ตอนที่
๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
ฝ่ายยุพาผกา รำภาสะหรี มาถึงกรุงลังกา เข้าเฝ้าองค์ละเวงวัณฬาทูลความเรื่องศึกว่า
ข้าศึกตีได้ด่านเจ้าเขาประจัญ แล้วในวันนี้ กำลังตามตีมายังสิงหล
ค
นางฟังเล่าเศร้าจิตอนิจอนาถ |
ให้หวั่นหวาดวิญญาณ์จึงว่าขาน |
ซึ่งข้าศึกฮึกโหมมาโรมราญ |
เราเสียด่านก็เหมือนดังเสียลังกา |
แล้วปรึกษานางยุพาผกาถึงสงครามที่กำลังจะตามมาถึงกรุงลังกา รวมทั้งถามถึงสังฆราชบาทหลวงว่า
เมื่อเสียทีแก่ข้าศึกแล้ว หนีไปได้หรือถึงแก่ชีวิต ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นจะได้ใครมาช่วยคิดอ่านการสงคราม
นางยุพาตอบว่าไม่ทราบข่าวสังฆราชว่าเป็นตายร้ายดีประการใด ตอนนี้ถึงจะมีใครที่เก่งกล้ามาช่วยก็เห็นจะไม่เป็นผลเว้นแต่องค์พระอภัยเท่านั้นที่จะช่วยได้
องค์ละเวงได้ฟังแล้วจึงตอบว่าที่พูดมานั้นก็ชอบอยู่ แต่ใจยังคิดอดสู ตอนนี้ให้นางสุลาลีวันคอยดูแลอยู่ได้สองวันแล้ว
เห็นว่าพระอภัยขัดเคืองอยู่จนไม่สรงและเสวย
นางยุพาว่าองค์ละเวงไม่สงสารพระอภัย ตนจะขอไปดูแล แล้วทูลลามาชวนนางสุลาลีวันไปยังห้องบรรทมพระอภัย
แล้วซ่อนตัวอยู่
ฝ่ายพระอภัยอยู่ในห้อง เมื่อห่างนาง มนต์ก็สร่าง รู้สึกตัวแล้วให้คิดอายที่มาหลงลมลิ้นลังกา
แพ้รู้แก่ผู้หญิง หวนอาลัยถึงลูกกับอนุชา แล้วรำพึงถึงนางสุวรรณมาลี รวมทั้งสองลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา
และสุดสาคร
ยิ่งรัญจวนป่วนจิตคิดวิตก |
เหมือนหนึ่งนกเข้าเพนียดเบียดไม่ไหว |
ลงนอนเอกเขนกอึ้งตะลึงตะไล |
ทุกข์พระทัยถึงพระองค์ทั้งวงศ์วาน
ฯ |
นางยุพาผกาที่มาเฝ้าเห็นพระอภัยโศกเศร้าจนซูบผอมไปก็สงสาร เข้าไปทูลถามว่าพระอภัยมีความทุกข์ร้อนขัดข้องประการใด
เพราะตนเพิ่งมาถึงกรุงลังกา พระอภัยเห็นหน้านางยุพาก็กลับนึกรักองค์วัณฬา
จึงตอบว่าพระองค์เห็นแก่แม่วัณฬา แต่นางก็โกรธขึ้งทิ้งขว้างไป ชีวิตของพระองค์คงจะไม่รอด
นางยุพาผกาจึงตอบว่าพระชนนีของตนมิได้จะมาละไป ที่พามาก็เพราะรัก คิดจะมอบสมบัติพัสถานให้
นึกว่าการศึกคงไม่มีอีก จะได้เป็นที่พึ่งของประชาชน แต่เหตุไหนจึงให้พระน้องยกกองทัพมารุกรบถึงสิงหล
ไม่คิดปรองดอง จึงน้อยใจไม่เข้ามาเฝ้า ด้วยความทั้งรักและทั้งแค้น
พระอภัยได้ฟังก็ตกตะลึงอัดอั้นตันใจแล้วตรัสว่าน่าสงสารนางยิ่งนัก เมื่อสงสัยไม่แถลงให้แจ้งการณ์
และขอสาบานให้เห็นจริงว่า การที่น้องของพระองค์ทำการศึกครั้งนี้ คงจะนึกว่าพระองค์ถึงแก่อาสัญแล้ว
ถ้ารู้ว่าพระองค์มาอยู่คู่กับนาง ก็คงจะยกทัพกลับไป
ซึ่งพวกเราชาวผลึกทำฮึกหาญ |
จะทัดทานถ้าใครขัดจะตัดหัว |
อย่าแหนงนึกตรึกตรองให้หมองมัว |
จะยอมตัวไปจนตายเหมือนหมายมา |
ฯลฯ
นางยุพาผกาอาสานำพระอภัยไปพบ พระอภัยตอบขอบใจนาง บอกว่าจะช่วยปลูกฝังนางทั้งสองให้สมกับที่เป็นบุตรี
นางก็
สนองตอบว่าอยากให้พระมารดาของตนรักพระอภัยซึ่งเป็นเสมือนพระบิดาของตนอย่างใจหวัง
ค่ำวันนี้จำจะพาไปถึงห้อง |
ถ้าฟ้องร้องก็จะเสียบาทเบี้ยปรับ |
แต่จะรักจะชังจะบังคับ |
สุดจะรับสั่งได้ด้วยไม่เคย
ฯ |
พอพลบค่ำ สองนางก็ทูลเชิญพระอภัยไปยังห้องขององค์ละเวง นางเห็นแล้วก็รู้ว่ายุพาผกาเป็นคนมา
สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้จึงแกล้งทำเป็นเมินเหมือนไม่เห็น พระอภัยก็เข้าไปหานางแล้วแอบจุมพิต
นางต่อว่าพระอภัยด้วยประการต่าง ๆ พระอภัยตรัสขอโทษแล้วเกี้ยวพาราสีนาง
นางทวงคำสัญญาเรื่องการระงับศึก ให้พระอภัยจัดการให้สำเร็จก่อนแล้วนางก็จะยอมรับรักพระอภัย
แม้โปรดปรานห้ามทัพให้สรรพเสร็จ |
ศึกสำเร็จแล้วจะรักให้หนักหนา |
แม้หลีกเลี่ยงอีกทีนี้พระพี่ยา |
จึงเข่นฆ่าน้องเสียบ้างให้วางวาย |
ฯลฯ
ค
พระสวมสอดกอดแอบแนบถนอม |
งามละม่อมแม่อย่าหมองเลยน้องเอ๋ย |
สักแสนปีมิให้ร้างให้ห่างเชย |
ไม่ละเลยลืมสัตย์ปฏิญาณ |
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร |
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน |
แม้เกิดในใต้หล้าสุธาธาร |
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา |
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ |
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา |
แม่เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา |
เชยผกาโกสุมปทุมทอง |
เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่ |
เป็นราชสีห์สิงสู่เป็นคู่สอง |
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง |
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป |
ฯลฯ
ค
พระเชยโฉมโลมเล้าว่าเจ้าพี่ |
สุมาลีแล้วหรือกลิ่นจะสิ้นหอม |
ไม่อิ่มหนำน้ำใจเพราะไม่ยอม |
ต้องอดออมอดใจดังไฟฮือ |
เหมือนอยากน้ำกล้ำกลืนแต่กล้วยกล้าย |
จะเหือดหายหิวในน้ำใจหรือ |
จึงจับต้องของรักไม่หนักมือ |
แม่อย่าถือโทษเลยที่เชยชม |
ฯลฯ
ฝ่ายสองนางพี่น้องนอนอยู่ชั้นล่างไม่ให้เหล่าสาวใช้ผู้ใดมาจนถึงเวลารุ่งสางจึงจัดแจงแต่งเครื่องแล้วไปตั้งไว้ข้างแท่นทองนอกห้องแล้วจึงกลับไป
องค์ละเวงวัณฬาตื่นบรรทมแล้วออกมาพบบุตรีพี่น้องทั้งสองนาง ต่อว่าที่พาพระอภัยมาพบ
ไม่บอกเล่าเจ้าไปพาเธอมาไว้ |
ให้กวนใจจ้วงจาบทำหยาบหยาม |
ถ้างวยงงหลงเชื่อก็เหลืองาม |
นี่หักห้ามใจได้จึงไม่อาย |
ฯลฯ
