| | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
เจ้าพราหมณ์ทั้งสามทัพมารอรับแล้ว ทูลเชิญพระมเหสีขึ้นพลับพลาโถงท้องพระโรงริมกรุงลังกา พระมเหสีจึงตรัสปรึกษาพระพี่เลี้ยงว่า จะพูดจาคิดอ่านประการใด
| เจ้าพราหมณ์พร้อมน้อมนอบตอบสนอง | แล้วแต่ต้องพระปัญญาอัชฌาสัย |
| ด้วยเผ่าพงศ์วงศ์วานการข้างใน | อันพวกไพร่พรั่นพระราชอาชญา |
| เลือกแต่งนางช่างพูดเป็นทูตถือ | นำหนังสือศุภสารไปขานไข |
| มีเครื่องยศงดงามตามข้างใน | พวกสาวใช้เชิญตามให้งามยศ ฯ |
| เป็นอันขาดชาตินี้ถึงชีวิต | ไม่ขอคิดสักเท่าซีกกระผีกผม |
| แต่เจ็บใจได้ทะนงเพราะหลงลม | นางซบก้มพักตราโศกาลัย ฯ |
| จึงสู้นิ่งชิงชังไม่ฟังสาร | เพราะขี้คร้านพบปะสละหนี |
| ยังโกรธเกรี้ยวเคี่ยวเข็ญไม่เห็นดี | จะให้พี่คิดอ่านประการใด ฯ |
| เห็นรถทรงราชสารทหารแห่ | อยู่เซ็งแซ่ซ้ายขวาทั้งหน้าหลัง |
| จึงบอกทูตพูดเสียงสำเนียงดัง | มีรับสั่งให้มาถามตามโบราณ |
| ว่าสารามาเดี๋ยวนี้กี่ฉบับ | โปรดให้รับไปปราสาทราชฐาน |
| ท่านอยู่ทิมริมวังคอยฟังการ | ส่งแต่สารมาให้เราจะเอาไป ฯ |
| ค ฝ่ายนารีที่เป็นทูตเห็นพูดผิด | จึงแกล้งคิดเอาให้เก้อเออไฉน |
| ส่วนสารเจ้าเราแห่มาแต่ไกล | ตามวิสัยกษัตราทุกธานี |
| ควรหรือใช้ให้ขี้ข้าออกมารับ | ไม่มีเครื่องสำหรับรับสารศรี |
| ไม่ยำเยงเกรงอาญาฝ่าธุลี | หรือชั่วดีที่ว่าได้ไว้ในมือ |
| ไม่แห่รับนับถือหนังสือสาร | ราชการกูเป็นสูญจะทูลเฉลย |
| หยิบหนังสือเอาไปกูไม่เคย | อย่าช้าเลยไปแถลงให้แจ้งความ ฯ |
| จัดพานทองรองสารใส่คานหาม | ให้สมตามยศพระมเหสี |
| ไม่เคยแห่แต่โบราณสารสตรี | แม้นมันมิให้รับขับมันไป |
| แล้วเลือกเหล่าสาวสำอางที่คางเพชร | ไปแก้เผ็ดนางพวกทูตพูดจองหอง |
| ให้โขลนหามคานแห่มาแซ่ซ้อง | ครั้งถึงร้องเรียกทูตพูดสำทับ |
| แล้วเชิญสารใส่พานทองประคองตั้ง | พวกฝรั่งบังคมก้มเกศา |
| รับขึ้นวางกลางวอแล้วรอรา | ต่างตอบว่าฝรั่งนี้ยังมีอาย |
| ใครชิงชู้สู้ตามไม่ขามเข็ด | คงแก้เผ็ดมันให้สาเลือดตาไหล |
| ถึงเสียทองเท่าตัวเสียหัวไป | แต่มิให้เสียผัวสู้ตัวตาย |
| พระศาสนาสามัญในวันนี้ | ก็ไม่มีใครบำรุงให้รุ่งเรือง |
| พฤฒามาตย์ราษฎรเดือดร้อนสิ้น | อกแผ่นดินจะเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง |
| แม้ชีวีมีอยู่เป็นผู้หญิง | สุดจะทิ้งทูลเกศพระเชษฐา |
| ถ้าตัวตายหมายจะฝังไว้ลังกา | แม้เมตตาแล้วจงกลับกองทัพไป ฯ |
| จะอยู่จริงทิ้งเพศประเทศถิ่น | ไม่ถือศีลเสียแล้วหรือมาถือไสย |
| ขอทราบความตามประสงค์จำนงใน | จะบอกไปรมจักรนัครา ฯ |
| ค พอจบคำรำลึกนึกขึ้นได้ | ตกพระทัยกลัวจะขาดพระศาสนา |
| นึกประเดี๋ยวเฉียวฉุนด้วยคุณยา | รักรำภาพูดแก้ที่แผลเป็น |
| เห็นแต่พ่อหน่อนาถแล้วชาตินี้ | จะเผาผีมารดาเมื่ออาสัญ |
| จะปลูกฝังตั้งจิตคิดทุกวัน | ให้สืบพันธุ์พงศ์กษัตริย์สวัสดี |
| ถึงโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช | กษัตริย์ชาติเชื้อหญิงในสิงหล |
| เหมือนจามรีที่รู้จักรักษาสกนธ์ | ไม่แปดปนต่างภาษาเป็นราคี |
| ธรรมดานารีผู้ดีไพร่ | เมียน้อยไหว้กราบเท้าเจ้าของผัว |
| นี่เห็นถูกหยูกยาหูตามัว | จึงตั้งตัวสูงเสริมเหินเหิมฮึก |
| อันเป็นหญิงชิงชู้เขาชูชื่น | เหมือนกล้ำกลืนของสำลักมักสะอึก |
| ช่วยเตือนใจให้จำรู้สำนึก | จงตรองตรึกรับพระเสาวนีย์ |
| แม้คิดทราบบาปบุญที่คุณโทษ | อย่าตอบโกรธกราบประณตบทศรี |
| จะไว้หน้าตามประสาเป็นนารี | ถ้าเกินดีก็จะได้ผิดใจกัน ฯ |
| จะตอบต่อข้อความให้งามหน้า | ให้เลือดตาตกเผาะเหยาะเหยาะหยด |
| น้อยหรือชะจะให้ไปไหว้ประณต | มาไว้ยศยังกะว่าเป็นข้าไท |
| นี่เนื้อเคราะห์เพราะพระองค์จึงหลงถ้อย | ต้องเป็นน้อยนึกว่าน้ำตาไหล |
| จะออกโอษฐ์โปรดปรานประการใด | จะกลับไปหรือจะอยู่พระภูธร ฯ |
| เมื่อคราวชื่นกลืนฉ่ำดังน้ำวุ้น | คราวเฉียวฉุนเช่นกับยามหาหิงคุ์ |
| เจ็บคารมคมปากเหมือนทากปลิง | เขาว่าชิงผัวเขาให้เราอาย |
| แต่ความในใจจริงก็ชิงเขา | เนื้อความเรามันจึงเสียเหมือนเบี้ยหงาย |
| จะเกลื่อนกลบทบทับให้กลับกลาย | พอแก้อายหมู่อำมาตย์ราษฎร |
| ประดิษฐ์คำทำร่างให้นางชอบ | เป็นความตอบตัดรักหักประหาร |
| นางแต่งแต้มแซมซ้ำคำประจาน | พระโปรดปรานเขียนความให้ตามใจ |
| อันพงศ์เผ่าที่อยู่ชมพูทวีป | จนสิ้นชีพสิ้นชาติเป็นขาดสูญ |
| ไม่นับเนื้อเชื้อวงศ์พงศ์ประยูร | จึงจำทูลเสียให้เสร็จสำเร็จการ |
| ค พอจบคำช้ำจิตผิดสังเกต | น้ำพระเนตรหลั่งไหลพระทัยหาย |
| สินสมุทสุดสุภาพไม่หยาบคาย | นี่ดีร้ายอีฝรั่งสิ้นทั้งนั้น |
| เขาจะตรงลงนรกที่หมกไหม้ | ฉันจะไปสู่สถานพิมานสวรรค์ |
