบราณสถานซึ่งน่าจะเป็นศาสนสถานซึ่งได้ขุดตกแต่งไว้งดงามดีแล้ว สุขามีไว้บริการ มีร้านค้าย่อย ๆ ประเภทโชห่วย แต่ไม่ถึงขั้นมีอาหารตามสั่งขาย ถ้าซื้อแต่มาม่าคงพอมีขายให้ เมื่อชมเมืองโบราณแห่งนี้จนจุใจแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับมา วิ่งต่อไปตามทางไปออกถนนใหญ่ได้เลย จะไปออกตรงสี่แยกเชิงสะพานเมื่อตอนเข้ามา ซึ่งขามาจะมาทางนี้ก็ได้แต่อัตคัตป้าย ผมเลยไม่แนะนำให้เป็นเส้นทางเข้ามา
            นครนายกนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติมากมาย เช่น
            พิพิธภัณฑ์วัดฝั่งคลอง  เป็นมรดกทางวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยพวน ซึ่งสร้างโดยพระครูวิริยานโยค เจ้าอาวาสวัดฝั่งคลอง วัดอยู่ที่อำเภอปากพลี อยู่ตรงไหนให้ถามชาวบ้านดูหาไม่ยาก ถามหาวัดฝั่งคลอง
            ประวัติความเป็นมาของลาวพวน หรือไทยพวนนั้นควรแก่การสนใจ ทำให้เห็นความมีอำนาจของชนชาติไทย ซึ่งผมเคยสงสัยว่าชาติไทยนั้น อาจจะไม่ได้อพยพมาจากจีนก็ได้ เบ้งเฮ็กในเรื่องสามก๊กที่รบแพ้ขงเบ้ง อาจจะไม่ใช่บรรพบุรุษของคนไทยในแผ่นดินปัจจุบันก็ได้ คนไทยอาจจะอยู่ที่นี่มานานนับพันปีแล้ว แต่กระจายกันอยู่ ยังรวมกันไม่ติดจึงเหมือนไม่มีประเทศ ไม่มีชาติ แต่พอรวมกันได้ก็เป็นชนชาติที่เข้มแข็ง ผมจึงถือว่าเราคนไทยไม่เคยตกเป็นทาสของใครทั้งประเทศ กรุงศรีอยุธยาแตก ๒ ครั้ง แต่ไทย ณ ที่อื่นยังอยู่ อยู่อย่างเป็นเอกราชด้วย  หากเราเสียกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ (ต้องเสียกรุงเทพ ฯ) อย่างนี้เรียกว่าไทยเสียเอกราช หรือจะสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถือว่าเสียเอกราช หากเราสู้กับญี่ปุ่น โดยไม่ยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านซึ่งคงต้องแพ้ญี่ปุ่น ซึ่งกำลังมีกำลังทัพแข็งแกร่ง และไหลเข้ามาประดุจน้ำเชี่ยวกราก แต่เมื่อรู้จักโอนอ่อนกลับเป็นพันธมิตรของเขา ไทยก็รอดตัวไม่เสียเอกราช อนุสรณ์สถานของญี่ปุ่นอยู่ที่วัดพราหมณี อำเภอเมืองนครนายก
            นครนายกได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีน้ำตกมากและสวย ๆ ทั้งนั้น ส่วนมากไปก็สะดวก เช่น น้ำตกสาริกา น้ำตกนางรอง น้ำตกไทรยองหิน น้ำตกเหวมหาศักดิ์ น้ำตกแม่ปล้อง น้ำตกตาดตาภู่ น้ำตกมะนาว น้ำตกนางนอน น้ำตกเขาช่องลม หลาย ๆ แห่งที่รถเข้าถึง และอีกหลายแห่งต้องเดินเพราะเที่ยวนครนายกมีเส้นทางจักรยานเสือภูเขา ซึ่งวิธีการเที่ยวแบบนี้ผมสูงอายุเกินไปที่จะเที่ยวแบบนี้ ตอนที่ยังกำลังมาก ๆ เขาก็ยังไม่มีการเที่ยวกันแบบเดินป่า แบบขี่จักรยานรวมทั้งการล่องแก่ง ซึ่งเส้นทางจักรยานเสือภูเขามีหลายเส้นทาง
            นอกจากนี้ยังมีการล่องแก่ง และการไปเที่ยววังตะไคร้ที่แสนจะงดงาม
            ที่พักมีมากมายหลายแห่ง แต่ผมยังเชียร์ของ รร.นายร้อย จปร. เพราะเข้าไปพักแล้วมีกิจกรรมให้เพลิดเพลินหลายอย่าง จองที่พักราคาถูกได้ ๐๒ - ๒๔๓๐๔๕๑ ต่อ ๑๖, ๐๓๗ ๓๙๓๐๑๐ - ๕ ต่อ ๖๒๙๖๐ - ๓ จะได้ที่พักราคาถูกคืนละ ๖๐๐ บาท ส่วนห้องชุดคืนละ ๑,๕๐๐ บาท แต่คงต้องจองล่วงหน้ากันนาน ๆ เพราะนักกอล์ฟเขามาพักกันมากในวันหยุด
            มา รร.จปร.แล้วเที่ยวที่ไหน ก่อนอื่นให้แวะที่ทางขวา เมื่อผ่านเข้าประตูคือ สมาคมแม่บ้าน ทบ. และศูนย์บริการท่องเที่ยว มีของที่ระลึกขาย ต่อจากนั้นก็แวะเที่ยวไปตามลำดับ เริ่มด้วย



