|
|
ศาสนาอิสลาม
การถือศีลอด
คือ การงดเว้นการกระทำต่าง ๆ ตั้งแต่แสงอรุณขึ้นถึงตะวันตกดินคือ งดการกินและการดื่ม
งดการแสดงออกทางเพศ งดการใช้วัตถุภายนอกล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะภายใน งดการแสดงอารมณ์ร้าย
และความผิดต่าง ๆ พร้อมทั้งให้กระทำสิ่งต่าง ๆ คือ ทำการนมัสการ พระเจ้าให้มากกว่าวาระธรรมดา
ถ้าเป็นการถือศีลรอมาดอน ให้ทำละหมาดตะรอวีห์ จำนวน ๒๐ รอกะอัต อ่านกุรอานให้มาก
สำรวมอารมณ์และจิตใจ ทำทานแก่ผู้ยากไร้ และบริจาคเพื่อการกุศล กล่าวซิกิร
(บทรำลึกพระเจ้า) และให้นั่งสงบจิต อิตติภาพ ในมัสยิด
วาระการถือศีลอด
แบ่งออกเป็นสองประการคือ บังคับ และอาสาสมัคร
- ถือศีลอดบังคับ
ได้แก่ การถือศีลอดที่ทางศาสนาบังคับว่า จะต้องถือคือ ในเดือนรอมดอน
ครบทั้งเดือน ถือศีลอดตามที่บนไว้ ถือศีลอดชดเชยที่เคยขาด ถือศีลอดตามข้อผูกพัน
เช่น เพื่อไถ่ความผิด
- ถือศีลอดอาสาสมัคร
เช่น การถือศีลอด ๖ วัน ในเดือนเซาวาล
(ต่อจากเดือนรอมดอน) ถือศีลอดในวันที่สิบของเดือนมุฮัดรอม
ถือศีลอดในวันจันทร์ วันพฤหัสบดี เป็นต้น
สาเหตุให้เสียศีลอด
มีแปดประการคือ กินดื่ม อาเจียนโดยเจตนา ร่วมประเวณี เสียสติ นำวัตถุเข้าไปภายในร่างกาย
เช่น รูหู ทวารต่าง ๆ เป็นต้น มีเลือดประจำเดือนรือเลือดหลังคลอด ทำให้น้ำอสุจเคลื่อน และสิ้นสภาพอิสลาม
การบริจาคซากาต
ซากาตคือ ทรัพย์สินตามอัตราส่วนที่จะต้องนำมาบริจาค ซึ่งมุสลิมผู้มีทรัพย์ครบตามพิกัด
ที่ศาสนากำหนดไว้ จะต้องคำนวณอัตราส่วนของซากาต นำมาบริจาคตามประเภทของซากาตนั้น
ๆ
สินซากาต
ทรัพย์ที่จะนำมาบริจาคซากาต แบ่งออกเป็นหลายประเภทคือ
- ซากาตพืชผล
เช่น ข้าว เมื่อผลิตได้ ๖๕๐ กิโลกรัม ต้องจ่ายซากาตร้อยละสิบ สำหรับการเพาะปลูกที่อาศัยฝน
และร้อยละห้า สำหรับการเพาะปลูก ที่ใช้น้ำจากแรงงาน
- ทองคำ เงิน และเงินตรา
เมื่อมีจำนวนเหลือใช้เท่าทองคำหนัก ๕.๖ บาท เก็บไว้รอบปี ก็ต้องบริจาคออกไป
ร้อยละสองครึ่ง จากทั้งหมดที่มีอยู่
- รายได้จากการค้า
เจ้าของสินค้าต้องคิดหักในอัตราร้อยละสองครึ่ง ในทุกรอบปี บริจาคเป็นซากาต
ทั้งนี้ทรัพย์สินต้องไม่น้อยกว่า เทียบน้ำหนักทองคำ ๔.๖๗ บาท
- ขุมทรัพย์เหมืองแร่
เมื่อขุดได้ จะต้องจ่ายซากาต ร้อยละยี่สิบ หรือหนึ่งในห้า จากทรัพย์ทั้งหมดที่ได้
- ปศุสัตว์ ผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์
จะต้องบริจาคในอัตราที่แน่นอนเป็นซากาต เช่น มี วัว ควาย ครบ ๓๐ ตัว ให้บริจาค
ลูกวัว ควาย อายุ ๑ ปี ๑ ตัว ครบ ๑๐๐ ตัว บริจาคลูกวัวควาย อายุ ๒ ปี ๑ ตัว
และอายุ ๑ ปี ๒ ตัว เป็นต้น
ผู้มีสิทธิรับซากาต
ตามที่ระบุในกุรอานมีทั้งหมด เจ็ดประเภทคือ คนอนาถา
ได้แก่ ผู้ยากจนไม่มีทรัพย์สินหรืออาชีพใด ๆ
- คนขัดสน
มีรายได้ไม่พอรายจ่าย
- เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับซากาต
ได้แก่ ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ จากรัฐให้จัดการเก็บและจ่ายซากาต
- ผู้ควรปลอบใจ
ได้แก่ ผู้เพิ่งเข้าอิสลาม หรือเตรียมข้าอิสลาม หรืออาจจะเข้าอิสลาม
- ทาส ที่ต้องการทรัพย์ไปไถ่ตัวเองให้เป็นอิสระ
รับซากาตเพียงเท่าที่จะนำไปไถ่ตัวเอง
- ผู้เป็นหนี้
อันเป็นหนี้ในการประกอบอาชีพที่ชอบธรรม หรือกิจการกุศลทั่วไป รับซากาตเพียงเท่าที่เป็นหนี้
- ผู้เสียสละชีวิตในแนวทางพระเจ้า
รับซากาตเพียงค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินการ
- ผู้เดินทาง
แล้วหมดทุนที่จะเดินทางกลับ มีสิทธิรับซากาตได้เพียงค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
ซะกาดพิตเราะห์
เป็นซากาตที่บริจาคเมื่อถึงวันสิ้นเดือนถือศีลอด (รอมดอน) คิดจากอาหารหลักที่บริโภคในท้องถิ่นนั้น
ๆ เช่น ข้าวสาร เป็นต้น นำมาบริจาคโดยคิดเป็นรายบุคคล คนละประมาณสี่ทะนาน
ให้หัวหน้าครอบครัวบริจาคเพียงคนเดียว โดยคำนาณจากสมาชิกภายในครอบครัวได้เท่าใด
แล้วคูณด้วยสี่ทะนาน นำไปบริจาคแก่ผู้มีสิทธิ์
การประกอบพิธีฮัจย์
ในชีวิตหนึ่ง มุสลิมจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
อย่างน้อยหนึ่งครั้ง เป็นข้อบังคับสำหรับทุกคนที่มีความสามารถพอจะเดินทางไปได้
และไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน ขณะเดินทาง
กำหนดเวลาไปทำฮัจย์
พิธีจะทำในเดือน ซุ้ล - ฮิจญะห์ ของแต่ละปี หากเดินทางไปในเวลาที่มิใช่ฤดูกาลฮัจย์
จะเรียกศาสนกิจนั้นว่า อุมเราะฮ์
สถานที่ประกอบพิธีฮัจย์
มีเพียงแห่งเดียว อยู่ที่ กะอ์บะฮ์ หรือบัยตุลลอฮ์ ในเมืองมักกะฮ์ กะอ์บะฮ์
คือ สิ่งก่อสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยม (อะกะบะ แปลว่า นูนขึ้นพองขึ้น) ที่ท่านนบีอิบรอฮิม
และ นบีอิสมาอีล
บุตรชายช่วยกันสร้างขึ้น จากรากเดิมที่มีเหลืออยู่ตามที่ได้รับคำสั่งจากพระเจ้า
อัลลอฮ์ (ซุบห์ ฯ) เมื่อประมาณ ๒๐๐ ปี ก่อนคริสกาล กะอ์บะฮ์ มีชื่อเรียกอยู่หลายอย่าง
ที่ปรากฎอยู่ในกุรอาน เช่น อัล - บัยตุลหะรอม อัล - มัสญีดุลหะรอม บัยตุลอ์ติก
แต่ชื่อที่รู้จักกันมากที่สุดคือ บัยตุลลอฮ์
แปลว่า บ้านของอัลลอฮ์
พิธีฮัจย์ มิได้เพิ่งมีปฎิบัติในสมัยของนบีมูฮำมัด (ศ็อล ฯ) หากแต่มีมาตั้งแต่สมัยนบีฮิบรอฮิม
ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของท่าน แต่ช่วงหลัง นบีอิรอฮิม และอีสมาอีล มาก่อนถึงท่านนบีมูฮำมัด
จะได้รับจากอิสลามจากอัลลอฮ์ บ้านของอัลลอฮ์แห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเจตนารมณ์
จากผู้หลงผิด กลายเป็นสถานที่ชุมนุมรูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ กว่า ๓๐๐ รูป และการกระทำอันน่ารังเกียจ
ทุ่งอารอฟะห์
มีลักษณะเป็นทุ่งกว้างในหินผากว้างใหญ่สูงประมาณ ๓๐๐ ฟุต อยู่ห่างจากเมืองมักกะฮ์ประมาณ
๒๕ กิโลเมตร เป็นสถานที่ที่ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ทั้งหมด (ฮุจญาด)
จะไปร่วมชุมนุมกันในวันที่เก้าของเดือนซุล -
ฮิจญะห์ ตั้งแต่เช้าถึงก่อนดวงอาทิตย์ตก เป็นที่เริ่มแรกของพิธีฮัจย์
หลังจากนุ่งผ้าเอี๊ยะราม (ชุดขาวจากผ้าสองผืน) แล้ว
ในการค้างแรมที่อารอฟะห์นี้ ผู้ไปประกอบพิธีจะกางเต้นท์อยู่ โดยมีธงชาติของประเทศตนติดไว้
ทุ่งแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมของคนจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกมาพักอยู่ด้วยความสงบ จึงเรียกการปฏิบัตินี้ว่า
วูกูฟ
(หยุดสงบนิ่ง)
เสร็จจากวูกูฟ ผู้ไปประกอบพิธีจะเดินทางไปยังมีนา
เพื่อค้างแรมที่นั่นสามวันสามคืน เพื่อขว้างเสาหิน
แต่เนื่องจากการเดินทางอยู่ระหว่างกลางคืน ท่านนบีจึงค้างคืนที่ทุ่งมุสตะลิฟะห์หนึ่งคืน
จึงออกเดินทางไปทุ่งมีนาในตอนเช้าของวันที่สิบ
สำหรับมุสลิมที่ไม่ได้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ถือว่าวันรุ่งขึ้นจากการวูกูฟของผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์คือ
วันอีดิ้นอัฏฮาหรือที่ชาวไทยเรียกว่า
ออกฮัจญี
ณ ทุ่งอารอฟะห์แห่งนี้คือสถานที่ท่านนบีมูฮำมัดแสดงการกล่าวอบรมในที่ชุมนุมเป็นครั้งสุดท้าย
การแต่งกายในพิธีฮัจย์
ผู้ชายทุกคนจะแต่งกายด้วยผ้าขาวสองชิ้นที่ไม่มีการเย็บ ส่วนหญิงจะแต่งกายด้วยชุดที่มิดชิดไม่มีเครื่องประดับใด
ๆ ทั้งสิ้น
หลักข้อแรกของการบำเพ็ญฮัจย์ได้แก่เอี๊ยะราม จากมีกอต
(เขตที่กำหนดให้นุ่งเอียะราม) ด้วยตั้งใจจะบำเพ็ญฮัจย์จากเขตสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า
ยะลัมลัม
(ที่แสดงเขตให้นุ่งเอี๊ยะห์รามของผู้ที่เดินทางไปจากภาคพื้นเอเซีย) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฮิดดะฮ์
ประมาณ ๖๓ กิโลเมตร
การประกอบพิธี
ตั้งแต่เริ่มนุ่งเอี๊ยะราม จนถอดเอี๊ยะรามเมื่อเสร็จพิธี ผู้ประกอบพิธีฮัจย์จะเริ่มกล่าวสรรเสริญด้วยภาษาอาหรับว่า"ลันปัยกัลลอ
ฮุมมะลับปัยกะ ลาซารีกะลัก แปลว่า อัลลอฮ์ ข้า ฯ ขอรับคำเชิญของท่าน ไม่มีผู้ใดเทียบเท่าท่าน"
ขั้นตอนการประกอบพิธีเป็นไปตามลำดับคือการนุ่งเอี๊ยะราม การวูกูฟที่ทุ่งอารอฟะห์
การค้างแรมที่ทุ่งมุสตะลิฟะห์หนึ่งคืน แล้วเดินทางไปทุ่งมีนาสามคืนเพื่อขว้างเสาหิน
การฏอวาฟ
(เดินเวียนซ้ายรอบปัยตุลลอฮ์เจ็ดรอบ) สะแอ
(การเดินและวิ่งกลับไปมาระหว่างอัศซอฟกับอัลมัรฮ์เจ็ดเที่ยว) การทำกุรปั่น
หรือเชือดสัตว์เป็นพลี
สำหรับผู้ที่มีความสามารถหรือการถือศีลอดทดแทนเจ็ดวัน โกนผมหรือตัดผมเสร็จแล้วจึงถอดชุดเอี๊ยะราม
|
|