| จึงตัดเมียเสียลูกไม่ผูกพัน | เป็นขาดกันแล้วอย่าอ้างเหมือนอย่างเคย ฯ |
| แพศยาฆ่าคู่เขารู้ทั่ว | ไปลักผัวนางผีเสื้อลงเรือหนี |
| ส่วนตัวแสนแค้นว่าข้าชิงสามี | ส่วนฆ่าพี่เขาสิไม่ให้เขาแค้น |
| จงมาขุดอุศเรนไปเป็นคู่ | พระนี้ชู้มิใช่ผัวอย่ามัวหมาย |
| สงสารเจ้าเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย | แม้เป็นชายจะช่วยโลมนางโฉมงาม |
| เหมือนหยั่งน้ำเห็นปลิงจริงนะเจ้า | นัยน์ตาเขาลืมได้มิใช่หลับ |
| พี่มาลีศรีผลึกกินลึกลับ | อย่าให้น้องต้องขับจงกลับไป ฯ |
| พนักงานอ่านเนื้อความออกตามเรื่อง | พระมิ่งเมืองจอมลังกามหาสวรรค์ |
| ด้วยทราบตามความขำที่สำคัญ | นางสุวรรณมาลีนี้มีคาว |
| เหมือนเต่าใหญ่ไข่ปิดให้มิดหลุม | จะคุ้ยขุมขุดรื้อออกอื้อฉาว |
| ยังมิหนำซ้ำแล่นข้ามแดนดาว | มาว่ากล่าวนางละเวงไม่เกรงกลัว |
| จะกรวดน้ำคว่ำขันไม่พลันคบ | มิขอพบขอเห็นไม่เป็นผัว |
| มีลูกเต้าเฒ่าแก่ก็แต่ตัว | ใจยังมั่วเหมือนหนึ่งว่าสิบห้าปี |
| ข้ารับแพ้แต่เมื่ออยู่ชมพูภพ | ยังตามรบกวนอีกต้องหลีกหนี |
| เป็นขาดเด็ดเสร็จสั่งเสียครั้งนี้ | เดือนแปดปีวอกวันจันทร์ข้างแรม |
| เรื่องสารศรีนี้แหละคือหนังสือหย่า | อย่ามาว่าปรายเปรียบพูดเฉียบเแหลม |
| ถ้ารักตัวกลัวเจ็บอย่าเหน็บแนม | ขืนลอมแลมแล้วจะอายเมื่อปลายมือ |
| ค ฝ่ายพระหน่อบพิตรอดิศร | สุดสาครขัตติยาอัชฌาสัย |
| ทูลทัดทานมารดาด้วยอาลัย | พระอย่าไปปนกับกาที่สาธารณ์ |
| เหมือนทองคำชัมพูรู่กระเบื้อง | จะลือเลื่องชั่วกัลปาวสาน |
| จงรอรั้งฟังกิจค่อยคิดการ | พรุ่งนี้ฉานจะขอเข้าไปเฝ้าฟัง |
| ค นางฟังสุดสาครค่อยอ่อนจิต | พ่อช่วยคิดผันแปรช่วยแก้ไข |
| แต่แม่นี้วิตกในอกใจ | กลัวจะไปเข้าที่เป็นสี่องค์ ฯ |
| คิดใคร่รู้ว่าผู้ใหญ่เขาได้เสีย | เป็นผัวเมียกันอย่างไรที่ไหนหนอ |
| ไม่เข้าใจในที่ต้องรีรอ | แต่เฝ้าคลอคิดกริ่มใคร่ชิมเชย ฯ |
| พินิจน้องสองนางกระจ่างแจ่ม | งามแฉล้มอะเหลาะเฉาะล้วนเหมาะเหมง |
| อันโลกีย์มิต้องสอนเหมือนกลอนเพลง | มันเป็นเองในอารมณ์ใคร่ชมชิม |
ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
พอรุ่งสายสุดสาครก็มาลาพระมารดา ทูลว่าตนกับน้องจะลาไปเฝ้าพระบิดา เพื่อดูแลคิดแก้ไข พระมเหสีก็ตรัสกำชับให้ระวังตนทั้งสองคน และให้ไปช่วยทูลพระบิดาว่า ถ้าไม่กลับไปครองเมืองก็ขอให้มาฆ่าฟัน เสียให้ตาย จะได้สิ้นเรื่อง
