|
ย้อนกลับ
|
หน้าค่อไป
|
พระโมคคัลลานะ
พระโมคคัลลานะนั้น เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านผู้หนึ่ง ผู้โมคคัลลานโคตรและนางโมคคัลลี เกิดในตำบลบ้านไม่ห่างแต่กรุงราชคฤห์ มีระยะทางพอไปมาถึงกันกับบ้านสกุลแห่งพระสารีบุตร ท่านชื่อ
โกลิตะ
มาก่อน อีกอย่างหนึ่ง เขาเรียกตามโคตรว่า
โมคคัลลานะ
เมื่อท่านมาอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้แล้ว เขาเรียกท่านว่า โมคคัลลานะ ชื่อเดียว จำเดิมแต่ยังเยาว์จนเจริญวัยได้เป็นมิตรผู้ชอบกันกับพระสารีบุตร มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มีสกุลดเสมอกัน ได้ศึกษาศิลปศาสตร์ด้วยกันมา ได้ออกบวชเป็นปริพาชกด้วยกัน ได้เข้าอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ด้วยกัน
จำเดิมแต่ท่านได้อุปสมบทแล้วในพระธรรมวินัยนี้ได้เจ็ดวัน ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตคาม แขวงมคธ อ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระศาสดาเสด็จไปที่นั้น
ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความโงกง่วง
สั่งสอนท่านว่า โมคคัลลานะ เมื่อท่านมีสัญญาอย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ ท่านควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรม อันตนได้ฟังแล้วและได้เรียนแล้วอย่างไร ด้วยน้ำใจของตน ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ ท่านควรสาธยายธรรมอันตนได้ฟังและได้เรียนแล้วอย่างไร โดยพิสดาร ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรยอนช่องหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือ ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรลุกขึ้นยืน แล้วลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหวนดูดาวนักษัตรฤกษ์ ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในจิต ให้เหมือนกันทั้งกลางวันกลางคืน มีใจเปิดเผยฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านลำความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรสำเร็จ
สีหไสยา
คือ นอนตะแคงข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันจะลุกขึ้นไว้ในใจ พอท่านตื่นแล้วรีบลุกขึ้น ด้วยความตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบสุขในการนอน เราจักไม่ประกอบสุขในการเอนข้าง (เอนหลัง) เราจักไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ อนึ่ง ท่านควรสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า เราจักไม่ชูงวง (คือถือตัว) เข้าไปสู่สกุล ดังนี้ เพราะว่า ถ้าภิกษุชูงวงเข้าไปสุ่สกุล ถ้ากิจการในสกุลนั้นมีอยู่ อันเป็นเหตุที่มนุษย์เขาจักไม่นึกถึงภิกษุผู้มาแล้ว ภิกษุก็คงคิดว่า เดี๋ยวนี้ใครหนอยุยงให้เราแตกร้าวจากสกุลนี้ เดี๋ยวนี้ดูมนุษย์พวกนี้มีอาการอิดหนาระอาใจในเรา เพราะไม่ได้อะไร เธอก็จักมีความเก้อ ครั้นเก้อ ก็จักเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้ว ก็จักเกิดความไม่สำรวม ครั้นไม่สำรวมแล้ว จิตก็จักห่างจากสมาธิ อนึ่ง ท่านสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกัน ถือผิดต่อกันดังนี้ เพราะว่า เมื่อคำอันเป็นเหตุเถียงกัน ถือผิดต่อกันมีขึ้น ก็จำจักต้องหวังความพูดมาก เมื่อความพูดมากมีขึ้น ก็จักเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้ว ก็จักเกิดความไม่สำรวม ครั้นไม่สำรวมแล้ว จิตก็จักห่างจากสมาธิ อนึ่ง โมคคัลลานะ เราสรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงหามิได้ แต่มิใช่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงเลย คือ เราไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์ ทั้งบรรพชิต ก็แต่ว่า เสนาสนะที่นอนที่นั่งอันใดเงียบเสียงอื้ออึง ปราศจากลมแต่คนเดินเข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด ควรเป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย เราสรรเสริญความคลุกคลีเสนาสนะเห็นปานนั้น เมื่อพระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า โดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน เกษมจากโยคธรรมล่วงส่วน เป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วนประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระศาสดาตรัสตอบว่า โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า บรรดา
ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น
ครั้นได้สดับดังนี้แล้ว เธอทราบธรรมทั้งปวงชัดด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบธรรมทั้งปวงชัดด้วยปัญญาอันยิ่งดังนั้นแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงดังนั้นแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องหน่าย พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องประดับ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องสละคืน ในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมกับกิเลสให้สงบจำเพาะตน และทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่จำต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำอย่างนี้อีกมิได้มี โดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่า น้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน เกษมจากโยคธรรมล่วงส่วน เป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วนประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระโมคคัลลานะปฏิบัติตามพระพุทธโอวาทที่พระศาสดาทรงสั่งสอน ก็ได้สำเร็จพระอรหัตในวันนั้น
