< พระอสีติมหาสาวก

| ย้อนกลับ |


พระยสะ

            พระยสะนั้น เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี เป็นผู้บริบูรณ์ มีเรือน ๓ หลังเป็นที่อยู่ใน ๓ ฤดู ครั้งหนึ่ง เป็นฤดูฝน ยสกุลบุตรอยู่ในปราสาทเป็นที่อยู่ในฤดูฝน บำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรี ค่ำวันหนึ่ง ยสกุลบุตรนอนหลับก่อนบริวาร แสงไฟตามสว่างอยู่ ยสกุลบุตรตื่นขึ้น เห็นหมู่บริวารนอนหลับ มีอาการพิกลต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเหมือนก่อน ๆ ปรากฏแก่ยสกุลบุตร ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า ยสกุลบุตรเกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย ออกอุทานว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ยสกุลบุตร จึงสวมรองเท้าเดินออกจากประตูเรือนไปแล้ว ออกประตูเมืองตรงไปในทางที่จะไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรออกอุทานนั้น เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านมาที่นี่เถิด นั่งลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ยสกุลบุตรได้ยินอย่างนั้นแล้ว จึงถอดรองเท้าเข้าไปใกล้ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา คือถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ  พรรณนาทานการให้ก่อนแล้ว  พรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย  พรรณนาสวรรค์ คือ กามคุณที่บุคคลจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดี คือ ทานและศีล  พรรณนาโทษแห่งกามอันได้ชื่อว่าสวรรค์นั้น  พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฟอกจิตยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ให้เกิดธรรมจักษุ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง คือ อริยสัจ ๔ อย่าง คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์ดับ และข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่นั้นแล้ว ภายหลังพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.
            ฝ่ายมารดาของยสกุลบุตร เวลาเช้าขึ้นไปบนเรือน ไม่เห็นลูกจึงบอกแก่เศรษฐีผู้สามีให้ทราบ เศรษฐีให้คนไปตามหาใน ๔ ทิศ ส่วนตนออกเที่ยวหาด้วย เผอิญเดินไปในทางที่ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เห็นรองเท้าของลูกตั้งอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว ตามเข้าไปถึงพระศาสดาประทับอยู่กับยสกุลบุตร  พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ ให้เศรษฐีเห็นธรรมแล้ว เศรษฐีทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แล้วแสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธองค์กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นที่ระลึก ขอพระพุทธองค์ทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เศรษฐีนั้น ได้เป็นอุบาสกอ้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ครบทั้ง ๓ เป็นสรณะก่อนกว่าชนทั้งปวงในโลก.
            เศรษฐีผู้บิดายังไม่ทราบว่ายสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้ว จึงบอกความว่า พ่อยสะ มารดาของเจ้าเศร้าโศกพิไรรำพันนัก เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด ยสกุลบุตรแลดูพระศาสดา ๆ ตรัสแก่เศรษฐีว่า คฤหบดี ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน แต่ก่อนยสะได้เห็นธรรม ด้วยปัญญาอันรู้เห็นเป็นของเสขบุคคลเหมือนกับท่านภายหลัง ยสะพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตก็พ้นจากอาสวะ มิได้ถือมั่นด้วยอุปาทาน ควรหรือยสะจะกลับคือไปบริโภคกามคุณเหมือนแต่ก่อน เศรษฐีผู้บิดาจึงกราบทูลว่า เป็นลาภของพ่อยสะแล้วความเป็นมนุษย์ พ่อยสะได้ดีแล้ว ขอพระองค์กับพ่อยสะเป็นสมณะตามเสด็จ จงทรงรับบิณฑบาตของข้าพเจ้าในวันนี้เถิด พระศาสดาทรงรับด้วยความนิ่งอยู่ เศรษฐีทราบว่าทรงรับแล้ว ลุกจากที่นั่งแล้วถวายอภิวาทแล้ว ทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อเศรษฐีไปแล้วไม่ช้ายสกุลบุตรทูลขออุปสมบท พระศาสดาทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยพระวาจาว่า มาเถิดภิกษุ ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ในที่นี้ไม่ตรัสว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว สมัยนั้น มีพระอรหันต์ขึ้นในโลกเป็นเจ็ดทั้งพระยสะ
            ในเวลาเช้าวันนั้น พระศาสดากับพระยสะตามเสด็จ ๆ ไปถึงเรือนเศรษฐีนั้นแล้ว ทรงนั่ง ณ อาสนะที่แต่งไว้ถวาย มารดาและภริยาเก่าของยสะเข้าไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจสี่ ให้สตรีทั้งสองนั้นเห็นธรรมแล้ว สตรีทั้งสองนั้นทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาแล้ว แสดงตนเป็นอุบาสิกา ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะสตรีทั้งสองนั้น ได้เป็นอุบาสิกาขึ้นในโลกก่อนกว่าหญิงอื่น ครั้นถึงเวลา มารดาบิดา และภริยาเก่าแห่งพระยสะ ก็อังคาสพระศาสดาและพระยสะด้วยของเคี้ยวของฉัน อันประณีตโดยเคารพด้วยมือของตน ครั้นฉันเสร็จแล้ว พระศาสดาตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนชนทั้งสามให้เห็น ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงแล้ว เสด็จกลับไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
            ฝ่ายสหายของพระยสะสี่คน ชื่อ วิมละ  สุพาหุ  ปุณณชิ  ควัมปติ  เป็นบุตรแห่งเศรษฐีสืบ ๆ มาในเมืองพาราณสี ได้ทราบข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชแล้ว จึงคิดว่า ธรรมวินัยที่ยสกุลบุตรออกบวชนั้นจักไม่เลวทรามแน่แล้ว คงเป็นธรรมวินัยอันประเสริฐ ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว พร้อมกันทั้งสี่คน ไปหาพระยสะ ๆ ก็พาสหายสี่คนนั้นไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอให้ทรงสั่งสอน พระองค์ทรงสั่งสอน ให้กุลบุตรทั้งสี่นั้นเห็นธรรมแล้ว ประทานอุปสมบทอนุญาตให้เป็นภิกษุแล้ว ทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหัตตผล ครั้งนั้น มีพระอรหันต์ขึ้นในโลก ๑๑ องค์
            ฝ่ายสหายของพระยสะอีก ๕๐ คน เป็นชาวชนบท ได้ทราบข่าวนั้นแล้ว คิดเหมือนหนหลัง พากันมาบวชตามแล้ว ได้สำเร็จพระอรหัตตผลด้วยกันสิ้นโดยนัยก่อน เป็นพระอรหันต์ ๖๑ พระองค์
            พระยสะและพระสหายเหล่านี้ พระศาสดาทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา ในคราวแรก พร้อมด้วยพระปัญจวัคคีย์ ตั้งแต่นั้นมาไม่ปรากฏอีก ไม่มีนามในจำพวกพระมหาสาวกอันพระศาสดาทรงยกย่องในที่เอตทัคคะ ชะรอยจะนิพพานสาบศูนย์เสียในคราวไปประกาศพระศาสนานั่นเอง.