| แม้รู้เห็นเป็นคนทนไม่ได้ | จะเข้าไปตามเสด็จไม่เข็ดขาม |
| จะเคืองขัดตัดคอเสียก็ตาม | มิขอข้ามคงคาไปธานี ฯ |
| ค นายประตูรู้ว่าหน่อวรนาถ | นึกขยาดยำเยงด้วยเกรงขาม |
| ไม่รู้จักซักไซ้ได้พระนาม | ไปแจ้งความกับท้าวนางที่ข้างใน ฯ |
| ค นางคาดถูกลูกจะมารักษาพ่อ | จำจะล่อไว้บำรุงซึ่งกรุงศรี |
| จึงเสแสร้งว่าเหมือนปราณี | บุตรพระพี่มัจฉาน่าเอ็นดู |
| โปรดประทานฉันใคร่ได้เป็นลูก | แล้วจะปลูกฝังรักให้หนักหนา |
| พลางสอพลอพ้อตัดพระภัสดา | นี่หรือว่าโปรดเกล้าตรัสเปล่าไป |
| อันโอรสยศไกรพี่ให้เจ้า | โฉมเฉลาจงช่วยชุบอุปถัมภ์ |
| สุดสาครสอนสั่งรู้ฟังคำ | ให้เป็นกรรมสิทธิวนิดา ฯ |
| ค ฝ่ายสุลาลีวันนั้นก็รุ่น | เห็นเขาอุ่นแอบผัวแต่ตัวเหงา |
| ด้วยอยู่ใกล้ได้เห็นทุกเย็นเช้า | จึงพลอดเมาเหมือนหนึ่งฝิ่นได้กลิ่นอาย |
| พระมารดาพาทีให้มีผัว | หน้าเหมือนบัวบังร่มให้สมหมาย |
| แต่ซ่อนเงื่อนเหมือนรังเกียจเกลียดผู้ชาย | กราบถวายวันทาแล้วพาที |
| ไม่ว่าเล่นเป็นผู้หญิงจริงจริงนะ | ถ้าเจ้าจะเล่นเพื่อนไม่เหมือนผัว |
| เขาชวนเชยเคยเองอย่าเกรงกลัว | จงแต่งตัวตามตำหรับให้จับตา |
| ค ฝ่ายสุลาลีวันลงยันต์เลข | นั่งปลุกเสกสารพัดไม่ขัดขวาง |
| แล้วว่าองค์สรงน้ำทรงสำอาง | สยายสางผบเผ้าพลางเกล้ามวย |
| กระหมวดมุ่นรุมปิ่นฝังนิลปัก | ข้องจำหลักแซมดอกไม้ไหวสลวย |
| ลูบสุคนธ์มนตรามหาละลวย | ให้รื่นรวยรสสุคนธ์วิมลมาลย์ |
| ค สุดสาครค้อนเคืองชำเลืองพิศ | ระรื่นฤทธิ์รสสุคนธ์ด้วยมนขลัง |
| ให้เสียวซาบปลาบปลื้มจนลืมชัง | เห็นเปล่งปลั่งพรั่งพร้อมละม่อมละไม |
| ดำริรักสักครู่ก็รู้สึก | อนาถนึกวิปลาสให้หวาดไหว |
| มิเสียทีอีฝรั่งช่างกระไร | มนต์มันใส่ฉุนเฉียวให้เสียวรัก |
| นี่หรือชะพระบิดาพระอาพี่ | จึงเสียทีจำเป็นเห็นประจักษ์ |
| พลางนึกภาวนาในพระไตรลักษณ์ | พอกันรักรู้พระองค์ไม่หลงเลย |
| พระหัสไชยให้สติลัทธิว่า | ภาวนาไว้ให้มั่นกันผู้หญิง |
| มันตามดูพรูพรั่งน่าชังชิง | พระพี่นิ่งเดินมาชลาลาน |
| พอถึงปรางค์นางวัณฬาออกมารับ | พระคำนับน้อมองค์น่าสงสาร |
| นางเชิญนั่งตั่งที่พระศรีประทาน | อยู่นอกม่านหมายจะดูให้รู้ที |
| ค สุดสาครอ่อนความตามรับสั่ง | พระคุณดังดินฟ้าไม่หาเหมือน |