นางยุพาผกาทูลว่าบรรดาข้าเฝ้าท้าวพระยาเสนาใน ไม่มีใครกล้าหาญออกสงคราม ขอให้สั่งมาประชุมในวันนี้เพื่อปรึกษางานสงคราม
ถ้าไม่มีใครอาสาออกศึกจึงแต่งตามกลเล่ห์เพทุบาย
จะลวงล่อต่อตามด้วยความลับ |
เอาศึกกลับเป็นมิตรเหมือนคิดหมาย |
ให้ห้ามทัพกลับไปได้ง่ายดาย |
คนทั้งหลายก็เห็นคงบจะปลงใจ |
ฯลฯ
องค์วัณฬาเห็นด้วยจึงให้นางยุพาไปอยู่ดูแลพระอภัย ส่วนตัวนางเองจะออกไปบัญชาการ
ให้ตีกลองร้องเรียำข้าราชการมาเข้าเฝ้า นางกษัตริย์ตรัสเรื่องการศึกและปรึกษาว่าพวกเสนาจะคิดอ่านประการใด
ค
ฝ่ายขุนนางต่างคนก็จนจิต |
เป็นสุดติดสุธาพรั่นให้หวั่นไหว |
ที่ขี้ขลาดชาติหญิงก็นิ่งไป |
ที่จิตใจแกล้วกล้าว่าข้านี้ |
จะสู้ซื่อถือสัตย์พิพัฒน์ผล |
ไปรบจนสิ้นชีวิตไม่คิดหนี |
สนองคุณมุลิกาฝ่าธุลี |
ตายอยู่ที่ท้องทุ่งริมกรุงไกร
ฯ |
นางกษัตริย์ได้ฟังก็ตรัสขอบใจ แล้วแจ้งอุบายให้ทราบว่าจะลวงพระอภัยมาในวังแล้วล่อให้ละเลิงในเชิงรัก
เพื่อให้กองทัพยกกลับไป พวกขุนนางก็เห็นด้วย นางบจึงสั่งให้ไปจัดการป้องกันเมืองตามหน้าที่
เผื่อข้าศึกยกเข้าโจมตีจะได้ไม่เสียที
เผื่อข้าศึกฮึกโหมมาโจมตี |
จะเสียทีไม่ทันคิดซึ่งกิจการ |
จงรบรับทัพใหญ่ไว้ให้หยุด |
อย่าให้รุดรุกราษฎรมาอาจหาญ |
ฯลฯ
กล่าววถึงทัพของศรีสุวรรณกับสินสมุท ยกทัพจากด่านเจ้าประจัญ โดยมีสินสมุทเป็นกองหน้า
พี่เลี้ยงพราหมณ์สามคนเป็นปีกซ้ายปีกขวา ศรีสุวรรณเป็นกองหลัง มาถึงทุ่งกรุงลังกาเมื่อใกล้พลบค่ำ
จึงให้ตั้งค่ายห่างกำแพงเมืองพันวา
ค
ฝ่ายฝรั่งลังกาเห็นข้าศึก |
พลผลึกโห่ลั่นเสียงหวั่นไหว |
ไม่รอรั้งยั้งหยุดฉวยชุดไฟ |
ยิงปืนใหญ่เยี่ยมศึกเสียงครึกครื้น |
ไฟลับถึงตามถูกสามค่าย |
ระเนียดแตกแหลกทะลายลงหลายหมื่น |
ต้องถอยค่ายไปให้ห่างในกลางคืน |
แล้วตอกปืนหลักลั่นเสียงครั่นครึก
ฯ |
พวกชาวเมืองสิงหลรู้ว่าศึกมาล้อมเมือง ต่างก็ตกใจตัวสั่นงันงก หอบลูกจูงหลาน
ขนของหนีข้าศึกกันอลหม่าน
ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกาได้ยินเสียงปืน ไต่ถามดูก็รู้ว่าทัพใหญ่ของข้าศึกได้ยกมาประชิดติดกรุงแล้ว
จึงไปทูลพระอภัยว่าพระอนุชา ยกทัพมาถึงแล้วจะให้รบหรือห้าม ในครั้งนี้จะใคร่ได้เห็นใจจริง
พระอภัยได้ฟังจึงตรัสตอบว่า อย่าได้นึกแหนงแคลงใจ จะออกไปให้พระอนุชาเลิกกองทัพกลับไป
นางได้ฟังคำก็ทูลตอบว่า ตรัสเช่นนี้แสดงว่าจะให้พระอนุชารับกลับไป แล้วแกล้งทำเป็นสะอึกสะอื้นกันแสง
พระอภัยก็เข้าไปปลอบโยนตรัสว่า จะทำทุกอย่างตามที่นางจะสั่งมา
ค
นางฟังคำทำงอนอ่อนจริต |
ว่าน้องคิดว่าจะตรงไม่สงสัย |
เมื่อสัญญามาในทางที่กลางไพร |
ไม่อาลัยแล้วเป็นขาดญาติวงศ์ |
จะโปรดเกล้าเข้ารีตฝรั่งด้วย |
จึงเอออวยอ่อนใจอาลัยหลง |
แม้วงศามาประสบพบพระองค์ |
จะยุยงต่าง
ๆ ให้วางใจ |
คำโบราณท่านผูกว่าลูกเขย |
ไม่ชอบเลยกับพ่อตาอย่าสงสัย |
ญาติกาสามีกับพี่สะใภ้ |
เล่าก็ไม่ชอบกันเป็นมั่นคง |
แล้วนางจึงทูลพระอภัย ขอให้ทรงอักษรเป็นสำคัญด้วยลายพระหัตถ์ไปทัดทานพระอนุชา
ถ้ายังไม่ยกทัพกลับ ก็ให้มาพบกันบนพลับพลาหน้าเมืองตามประสาพี่น้อง แต่ถ้าขึ้นบุกรุกเข้าโจมตีก็ขอให้พระอภัยเป่าปี่ให้หลับแล้วจับตัวไว้
เมื่อปราบปรามได้เรียบร้อย แล้วจึงค่อยปล่อยตัวไป
พระอภัยได้ฟังแล้วก็เห็นด้วย จึงร่างสารส่งให้องค์ละเวง นางเอาตราพระราหูประทับ
แล้วเรียกธิดามาสั่งเป็นการเฉพาะให้ตรวจตรา การป้องกันเมืองให้พรักพร้อมคอยสู้ศึก
เมื่อรุ่งขึ้นจึงแต่งทูตถือสารไปให้พระอนุชา
ค
ฝ่ายกองทัพยับยั้งอยู่ชายป่า |
ต่างตรวจตราเตรียมกันอยู่หวั่นไหว |
พอลนแดงแรงเร็วเหมือนเปลวไฟ |
พัดธงชัยสามทัพหักพับลง |
แล้วหอบหวนป่วนปั่นเป็นควันกลุ้ม |
ผงคลีคลุ้มเวียนวุ่นทั้งฝุ่นผง |
พอลมหายสายรุ้งก็พุ่งตรง |
จำเพาะลงกลางค่ายแล้วหายไป
ฯ |
พระอนุชาถามพราหมณ์ทั้งสามถึงลางร้ายที่เกิดขึ้น เจ้าพราหมณ์รู้ว่าร้าย แต่แกล้งทายกลับว่าเป็นดี
พระอนุชาจึงปรึกษาว่าจะรีบรบ หรือจะรั้งรออยู่ก่อน
พราหมณ์ก็ทูลตอบว่าการที่องค์ละเวงไปลวงล่อพระอภัยมาไว้กับนางก็คงหมายใจมิให้รบพุ่งเอากรุง
ลังกา
และเห็นว่าจะบำรุงบำเรอพระอภัยอยู่
ด้วยวิสัยในประเทศทุกเขตแคว้น |
ถึงโกรธแค้นความรักย่อมหักหาย |
อันความจริงหญิงก็ม้วยลงด้วยชาย |
ชายก็ตายลงด้วยหญิงจริงดังนี้ |
ฯลฯ
เจ้าพราหมณ์ยังเห็นว่าแม้พระอภัยหลงนางอยู่ คงจะไม่ให้เราเข้าไปในกรุง จะห้ามปรามเอาไว้
ซึ่งคงจะได้เห็นแจ้งเรื่องที่แคลงใจในวันพรุ่งนี้ พระอนุชาก็เห็นด้วย
ฝ่ายนางยุพาผกา พอรุ่งขึ้นก็ชวนน้องสาวขึ้นไปบนพลับพลา เรียกข้าเฝ้ามาสั่งงาน
แล้วเชิญราชสารใส่ลงในกล่อง |
มีพานทองเรือนเก็จเพชรประดับ |
ทั้งเอมโอชโภชนาห้าสำรับ |
ครั้นเสร็จสรรพยกขึ้นตั้งบัลลังก์รถ |
ฯลฯ
ทูตเชิญราชสารไปยังกองทัพศรีสุวรรณ เข้าเฝ้าพระอนุชาว่าเป็นราชสารของพระเชษฐากับของที่ประทานมาให้ทั้งพระอนุชา
และพราหมณ์ทั้งสาม แล้วบอกนอกสารเป็นการลับว่ากองทัพมีความยากลำบาก ขอให้รีบล่าทัพถอยกลับไป
ฝ่ายศรีสุวรรณมีความฉลาดแหลม ไม่ออกโอษฐ์บรรหารแต่ประการใด สั่งให้พราหมณ์อ่านสารมีความว่าองค์พระอภัยและองค์ละเวงเฉลิมวังลังกาอยู่
ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทั้งร้อยเอ็ดบุรีได้เป็นที่พึ่ง ไม่ได้ย่ำยีราษฎรให้เดือดร้อน
