| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

วัดพระพุทธบาทสี่รอย

            พระพุทธบาทสี่รอยเท่าที่ทราบมีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย นอกนั้นเป็นการจำลองขึ้น มิใช่ค้นพบที่มีปรากฏอยู่ตามธรรมชาติแต่โบราณกาล  ส่วนที่จังหวัดปราจีนบุรีในอำเภอศรีมโหสถนั้นมิได้เป็นพระพุทธบาทสี่รอย  แต่เป็นพระพุทธบาทคู่สลักอยู่บนศิลาแลง ที่ฝ่าพระบาทสลักรูปธรรมจักรนูนทั้งสองข้าง  ถือว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย  ส่วนพระพุทธบาทสี่รอยที่ผมจะเล่าในวันนั้น เป็นรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าถึงสี่พระองค์ที่เหยียบไว้บนเขาสูง การไปอำเภอศรีมโหสถนั้น ไปง่ายสะดวกรถเข้าจอดได้ริมศาลาที่สร้างครอบรอยพระพุทธบาทได้เลย  แต่การไปพระพุทธบาทสี่รอยไปด้วยความยากลำบาก  ต้องขึ้นเขาสูง  ต้องมีความสามารถสูงทั้งคนขับและสมรรถนะของรถไม่งั้นไปไม่ไหว  โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือฝนหยุดตก ๒ - ๓ วัน  รถเก๋งให้กำลังดีอย่างไรอย่าได้คิดฝ่าเส้นทางสายนี้ขึ้นไปเป็นอันขาด  อย่าเอาอย่างผมที่ชอบทดลองเรื่อยไป  ไม่ทราบว่ารอดมาได้อย่างไร
            การเดินทางไปยังวัดพระพุทธบาทสี่รอย  ต้องเริ่มจากการคิดไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่เสียก่อน  เพราะรอยพระพุทธบาทอยู่บนอุทยานแห่งชาติดอยปุยแต่อยู่ในเขตอำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่  ผมเดินทางไปเชียงรายก่อน  ไปวัดพระธาตุจอมกิติ ไปพระธาตุแสนคำ (ซึ่งพระที่ท่านร่วมบูรณะท่านห้ามไม่ให้ผมนำไปเผยแพร่  บอกว่าจะทำให้พระที่จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ขาดความสงบ) พระธาตุสองพี่น้อง  พระธาตุหัวช่วง ฯ  ซึ่งล้วนแล้วอยู่ในถนนสายเดียวกัน  คือถนนสายเชียงแสน - เชียงของ และได้พักที่อำเภอแม่สรวยที่เชียงราย  คันทรี ฮิลล์  รีสอร์ท  จากเชียงแสนผมมาแม่สายแล้วจึงกลับมาเชียงใหม่  และมาเชียงใหม่คราวนี้ได้ตั้งใจไว้เลยทีเดียวว่าจะเอารถเก๋ง ขนาด ๑๖๐๐ ซีซี  นี่แหละขัยตลุยขึ้นไปยังพระพุทธบาทสี่รอยให้ได้ ไม่ง้อรถโฟวีลกันละตั้งใจอย่างนั้น
            การเดินทาง จากที่พักไปยังอำเภอแม่ริม  แวะชมพิพิธภัณฑ์เจ้าดารารัศมี  ซึ่งอยู่ในค่ายดารารัศมีของตำรวจ  ก่อนถึงตัวอำเภอนิดเดียว  มีค่าควรแก่การเข้าชม  และตำรวจใจดีให้เข้าชมได้ฟรีด้วย  แต่พอบอกว่าจะไปไหนต่อเท่านั้นแหละ  คุณตำรวจห้ามเสียงขรมเลยทีเดียวว่าคุณลุงอย่าได้พยายามเอารถคันนี้ขึ้นไปเป็นอันขาด (ตำรวจไม่รู้จักผม)  ผมก็บอกว่าขอบคุณจะลองพยายามดู  ไปไม่ไหวก็จะขับกลับลงมา แต่หากตั้งใจที่จะไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วและเรามีความตั้งใจที่บริสุทธิ์แล้วก็น่าจะขึ้นไปสำเร็จ  เดือนที่ผมขึ้นไปคือปลายเดือนมีนาคม แม้ถนนจะไม่ราดยาง และขึ้นเขาตลอดก็น่าจะไต่ไปได้ หากเรารู้จักใช้เกียร์ในการขับรถ  ไม่รอให้รถหมดกำลังเสียก่อนจึงเปลี่ยนเกียร์และรถคันที่ผมขับไปก็เป็นเกียร์อัตโนมัติด้วยซ้ำไป  แต่ก็ได้ไต่ขึ้นไปจนสำเร็จ