| แม่ชุบเลี้ยงเที่ยงแท้ไม่แชเชือน | จะเยี่ยมเยือนเหมือนพระบาทมาตุรงค์ |
| ค นางรู้ว่ายาหยูกไม่ถูกต้อง | ด้วยมีของคุ้มองค์ไม่หลงไหล |
| จะยอกย้อนผ่อนปรนด้วยกลใด | ให้เอาไม้เท้าวางไว้ห่างองค์ |
| ค พระชื่นชอบปลอบนางว่าอย่างเอก | อภิเษกเสียในห้องให้ผ่องใส |
| บอกให้มาหาพี่ที่ข้างใน | จะสอนให้รู้รักรู้จักดี ฯ |
| จึงโปรดให้ไปหาลูกมาด้วย | จะได้ช่วยแก้ไขเสียให้หาย |
| แล้วกราบทูลมูลความตามอุบาย | อันผู้ชายต้องเสน่ห์ลมเพลมพัด |
| เอาไม้เท้าดาบสจดอุระ | จึงร่ายพระคาถาถามหากำจัด |
| ปีศาจตายคลายมนต์กลชะงัด | จะรับรัดเร่งรักษาฝ่าธุลี |
| แต่ตัวเขาเจ้าตำราทำยาหยูก | อย่าให้ถูกองค์อีกเร่งหลีกหนี |
| จงโปรดให้ได้รักษาเวลานี้ | อย่าให้มีผีผู้หญิงเข้าสิงองค์ ฯ |
| พระอภัยใจเหิมเคลิ้มเหมือนบ้า | เธอหมายว่าเธอไม่ถูกพระลูกหลง |
| สำรวจพลางทางว่าเจ้าเง่าโง่งง | เขายุยงพลอยเห็นว่าเป็นจริง |
| โอ้พระคุณทูลกระหม่อมจอมมนุษย์ | จะละพุทธแล้วละหรือมาถือไสย |
| จะขวางขัดทันทานประการใด | เล่าก็ไม่ควรตัวกลัวพระองค์ |
| ลูกเกิดมาอาภัพอัปภาคย์ | พบแต่ยากดังชีวาจะอาสัญ |
| ให้เปลี่ยวใจไร้วงศ์ทั้งพงศ์พันธุ์ | สุดจะผันผินหน้าไปหาใคร |
| มาพี่งบุญทูลกระหม่อมจอมกษัตริย์ | ได้สืบขัตติยราชพระศาสนา |
| เดี๋ยวนี้พระจะบำรุงกรุงลังกา | กลับเป็นฝาหรั่งกลายเมื่อปลายมือ |
| เป็นอันขาดชาตินี้ไม่มีคู่ | จะไปอยู่ปรนนิบัติแม่มัจฉา |
| แต่แม่ตายหมายโตเป็นสิทธา | เดี๋ยวนี้มาเลื่อนลอยพลอยรำคาญ |
| ค พระฟังคำรำลึกรู้สึกบ้าง | คิดถึงนางมัจฉาน่าสงสาร |
| สักประเดี๋ยวเสียวมนต์ดลบันดาล | รื้อสำราญสำรวลชวนโอรส |
| อร่อยจริงยิ่งกว่ากินลูกลิ้นจี่ | จะหานางอย่างนี้หาที่ไหน |
| เขมรลาวชาวละครทั้งมอญไทย | พ่อก็ได้ลองแล้วนะแก้วตา |
| พอนึกได้ไม่ทันพักพยักหน้า | ทั้งวงศาสุจริตสนิทสนม |
| ล้วนท่วงทีดีเหลือไม่เบื่อชม | เขามักคมในฝักชักออกวาว |
| ถึงยามร้อนผ่อนสบายให้หายร้อน | ยามหนาวนอนแนบกายให้หายหนาว |
| อันหญิงอื่นหมื่นแสนในแดนดาว | ไม่สู้ชาวลังกาสัจจาจริง |
| ค สุดสาครอ่อนหวานประทานโทษ | แม้ไม่โปรดให้ไปก็ไม่หนี |
| ถวายชีวิตสิทธิขาดแล้วชาตินี้ | ตามแต่ที่บุญกรรมได้ทำมา |
| ถึงเนื้อเลือดเชือดถวายเหมือนหมายมาด | ขอแต่อย่าให้ขาดพระศาสนา |