เหตุใดพระอนุชาจึง ยกทัพมารบพุ่งกับกรุงสิงหลให้เป็นที่ลำบากยากใจแก่ไพร่พล
ขอให้เลิกทัพกลับไป ถ้าไม่ฟังจะไม่ว่าเป็นญาติก็เชิญเข้ามารบ พระอนุชาได้ทราบความในสารแล้วก็รู้ว่าพระเชษฐากำลังหลง
จะเลิกทัพกลับไปก็สงสารพระเชษฐาจะมีภัย ถ้ารีบอยู่ไม่ฟังห้ามก็จะมีความแคลงจิตคิดสงสัย
ก็ให้ขัดสนอัดอั้นตันพระทัย จึงกล่าวเป็นคำกลางว่าแม้พระเชษฐาสั่งมาก็จะเชื่อฟัง
แต่ขอถามความแต่ครั้งที่
ที่เขาเจ้าประจัญให้ม้าใช้ไปบอกว่าจับพระเชษฐาแล้วจะฆ่าให้อาสัญ
จึงได้หักด่านมารบถึงกรุงลังกา ให้ทูตแจ้งให้เข้าใจด้วย
วานซืนนี้ตีทัพได้รับรบ |
แล้วกลับคบเคียงชิดพิสมัย |
ภิเษกสองครองกันเมื่อวันใด |
ช่วยเล่าให้เห็นจริงทุกสิ่งอัน
ฯ |
ฝ่ายฝรั่งทูตก็ทูลความเป็นมาว่าเดิมทีก็หวังว่าจะฆ่า แต่ครั้นพามาถึงเขาเจ้าประจัญ
เทพเจ้าก็ได้พาสองกษัตริย์มาส่งถึงในวังเมืองลังกา ให้ทั้งสองรักใคร่เป็นไมตรี
ชาวกรุงลังกาพร้อมใจกันให้อภิเษกแล้วทูลให้ดูลายพระหัตถ์ที่เขียนมาตลอดทั้งตราราหูคู่นคร
พระอนุชาจำลายพระหัตถ์ได้ จึงแกล้งว่าแม้ว่าเป็นจริงดังที่เล่ามาก็จะขอเข้าเฝ้าพระเชษฐาในวันนี้
ถ้าไม่ได้เข้าเฝ้าฝรั่งราชทูตก็พูดปด จะเข้าตีกรุงลังกาตามที่กำหนดนัดกันในวันนี้
ฝรั่งราชทูตได้ฟังจึงรับคำแล้วทูลลากลับมาทูลแถลงแก่บุตรีเลี้ยงว่าพระอนุชาเห็นจะไม่ฟังหนังสือที่ถือไป
ถ้าไม่พบองค์พระเชษฐา ก็จะทำสงคราม
ฝ่ายนางยุพาผกากำชับนายทหารว่าเมื่อมาเฝ้าให้วางอาวุธก่อนแล้วให้นั่งที่ตึกฝังคนตายข้างฝ่ายขวาใส่ประแจแม่เหล็กแล้วเรียกไพร่พลให้ล้อมไว้
จากนั้นจึงไปเฝ้าสองกษัตริย์ ทูลความว่าพระน้องไม่กลับแต่จะเข้าเฝ้าพระเชษฐา
พระอภัยได้ฟังก็คั่งแค้นว่าครั้งนี้เห็นจะขาดญาติวงศ์คงจะฆ่าฟันให้บรรลัย
แล้วถามนางกษัตริย์ว่าเมื่อเขามาแล้วจะออกไปหรือจะให้ทำสงคราม
องค์ละเวงเกรงสินสมุทจะรีบรุกรบเอากรุงลังกา จึงวอนว่าเป็นอารี ไม่ต้องการฆ่าตีพี่น้อง
เชิญเสด็จพระอภัยขึ้นพลับพลาหน้าหอรบให้มาพูดจากัน ถ้าดื้อดึงจึงคิดอ่านปราบปรามตามทำนอง
พระอภัยได้ฟังก็ชมว่านางมีความอารี ส่วนญาติของพระองค์ไม่ดีเอง ครั้งนี้ถ้าเขาไม่เกรงก็อย่าอาลัย
จะจับมาผ่าทรวงเอาดวงจิตมาดูว่าเห็นเป็นไฉน
ฝ่ายศรีสุวรรณปรึกษาพราหมณ์สามพี่น้องว่าจะบ่ายเบี่ยงแก้ไขไฉนดี เมื่อเราไปเฝ้า
พระเชษฐาก็จะห้ามทัพ ครั้นจะละพระองค์ไว้กับข้าศึกก็เห็นจะไม่รอดชีวิต
ครั้นจะอยู่ก็ดูเหมือนเป็นขบถ
ฝ่ายสินสมุททูลว่าเราอ้างเอาพระอัยกากับพระอัยกีให้มีสารให้รีบไปหา
ถ้าไม่ไป ความผิดจะอยู่ที่พระบิดา ศรีสุวรรณเห็นด้วยจึงแต่งสารไปถวายพระอภัย
ให้พราหมณ์สามคนอยู่รักษาค่ายพร้อมที่จะยกโยธาไปช่วยให้ทันการ พระอนุชากับสินสมุทเข้าเมืองไปเฝ้าพระอภัย
ฝ่ายฝรั่งลังกาให้ม้าใช้ไปห้ามให้หยุดประทับอยู่ตรงพลับพลา
ศรีสุวรรณร้องบอกให้เปิดประตูเมืองเพื่อไปเฝ้า ฝ่ายฝรั่งลังกาบอกว่าตนถือกำหนดกฎหมาย
แม้จะเฝ้าข้างในได้แต่นาย |
ไพร่ทั้งหลายนั้นให้อยู่นอก |
ตามเยี่ยงอย่างต้องวางสรรพาวุธ |
บริสุทธิ์จึงเข้าเฝ้าเจ้ากรุงศรี |
พระอนุชาว่าเอ็งห้ามปรามทั้งนี้ |
ชอบแต่ที่ข้าบาทราชการ |
กูเป็นพระอนุชานรารักษ์ |
ประเสริฐศักดิ์กษัตรามหาศาล |
ย่อมทรงรถคชบาทราชยาน |
มีทหารแห่เข้าไปถึงในวัง |
ต่อจวนใกล้ได้เห็นองค์พระทรงยศ |
จึงจะลดลงอย่างที่ปางหลัง |
นี่เหตุใดจึงมาห้ามตามลำพัง |
จะให้ยั้งหยุดช้าหรือว่าไร
ฯ |
ค
ฝรั่งว่ามาทางต่างประเทศ |
จะเข้าเขตราชวังยังไม่ได้ |
จะบอกกล่าวท้าวนางทูลข้างใน |
ต่อโปรดให้เข้าเฝ้าจึงเข้ามา |
ฯลฯ
ขุนนางไปบอกบุตรเลี้ยงแล้วสองนางจึงไปทูลพระชนนี องค์ละเวงได้ฟังก็หวั่นใจ
จึงไปทูลพระอภัยให้ไปประทับบนพลับพลา แต่งองค์เป็นเจ้าลังกาถือตราราหู ตัวนางขอเป็นเหล่านางเถ้าแก่ไปช่วยดูแล
เมื่อพระอภัยขึ้นประทับบนพลับพลา แล้วทอดพระเนตรเห็นลูกรักกับพระน้อง
จึงตรัสสั่งนางยุพาให้หาทัพ |
นางน้อมรับพจนาอัชฌาสัย |
จึงโบกธงส่งภาษาให้ม้าใช้ |
ไปบอกให้นายเข้ามาเฝ้าพลัน
ฯ |
ค
ฝ่ายม้าใช้ไปแถลงให้แจ้งอรรถ |
สองกษัตริย์เคลื่อนพหลพลขันธ์ |
มาปักธงตรงพลับพลาพร้อมหน้ากัน |
ศรีสุวรรณพิศดูภูวนัย |
ฯลฯ
เห็นแต่งองค์อย่างฝรั่งครั้นจะบังคมก็สงสัย ส่วนสินสมุทแค้นใจนักแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก
เมินหน้าไปพระอภัยเห็นดังนั้นก็พิโรธ ตรัสคาดโทษน้องรักกับโอรสว่า ไม่วันทาพระองค์
ศรีสุวรรณจึงทูลแจ้งแถลงไขว่า การที่ไม่ถวายบังคลนั้น เนื่องจากถือสารการแผ่นดินของปิ่นกษัตริย์เมืองรัตนา
ให้ตนถือมาถึงองค์พระอภัย กับราชมัลมนตรีทั้งสี่นาย
ขอพระองค์จงรับราชสาร |
ตามโบราณอย่าให้ช้ำระส่ำระสาย |
แล้วตัวข้าสามนต์พลนิกาย |
จะถวายวันทาฝ่าธุลี
ฯ |
ฯลฯ
พระอภัยได้สดับก็ได้คิด ที่พระองค์หลงผิดพี่น้องพลอยหมองศรี สงสารพระชนกชนนีต้องมีสารมาแจ้งการ
จึงลดองค์ลงจากเก้าอี้อาสน์ |
น้อมคำนับอภิวาทราชสาร |
ให้เสนาอารักษ์พนักงาน |
เชิญมาอ่านที่ตรงหน้าพลับพลาชัย |
สารสมเด็จปิตุราชมาตุรงค์ |
สองพระองค์ทรงภพสบสมัย |
แสนคนึงถึงโอรสยศไกร |
พระอภัยมณีศรีโสภา |
ฯลฯ
แม้มิมาครั้งนี้เป็นที่สุด |
เป็นขาดบุตรบิดาจนอาสัญ |
พอจบสารคลานก้มบังคมคัล |
ศรีสุวรรณอัญชลีพระพี่ยา
ฯ |
พระอภัยมีอาการรวนเร จึงตรัสกับศรีสุวรรณว่า พระองค์ป่วย ขอให้พระอนุชากับหลานรับไปกรุงรัตนา