พระศาสดา ทรงยกย่องพระโมคคัลลานะเป็นคู่กับพระสารีบุตร ในอันอุปการะผู้เข้ามาอุปสมบทใหม่ในพระธรรมวินัย ดังกล่าวแล้วในหนหลัง อีกประการหนึ่ง ทรงยกย่องพระโมคคัลลานะว่าเป็นเยี่ยมแห่งภิกษุสาวกผู้มีฤทธิ์นี้ ฤทธิ์นี้หมายเอาคุณสมบัติเป็นเครื่องสำเร็จแห่งความปรารถนา สำเร็จด้วยความอธิษฐาน คือตั้งมั่นแห่งจิต ผลที่สำเร็จด้วยอำนาจฤทธิ์นั้น ท่านแสดงล้วนแต่พ้นวิสัยของมนุษย์ ดังมีแจ้งอยู่ในอิทธิวิธี อันนับเป็นอภิญญาอย่างหนึ่ง จัดว่าเป็นอสาธารณคุณ ไม่มีแก่พระสาวกทั่วไปก็ได้ การที่พระศาสดาทรงยกย่องพระโมคคัลลานะว่า เป็น
เอตทัคคะในฝ่ายสาวกผู้มีฤทธิ์
นั้น ประมวลเข้ากับการที่ทรงยกย่องพระสารีบุตรว่า เป็นเอตทัคคะในฝ่ายภิกษุผู้มีปัญญาจะพึงให้ได้สันนิษฐานว่า พระโมคคัลลานะ เป็นกำลังใหญ่ของพระศาสดาในอันยังการที่ทรงพระพุทธดำริไว้ให้สำเร็จ พระศาสดาได้สาวกผู้มีปัญญา เป็นผู้ช่วยดำริการ และได้สาวกผู้สามารถยังภารธุระที่ดำริแล้วนั้นให้สำเร็จ จักสมพระมนัสสักปานไร แม้โดยนัยนี้ พระโมคคัลลานะ จึงได้รับยกย่องว่าเป็นพระอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรเป็นฝ่ายซ้าย โดยหมายความว่า เป็นคณาจารย์สอนพระศาสนาในฝ่ายอุดรทิศดังกล่าวแล้ว หรือโดยหมายความว่าเป็นที่ ๒ รองแต่พระสารีบุตรลงมา
พระธรรมเทศนาของพระโมคคัลลานะอยู่ข้างหายาก ที่เป็นโอวาทให้แก่ภิกษุสงฆ์ มีแต่อนุมานสูตร ว่าด้วยธรรมอันทำตนให้เป็นผู้ว่ายากหรือว่าง่าย พระธรรมสังคาหกาจารย์ สังคีติไว้ในมัชฌิมนิกาย
พระโมคคัลลานะนั้น เห็นจะเข้าใจในการนวกรรมด้วย พระศาสดาจึงได้โปรดให้เป็นนวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ดูนวกรรมแห่งบุรพาราม ที่กรุงสาวัตถี อันนางวิสาขาสร้าง
แม้พระโมคคัลลานะ ก็ปรินิพพานก่อนพระศาสดา มีเรื่องเล่าว่าถูกผู้ร้ายฆ่า ดังต่อไปนี้ ในคราวที่พระเถรเจ้าอยู่ ณ ตำบลกาฬสิลาแขวงมคธ พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า พระโมคคัลลานะเป็นกำลังใหญ่ของพระศาสดา สามารถนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์ชักนำให้เลื่อมใส ถ้ากำจัดพระโมคคัลลานะเสียได้แล้ว ลัทธิฝ่ายตนจักรุ่งเรื่องขึ้น จึงจ้างผู้ร้ายให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะเสีย ท่านยังไม่ถึงมรณะ เยียวยาอัตภาพด้วยกำลังฌานไปเฝ้าพระศาสดาทูลลาแล้ว จึงกลับมาปรินิพพาน ณ ที่เดิม พระโมคคัลลานะอยู่มาจนถึงพรรษาที่ ๔๕ แต่ตรัสรู้ล่วงแล้ว ปรินิพพานในวันดับแห่งกัตติกมาส ภายหลังพระสารีบุตรปักษ์หนึ่ง พระศาสดาได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้ว รับสั่งให้เก็บอัฐิธาตุมาก่อพระเจดีย์บรรจุไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งเวฬุวนาราม ระยะทางเสด็จพุทธจาริกแต่บ้านเวฬุวคาม
ครั้งหนึ่งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เวฬุวันวิหาร อาศัยเมืองราชคฤห์เป็นที่ภิขาจาร พระองค์ได้ปรารภพระมหาโมคคัลลานเถระให้เป็นเหตุ จึงได้ตรัสเรื่องราวนี้มีความว่า
พระมหาโมคคัลลานเถระเป็นทุติยสาวกปรากฏด้วยอิทธิศักดายิ่งกว่าผู้ใด