            จากอำเภอแม่ริม  เลยทางแยกไปยังอำเภอสเมิงไปเล็กน้อยก็จะมีทางแยกซ้าย  มีป้ายบอกว่าไปวัดพระพุทธบาทสี่รอย  ระยะทาง ๓๒  กม.  ป้ายว่าอย่างนั้นนึกประมาทในใจว่า "หวาน"  แค่นี้เอง  วิ่งไปตามถนนที่ราดยางแต่แคบและค่อนข้างจะขรุขระสักหน่อย  ไปจนถึงบ้านควายไทย  ซึ่งผมเคยบอกไว้แล้วว่าวันหนึ่งระวังเด็กไทยจะต้องให้พ่อแม่พาไปดูควายที่ไนซ์ซาฟารี  ของสิงคโปร์  ที่เขาเอาควายไทยไปเลี้ยงไว้ให้ชาวโลกชมกัน  และคำพูดของผมชักจะเป็นจริงเพราะเมื่อ ๒ - ๓ วันนี้เอง  เห็น ที.วี. ออกข่าวว่าควายลดจำนวนลงอย่างมากมาย เพราะคนนิยมบริโภคเนื้อควายมากขึ้น  ประโยชน์ของควายในการไถนามีน้อยลง  เพราะรถไถนาสะดวกกว่า  เร็วกว่าควายไถ  ที่บ้านควายไทยนี้เขามีการแสดงของควาย  มีการแสดงเป็นรอบยังไม่ทราบว่าแสดงอย่างไร  เพราะไม่คิดว่าถึงขั้นเอาควายมาแสดงให้ชมกันแล้ว  วันหลังคงจะต้องไปชมประดับความรู้  เมื่อผ่านบ้านควายไทยไปแล้วก็วิ่งรถเรื่อยไปจนถึงตำบลสะลวง  เลี้ยวซ้ายไปตามถนนราดยาง จนถึงวัดสันป่าตึง  มีลูกศรชี้ทางไปให้เลี้ยวซ้าย  ผ่านวัดอีก ผ่านหมู่บ้านซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่ในเขตอำเภอแม่แตง  วิ่งต่อไปเส้นทางบังคับไม่ต้องกลัวหลง  พอพ้นเขตหมู่บ้านไปหน่อยเดียวก็เข้าเขตแม่ริมใหม่  ทีนี้จะเป็นถนนลูกรัง  ระยะทางที่วิ่งมาตามถนนราดยางอันขรุขระนั้นประมาณ ๑๔ กม.  ทีนี้จะลุยขึ้นเขาลูกเดียวอีกประมาณ ๑๘ กม.  ถนนจะเป็นกรีตบ้างนิดหน่อยตอนที่ผ่านหมู่บ้านเท่านั้น  นอกนั้นลูกรังตลอดทางแคบมากต้องระวังตามทางโค้งมากทุกจุด รถจะวิ่งขึ้น ๆ ไม่มีปักหัวลงเลย ๑๘ กม.  โดยประมาณจนถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอยบนยอดดอยแห่งนี้  มีหมู่บ้านที่ต้องยกให้ในความทรหดอดทนเพราะเขาอยู่กันประมาณ ๑๘๐ หลังคาเรือน  อยู่กันมานานหลายสิบ หลายร้อยปีแล้ว  อยู่กันตั้งแต่ไม่มีความเจริญใดๆ ทั้งสิ้น  ตั้งแต่รถยังขึ้นมาไม่ได้  ต้องมากันด้วยช้างหรือเดินมา  แต่ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะความเจริญของวัดพระพุทธบาทสี่รอยที่ผู้คนเริ่มรู้จัก  เริ่มขึ้นมานมัสการกันมากขึ้น  ทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากการค้าขายผลิตภัณฑ์ของชาวบ้าน  ขายพืชเกษตรที่ปลูกได้เอง  