แล้วช่วยกราบทูลว่า พระองค์เป็นโรคไข้อยู่ เมื่อโรคไข้คลายแล้ว จะไปถวายวันทาฝ่าธุลี
ศรีสุวรรณได้ฟังก็ทัดทานว่า ที่มีสารมาครั้งนี้ให้พระพี่ไปจัดการ ส่วนตนจะอยู่ดูข้างหลัง
ในราชสารสั่งมาเด็ดขาด ถ้าตนไปก็จะเป็นที่เคืองบทมาลย์ เหมือนขัดรับสั่งไม่บังควร
พระอภัยได้ฟังพระอนุชาว่า เป็นเรื่องรับสั่งจึงทำเป็นจับไข้ไม่สบาย ให้พระอนุชาพาทูตไปหยุดพัก
แล้วจะได้คิดอ่านกันต่อไป แล้วหยิบสารลานทองของสำคัญกลับเข้าไปในวัง พระอนุชาพาหลานกับทหารกลับมายังค่าย
คอยฟังข่าวพระเชษฐา
ฝ่ายพระอภัยก็แจ้งเรื่องการห้ามทัพให้ลูกสาวเจ้าลังกาทราบ รวมทั้งสารของพระบิดาให้ไปหา
แต่พระองค์บอกป่วย แล้วได้ทรงสัญญาจากนาง แต่นางทูลว่า การที่กองทัพของพระอนุชายังไม่ยกกลับไป
อาจจะหวนได้ทีเข้าตีกรุงลังกาได้ จึงขอให้พระอภัยคิดอ่านให้กองทัพกลับไป
พระอภัยได้ฟังจึงตรัสตอบว่า ถ้ากองทัพกลับเข้ามารบก็จะฆ่าเสียด้วยลมปี่ ส่วนพระชนกชนนีของพระองค์
ก็เจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย ถ้าพระองค์ไม่ไปหาใครจะมาว่ากล่าวได้ ส่วนกองทัพที่มาตั้งอยู่นั้น
นานไปก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คงเลิกทัพกลับไป เพราะอดอยากตรากตรำอยู่แรมปี
นางกษัตริย์ทูลตอบว่า ถ้ากองทัพกลับไปจากลังกา สมสัญญาแล้วก็จะไม่ห้ามตามพระทัยของพระอภัยที่ร้องขอ
สมบัติพัสถานทั้งหลายก็ขอถวายให้หมด จากนั้นก็หลีกออกมาที่ตึกลมชมจันทร เรียกสองธิดากับนางรำภาสะหรี
ให้จัดสรรนางกำนัล คอยดูแลอยู่งานรับใช้พระอภัย แล้วสั่งว่าถ้าพระอภัยถามถึงนางให้ทูลว่า
ไปเที่ยวตรวจทหารระวังการรบอยู่นอกกรุง
พระอภัยไม่เห็นองค์ละเวง จึงถามหาแล้วให้นางในไปเชิญมาพบพระองค์ นางในไปทูลให้นางทราบ
จึงบอกนางในให้ไปทูลพระอภัยว่า หาองค์ละเวงไม่พบ แล้วนางจึงตรัสเรียกนางยุพาให้ไปเฝ้าดู
ถ้าถามถึงนางก็ให้ทำเป็นไม่รู้ว่าอยู่ไหน พระอภัยเห็นนางยุพามาเฝ้า ก็ถามนางถึงองค์ละเวง
ค
นางยุพานารีชลีกราบ |
ลูกไม่ทราบว่าพระองค์อยู่ตรงไหน |
วานซืนนี้ที่พลับพลาลูกพาไป |
เจียนจะได้ผิดด้วยก็ป่วยการ |
แต่ร่วมอาสน์คลาดเคลื่อนไม่เหมือนคิด |
หรือจะติดตามกอกไปนอกสถาน |
เหมือนคเชนทรเจนขอเหลือหมอควาญ |
ใครจะหาญขี่ขับช่วยจับกุม
ฯ |
พระอภัยได้ฟังคำเปรียบเปรย จึงขอให้นางยุพาชาวยบอกว่า ถ้าไม่ได้ก็จะขอตายเสียให้พ้นทรมาน
นางยุพาจึงแนะนำให้พระอภัย ทำเป็นจะผูกศอให้มรณา แล้วตนจะช่วยแก้ จากนั้นก็จะไปทูลพระมารดาคงจะมาหาเป็นแน่
ขอแต่อย่าให้แจ้งว่าเป็นการแต่งกล พระอภัยให้ด้วยก็ทรงทำตามคำแนะนำ
ฝ่ายนางยุพาจึงไปทูลแจ้งให้พระมารดาทราบ นางกษัตริย์จึงรับมายังปราสาทของพระอภัย
เห็นพระองค์ทรงกระสันพันพระศอ |
เข้ายุดข้อหัตถาชิงผ้าได้ |
พระยุดแย่งแกล้งสะบัดทำขัดใจ |
นางกราบไหว้วอนว่าโศกาพลาง |
ฯลฯ
ความคิดใครไฉนหนอพ่อหรือลูก |
มาแกล้งผูกคอได้ไม่น่าขัน |
ทำย้อนยักซักซ้อมสมยอมกัน |
เถิดเช่นนั้นแล้วก็ไม่พอใจยอม |
ฯลฯ
จะผูกศอก็ไม่ผูกจะถูกหยิก |
ขืนจุกจิกหนีไปเสียให้หาย |
พระว่าพี่มิให้กอดจะวอดวาย |
ได้กอดกายแล้วก็ฟื้นค่อยชื่นใจ |
พลางโอบอุ้มจุมพิตสนิทถนอม |
งามละม่อมละมุนจิตพิสมัย |
ร่วมภิรมย์สมสองทำนองใน |
แผ่นดินไหวจนกระทั่งหลังอานนต์ |
ฯลฯ
สองสนิทชิดชมอารมณ์ชื่น |
ระเริงรื่นเริ่มแรกแปลกภาษา |
พระลืมองค์พงศ์พันธุ์สวรรยา |
นางลืมวังลังกาไม่อาลัย |
ฯลฯ
ตอนที่
๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทถูกเสน่ห์
ค
ครั้นรุ่งรางนางตื่นสะอื้นอ้อน |
ให้อาวรณ์ถึงญาติศาสนา |
เสียดายกายอายฝรั่งทั้งลังกา |
จะเอาหน้าหนีไปแฝงเสียแห่งไร |
ฯลฯ
เรียกธิดามาในห้องทองบรรทม |
ประชดชมเจ้าช่างคิดประดิษฐดี |
จะดับเข็ญเย็นได้เหมือนไฟดับ |
หรือจะกลับแสนแค้นแสนบัดสี |
ฯลฯ
ค
ฝ่ายยุพาผกาก้มหน้ายิ้ม |
ด้วยนึกอิ่มอารมณ์ที่สมหวัง |
จึงว่าพี่รำภาดูน่าชัง |
จะเหมือนดังเรื่องราวเขากล่าวไว้ |
ว่ารักนักมักหน่ายมักหายรัก |
ถ้าคิดนักมักงงมักหลงไหล |
แม้เสร็จศึกนึกหมายข้างภายใน |
แล้วจะได้ผ่อนผันตามปัญญา |
อันศึกนอกออกตีด้วยฝีปาก |
เห็นไม่ยากใจนักไม่หนักหนา |
เป็นการเบาเท่านี้พี่รำภา |
จะอาสาปราบได้ดังใจจง
ฯ |
นางกษัตริย์ได้ฟังคำเปรียบเห็นว่าเฉียบแหลม เห็นว่าจะสมประสงค์ เมื่อพระอภัยตื่นขึ้นก็ถวายดินถนันให้พระอภัยเสวย
เสวยอิ่มยิ้มย่องว่าน้องรัก |
ชอบใจนักที่ได้กินดินถนัน |
จะชุ่มชื่นยืนยึดสืบพืชพันธุ์ |
เป็นเพื่อนขวัญเนตรน้องอยู่ห้องใน
ฯ |
ค
นางคมค้อนอ่อนโอษฐว่าโปรดเกล้า |
พระคุณเท่าดินฟ้าชลาไหล |
แต่น้องนี้วิตกในอกใจ |
กลัวจะไม่เหมือนรสพจมาน |
เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก |
แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน |
ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน |
แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล |
ฯลฯ
นางกษัตริย์ทูลว่าโอรสกับอนุชามารับ เกรงว่าพระอภัยจะทิ้งขว้างนางไป พระอภัยตรัสตอบว่า
พระองค์นั้นเป็นตายอย่างไร ก็ไม่ยอมไป และเห็นว่าถ้าข้าวน้ำเสบียงหมด กองทัพก็จะอยู่ต่อไปไม่ได้
ให้ห้ามฝรั่งลังกาอย่าให้ใครเอาข้าวน้ำไปให้กองทัพ
ค
นางละเวงเกรงเหล่าชาวผลึก |
จะทำศึกว้าวุ่นจึงทูลเถียง |
พระน้องมาธานีจะมิเลี้ยง |