ในไตรภพเว้นไว้แต่พระตถาคตองค์เดียว พระตถาคตให้เป็นเอตทัคคะว่า ประเสริฐเลิศด้วยอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าสาวกในพระศาสนา ท่านได้เที่ยวไปสู่เทวจาริกในสวรรค์ นำเอาการกุศลที่เทพบุตรเทพธิดา กระทำอย่างนั้น ๆ เอามาบอกแก่มหาชนชาวมนุษย์ แล้วท่านลงไปสู่นรก นำเอาข่าวมาบอกแก่คนทั้งหลายว่า บุคคลกระทำบาปมีชื่อนี้ ๆ ไปทนทุกขเวทนาในนรกขุมนั้น ๆ ท่านได้โปรดสัตว์ที่ไปทนทุกข์ให้เป็นสุขสบาย ท่านขวนขวายในกิจของท่านมาช้านาน
ครั้นอยู่มาสมัยหนึ่ง พระมหาเถระจำพระวัสสาอยู่ ณ
กาฬศิลาประเทศ
พวก
เดียรถีย์นิครนถ์
ทั้งหลาย ก็ปราศจากลาภสักการบูชา มหาชนเลื่อมใสในพระศาสนาเป็นอันมาก เดียรถีย์นิครนถ์ผู้ใหญ่จึงปรึกษาว่า ลาภสักการะ จะเกิดแก่พระสมณโคดม ก็อาศัยพระโมคคัลลานเถระผู้เดียว เพราะพระโมคคัลลานมีฤทธิ์ เที่ยวขึ้นไปบนสวรรค์ และลงนรก ได้เห็นความเป็นไปในที่นั้น ๆ แล้ว นำมาบอกแก่มหาชนชาวมนุษย์ ถึงผลของกุศลกรรมของผู้ที่อยู่บนสวรรค์ และอกุศลกรรมของผู้ที่อยู่ในนรก ดังนั้นถ้าคิดพิฆาตฆ่าและโมคคัลลานให้ตายแล้ว พระสมณโคดมก็จะเสื่อมจากลาภสักการบูชา พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เห็นจริงพร้อมกัน เดียรถีย์ผู้ใหญ่จึงคิดเรี่ยไรทรัพย์จากพวกอุปฐากของตน ได้ทรัพย์พันตำลึง แล้วไปจ้างโจรให้ไปฆ่าพระโมคคัลลาน พวกโจรได้ไปล้อมกุฎีของท่าน คอยฆ่าท่านเมื่อเพลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง ฝ่ายพระโมคคัลลานเถระ เมื่อรู้เหตุว่าโจรมาล้อมกุฎี ก็หนีออกมาโดยช่องดาล โจรหาตัวท่านไม่พบก็กลับไป อยู่มาวันหนึ่งจึงพากันไปล้อมอีก ท่านก็หนีออกไปทางช่องช่อฟ้า พวกโจรพากันมาล้อมจะจับตัวท่านฆ่าให้ตาย แต่หาท่านไม่พบต้องพากันกลับไปโดยนัยดังนี้ถึง 2 เดือน
ครั้นถึงเดือน เป็นที่สุดจะออกพระวัสสา โจรทั้งหลายก็มาล้อมกุฎีอีก พระมหาเถระพิจารณาดู ก็รู้ประจักษ์ใจว่า กรรมของท่านได้กระทำไว้แต่ปางหลัง ตามมาทันแล้วในครั้งนี้ แม้ท่านจะหนีไปอยู่ในที่ใด ๆ ที่จะพ้นภัยนั้นอย่าสงกา เมื่อท่านพิจาณาเห็นดังนั้นแล้ว ก็นั่งอยู่ในกุฎี ไม่ได้หนีไปดังหนหลัง โจรทั้งหลายเห็นท่าน จึงเข้าไปทุบตีด้วยศาสตราวุธต่าง ๆ จนกระดูกท่านแหลก ปานประหนึ่งว่าเม็ดข้าวสาร แหลกละเอียดไปทั้งกาย แล้วพวกโจรก็นำร่างของท่านไปทิ้ง ฝ่ายพระมหาเถระได้เสวยทุกขเวทนา พ้นที่จะอุปมา แต่ยังทรงชีวิตอยู่ จึงคิดอยู่ในใจว่า ตัวท่านนี้จะดับสูญเข้าสู่นิพพานแล้ว จำจะไปถวายนมัสการลาพระผู้มีพระภาค แล้วจึงกลับมาเข้าสู่พระนิพพานในที่นี้ คิดดังนั้นแล้วจึงเข้าฌานสมาบัติ อธิษฐานผูกรัดร่าง กระดูกที่แหลกละเอียด ก็คุมกันเข้าเป็นแท่งเดียวดังเก่าด้วยกำลังฌาน แล้วจึงเหาะไปสู่เวฬุวันมหาวิหาร เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลลาเข้าสู่พระนิพพาน พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธฎีกาตรัสถามว่า จะนิพพานที่ใด ท่านกราบทูลว่า จะนิพพานที่กาฬศิลาประเทศ อันเป็นที่อยู่ของท่าน พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ตถาคตได้เห็นท่านก็เป็นที่สุดแล้ว ท่านจงเทศนาให้ตถาคตฟังก่อน พระสงฆ์ทั้งหลายจะได้เห็นท่านได้ฟังเทศนาของท่านก็เป็นที่สุดในครั้งนี้