บนเขามีน้ำท่าบริบูรณ์  อดน้ำให้ขึ้นเขาพิสูจน์ความจริงได้จากบนเขาลูกนี้  เพราะเป็นต้นน้ำลำธาร ป่ายังเขียวชอุ่มยังเป็นป่าที่สมบูรณ์น้ำจึงสมบูรณ์  ส่วนไฟฟ้ายังไม่มี มีแต่ไฟฟ้าที่เขาปั่นใช้กันเองเป็นของหมู่บ้าน  ขอให้ทางฝ่ายบ้านเมืองรีบวางแผนพัฒนาถนนขึ้นสู่หมู่บ้านนี้โดยเร็วที่สุด  พัฒนาเรื่องไฟฟ้าให้เขา  ให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเวลานี้ ให้เป็นไปตามแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนา หรือยุทธศาสตร์พระราชทาน คือการสร้างความออยู่ดี กินดี  ไม่มีโรคภัยให้ชาวบ้าน  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงห่วงใยว่าแผนของรัฐบาลรักษาคนไข้ ๓๐ บาททุกโรคนั้น แต่ชาวบ้านที่ห่างไกลจะมีปัญญาลงมารับการรักษาได้หรือ  เช่นหมู่บ้านบนยอดดอยแห่งนี้เป็นต้น
            บริเวณวัดมีลานจอดรถกว้างขวาง  มีที่พักสำหรับผู้ที่จะไปจาริกแสวงบุญได้  มีห้องสุขาอย่างดีน้ำไหลตลอดเวลา  สะอาด  มีร้านค้าของชาวบ้านที่มีของขายพอสมควรและมีอยู่ร้านหนึ่งที่ต้องอุดหนุน  เพราะลักษณะเหมือนเป็นร้านสหกรณ์ของหมู่บ้าน  นำผลผลิตมาจำหน่ายรวมทั้งประเภทแปรรูปแล้วด้วย  เช่นพวกชาเขียว  ผลไม้แช่อิ่ม  สมุนไพรต่าง ๆ  (ผมซื้อเสือโคร่งมา จะกินให้มีฤทธิ์)  ขนมหวานต่าง ๆ  เกสรผึ้ง  รางจืด  บ๊วยเค็ม  บ๊วยกวน  กระท้อนกวน  กาแฟ  มะแขว่น (ใส่ลาบเหนือแบบแพร่)  อีกแยะล้วนทำอย่างดีใส่กล่องงดงาม  ส่วนที่ศาลาติด ๆ กันก็มีเหมือนกันแต่ขายแบบชาวบ้านธรรมดา ใส่กระบุงใส่หาบคอนมาขาย  ทั้งสองแห่งราคาถูกทั้งสิ้น  ขอให้ไปชมที่ร้านแถวนี้แล้วอุดหนุนนอกจากจะได้ของดีราคาถูกแล้วยังได้ช่วยชาวบ้านที่เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิด วัดพระพุทธบาทสี่รอย
            ที่อำเภอแม่ริม  มีวัดอยู่วัดหนึ่งสร้างใหม่ไม่กี่ปีมานี้เอง  คือวัดป่าดาราภิรมย์  ซึ่งท่านเจ้าคุณพระธรรมดิลก  สมัยที่ท่านยังเป็นรองเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงในอำเภอเมืองเชียงใหม่ (วัดเจดีย์หลวง คือวัดที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตมาก่อนที่จะถูกนำไปไว้ที่เวียงจันทน์  โดยพระไชยเชษฐาธิราช  กษัตริย์สองแผ่นดิน)  ท่านได้สร้างวัดป่าดาราภิรมย์ไว้อย่างงดงามมาก  เพียบพร้อมทุกอย่างและยังตั้งมูลนิธิต่าง ๆ  เพื่อช่วยเหลือประชาชน  วัดนี้อยู่ในเขตอำเภอแม่ริมใกล้กับตัวอำเภอ  ทางไปอำเภอสะเมิง  ที่วัดป่าดาราภิรมย์  ท่านเจ้าคุณธรรมดิลก (เจ้าคณะภาค ๔-๕-๖ ธรรมยุตต์)  ท่านจำลองพระพุทธบาทสี่รอยไว้ให้กราบไหว้บูชากัน  ผมเลยถือโอกาสบอกไว้เผื่อใครขึ้นไม่ถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอย   บนยอดดอยจะได้ไปที่วัดป่าดาราภิรมย์