| ถ้าเดี๋ยวนี้มิสงสารพระมารดา | ลูกจะฆ่าตัวถวายให้หายแคลง |
| จนดึกดื่นขืนเฝ้าแต่เซ้าซี้ | จะไม่มีผัวนี้ไม่ดีหรือ |
| พระเคืองค้อนค่อนขอดนั่งกอดมือ | นางไม่ถือคิดว่าผัวเฝ้ายั่วเย้า ฯ |
| ค ศรีสุวรรณนั้นหัวเราะว่าเคราะห์เจ้า | เมื่อไม้เท้าอยู่กับกายให้หายได้ |
| จงมีเมียเสียเถิดหลานสำราญใจ | นึกเหมือนไพร่มันว่าตำราบุราณ |
| มีเมียเคล้ามีข้าวกินแล้วสิ้นทุกข์ | อยู่ไหนไหนได้เป็นสุขสนุกสนาน |
| แล้วลืมองค์หลงเสี้ยวพูดเกี้ยวพาน | สามกระดานแล้วหนาจำนางรำภา ฯ |
| โอ้เหมือนอย่างช้างเถื่อนที่เพื่อนเบียด | เข้าเพนียดแดดิ้นจนสิ้นโขลง |
| เหมือนตัวเราเล่าจะถูกเข้าผูกโรง | เพราะญาติโยงยั่วเย้าให้เข้าซอง |
| นึกหอมกรุ่นฉุนเฉียวเสียวแสยง | พระพัตรแดงดูก่ำดังน้ำฝาง |
| ลืมความรู้ครูสอนแต่ก่อนปาง | ให้รักนางบุตรีลาลีวัน |
| ประคองอุ้มจุมพิตเชยชิดโฉม | เสียบประโลมลูบต้องของสงวน |
| นางผลักพลิกหลีกเลื่อนเบือนกระบวน | แกล้งหยิกข่วนแก้เผ็ดให้เข็ดมือ |
| หนังเสือเหลืองเครื่องพรตจงปลดเสีย | จึงมีเมียจะได้ขาดพระศาสนา |
| แม้ทำตามความฉันจำนรรจา | จะเห็นว่ารักจริงไม่กริ่งใจ ฯ |
| แล้วสาพรตปลดเปลื้องเครื่องหนังเสือ | ทรงใส่เสื้อเส้นทองดูผ่องใส |
| ด้วยโลกีย์นี้มันปลื้มให้ลืมไตร | เหมือนสึกใหม่มีเมียเฝ้าเคลียคลอ |
| พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมภิรมย์รื่น | ถนอมชื่นเชยชิมไม่อิ่มหนำ |
| นางว่าเมื่อเหลือเข็ญเข้าเคล้นคลำ | จะชอกช้ำไปเสียแล้วไม่แคล้วเลย |
| ห้ามเท่าไรไม่ยั้งไม่ฟังห้าม | ตามเกิดตามบุญกรรมแกล้งทำเฉย |
| พระกอดช้อนกรต้องประคองเชย | ต่างไม่เคยขามเขินเผอิญเป็น |
| ค อันเรื่องราวคราวสุดสาครคลั่ง | ด้วยกำลังโลกีย์เป็นวิสัย |
| ถึงนักสิทธิฤทธิรงค์ทั้งทรงไตร | เข้าเคียงใกล้โลกีย์แล้วมิพ้น |
| วิปริตจิตใจให้ไหลเลื่อน | อยู่ก็เชือนเผือนพั่นเหมือนฝันเห็น |
| แล้วตรัสกับอนุชาเวลาเย็น | ไม้เท้าเป็นงูหายเสียดายนัก |
| ค อนุชาว่าพระพี่หนีเถิดจ๊ะ | ขืนอยู่นะคิดเห็นไม่เป็นผล |
| เรารีบออกนอกห้องทั้งสองคน | ข้างพระชนนีคงจะหลงตอย ฯ |
| จะนั่งดูอยู่ก็แสนจะแค้นคั่ง | สุชลหลั่งคลอเนตรดูเชษฐา |
| เหลือเจ็บช้ำน้ำใจอาลัยลา | กลับมาห้องกลางที่ปรางค์ใน ฯ |
| | ย้อนกลับ | บน | หน้าต่อไป | |