ก็ผิดเยี่ยงกษัตริย์ขัตติยา |
ฯลฯ
นางกษัตริย์เรียกนางรำภาสะหรีมาบอกให้ช่วยอย่าให้เกิดการรบพุ่ง โดยใช้ทางไมตรีบอกว่า
นางรำภาเคยสู้รบกับศรีสุวรรณมาก่อน ขอให้นางพูดล่อพอให้หลงลืมพงศ์พันธุ์ แล้วเอาตัวมาขังไว้ในวังก็จะสิ้นศึก
ค
ฝ่ายรำภาสะหรีชลีฉลอง |
พระคุณของบาทมูลไม่สูญหาย |
ถึงเสียตัวชั่วช้าชีวาวาย |
จะสู้ตายมิได้ขัดพระอัชฌา |
นางกษัติรย์จึงให้นางรำภาเรียนมนต์ เพื่อผูกใจศรีสุวรรณแล้วให้ถือหนังสือไปให้ศรีสุวรรณ
ขอบาญชีที่ทัพจะรับเลี้ยง พร้อมทั้งมอบเครื่องของสองกษัตริย์ ว่าเป็นนางให้ไป
นางรำภารับรับสั่งแล้ว ออกมาจัดแจงแต่งตัวให้เหล่าข้าหลวงเชิญเครื่องทองของประทานทั้งหวานคาว
รวมทั้งหีบทองของนางที่ใส่เครื่องเสกผ้าเช็ดหน้าบุหงาสด ออกจากวังไปยังค่ายแล้วบอกนายประตูว่า
ตนชื่อรำภาสะหรี จะมาเฝ้าพระอนุชาศรีสุวรรณ
ศรีสุวรรณให้นางเข้าเฝ้า พอเห็นหน้านางเข้าก็ต้องมนต์นึกรักนางจนหลงไหล แล้วถามนางว่า
มาด้วยการใด นางรำภาทูลตอบว่า องค์พระมเหสีทำโต๊ะถวายทั้งสองพระองค์ เหมือนหนึ่งเป็นวงศา
ส่วนตนนั้นหมายมาขอลุแก่โทษ
อันหีบทองของใส่มาในนั้น |
ของหม่อมฉันขอสมาที่ว่าขาน |
กับซับพักตรชักมาคราวป่าตาล |
ของประทานโทษกายถวายคืน
ฯ |
ศรีสุวรรณตรัสตอบไม่ถือโทษนาง ได้ตรัสเกี้ยวพาราสีนางด้วยประการต่าง ๆ แล้วถอดเพชรกุหร่าราคาพัน
ให้รางวัลนาง ออกโอษฐประทานพานพระศรีแก่นาง
ค
นางคำนับรับแหวนแสนสุภาพ |
ทำเกรงกราบกิริยาอัชฌาสัย |
ซึ่งออกโอษฐโปรดปรานประการใด |
จะรับใส่เศียรสิ้นด้วยยินดี |
ฯลฯ
นางก็ทูลถ่อมตนด้วยประการต่าง ๆ ทูลว่ามีรับสั่งให้มาเฝ้าแล้ว ขอให้พระอนุชาอ่านสารของพระอภัย
ในสารนั้นมีความว่า พระเชษฐาประชวรจึงยังไม่ไปเมืองรัตนา ขอให้พระอนุชาไปเฝ้าพระชนกชนนีแทน
ถ้าพระอนุชาสงสัยก็ขอให้ไปเยี่ยมพระองค์ในวัง ศรีสุวรรณอ่านแล้วก็รู้ทัน พอเห็นสินสมุทเข้ามายังพลับพลาชัย
จึงให้อ่านสารนั้น สินสมุทอ่านแล้วก็รู้ทัน จึงแกล้งพูดว่า เป็นโรคประหลาดดูอาการแล้ว
ใกล้จะถึงสวรรค์ครรไล
พระอนุชาทัดทานนัดดาว่า อย่าได้กล่าวเช่นนั้นให้คอยฟังข่าวคราวดูก่อน แล้วแกล้งถามนางรำภาว่า
เมื่อไรนางจึงจะออกมาบอกกันอีก นางรำภาทูลตอบว่า จะมาเฝ้าอีกได้ก็ต่อเมื่อสองกษัตริย์
จะโปรดใช้มา
ศรีสุวรรณตรัสเกี้ยวพาราสีนางรำภาอีก นางก็ทูลถ่อมตนด้วยประการต่าง ๆ ศรีสุวรรณจึงตรัสแก่นาง
ให้ไปทูลพระมเหสีว่า จะไปเฝ้าพระเชษฐาพรุ่งนี้เช้า
สินสมุทได้ฟังเห็นพระเจ้าอาสั่งซ้ำ จึงทูลว่าพระบิดาก็หลงคลั่งอยู่วังใน แล้วพระเจ้าอายังจะไปเข้าซองเป็นสองโรงอีก
แต่ศพเดียวเคี่ยวเข้มก็เต็มปล้ำ |
ยังจะซ้ำตายต้องเป็นสองศพ |
จนชั้นอีขี้ข้าไม่น่าคบ |
ขืนเร้ารบรักใคร่เป็นไมตรี
ฯ |
พระอนุชาจึงตรัสกับสินสมุทว่า ไม่ต้องการให้ฝ่ายเขาอดสู ชั่วดีอย่างไรก็รู้อยู่
ก็ปราศัยไต่ถามไปตามเล่ห์ |
มาโมเวว่ากล่าวให้ร้าวฉาน |
วิสัยชายหมายชู้คู่สำราญ |
ก็เกี้ยวพานพูดจาให้น่าฟัง |
เขาบอกกล่าวข่าวไข้มิไปเยี่ยม |
ผิดธรรมเนียมเยี่ยงอย่างแต่ปางหลัง |
ฯลฯ
แล้วศรีสุวรรณก็ให้ยกหีบทองเข้าไปในห้องไขประแจดู เห็นเครื่องต้นสุคนธ์ธารกับผ้าเช็ดหน้า
ก็ต้องมนต์ของนาง สินสมุทกับสามพราหมณ์พี่เลี้ยง หมอบดูอยู่เห็นอาการของศรีสุวรรณแล้ว
ก็ทูลเตือนให้ได้คิด แต่ศรีสุวรรณไม่ฟังคำจึงกลับมาปรับทุกข์กันว่า จะคิดอ่านแก้ไขอย่างไรดี
เห็นว่าตอนนี้ต้องปล่อยไปก่อน พอปลายปีจึงจะมีผู้มาช่วย สินสมุทบอกว่า จะต้องตามไปช่วยระวัง
ให้สามพราหมณ์คุมไพร่พลไปอยู่ที่ประตูวัง เมื่อพลาดพลั้งจะได้แก้ไขกัน
ค
เจ้าพราหมณ์ตอบชอบอยู่อย่าดูหมิ่น |
ชาติทมิฬเหมือนยักษ์มักกะสัน |
แต่ครั้งนี้ฉันเห็นไม่เช่นนั้น |
เป็นกลกันช้างโขลงเข้าโรงใน |
จะทำต่อล่อลวงเหมือนบ่วงดัก |
ด้วยความรักรัดตีนดิ้นไม่ไหว |
พรุ่งนี้พระจะรักษาพระอาไป |
ที่วังในนั้นเหมือนหลงเข้าดงรัก |
ฯลฯ
แม้หลงเลยเชยชมเข้าสมทบ |
เหมือนสองศพแล้วมิหนำยังซ้ำสาม |
อันพวกพลมนตรีกับพี่พราหมณ์ |
จะถึงความมรณาชีวาลัย
ฯ |
สินสมุทบอกว่าในชาตินี้ตนไม่หลง แม้มีนางฟ้ามาล่อก็ไม่พอใจ จะตบเสียให้ย่อยยับไป
แต่การที่พระอามาเป็นไปเช่นนี้ เป็นการเสียศักดิ์ศรีและน่าอดสู จะแก้ไขอย่างไรก็สุดรู้
ฝ่ายนางรำภามาถึงวังก็ไปทูลแถลงแจ้งคดีแก่องค์วัณฬาทุกประการ
ค
นางละเวงเกรงกริ่งลงนิ่งตรึก |
เห็นเสร็จศึกสมมาตปรารถนา |
จึงว่าเจ้าเอาธุระที่พระอา |
นางยุพาข้าจะวานผูกหลานไว้ |
ฯลฯ
แล้วนางกษัตริย์ก็ไปหานางยุพา เล่าความตามที่นางรำภาเล่าให้นางคิดอ่าน เอาสินสมุทไปขังไว้ในวัง
เจ้าช่วยล่อพอละเลิงด้วยเชิงรัก |
คอยรับพักตรผูกจิตพิสมัย |
พระมนต์ขลังสั่งสอนแต่ก่อนไร |
ผู้ใดใกล้ได้กลิ่นก็ยินดี
ฯ |
นางยุพาได้ฟังก็สุดที่จะขัดคำได้ จึงทูลตอบว่าตนไม่รักยักษ์มาร แต่ถ้าลวงล่อพอให้ตายก็ยินดีทำได้
องค์ละเวงจึงว่ากล่าวแก่นางว่า ถ้าไปฆ่าสินสมุทก็จะเป็นที่ระคายเคืองแค้น
เกิดทุกข์เข็ญ เพราะเหตุว่าเชื้อสายตายไม่หมด
อันสตรีนี้จะเลือกรูปบุรุษ |
ก็ยากสุดแสนเข็ญไม่เป็นผล |
เหมือนหนึ่งแม่แต่แรกไม่แปลกปน |
แต่จำจนด้วยเจ้าทำให้จำเป็น |
ฯลฯ
นางยุพาได้ฟังก็ยอมรับคำทำตาม
นี่เหล่ากอหน่อเนื้อเป็นเชื้อแถว |
ไม่เลือกแล้วลูกจะรักให้หนักหนา |
ถึงจะเถือเนื้อกินไม่นินทา |
พระแม่อย่าเคืองขัดถึงตัดรอน
ฯ |
ค