            จากบริเวณลานจอดรถ  จะมีบันไดขึ้นไปยังตอนบนซึ่งมีวิหารของเจ้าดารารัศมี  มีกุฏทรงล้านนาของเจ้าอาวาสและ "วิหารพระพุทธบาทสี่รอย"  หากมองไปทางซ้ายมือของพระพุทธบาทเชิงผาจะเห็นการสร้างอุโบสถขนาดใหญ่ที่งดงามมาก  ยังไม่แล้วเสร็จและมหาเจดีย์ซึ่งวัตถุประสงค์สร้างถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ขึ้นครองราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
         ประวัติ  ต้องเริ่มจากตำนานความเป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอยเสียก่อน  สมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบัน  ได้เสด็จาริกประกาศธรรมมายังปัจจันตประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ได้เสด็จมาถึงทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา "เวภารบรรพต"  ได้เสด็จมาพร้อมกับพุทธสาวก ๕๐๐ องค์  และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้  เมื่อฉันจังหันแล้วก็ทราบด้วยญานสมบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้  มีรอยพระพุทธบาทเจ้าประทับอยู่แล้วถึง ๓ พระองค์  พระสารีบุตรได้ทูลถามว่า  พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด  จึงตรัสตอบว่า ในอดีตกาลมีพระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาทไว้แล้วในที่เดียวกัน ๓ พระองค์  ดังนั้นพระองค์จะประทับไว้เป็นรอยที่สี่  และต่อไปแม้นว่าพระพุทธเจ้าศรีอารยเมตไตรย์จักเสด็จมาอีก  จะมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ สถานที่แห่งนี้อีก  แต่จะประทับแล้วจะลบรอยทั้ง ๔ รวมทั้งรอยที่ ๕ ลบให้เหลือเพียงรอยเดียว  เมื่อตรัสแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทที่ประทับอยู่แล้ว ๓ รอยนั้นรวมเป็นสี่รอยด้วยกัน
            รอยพระพุทธบาททั้ง ๔ รอย  ต้องถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์  เพราะประทับอยู่บนแผ่นศิลาซึ่งโผล่พ้นดินขึ้นมาสูงทีเดียว  ดั้งเดิมต้องปีนขึ้นไปดู  แต่ปัจจุบันมีบันไดขึ้น  มีวิหารสร้างครอบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว  พระพุทธบาทนั้นไม่ใช่สักแต่ว่ามีรอยพระบาท จะต้องมีรูปธรรมจักรปรากฏด้วย  ไม่ใช่ไปเจอหินที่ไหนมีหลุมลึกยุบลงไปก็โมเมว่าเป็นรอยพระพุทธบาทหมด  ส่วนว่าจะเสด็จมาได้อย่างไรจากอินเดียนั้นคงต้องคุยกันนาน  ให้นึกถึงคนแบกตู้เย็นแบกโอ่งมีน้ำหนีไฟไหม้ได้ก็แล้วกัน  ไฟดับแล้วบอกให้แบกกลับแบกไม่ไหวหรอก  เพราะเอาพลังกายในที่แฝงอยู่ในร่างกายออกมาใช้โดยไม่รู้ตัว  แต่หากมีการฝึกแล้วก็จะเอาออกมาใช้ได้ตลอดเวลา  เหมือนวิชาตัวเบาก็เช่นกัน