ฝ่ายพระมหาเถระได้ฟังพุทธฎีกาดังนั้น จึงได้
สำแดงปาฏิหาริย์เป็นเอนกอนันต์
ครั้นสำแดงแล้ว
ก็สำแดงธรรมเทศนาแก่บริษัทเป็นปัจฉิมที่สุด
เหมือนธรรมเสนาบดีสารีบุตร กระทำปาฏิหาริย์ถวายพระผู้มีพระภาค เมื่อท่านไปกราบทูลลาจะเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อพระมหาเถระกระทำปาฏิหาริย์ เห็นปานดังพระสารีบุตร เสร็จแล้วจึงทูลลาว่า กระหม่อมฉันอุตส่าห์สร้างบารมีมาก็ช้านาน ประมาณได้อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปป์โดยคณนา หวังจะพบพระพุทธองค์ และพระศาสนาของพระพุทธองค์ บัดนี้ก็สำเร็จสมปรารถนาแล้ว จะได้ถวายนมัสการบรมบาทพระชินสีห์ก็เป็นที่สุดแล้ว จึงถวายบังคมลา พระสัพพัญญูบรมครูแล้วกลับไปกาฬศิลาประเทศ เข้าไปสู่กุฎีที่อยู่จำพระวัสสา จึง
เข้าสมาบัติตั้งแต่ปฐมญานขึ้นไป
แล้วกลับถอยหลังลงมาเป็นอนุโลมปฏิโลมหลายครั้ง
ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว พระมหาเถระก็เข้าสู่พระนิพพาน
กิตติศัพท์ที่พวกโจรเข้าทุบตีพระโมคคัลลานะนั้น ได้เลื่องลือไปในนิคมชนบทนานาประเทศ บรรดาอำมาตย์ได้นำความเข้ากราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อพระองค์ทรงทราบก็เกิดสังเวชสลดพระทัย ทรงเห็นว่าการกระทำของพวกโจรไม่บังควร จำจะเสาะเอาตัวมาลงโทษให้จงได้ แล้วได้ทรงสั่งให้พวกอำมาตย์ ไปดำเนินการจนได้ตัวพวกโจร แล้วนำเข้าไปถวายพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อซักไซ้ไต่สวนได้ความว่า พวกสมณชีเปลือยใช้โจรให้ไปกระทำการดังกล่าว พระองค์จึงสั่งให้ไปจับพวกเดียรถีย์ชีเปลือยมาได้เป็นจำนวนมาก เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความจริงแล้ว จึงสั่งให้ราชบุรุษ เอาพวกเดียรถีย์ชีเปลือย และพวกโจรที่จับมาได้ ฝังดินลึกเพียงสะดือ แล้วให้เอาใบไม้แห้งและฟางเกลี่ยไป จากนั้นจึงจุดไฟคลอก ครั้นเพลิงไหม้ทั่วกันแล้ว จึงให้เอาไถเหล็กมาไถ ให้ร่างกายขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ตายด้วยกันทั้งหมด
อยู่มาวันหนึ่ง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย สันนิบาตประชุมกันในโรงธรรมสภาศาลา สนทนากันว่าน่าอัศจรรย์ใจ ด้วยพระโมคคัลลาน ประกอบด้วยฤทธานุภาพเป็นอันมาก ควรหรือมาตายด้วยมือโจร ฝ่ายองค์พระบรมโลกนาถ ได้ทรงได้ยินการสนทนาดังกล่าว จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี มาสู่โรงธรรมศาลา แล้วตรัสถามว่า ได้สนทนาเรื่องอันใดอยู่ เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้มีพุทธฎีกาว่า สำแดงโมคคัลลานโอรสพระตถาคต ถูกโจรทุบตีให้ตาย จะได้มีแต่ปัจจุบันชาตินี้หามิได้ แต่ชาติก่อน ๆ ก็ตายด้วยโจรตีเช่นกัน