            ศาลเจ้าพ่อขุนด่าน  ไปศาลาวงกลม ซึ่งศาลานี้ประดิษฐานพระบรมรูปของ ร.๕ ซึ่งนำมาจาก รร.จปร.เดิม เรียกว่า ตัวผม น้องชาย ลูกชาย ล้วนแต่ถวายความเคารพพระบรมรูปของ ร.๕ องค์เดียวกัน ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์อาคาร จปร.๑๐๐ ปี ขึ้นไปวัดเขาชโงกหรือวัดพระพุทธฉาย (เป็นภาพวาดสีน้ำมันกับเพิงผา)
            กิจกรรมทหาร ซึ่งเสียค่าบำรุงไม่กี่บาท คือการฝึกหัดพายเรือแคนู เลื่อนช่วยชีวิต ไต่หน้าผาจำลองไปยิงปืนที่สนามยิงปืน ไปตีกอล์ฟ ซึ่งมี ๑๘ หลุม เขาเรียกกันว่าสนามปราบเซียน กิจกรรมวอลค์แรลลี่ และจักรยานแรลลี่ มีจักรยานให้เช่า กิจกรรมว่ายน้ำ รวมทั้งมีหอประชุมให้เช่า มีห้องอาหารบนสโมสรซึ่งอยู่บนเขา รวมทั้งที่พักก็อยู่ติดกับสโมสรนั่นแหละ ขึ้นไปพักแล้วตอนเช้ามองลงมาสวยนัก เห็นทั่วบริเวณ รร.จปร.
            ขอเชียร์ การไปเที่ยวจังหวัดนครนายก การไปเที่ยว รร.นายร้อย จปร. ไว้เพียงเท่านี้ เพราะสถานที่น่าเที่ยวเหล่านี้อยู่ใกล้ ไปมาสะดวก ค้างคืนก็ได้ ไม่ค้างคืนก็ได้ ของกินแยะ มีผลไม้ให้ซื้อมาก เช่น ในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนของมะปราง หรือมะยงชิดเลยทีเดียว มะปรางหรือมะยงชิดนั้นยากที่จะหาจังหวัดใดเทียบกับจังหวัดนครนายก และปราจีนบุรีได้
            แต่วันนี้เดือนมิถุนายน ผมมาเดินอยู่หน้าอำเภอเมืองลพบุรี ซึ่งเขากำลังมีงาน "วันกระท้อนแฟร์" พึ่งรู้เหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ลพบุรี มีกระท้อนมากจนถึงขั้นจัดงานวันกระท้อนกันแล้ว สมัยผมยังเด็กวิ่งอยู่ในกองบิน ๔ โคกกระเทียม ลพบุรีนั้นเห็นมีแต่น้อยหน่า กับมะขามเทศ แถมด้วยเล็บเหยี่ยว เป็นผลไม้สำคัญของลพบุรี

----------------------------------


| ย้อนกลับ | บน |