            รอยพระพุทธบาทสี่รอย ประกอบด้วย
            พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุลันธะ  ยาว ๑๒ ศอก  (ยาว ๖ เมตร )
            พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ  ยาว ๙ ศอก
            พระพุทธเจ้ากัสสปะ  ยาว ๗ ศอก และ
            พระพุทธเจ้าโคตะมะ รอยที่ ๔ ยาว ๔ ศอก
            พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิษฐานว่า  เมื่อเราคถาคตนิพพานไปแล้ว  เทวดาทั้งหลายจักนำเอาพระธาตุของเราตถาคตมาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทนี้  และเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒๐๐๐ ปี  พระพุทธบาทสี่รอยนี้จักปรากฏแก่ปวงชนและเทวดาทั้งหลาย  ก็จักได้มากราบไหว้บูชา  เมื่อทรงอธิษฐานแล้ว ก็เสด็จไปยังเชตวันอาราม ในเมืองสาวัตถี
            ๒,๐๐๐ ปีล่วงไป  เทวดาประสงค์ให้พระพุทธบาทปรากฏแก่ตาปวงชน  จึงนิมิตพญาเหยี่ยวบินลงมาจากภูเขาเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งของพระพุทธบาทสี่รอย  ให้ลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้านที่อยู่เชิงเขาแล้วบินกลับขึ้นไปบนภูเขา พรานประจำหมู่บ้านโกรธมาก จึงตามขึ้นไปบนเขาเพื่อฆ่าเหยี่ยวแต่หาไม่พบ  แต่กลับไปพบรอยพระพุทธบาทสี่รอย อยู่บนพื้นหินใต้การปกคลุมของพืชพันธุ์ไม้  พรานเชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจึงทำการสัการะบูชาแล้วกลับลงมาจากเขามาบอกชาวบ้าน  ชาวบ้านก็พากันไปกราบไหว้บูชาและได้ชื่อว่า "พระบาทรังรุ้ง" (รังเหยี่ยว)
            มาถึงสมัยพระยาเม็งรายเสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่  (ไม่แน่ใจว่าองค์เดียวกับที่สร้างเชียงใหม่หรือไม่ )  ได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพร้อมด้วยราชเทวีและข้าราชบริพาร และต่อจากนั้นมาผู้สืบราชสมบัติ ก็ถือเป็นประเพณีว่า เมื่อขึ้นครองราชย์ที่เชียงใหม่แล้ว จะต้องขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทรังรุ้ง  เลยได้นามใหม่ว่า พระพุทธบาทสี่รอย
            มาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือกผู้ครองนครเชียงใหม่  พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน  ได้ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย  จึงได้สร้างวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้เป็นการชั่วคราว  และได้สร้างแท่นนั่งร้านขึ้นรอบรอยพระพุทธบาท เพื่อไม่ให้ต้องปีนบันได และทำให้ฝ่ายหญิงได้ขึ้นไปมองเห็นนมัสการได้  และสร้างหลังคาชั่วคราวมุงเอาไว้