ก็อาศัยอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แต่ชาติหลังยังติดตามมา จึงถึงแก่ความมรณาไม่สมควรแก่ตน พระทศพลตรัสดังนี้แล้วก็ดุษณีนิ่งไป พระสงฆ์ทั้งหลายจึงทูลถาม ถึงกรรมที่พระโมคคัลลานกระทำไว้ พระพุทธองค์จึงนำอดีตมาประทานเทศนาว่า ในอดีตกาลแต่ปางหลัง มีกุลบุตรผู้หนึ่งปฏิบัติรักษามารดา บิดาตามืด ทั้ง 2 คน โดยไม่เกียจคร้าน ต่อมา มารดาบิดาจึงคิดอ่านจะหาภรรยาให้ลูกชาย เมื่อปรึกษาเรื่องนี้กับลูกชาย ก็ได้รับคำปฏิเสธว่าตนไม่ปรารถนา จะขอเลี้ยงมารดาบิดาไปจนตลอดชีวิต มารดาบิดาก็เฝ้าวอนว่าอยู่แล้ว ๆ เล่า ๆ ฝ่ายลูกชายขัดไม่ได้จึงยินยอมตามใจของมารดาบิดา มารดาบิดาจึงได้ไปขอกุมารี มาให้แก่ลูกชายของตน หญิงนั้นครั้นมาอยู่กับสามีแล้วปฏิบัติแม่ผัวพ่อผัวอยู่ไม่นาน ก็มีความเกียจคร้านเบื่อหน่าย คิดจะไปเสียให้พ้นจึงว่าแก่สามีของตนว่าตนไม่สบายใจ มารดาบิดาขี้บ่น ตนจะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว สามีจึงตอบว่าก็ตามอัชฌาศัยของท่านเถิด ที่เราจะทิ้งมารดาบิดาของเราเสียนั้นมิได้ นางได้ฟังดังนั้นก็จนใจ จึงคิดกลอุบายจะให้ลูกชายทิ้งมารดาบิดาเสีย จะได้พากันไปอยู่ที่อื่นตามสบายใจ ครั้นสามีออกไปนอกบ้าน หญิงนั้นก็เที่ยวทิ้งของไว้เกลื่อนกลาด ครั้นสามีกลับมาพบเห็นก็บอกว่า มารดาบิดาของท่านทำเอาไว้ หญิงนั้นทำเช่นนี้อยู่เนือง ๆ ฝ่ายบุรุษผู้นั้นเป็นสัตว์มีวาสนา ได้บำเพ็ญบารมีมาช้านาน ได้ฟังคำหญิงพาลมาวอนเจรจาใส่โทษมารดาบิดา ก็ให้เร่าร้อนในหัวใจ ความรักใคร่ในมารดาแต่หนหลังนั้น ก็แตกออกเป็นสองภาค ด้วยความรักใคร่ในหญิงพาลส่งจิตไปตามภรรยา จึงตอบวาจาว่า มารดาบิดาของเรากระทำชั่วฉะนี้ ตกพนักงานพี่จะกระทำเอง ชายนั้นจึงให้มารดาบิดาบริโภคอาหารแล้วจึงมีวาจาว่า บัดนี้ญาติวงศาของท่านอยู่ในบ้านโน้น สั่งมาให้ตนพามารดาบิดาไป แล้วจึงให้มารดาบิดาขึ้นนั่งบนเกวียน แล้วจึงรีบไปตามมรรคา ครั้นถึงราวป่าแห่งหนึ่ง บุรุษนั้นคิดจะฆ่ามารดาบิดาให้ตาย จึงคิดอุบายบอกแก่มารดาบิดาว่า ราวป่านี้โจรส้องสุมอยู่เป็นอันมาก ถ้ารู้ว่าตนมามันก็จะฆ่าเสียให้ตาย บิดาจงเอาเชือกสายชักโคนี้เถิด แล้วเขาก็ลงจากเกวียนไป ชายนั้นเดินไปให้ไกลสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็แกล้งแปลงเป็นเสียงโจรว่าคนสองคนนั้นจะไปไหน แล้วฉวยได้ไม้เข้าทุบตีมารดาบิดาแห่งตน ฝ่ายมารดาบิดาทั้งสองคนคิดว่าเป็นโจรจริง จึงร้องบอกลูกชายให้หนีไปให้พ้นมือโจร ส่วนตนทั้งสองแก่ชราแล้ว จะตายด้วยโจรก็ตามทีเถิด ฝ่ายลูกชายเมื่อทุบตีมารดาบิดาตายเสียแล้ว จึงเอาซากศพนั้นทิ้งเสียในราวป่า แล้วกลับมาสู่บ้านตนพร้อมภรรยา ตราบจนสิ้นชมม์วัสสาอายุแล้ว จุติไปเกิดโดยควรแก่อกุศลกรรม ที่ตนได้ทำไว้ในปัจจุบันชาติ
เมื่อพระบรมศาสดา สำแดงบุพพกรรมแห่งพระโมคคัลลานด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงมีพุทธฎีกาตรัสว่า สำแดง