นางชื่นชอบตอบว่าอย่าประชด |
เมื่อถึงบทกลัวจะรักไม่พักสอน |
พรุ่งนี้ผัวตัวจะมาหาบิดร |
เจ้าจงงอนให้ออกชดเป็นรถทรง |
นางกษัตริย์มาเฝ้าพระอภัย ทูลแนะนำเรื่องที่จะกระทำในวันรุ่งขึ้น
ศรีสุวรรณพร่ำรำพึงนึกถึงนางรำภาจนฟั่นเฟือนลืมสติคิดว่ารุ่งสางแล้ว แต่ไพร่พลยังไม่ตื่น
ออกไปปลุกทหารจนวุ่นวาย พอได้สติจึงกลับเข้าพลับพลา สินสมุทกับสามพราหมณ์ทราบเรื่องก็ปรึกษากัน
แต่ก็ไม่รู้ที่จะผ่อนผันฉันใดดี
ฝ่ายองค์พระอนุชาแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วออกมาที่หน้าฉาน เห็นหลานรักพร้อมทั้งไพร่พลรอเฝ้าอยู่จึงตรัสถามพระนัดดาตอบว่า
พระบิดาประชวร ตนจึงควรตามไปฟังข่าวที่ในวัง
ค
ศรีสุวรรณอั้นอ้นให้จนจิต |
จะห้ามผิดเยี่ยงอย่างแต่ปางหลัง |
ถึงมิให้ไปตามห้ามมิฟัง |
แต่รอรั้งตรึกตราไม่พาที |
แล้วให้พระนัดดาเป็นสารถีออกจากค่าย โดยมีสามพราหมณ์คุมไพร่พลติดตามมา เมื่อถึงประตูเมืองจึงบอกนายประตูว่า
โอรสกับพระอนุชามาเฝ้าองค์กษัตริย์
นายประตูนำความไปบอกองค์ละเวง นางจึงสั่งให้นางรำภาสะหรีออกไปรับพร้อมกับขรัวนาย
นางรำภาจัดแจงแต่งกายแล้วพาขรัวนายออกไปรับถึงประตู เห็นพระอนุชาอยู่บนรถ
จึงคำนับแล้วทูลว่ามีรับสั่งให้มารับเข้าไปที่ในวัง
เสด็จจากรถทรงด้วยองอาจ |
พระหน่อนาถตามเสด็จไม่เข็ดขาม |
เข้าในวังลังกาสง่างาม |
รำภาตามทูลหนทางมาข้างใน
ฯ |
ฝ่ายองค์ละเวงวัณฬาออกมานั่ง มีสนมอยู่พร้อมหน้า นางยุพามายังห้องทอง
อาบน้ำจัดแจงแต่งกายแล้วมาเฝ้า
นางกษัตริย์
ในตำแหน่งราชบุตรี นางดูพระธิดาแล้วนึกกริ่มกระหยิ่มใจ
พอองค์พระอนุชาถึงปราสาท |
ทั้งหน่อนาถนางรำภาอัชฌาสัย |
ยิ่งชื่นชมสมประสงค์จำนงใน |
จึงเชิญให้นั่งยังบัลลังก์รัตน์ |
พนักงานพานสลาออกมาตั้ง |
ถวายทั้งพี่น้องสองกษัตริย์ |
บ้างนบนอบหมอบกรานอยู่งานพัด |
นางแกล้งตรัสปราศรัยเป็นไมตรี |
ฯลฯ
พระอนุชาก็ตรัสตอบนางทางไมตรี แล้วถามการประชวรของพระเชษฐา นางกษัตริย์ก็ตอบให้ชอบใจแล้วแกล้งเตือนให้นางยุพาทำความเคารพสินสมุทในฐานะที่เป็นพี่
นางยุพาสบตาสินสมุทแล้วภาวนาอาคมทำให้สินสมุทเกิดความซาบซ่านเสียวรักแต่หักอารมณ์ไว้ได้
องค์ละเวงเห็นดังนั้นเกรงว่าจะไม่สมประสงค์ จึงบอกธิดาให้เอาดอกไม้ไปให้สินสมุท
เมื่อสินสมุทรับมาดมก็ต้องมนต์ สุดจะห้ามรักหักไว้ได้ ตอบขอบคุณนางแล้วถามชันษาของนาง
แต่นางไม่ยอมบอก นางละเวงเกรงความละลามลวนจึงพูดจาแก้ไขให้
ยุพานั้นวันพุธเขาพูดมาก |
เสาร์เป็นปากวาจาว่าใจหาย |
ระกาไก่ได้สิบเก้ากับเดือนปลาย |
จะถวายให้เป็นน้องของพระองค์ |
ฯลฯ
แล้วสินสมุทกับนางยุพาก็พูดจาแก้เกี้ยวกันไปมา ศรีสุวรรณเห็นว่านัดดาแพ้จึงพูดแก้เกี้ยวกับรำภาแล้วถามนางว่าอยู่ตำหนักไหนเพื่อจะได้แวะไปเยี่ยม
นางรำภาทูลที่อยู่ของนางอยู่ที่ตึกขวางข้างปรัศว์อัฒจันทร์ เป็นห้องเล็กคับแคบไม่คู่ควรที่พระอนุชาจะไปสู่
ค
พระว่าพี่นี้หรือไม่ถือศักดิ์ |
ถ้าใครรักรักจนตายไม่หน่ายหนี |
เหมือนหนึ่งเจ้าเผ่าพงศ์วงศ์ผู้ดี |
ทั้งเป็นที่ท่านเจ้าเมืองก็เลื่องลือ |
ฯลฯ
ถึงคับทื่มีผัวว่าอยู่ได้ |
แต่คับใจอยู่ยากลำบากเหลือ |
เจ้าเป็นโสดโปรดปรานเหมือนว่านเครือ |
ช่วยแผ่เผื่อพี่บ้างอย่าหมางเมิน
ฯ |
องค์ละเวงได้ฟังแล้วเห็นว่าถ้าจะนั่งอยู่ด้วยก็จะเกิดความขวยเขิน จึงแสร้งสั่งนางรำภาให้ไปจัดพระปรัศว์แท่นทองเป็นห้องกั้นให้
แล้วให้นางเป็นคนปรนนิบัติหัดกำนัล ให้คอยดูแลพระอนุชา แล้วสั่งบุตรีให้จัดห้องของตนให้สินสมุทผู้เป็นเชษฐาพักตามประสาที่เป็นวงศ์วานกัน
ส่วนตัวนางเองจะไปดูแลองค์กษัตริย์
พระอภัยคอยสดับตรับฟังอยู่ได้รู้ความ แล้วก็ชอบใจ เห็นว่าศรีสุวรรณนั้นชำนาญการเกี้ยว
แต่สินสมุทนั้นสุดเคอะเลอะเทอะแท้ จะใคร่แก้แทนลูกให้ถูกใจ พอองค์ละเวงมาเฝ้าแล้วทูลแจ้งแถลงไขว่า
จะปัดป้องทัดทานก็เกรงหน่อไทกับพระอนุชา
ค
พระพาทีมิให้ดังว่าชั่งเขา |
จะยั่วเย้ายุให้รักนั้นหนักหนา |
เหมือนพันผูกปลูกฝังไว้ลังกา |
อย่าไปว่าเขาเลยน้องไม่ต้องการ |
ฯลฯ
สินสมุทเฝ้าเซ้าซี้ให้นางยุพาไปจัดห้อง ศรีสุวรรณก็ถามหาห้องปรัศว์ที่จัดไว้เพื่อที่จะขอเอนหลัง
ค
นางรำภาว่าพุคะจะไปจัด |
แล้วลาลัดเลยไปเสียให้หาย |
เข้าห้องนอนซ่อนหน้าระอาอาย |
วันนี้ชายชิดแล้วไม่แคล้วเลย |
ฯลฯ
นางนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วก็คิดกระอักกระอ่วนป่วนอารมณ์ แล้วนึกอายที่จะต้องเคล้าคลึงแล้วมีท้อง
สินสมุทอ้อนออดนางยุพาให้จัดห้องอย่างที่นางรำพาจัดให้พระอา นางยุพาก็พยายามพูดจาบ่ายเบี่ยง
สินสมุทสู้คารมนางไม่ได้จึงเฝ้าอ้อนวอนนางอยู่ พอองค์ละเวงมาบอกพระอาการของพระอภัยว่าพอประทัง
พระอภัยก็แกล้งบอกว่าพระองค์เจ็บหนัก หากแต่ได้ยาดีมาแก้ไว้ทันจึงรอดไม่วอดวาย
แล้วชักม่านปิดอยู่ห้องใน
พอพลบค่ำองค์ละเวงก็พาหน่อไทไปที่ห้องของธิดา บอกให้นางยุพาคอยปรนนิบัติ สินสมุทมีความยินดีบอกว่าพระชนนีมีเมตตา
จะซื่อสัตย์ปฎิญาณเหมือนมารดา |
อยู่ลังกากับพระชนนี |
นางโฉมยงสงสารด้วยหวานหู |
แสร้งค้อนขู่นางยุพามารศรี |
ฯลฯ
กำชับนางยุพาแล้วออกมาเห็นพระอนุชานั่งคอยอยู่ จึงเรียกบุตรีสุลาลีวัน ให้เชิญพระอาไปที่ห้องที่เตรียมไว้
คือตึกทองห้องที่สะบุรีอยู่ นางรำภาก็เข้ามาเฝ้าปรนนิบัติ ศรีสุวรรณเสวยน้ำจัณฑ์จนเมาหลับไป
ฝ่ายสินสมุทเฝ้าเกี้ยวพาราสีนางยุพา นางพยายามเบี่ยงด้วยประการต่าง ๆ สินสมุทก็ไม่ละความพยายาม
ค
พระกอดเกี้ยวเกลียวกลมประทมประทับ |
นางคำนับน้อมรักสมัครสมาน |
ไม่ห่างเหินเพลินเชิงละเลิงลาน
|
เหมือนคชสารสู้หมอลงขอฟัน |
ฯลฯ
ด้วยรุ่นสาวคราวหนุ่มต่างชุ่มชื่น |
ลืมอื่น
ๆ อับอายก็หายหมด |
นางยุพาแต่ก่อนนั้นงอนชด |
ครั้นรู้รสเชิงชายเหือดหายงอน |
ฯลฯ
ประทานโทษโปรดน้องขอรองบาท |
จนสิ้นชาติชาตินี้ไม่หนีหาย |
ไม่แกล้งว่าฟ้าผี่ถ้าผัวตาย |
มิให้ชายอื่นมาเป็นสามี
ฯ |
ฝ่ายศรีสุวรรณตื่นบรรทมตอนเช้าแล้ว ตามหานางรำภามาพบที่ห้องสมุด จึงเข้ามาเกี้ยวพาราสี
นางรำภาก็ทัดทานบ่ายเบี่ยงด้วยประการต่าง ๆ
อย่าหยอกเล่นเช่นนั้นหม่อมฉันแค้น |
ที่ข้างแท่นถมไปสิไม่เหวย |
มาลักโลมโจมจู่เหมือนชู้เชย |
ฉันไม่เคยคบชายให้อายใจ
ฯ |
นางรำภาต่อคำศรีสุวรรณด้วยประการต่าง ๆ
จะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูอยู่ที่นี่ |
มเหสีเคยคู่จะอยู่ใน |
ไม่ถึงปีนี่ก็จะสละไป |
กลัวจะไม่เหลียวหลังดูลังกา |
ฯลฯ
ค
พระว่าห้ามความอื่นพอขืนหัก |
จะห้ามรักนี่พี่ห้ามปราบไม่ไหว |
วาสนาแม้ว่าพี่มีฉันใด |
จะเลี้ยงให้แม้เหมือนไม่เคลื่อนคลาย |
ฯลฯ
แม่ชุบเลี้ยงหม่อมฉันอย่างนั้นแน่ |
สุดแล้วแต่ทูลกระหม่อมจะยอมหมด |
แต่โปรดรอพอตะวันลับบรรพต |
นางเปลื้องปลดปลิดหัตถ์สบัดกร
ฯ |
ค
พระกอดแอบแนบเนื้อว่าเหลือรัก |
สุดจะหักห้ามหายนะสายสมร |
พระสุริยันนั้นสว่างกลางอัมพร |
เรานั่งนอนอยู่ในตึกนี้ลึกลับ |
ฯลฯ
พลางอิงแอบแนบชิดจุมพิตพักตร |
นางพลิกผลักพระหัตถ์คอยขัดขวาง |
แล้วว่าพระจะมาคิดให้ผิดทาง |
อายสีสางเทวดาหนักหนานัก
ฯ |
ศรีสุวรรณไม่ฟังนาง พยายามเล้าโลมจนเป็นผลสำเร็จ
พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมสมสังวาส |
ไม่เคลื่อนคลาดเคล้าเคล้นเหมือนเช่นฝัน |
ดวงดาวเดือนเกลื่อนสว่างออกกลางวัน |
อัศจรรย์จวนเที่ยงเหมือนเสียงโทน |
ฯลฯ
ค
นางลืมกายหายกลัวมีผัวลูก |
เหมือนเพชรถูกน้ำค้างสว่างไสว |
เฝ้าหมอบเมียงเคียงชิดด้วยติดใจ |
ขออภัยได้ผิดพลั้งแต่หลังมา |
อย่าถือโทษโปรดน้องขอรองบาท |
จนสิ้นชาติสิ้นชีวังสิ้นสังขาร์ |
แม้ทิ้งขว้างห่างเหให้เอกา |
ต้องน้อยหน้าน้องจะขอเชือดคอตาย
ฯ |
ทั้งสามองค์หลงสามนางด้วยประการดังกล่าว อุปมาเหมือนหนึ่งหนังตั้งประชัน
พระปิตุรงค์หลงเพลงละเวงน้อย |
พระน้องพลอยรักรำภาหลับตาฝัน |
โอรสหลงองค์ยุพาวิลาวัณย์ |
เหมือนช้างมันหมอชโลงโยงเข้าซอง |
ฝ่ายสามพราหมณ์รออยู่ที่ประตูนอก เมื่อไม่เห็นกลับออกมาสักองค์ก็นึกสงสัย
เห็นว่าผิดประหลาด พอรุ่งเช้าก็เข้าไปสั่งอีกครั้ง ให้ทูลถึงองค์พระอนุชาและโอรสว่า
ถ้าไม่ได้พบกันจะพาพวกเสนาเข้าไปตาม ศรีสุวรรณได้รับทราบแล้ว จึงให้สินสมุทไปสั่งความแก่สามพราหมณ์ให้เลิกทัพกลับไป
สามพราหมณ์รู้ว่าคลั่งกำลังหลง พยายามพูดจาให้เหตุผล
ฟังพี่ว่าอย่าไปอยู่ศัตรูเก่า |
จะมัวเมาว่านยาเป็นบ้าหลัง |
แม้ว่ากล่าวคราวนี้ถ้ามิฟัง |
เหลือกำลังแล้วก็เห็นไม่เป็นการ |
ฯลฯ
สินสมุทไม่ฟังคำสามพราหมณ์คืนกลับไปในวัง สามพราหมณ์ปรึกษาความกันตกลงจะบอกข่าวเรื่องราวไปเมืองผลึก
ถึงองค์พระมเหสีเชิญสุดสาครมาไล่ผีฝรั่งเมืองลังกา
เห็นพร้อมจิตคิดทำเป็นคำบอก |
ใส่กลักพอกครั่งปิดผลิดฝา |
ให้ม้าใช้ไปยังฝั่งชลา |
ลงเภตราข้ามคุ้งไปกรุงไกร
ฯ |
ตอนที่
๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
ฝ่ายสุวรรณมาลีคิดถึงพระอภัยที่ไปทัพ พอตกดึกคืนวันหนึ่งก็ฝันว่า
ว่าเดือนหงายฉายช่วงดวงกระเด็น |
มาติดเป็นเพลิงร้อนเผากรกาย |
แล้วสตรีมีศัสตราวิ่งมาตัด |
ทั้งสองหัตถ์นางนาฎนั้นขาดหาย |
ความเจ็บแสบแทบไม่รอดจะวอดวาย |
พอมีชายเหาะมาแต่ประจิม |
เอาน้ำมันมาให้ใส่เป็นขวด |
ที่เจ็บปวดหายเห็นเป็นปัจฉิม |
แล้วหยิบซ้ำทิพรสให้ซดชิม |
นางกลืนอิ่มอมฤกรู้สึกองค์ |
ฯลฯ
พอรุ่งขึ้นจึงให้หาโหรมาเล่าความฝันให้ฟัง
พระโหรดูรู้โชคโฉลกวัน |
ฝันว่าจันทรแจ่มฟ้าในราตรี |
ต้องตำราว่าหญิงช่วงชิงคู่ |
ไปเป็นชู้เชยชมประสมศรี |
ซึ่งเดือนหงายกลายเห็นเป็นอัคคี |
ต้องอินทรียสายสมรให้ร้อนรน |
จะเกิดความลามลุกเป็นยุคเข็ญ |
ให้จำเป็นรวนเรระเหระหน |
ซึ่งหัตถ์ขาดญาติที่รักร่วมพระชนม์ |
จะมีคนเขามาพรากให้จากไป |
ซึ่งมีผู้รู้วิชาคืออารักษ์ |
จะช่วยชักชายแก่มาแก้ไข |
อันกลืนน้ำอมฤกนึกสิ่งไร |
ก็จะได้เสร็จสมอารมณ์ยิน |
ฯลฯ
แล้วทูลว่าวันนี้จะมีข่าวมาบอกกล่าวจากทางทิศทักษิณ เมื่อโหรทูลลาไปแล้ว
ผู้ถือหนังสือของสามพราหมณ์ก็มาถึงทูลความเรื่องกองทัพ พระนางให้เปิดใบบอกออกอ่านมีความว่าพราหมณ์วิเชียร
โมรากับสานนท์ที่ไปทัพตีได้ด่านจนถึงลังกา นางละเวงเกรงทัพไม่ทำการรบ แต่กลับใช้เสน่ห์เล่ห์กลจนทั้งสามองค์หลงกล
วอนว่าอย่างไรก็ไม่ฟัง องค์กษัตริย์รักละเวง พระอนุชารักนางรำภา หน่อกษัตริย์สินสมุทรักพระบุตรียุพาผกา
ได้เข้าไปอยู่ในวังทั้งหมดแล้วให้กองทัพกลับเมืองผลึก ตนเกรงว่าฝรั่งจะทำร้ายทั้งสามองค์เมื่อปลายมือ
ข้าพเจ้าเหล่านี้สิ้นที่พึ่ง |
จนใจจึงแจ้งความตามหนังสือ |
เหมือนดินหูอยู่ใกล้กองไฟฮือ |
ลมกระพือพัดวับดับชีวัน |
ฯลฯ
พระมเหสีฟังเรื่องแล้วให้เคืองขัดอัดอั้น นึกตำหนิสินสมุทกับพระอนุชา
ดำริพลางนางว่ากับข้าเฝ้า |
พระผ่านเกล้ากลับชาติศาสนา |
จำจะตามข้ามฝั่งไปลังกา |
ให้เรือใช้ไปหาสุดสาคร |
แล้วก็ให้ไปบุรีรมจักร |
แจ้งพระอัคเรศความตามอักษร |
เร่งชำระพระที่นั่งเรือมังกร |
กับเรือจรเจ็ดลำเป็นกำลัง |
แล้วพระมเหสีก็นำความไปทูลพระชนนี แล้วขอทูลไปลังกาพร้อมพระธิดาทั้งสององค์
พระมารดาว่าใคร่จะไปด้วย แต่
พระนางทูลว่าขอให้อยู่ดูแลเมือง
ส่วนตนไปครั้งนี้ถ้าการไม่สำเร็จจะไม่ขอกลับเมือง
ค
ฝ่ายเสนามานั่งสั่งเสมียน |
ให้เร่งเขียนสารสองบุรีศรี |
ครั้นเสร็จสรรพพับปิดผนิดดี |
ให้เสนีเรือใช้รีบไคลคลา |
ฯลฯ
พระมเหสีกับสองธิดาลงเรือเดินทางไปลังกาได้เจ็ดวันก็ถึงเขตเมืองลังกา ขึ้นไปเมืองใหม่
เมื่อกองทัพรมจักรทราบว่าพระมเหสีกับบุตรีมาก็พากันมาเฝ้า
ค
นางตรัสสั่งทั้งหลายพวกนายทัพ |
เราจะยับยั้งทหารชาญสมร |
ถึงช้าหน่อยคอยท่าสุดสาคร |
มาถึงก่อนจึงจะยกขึ้นบกไป |
ฯลฯ
ฝ่ายเรือข่าวชาวผลึกแล่นไปถึงเมืองการะเวก เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงแล้วอ่านสารมีความว่า
พระมเหสีสุมาลีขอเชิญพระโอรสให้รีบตามไปยังเมืองลังกาเพื่อช่วยพระบิดา ขณะนี้ทั้งพระพี่ยาและพระอาได้ไปพบรักอยู่ในวัง
แล้วยกความพราหมณ์บอกนั้นออกอ่าน |
ราชสารเบื้องต้นแต่หนหลัง |
พระลูกยามาช่วยด้วยสักครั้ง |
แม่จะรั้งรอท่าอย่าช้าการ
ฯ |
ค
กษัตริย์สุริโยทัยได้สดับ |
เป็นเรื่องรับรสรักสมัครสมาน |
ผิดขนบรบสู้แต่บุราณ |
จึงบรรหารตรัสว่าสุดสาคร |
ฯลฯ
สั่งให้รีบพาสองน้องรักรีบไปช่วย กำชับอย่าให้ไปเข้าด้วยกับฝรั่ง
อย่าคบค้าฝรั่งจะพลั้งพลาด |
ตัดให้ขาดความรักหักประหาร |
ช่วยชีวิตบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน |
สำเร็จการแล้วก็พากันมาเมือง
ฯ |
สุดสาครทูลว่าตนยังทรงหนังเสือเหลืองอยู่เหมือนหนึ่งเณร ยังคำนึงถึงความเป็นนักบวชอยู่
พระบิดาก็เตือนว่าอย่าเชื่อหนังเสือเหลืองนัก
ท่านผู้รู้สำเร็จยังเข็ดรัก |
ไม่ปลอมปลักปลีกไปเสียไพรสาณฑ์ |
แม้อยู่เฝ้าเคล้าเคลียจะเสียการ |
จงคิดอ่านออกองค์ให้จงดี
ฯ |
ค
พระรับสั่งบังคมประนมสนอง |
ไม้เท้าของครูให้เคยไล่ผี |
ถึงเสน่ห์เล่ห์ลมอาคมดี |
เอาไม้ตีหายฤทธิ์ประสิทธิ์นัก |
ฯลฯ
แล้วทูลว่าที่โปรดให้ไปกับสองพระน้องนั้น ขอให้กนิษฐาอยู่รับใช้พระบิดา ตนจะพาองค์อนุชาไปผู้เดียวจะได้ปรึกษากัน
นางเสาวคนธ์ได้ฟังก็น้อยใจที่สุดสาครไม่ให้ไปด้วย หาว่าไม่เที่ยงธรรม พระปิตุราช
มาตุรงค์จึงว่าอนุชาเป็นชายจึงควรไป ส่วนตัวเป็นหญิงควรจะอยู่ควรอยู่ดูแลพวกสุรางค์นางกำนัล
แล้วตรัสสั่งเสนาวายุพัด |
จงเร่งรัดยาตราโยธาหาร |
ให้พี่น้องสองตามความสำราญ |
ทั้งตัวท่านจงไปด้วยช่วยระวัง
ฯ |
สุดสาครกับหัสไชย เดินทางเรือไปตามแผนภูมิ คิดถึงเสาวคนธ์ที่เคยเดินทางไปด้วยกัน
พอตกค่ำยามเย็นก็สั่งให้สาวสวรรค์ ร้องดอกสร้อยลำนำ
สั่งให้เหล่าสาวสุรางค์นางน้อยน้อย |
ร้องดอกสร้อยลำนำเฉื่อยฉ่ำเสียง |
ประสานซอหน้าทับรับจำเรียง |
เสียงพร้อมเพรียงเพราะพร้องทำนองใน |
ฯลฯ
หัสไชยให้พระพี่ช่วยตีทับ ส่วนตนขับตามประชาอัชฌาสัย สุดสาครชมว่าอนุชาขับได้เพราะพริ้ง
จึงขับบ้าง
โอ้ยามหนาวดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย |
น้ำค้างคอยพร่างพรมเมื่อลมหวน |
คิดถึงเนื้อเจือจันทน์ยิ่งรัญจวน |
เหมือนขะชวนชื่นจิตคิดคนึง |
ฯลฯ
แล้วทั้งสองก็พากันหลับไป
ค
สุดสาครนอนวันนั้นก็ฝันร้าย |
ว่าลงว่ายกลางมหาชลาไหล |
ไม่เห็นฝั่งดังชีวันจะบรรลัย |
ปะงูใหญ่ผุดขึ้นพบได้รบกัน |
มันกอดเกี้ยวเกลียวกลมจมสมุทร |
ทะลึงผุดเพียงชีวาจะอาสัญ |
แต่พอแม่มัจฉาว่ายมาทัน |
ให้ดื่มถันกล้ำกลืนค่อยชื่นใจ |
พระโยคีที่เป็นครูมาอยู่ด้วย |
ที่เจ็บป่วยบาดแผลท่านแก้ไข |
พอพลิกฟื้นตื่นตะลึงคะนึงใน |
จนรุ่งให้โหรทายให้หายแคลง
ฯ |
ค
โหรชำระพระสุบินจนสิ้นเสร็จ |
ไล่ฤกษ์เกร็ดคูณหารวิตถารแถลง |
ฝันว่าว่ายสายสมุทรจนสุดแรง |
จะพลัดแพลงถิ่นฐานรำคาญเคือง |
ซึ่งงูรัดกับขบจะพบคู่ |
ได้สบสู่กับสตรีฉวีเหลือง |
ข้างต้นร้ายปลายมื้อรื้อประเทือง |
จะรุ่งเรืองฤทธิรงค์สืบวงศ์วาน
ฯ |
เดินทางมาได้สิบห้าคืน โดยไม่หยุดก็ถึงฝั่งลังกาท่าสงคราม แล้วชวนหัสไชยไปเฝ้าพระมเหสี
ได้พบกับสร้อยสุวรรณ จันทรสุดา ออกมาไหว้ผู้เป็นพี่เป็นที่ชื่นชมหรรษา
พระมเหสีตรัสให้สุดสาครไปช่วยแก้ไขทั้งสามองค์ให้กลับฟื้นคืนมา สุดสาครทูลตอบว่า
การที่จะแก้ไขนั้น ถ้าอยู่ห่างก็ไม่แน่ ต้องไปดูให้เห็นประจักษ์
นางตรัสตอบชอบแล้วลูกแก้วแม่ |
เหมือนช่วยแก้เกียรติยศที่อดสู |
แต่ระวังครั้งนี้ดังตีงู |
มันคงสู้หมอแล้วไม่แคล้วเลย |
ฯลฯ
แล้วพระมเหสีก็สั่งการให้กองทัพให้เตรียมยกไปลังกา พอรุ่งสว่างก็ยกกำลังออกไป
ถึงดงตาลด่านกลางขุนนางพร้อม |
ต่างนบน้อมนางกษัตริย์ตรัสปราศัย |
ประทานทรัพย์เสื้อผ้าแล้วคลาไคล |
เสด็จไปถึงเข้าเจ้าประจัญ |
เห็นปืนรายค่ายคูประตูด่าน |
ป้อมปราการแม้นเหมือนหนึ่งเขื่อนขัณฑ์ |
ยังตีได้ไม่ข้ามถึงสามวัน |
สติปัญญาเลิศประเสริฐชาย |
ฯลฯ
ออกจากเขาเจ้าประจัญเสียงครั่นครึก |
เข้าดงลึกแดนด่านห้วยธารไหล |
เป็นป่าหลวงจวงจันทน์พรรณดอกไม้ |
ทั้งเปลือกใบรากหอมมีพร้อมเพรียง |
ฯลฯ
ออกทุ่งกว้างทางเลี่ยนเตียนตะล่ง |
พออัสดงเดือนกระจ่างสว่างไสว |
รีบเดินพลจนรุ่งถึงกรุงไกร |
ไปค่ายใหญ่ที่ตั้งล้อมลังกา
ฯ |