           เจ้าดารารัศมี  ได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และมีพระราชศรัทธาก่อสร้างวิหารเป็นการกราบบูชาพระพุทธบาท
( ปัจจุบันคือหลังที่อยู่ตรงทางขึ้นบันได  พอพ้นบันไดก็ถึงวิหารหลังนี้ )  ได้เสด็จขึ้นไปสร้างไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑
            พ.ศ. ๒๔๗๒  ครูบาศรีวิชัย  นักบุญแห่งล้านนาไทย  ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและได้รื้อวิหารที่พระเจ้าธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราวนั้นออกเสีย เพราะผุพังหมดแล้วและได้สร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาทขึ้นใหม่  แล้วฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทไว้เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาไปชั่วกาลนาน
            จากสานส์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ว่า  "พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดของไทย"  ครูบาอาจารย์  พระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต  หลวงปู่แหวน  หลวงปู่ชอบ  หลวงปู่สิม เป็นต้น  ล้วนแต่ขึ้นไปนมัสการมาแล้วทั้งสิ้น
            ความสำเร็จในการพัฒนาให้ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากพระภิกษุหนุ่มที่ถือว่าต้องทรงวิทยาคุณเป็นอย่างสูงคือพระพรชัย ปิยวัณโณ  ซึ่งท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ นี่เอง นับถึงวันที่ผมเขียนก็มีอายุเพียง ๓๔ ปี  นับว่าหนุ่มมากสำหรับพระที่กล้าไปอยู่องค์เดียว  ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนี้ และอยู่เป็นเวลานานถึง ๙ ปี คือเป็นเณร ๑ ปี  เป็นพระอีก ๑๘ ปี  ท่านบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๓ ปี  พออายุ ๑๖ ปี ก็สอบนักธรรมเอกได้  ธุดงค์มาพักอยู่ที่วัดรางสันป่าตึง  วัดพระเจ้าตนหลวง ตำบลสันป่ายาง  ที่เชิงเขาพระพุทธบาทสี่รอย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐  อยู่ได้สัก ๒ เดือน  ได้นิมิตเห็นปราสาทหลังใหญ่โตงดงามมากอยู่บนเขาสูง  ได้ขึ้นบันไดไปก็พบรอยพระพุทธบาทอยู่ในปราสาท  เมื่อวันรุ่งขึ้นออกบิณฑบาตเล่าให้โยม ๆ  ฟังก็บอกว่าบนเขามีรอยพระพุทธบาท มีวัดแต่มักจะเป็นวัดร้าง  เพราะพระเณรมักอยู่อาศัยไม่ได้ท่านจะขึ้นไปชาวบ้านก็ห้าม  สุดท้ายพอเวลาตีสองท่านก็ขึ้นไปยังพระพุทธบาทสี่รอย  เดินไปเป็นระยะทางประมาณ ๒๒ กม.  และไปอยู่ประจำองค์เดียว ๑ ปี  เป็นเณร ๘ ปี เป็นพระจนปีที่ ๘ จึงเริ่มมีพระมาจำพรรษาด้วยมากถึง ๑๑ รูป  ต่อจากนั้นท่านก็เลยเริ่มบูรณะวัด  เริ่มตั้งแต่วิหารเจ้าดารารัศมี  เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ สร้างกุฏิทรงล้านนา  สร้างมหาเจดีย์  สร้างอุโบสถที่งดงามหลังโตเหมือนปราสาทที่ท่านนิมิตนั่นแหละ