โมคคัลลานกระทำกรรมอันหยาบช้า ฆ่ามารดาบิดา
ครั้นตนทำกาลกิริยาตาย ได้ไปทนทุกขเวทนาในนรกช้านาน มากกว่าหมื่นปีแสนปี ด้วยกรรมที่ตีมารดาบิดา ครั้นพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปนั้นยังติดตามมา แต่โจรทั้งหลายฆ่าให้ตายดังนั้นถึง 500 ชาติ เป็นกำหนด สำแดงโมคคัลลานได้ทำอกุศลกรรมไว้
จึงได้เสวยวิบากผลสมควรแก่กรรมที่ตนได้กระทำมาแต่หนหลัง
ยังพวกโจรและเดียรถีย์ที่ทุบตี สำแดงโมคคัลลานเล่า ก็ถึงซึ่งความวินาศฉิบหายน่าอเน็จอนาถ ฉะนี้
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเทศนาด้วยพระคาถาต่อไปว่า
บุคคลใดเป็นคนเมามาก ประกอบด้วยโทโส มาประทุษร้ายแก่พระขีณาสพเจ้าอันหาโทษทัณฑ์มิได้ บุคคลนั้นจะต้องทุกข์ทั้ง 10 ประการ ทุกข์ใดจะถึงแก่ตน เห็นประจักษ์ตาในอัตภาพชั่วนี้ คือต้องทุกขเวทนาอันทารุณโทษ
โรคนั้นแต่ล้วนสาหัส จะบังเกิดมีแก่อัตภาพในชาตินี้ ประการหนึ่ง ทรัพย์สินเงินทองที่ตนหามาได้ด้วยกสิกรรม วาณิชกรรม ก็จะเสี่อมสูญไปไม่เหลือ ถ้ามิดังนั้นก็จะทนทุกขเวทนา มีเขาตัดตีนตัดมีอ ตัดหู ตัดจมูกของตน เป็นจมูกของตน เป็นต้น จะบังเกิดโรคาพยาธิอันหนัก จะเป็นเปลี้ยง่อยตัวตายไปตำหระหนึ่งโรคที่หนักๆ จักบังเกิดมี คือเป็นโรคเรื้อนกุฏฐัง ที่เหลือกำลังจะรักษาเยียวยาได้ ถ้ามิดังนั้นจะเป็นบ้าใบ้พิกลจริต เสียจิตเสียใจไม่เป็นสมประดีดังคนทั้งหลาย จะบังเกิดความฉิบหายแก่ราชทัณฑ์อาชญา ท้าวพระยามหากษัตริย์จะริบเอาโภคทรัพย์สมบัติพัสถานของตน ถ้ามิดังนั้นตัวอยู่ดี ๆ มีคนมาโพนทนาว่า เป็นโจรกระทำผิดในราชศาสตร์ มีแต่เขาใส่โทษให้ต้องราชทัณฑ์อาญา มีแต่คนอิจฉาคือฉ้อส่อเสียด ให้เสียสมบัติพัสดุต่าง ๆ อนึ่ง จะมีทรัพย์พัสดุสิ่งใดอยู่ในเรือนตนจะมีโจรเข้าวิ่งชิงเอาไป อนึ่งญาติวงศา บุตร ภรรยา อันที่รักใคร่ จะบังเกิดมรณภัยล้มตายหายจาก พลัดพรากฉิบหายประลัยไป สุดแท้แต่จะวิบัติไปด้วย เหตุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อนึ่ง ทรัพย์วัสดุเงินทองของรัก จะกลับกลายเป็นกระดูก เป็นกระเบี้อง เป็นถ่านเพลิงไป โดยต่ำตั้งแต่ข้าวเปลือกอยู่ในยุ้งฉาง ก็วิบัตเปื่อยเน่าผุไปเอง อนึ่ง จะเกิดไฟไหม้ไต้ลน ปีละสองสามหนให้จงได้ มิไหม้ด้วยไฟบ้านก็ไหม้ด้วยไฟป่า ไหม้ด้วยไฟฟ้า ถ้ามิฉะนั้น อยู่ดี ๆ จะมีไฟเกิดขึ้นด้วยธรรมดาเอง สุดแท้แต่จะเกิดไฟไหม้ให้ได้ อันบุคคลประทุษร้ายต่อผู้หาโทษมิได้ จะต้องทุกขฐานทั้ง 10 ประการ มิทุกข์สิ่งใดก็สิ่งหนึ่ง คงจะมาถึงตนในอัตภาพชั่วนี้ ครั้นสูญสิ้นชีวิตจากเมืองคน จะไปทนทุกขเวทนาในนรกสิ้นกาลช้านาน เพราะตนกระทำการทุจริตมิดี เห็นปานดังโจร และเดียรถีย์ทั้งหลายทำร้ายพระโมคคัลลานฉะนี้
ครั้นพระพุทธองค์ตรัสเทศนาจบลง บริษัททั้งหลายก็สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษ ตามวาสนาบารมีที่ตนได้ก่อสร้างมา แต่ชาติหลังโน้น จึงเป็นอุปนิสัยให้สำเร็จความปรารถนา
|
ย้อนกลับ
|
หน้าค่อไป
|
บน
|