พระยสะ
พระยสะนั้น เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี เป็นผู้บริบูรณ์ มีเรือน ๓ หลังเป็นที่อยู่ใน
๓ ฤดู ครั้งหนึ่ง เป็นฤดูฝน ยสกุลบุตรอยู่ในปราสาทเป็นที่อยู่ในฤดูฝน บำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรี
ค่ำวันหนึ่ง ยสกุลบุตรนอนหลับก่อนบริวาร แสงไฟตามสว่างอยู่ ยสกุลบุตรตื่นขึ้น
เห็นหมู่บริวารนอนหลับ มีอาการพิกลต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเหมือนก่อน
ๆ ปรากฏแก่ยสกุลบุตร ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า ยสกุลบุตรเกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย
ออกอุทานว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ
ยสกุลบุตร จึงสวมรองเท้าเดินออกจากประตูเรือนไปแล้ว ออกประตูเมืองตรงไปในทางที่จะไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
เวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง
ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรออกอุทานนั้น เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย
ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านมาที่นี่เถิด นั่งลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน
ยสกุลบุตรได้ยินอย่างนั้นแล้ว จึงถอดรองเท้าเข้าไปใกล้ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง
พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา
คือถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ พรรณนาทานการให้ก่อนแล้ว
พรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย
พรรณนาสวรรค์
คือ กามคุณที่บุคคลจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดี คือ ทานและศีล
พรรณนาโทษแห่งกามอันได้ชื่อว่าสวรรค์นั้น
พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม
ฟอกจิตยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ให้เกิดธรรมจักษุ
เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง คือ อริยสัจ ๔ อย่าง
คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์ดับ และข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์
ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ
ณ ที่นั้นแล้ว ภายหลังพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตพ้นจากอาสวะ
ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.
ฝ่ายมารดาของยสกุลบุตร เวลาเช้าขึ้นไปบนเรือน ไม่เห็นลูกจึงบอกแก่เศรษฐีผู้สามีให้ทราบ
เศรษฐีให้คนไปตามหาใน ๔ ทิศ ส่วนตนออกเที่ยวหาด้วย เผอิญเดินไปในทางที่ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ได้เห็นรองเท้าของลูกตั้งอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว ตามเข้าไปถึงพระศาสดาประทับอยู่กับยสกุลบุตร
พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ ให้เศรษฐีเห็นธรรมแล้ว เศรษฐีทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา
แล้วแสดงตนเป็นอุบาสก
ถึงพระพุทธองค์กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นที่ระลึก ขอพระพุทธองค์ทรงจำข้าพเจ้าว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เศรษฐีนั้น
ได้เป็นอุบาสกอ้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ครบทั้ง ๓ เป็นสรณะก่อนกว่าชนทั้งปวงในโลก.
เศรษฐีผู้บิดายังไม่ทราบว่ายสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้ว จึงบอกความว่า พ่อยสะ
มารดาของเจ้าเศร้าโศกพิไรรำพันนัก เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด ยสกุลบุตรแลดูพระศาสดา
ๆ ตรัสแก่เศรษฐีว่า คฤหบดี ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน แต่ก่อนยสะได้เห็นธรรม
ด้วยปัญญาอันรู้เห็นเป็นของเสขบุคคลเหมือนกับท่านภายหลัง ยสะพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว
จิตก็พ้นจากอาสวะ มิได้ถือมั่นด้วยอุปาทาน ควรหรือยสะจะกลับคือไปบริโภคกามคุณเหมือนแต่ก่อน เศรษฐีผู้บิดาจึงกราบทูลว่า
เป็นลาภของพ่อยสะแล้วความเป็นมนุษย์ พ่อยสะได้ดีแล้ว ขอพระองค์กับพ่อยสะเป็นสมณะตามเสด็จ
จงทรงรับบิณฑบาตของข้าพเจ้าในวันนี้เถิด พระศาสดาทรงรับด้วยความนิ่งอยู่ เศรษฐีทราบว่าทรงรับแล้ว
ลุกจากที่นั่งแล้วถวายอภิวาทแล้ว ทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อเศรษฐีไปแล้วไม่ช้ายสกุลบุตรทูลขออุปสมบท
พระศาสดาทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยพระวาจาว่า มาเถิดภิกษุ ธรรมเรากล่าวดีแล้ว
ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ในที่นี้ไม่ตรัสว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ
เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว สมัยนั้น
มีพระอรหันต์ขึ้นในโลกเป็นเจ็ดทั้งพระยสะ
ในเวลาเช้าวันนั้น พระศาสดากับพระยสะตามเสด็จ ๆ ไปถึงเรือนเศรษฐีนั้นแล้ว
ทรงนั่ง ณ อาสนะที่แต่งไว้ถวาย มารดาและภริยาเก่าของยสะเข้าไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจสี่ ให้สตรีทั้งสองนั้นเห็นธรรมแล้ว สตรีทั้งสองนั้นทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาแล้ว
แสดงตนเป็นอุบาสิกา
ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะสตรีทั้งสองนั้น ได้เป็นอุบาสิกาขึ้นในโลกก่อนกว่าหญิงอื่น
ครั้นถึงเวลา มารดาบิดา และภริยาเก่าแห่งพระยสะ ก็อังคาสพระศาสดาและพระยสะด้วยของเคี้ยวของฉัน
อันประณีตโดยเคารพด้วยมือของตน ครั้นฉันเสร็จแล้ว พระศาสดาตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนชนทั้งสามให้เห็น
ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงแล้ว เสด็จกลับไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
ฝ่ายสหายของพระยสะสี่คน ชื่อ วิมละ สุพาหุ
ปุณณชิ ควัมปติ เป็นบุตรแห่งเศรษฐีสืบ
ๆ มาในเมืองพาราณสี ได้ทราบข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชแล้ว จึงคิดว่า ธรรมวินัยที่ยสกุลบุตรออกบวชนั้นจักไม่เลวทรามแน่แล้ว
คงเป็นธรรมวินัยอันประเสริฐ ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว พร้อมกันทั้งสี่คน ไปหาพระยสะ
ๆ ก็พาสหายสี่คนนั้นไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอให้ทรงสั่งสอน พระองค์ทรงสั่งสอน
ให้กุลบุตรทั้งสี่นั้นเห็นธรรมแล้ว ประทานอุปสมบทอนุญาตให้เป็นภิกษุแล้ว ทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหัตตผล
ครั้งนั้น มีพระอรหันต์ขึ้นในโลก ๑๑ องค์
ฝ่ายสหายของพระยสะอีก ๕๐ คน เป็นชาวชนบท ได้ทราบข่าวนั้นแล้ว คิดเหมือนหนหลัง
พากันมาบวชตามแล้ว ได้สำเร็จพระอรหัตตผลด้วยกันสิ้นโดยนัยก่อน เป็นพระอรหันต์
๖๑ พระองค์
พระยสะและพระสหายเหล่านี้ พระศาสดาทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา ในคราวแรก พร้อมด้วยพระปัญจวัคคีย์
ตั้งแต่นั้นมาไม่ปรากฏอีก ไม่มีนามในจำพวกพระมหาสาวกอันพระศาสดาทรงยกย่องในที่เอตทัคคะ
ชะรอยจะนิพพานสาบศูนย์เสียในคราวไปประกาศพระศาสนานั่นเอง.