            ท่านต้องต่อสู้กับความวิเวก  กับสัตว์ป่าด้วยการแผ่เมตตา  สู้กับความอดอยากสารพัดที่จะสู้ทุกรูปแบบ  ถ้าไม่ไปเห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าพระภิกษุอายุเพียงเท่านี้จะทำได้ขนาดนี้  และท่านถือว่าไม่ต้องไปบอกบุญใคร  อาศัยพระบารมีของพระพุทธบาท  อธิษฐานขอจากปวงเทพเทวาว่าจะสร้างโบสถ์ ให้เป็นไปตามหน้าบุญ  "มีก็ฉัน ไม่มีก็ไม่ฉัน มีก็เอา ไม่มีก็ไม่เอา  ใครจะมาทำบุญก็มา"  แล้วอธิษฐานขอจากครูบาศรีวิลัย เทพเทวา ไม่วุ่นวาย ไม่ยึดติด
            ดังนั้นทั่วบริเวณวัดจึงมีแต่ความเงียบสงบ  น่าเลื่อมใส  ใครไปก็จะไปนั่งสวดมนต์ภาวนาที่วิหารที่สร้างครอบพระพุทธบาทเอาไว้  นั่งสวดมนต์ด้วยความสงบ  ด้วยใจที่เป็นสุข
            การทำบุญนั้น  หากได้ทำบุญซื้อที่ดินถวายวัด (ร่วมกันซื้อ)  สร้างพระประธานในอุโบสถ  สร้างโบสถ์  สร้างวิหาร  ศาลาการเปรียญ  โดยทำร่วมกับคนอื่น ๆ จะได้อานิสงส์สูงนัก  ผมขอเพิ่มสุขาถวายวัดอีกอย่างหนึ่ง
            ที่นี้กินอาหาร  บนเขาที่ตั้งของวัดไม่มีร้านอาหาร  นอกจากเราจะซื้ออาหารขึ้นไปกินกันเอง  มีสถานที่ น้ำท่า ห้องสุขาสะดวกสบาย  จะแวะซื้ออาหารที่ตลาดแม่ริมก็มีแยะ  หรือจะแวะตลาดที่ช้างเผือกของขายก็แยะอีก  มีอีกหลายตลาดชักเรียกชื่อไม่ถูก  เพราะตอนผมรับราชการอยู่เชียงใหม่มีไม่กี่แห่ง
            หากมาจากในเมืองเชียงใหม่  ก่อนถึงอำเภอแม่ริมจะมีทางแยกขวาไปยัง แม่โจ้  ก่อนถึงทางแยกขวาที่มีไฟสัญญาณนี้จะมีปั๊มบางจาก และปั๊มคิว ๘  อยู่ติดกันมีป้ายตั้งไว้ชี้หัวลูกศรไปฝั่งตรงข้ามว่าขนมจีนหล่มเก่า  ให้เลี้ยวรถวกกลับเมื่อเลยหน้าปั๊มบางจาก  ไปยังร้านขนมจีนหล่มเก่า  เขาคิดราคาตามหัวขนมจีนซึ่งปั้นไว้เป็นก้อนกลม ๆ ราคาหัวละ ๕ บาท พอเข้าไปจะเห็นศาลาไทยหลังน้อยแบบล้านนา มีหม้อน้ำยา น้ำยาป่า  แกงเขียวหวาน  น้ำเงี้ยว  น้ำพริก  ตั้งอยู่  เข้าไปอีกหน่อย  ทางขวามีโต๊ะวางสารพัดผักใส่ชามเอาไว้เรียกว่าเป็นเหมือด  เมื่อลงนั่งได้แล้ว  เขาจะยกถ้วยตักน้ำทั้งหลายมาให้ฟรี  ไม่อั้นด้วยกินของเขาให้หมดก็แล้วกัน และหากจะกินไก่อบหม้อดินควรโทรศัพท์สั่ง ๐๑ - ๙๙๓๓๙๗๘ ไก่อบหม้อดินของเขาอร่อยนัก จะเอาน้ำยาป่าราดขนมจีนเสียหนึ่งหัว  สลับด้วยน้ำพริกแก้เผ็ดราดขนมจีน  ตามด้วยน้ำยา  ราดซ้ำเข้าไปอีกหัว  ตามด้วยบรรดาสารพัดผักทั้งหลาย (หยิบได้ตามใจชอบ)  อร่อยนักแล  กินกันให้จุกตาย อย่างไร ๒ คน  ไม่นับไก่อบหม้อดิน ไม่ถึง ๕๐ บาทแน่นอน  ใครกินเกินกว่านี้ก็เป็นพุงระดับช้างน้ำแล้ว
 
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |