| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |


ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์

            ฝ่ายทัพลังกาล่าทัพกลับมากรุงลังกาได้ทรัพย์สินมาด้วยเป็นจำนวนมาก เมื่อมาถึงเมืองใหม่ก็ไปเฝ้าเจ้าสิงหล ทูลความให้ทราบแล้วถวายเพชรเตร็จตรัสให้เห็น พระมังคลากลัวความจะทราบไปถึงพระชนนี จึงให้มนตรีลอบเอาฝังไว้ที่ลังกา แล้วห้ามมิให้ใครพูดถึงโคตรเพชร ส่วนพวกชาวเมืองการะเวกที่ได้มาเจ็ดพันคนนั้นให้

ใช้สีข้าวเช้าค่ำต้องตรำตราก ตำดินตากตักน้ำทำถนน
เวลารุ่งหุงข้าวเลี้ยงชาวพล ใช้แบกขนขุดลากเหนื่อยยากครัน ฯ
            ฝ่ายมนตรีตัวโปรดเอาโคตรเพชรไปลอบฝัง แผ่นดินก็ลั่นครั่นครึกจนเวียงวังเจียนจะคว่ำ อีเลิ้งน้ำเป็นระลอกกระฉอก ต้นไม้ไกวกวัดสะบัดโบก ช้างม้าลาล้มลุกคลุกคลาน ทะเลลึกเป็นคลื่นคลั่งแผ่นดินไหวอยู่สามวัน ผู้คนต่างสงสัยโจษกันจำนรรจา
            ฝ่ายองค์ละเวงนึกประหลาด จึงไปหาบาทหลวงถามความตามที่สงสัย แต่บาทหลวงไม่อาจบอก แกล้งพูดนอกคอกไปเรื่องอื่น นางจึงลากลับเรียก รำภา  ยุพา สุลาลีวัน แล้วตรัสถามสามนางถึงลางที่เกิด นางยุพาทูลว่า
ซึ่งดินไหวตามตำราไม่ผาสุข จะเกิดยุคยุทธนาโกลาหล
ข้าจับยามตามตำราจลาจล ตั้งแต่ต้นปีเถาะเป็นเคราะห์ครัน ฯ
            องค์ละเวงได้ฟังก็หวาดวิโยคโศกศัลย์ จึงตรัสถามว่าจะแก้กันได้อย่างไร นางยุพาทูลว่าให้ไพร่ฟ้า ข้าเฝ้าทั้งท้าวไทตั้งอยู่ในศีลสัตย์ ทั้งบวงสรวงดวงชะตาสุรารักษ์ ซึ่งพิทักษ์ทวาทศราศี ให้ปลูกศาลรอบขอบจังหวัดตั้งบัตรพลี ตัดโลภ หลง ละเมียผัว กินแต่ถั่วผักงารักษาศีล ไหว้ลมไฟน้ำ และฟ้าดิน เป็นเวลาหนึ่งปี จึงจะสิ้นมลทินภัย
  นางวัณฬาว่าตำรับบังคับขาด ประชาราษฎร์หรือมันจะละวิสัย
ต้องถือศีลกินบวชนั้นรวดไป เห็นไม่ได้ดังตำราทั้งธานี
            จะเกิดเข็ญเป็นทุกข์ถึงลูกหลาน แล้วคิดจะไปตรวจด่านกลัวว่าจะทำล้ำเหลือ จะเชื่อดีไปเที่ยวตีเมืองอื่น ด้วยเยาว์ความถึงมีชัยชนะก็ไม่สิ้นราชศัตรู เกิดความพยาบาทเบียดเบียนเป็นเสี้ยนหนาม
อันลูกเราเยาว์อยู่ไม่รู้ทุกข์ จะอาจอุกทำเข็ญเป็นไฉน
จะร้ายดีมิได้รู้ด้วยอยู่ไกล หรือจะให้หามาเสียธานี ฯ
            นางรำภาทูลว่า วิสัยไตรดายุค ย่อมเป็นศึกแล้วเป็นสุขทุกเมือง เมื่อถึงคราวชาวนครจะร้อนนั้น จะป้องกันอย่างไรก็ไม่หาย ไม่ถึงกรรมทำอย่างไรก็ไม่ตาย ถ้าถึงกรรมทำลายต้องวายปราณ การไปเที่ยวตรวจตราบ้านเมืองนั้นมีคุณ
ให้อยู่วังดังสตรีแม้มีศึก ที่ตื้นลึกไม่สันทัดจะขัดสน
เสด็จไปได้สังเกตเหตุตำบล ที่ขุมพลกลศึกได้ฝึกปรือ
จะหนีทุกข์ยุคเข็ญเหมือนเช่นว่า อยู่ใต้ฟ้าหนีฝนจะพ้นหรือ
แม้เมืองใดใช้คนดีมีฝีมือ จะเลื่องชื่อลือเลิศประเสริฐชาย
    ฯลฯ
            องค์ละเวงได้ฟังคำนางรำพาแล้วก็ว่าชอบเชิงความตามวิสัย แต่เห็นว่าหน่อกษัตริย์ยังเยาว์ ก็จะให้ทำคำสอนไปไว้เพื่อเตือนใจ แล้วเขียนคำกำหนดทศพิธ ใส่กล่องแก้วให้ม้าใช้นำไปให้หน่อกษัตริย์
            ฝ่ายพระมังคลาออกอำมาตย์อยู่เกิดแผ่นดินไหวอยู่สามวัน พระมังคลาลอบสั่งโหรให้ทำนายทายความดีไว้ ให้เป็นที่ชื่นใจไพร่พล โหรว่าเพชรแก้วเก็จเอกจากการะเวกมาถึงถิ่นจึงเกิดแผ่นดินไหว พระมังคลาได้ทรงฟังโหรก็ให้รางวัลแก่โหรเฒ่า พอผู้ถือหนังสือสารของพระมารดามา ก็มีความยินดีให้อ่านสารมีความว่า เรื่องแผ่นดินไหวนั้นเป็นลางใหญ่บ้านเมืองจะเคืองเข็ญ ให้พระมังคลารักษาแต่เมืองลังกา อย่าคิดไปตีบ้านเมืองอื่นให้เคืองกันและสอนว่า
ประเพณีที่อุดมบรมจักร บำรุงรักษ์ราชัยมไหศวรรย์
เสวยสุขทุกเวลาทิวาวัน เพราะทรงธรรม์ทศพิธวิสดาร
ประการหนึ่งซึ่งรักษาเมตตาตั้ง ให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทุกสถาน
ใครยากเย็นเข็ญใจจงให้ทาน อภิบาลบำรุงทั้งกรุงไกร
ฯลฯ
หนึ่งอย่าคิดริษยาพยาบาท อย่ามุ่งมาดหมายถวิลรูปกลิ่นเสียง
คนสอพลอทรลักษณ์อย่ารักเลี้ยง  ให้แท้เที่ยงทรงธรรมจึงจำเริญ
ฯลฯ
            เมื่ออ่านสารจบแล้วก็เห็นชอบด้วยทั้งสิ้น แล้วเก็บสารของพระมารดาซ่อนไว้ในที่ไสยา จากนั้นก็ทำการหัดสงครามทุกเช้าเย็นในท้องสนาม คอยรอฟังความสามเมืองจากลูกค้าคอยเหตุอยู่
            ฝ่ายเสนาเมืองการะเวกถือสารไปเมืองผลึก ใช้เวลาเดือนเศษก็ถึงพบพระหัสไชย เมื่อทูลความแล้วพระหัสไชยก็มีความคั่งแค้น เข้าไปเฝ้าพระชนนี พระชนนีให้อ่านสารมีความว่า ฝรั่งลังกาให้วายุพัฒน์ และหัสกันคุมกำปั่น หกร้อยลำเข้าเผาเมืองการะเวก บอกว่า พระธิดาลักเพชรแก้วเก็จไว้
แม้แก้วเก็จเพชรเขาชาวสิงหล เสาวคนธ์ลอบลักผิดหนักหนา
พระทราบเหตุเภทเผาแต่ต้นมา โปรดบัญชาชี้แถลงให้แจ้งใจ ฯ
  พอจบสารสุมาลีดีอุระ น้อยหรือชะเคลือบแคลงแถลงไข
แม่นงเยาว์เสาวคนธ์ขอเพชรไป เราก็ได้รู้เห็นเป็นพยาน
ฯลฯ
              แล้วตรัสกับเสนาชาวการะเวก ว่าขอให้รอพระอภัยกลับมาก่อนคงจะได้แก้แค้นแทนพระบิดา มิได้เข้าด้วยฝรั่งคงแก้แทนแทนพระอนุชาในเวลาไม่ช้า
            พระหัสไชยมีความแค้นฝรั่งยิ่งนัก จะขอยกทัพไปรบ แต่องค์สุวรรณมาลีทัดทานไว้ให้รั้งรอไว้ก่อน
แม่จะให้ไปเชิญเสด็จกลับ ทั้งกองทัพพระเจ้าอามาบรรจบ
ทั้งลูกยามาด้วยช่วยสมทบ เข้ารุมรบไพรีให้มีชัย ฯ
  พระนบนอบตอบว่าพวกฝรั่ง แต่ลูกยังเยาว์อยู่ยังสู้ได้
ถึงมันมากหยากเยื่อถูกเชื้อไฟ จะผลาญให้สิ้นทั้งเกาะลังกา ฯ
            องค์สุวรรณมาลีได้ฟังตรัสห้ามซ้ำว่า ครั้งนั้นมีพี่ยาอยู่ด้วยได้ช่วยกัน อย่าดูถูกข้าศึกให้มีความหนักหน่วงไว้ มิฉะนั้นจะเสียท่วงทีพาคนไปตายได้ แต่ที่จะกลับไปกรุงการะเวกนั้น เป็นการสมควร
พระแม่จะทำคำสารส่งไปด้วย เราจึงช่วยชี้แจงแถลงไข
แล้วแต่งสารอ่านสอบขอบพระทัย ใส่กล่องให้ผู้ถือหนังสือมา ฯ
            หน่อกษัตริย์หัสไชยไปลาสองน้องน้อย ต่างก็มีความอาลัยซึ่งกันและกัน พระหัสไชยสัญญาว่า
เสร็จธุระจะมาไม่ช้านัก ไม่ลืมรักพักตร์น้องอย่าหมองศรี
มิเหมือนหมายสายสวาทแล้วชาตินี้ พี่ไม่มีเมียแล้วนะแก้วตา
ฯลฯ
            พระหัสไชยไปลาองค์สุวรรณมาลี แล้วมาลงเรือกำปั่นออกเดินทางไปทางทิศอาคเนย์
รีบใช้ใบไปตามคลื่นทุกคืนค่ำ เห็นแต่น้ำในทะเลกับเวหา
ไม่คลาดเคลื่อนเดือนครึ่งตะบึงมา ถึงกรุงการะเวกเข้าอ่าวบุรี
ฯลฯ
            พระหัสไชยเข้าเฝ้าพระบิดา พร้อมอำมาตย์ถือสารขององค์สุวรรณมาลี องค์ท้าวเจ้าเมืองการะเวก จึงสั่งให้อาลักษณ์อ่านสารมีเนื้อความว่า ด้วยองค์พระชนกชนนีของพระอภัยถึงแก่นิคาลัย พระเชษฐาพาพระวงศ์ไปปลงศพ เมื่อปีมะแม เดือนเจ็ด ยังไม่ได้กลับมาเมืองผลึก ที่ทางเมืองการะเวกส่งสารแจ้งการศึกว่าฝรั่งลังกาเข้ามาเผาเมือง หาว่าพระบุตรีลักเพชรแก้วเก็จมานั้น
มันโกหกยกโทษเพราะโกรธแค้น เหมือนตัดแผ่นดินขาดนอกศาสนา
ซึ่งแก้วเก็จเพชรนั้นนางวัณฬา ให้ธิดาก็ได้รู้อยู่ด้วยกัน
พระรับเคราะห์เพราะเรื่องเมืองผลึก จึงเกิดศึกพาเหตุถึงเขตขัณฑ์
ฝ่ายยุดาวายุพัฒน์หัสกัน ล้วนพงศ์พันธ์ภัสดาชะล่าลาม
เป็นธุระผู้บำรุงกรุงผลึก จะปราบศึกเสียให้เตียนที่เสี้ยนหนาม
ไม่ควรเคืองเมืองพระองค์ต้องสงคราม จึงต้องตามยุติธรรม์พันธมิตร
ฯลฯ
            แล้วว่าองค์พระอภัยย่อมเป็นเชื้อชาติบุรุษสุจริต ถึงลูกหลานหว่านเครือทำผิดก็จะไม่ละเว้น ขอให้รอองค์พระอภัยกลับมาก่อน เมื่อมาถึงเมื่อไรฝ่ายข้าศึกจะถึงแก่ชีวิต
อันเมืองผลึกกับพาราการะเวก จะร่วมเอกฉัตรชัยไอศวรรย์
จนสุดสิ้นดินฟ้าทั้งสามัญ โดยทรงธรรม์ทศพิธสนิทใน ฯ
            พอจบสารพระปิ่นนัก การะเวกก็ตรัสชมองค์สุวรรณมาลีว่า สมเป็นใหญ่ยอดสตรีเธอดีจริง แล้วเคืองขัดหัสไชยว่ามัวแต่ไปเที่ยวเกี้ยวผู้หญิงไม่ได้ระวังบ้านเมือง พระหัสไชยทูลตอบว่า ที่ตนผิดพลั้งครั้งนี้ควรถึงแก่ชีวิตด้วยความที่ตนเบาจิต แล้วขอต่อสงครามไปกำจัดศัตรู ที่มาทำการดูหมิ่น
            องค์ท้าวเจ้าเมืองการะเกดได้ฟังจึงตรัสกับพระมเหสีว่าตามสาร การไมตรีนั้นก็ต้องที่อยู่ทุกข้อ ควรรอฟัง ถ้าแม้พระอภัยไม่ไปรบเราจึงจะยกทัพไปรบลังกาเอง
นี่ลูกเต้าเขาผิดคิดถึงพ่อ จึงรั้งรอบอกกล่าวไม่ร้าวฉาน
คำโบราณท่านว่าช้าเป็นการ ถึงจะนานก็เป็นคุณอย่าวุ่นวาย
วิสัยศึกตรึกตรองจึงต้องที่ ยกไปตีก็ให้ได้ดังใจหมาย
แม้ย่อยยับถอยกลับก็อับอาย ยิ่งซ้ำร้ายขายหน้าประชาชน
ฯลฯ
            ให้เรือใช้ไปฟังกำลังดึกให้รู้ตื้นลึก คอยรั้งรอฝึกไพร่พลให้รู้กลการอาวุธยุทธนา
            พระหัสไชยได้ฟังคำตรัสสอน ก็รับมาด้วยความยินดี แล้วทูลลาออกมาสั่งอำมาตย์ จัดเสนาตัวดีได้สี่นาย ให้คุมเรือข้าวสารน้ำตาล ทำแปลงปลอมไปเที่ยวค้าขายยังลังกา ให้กองตระเวนคอยฟังเหตุทุกเขตคัน ตรงหน้าวังตั้งค่ายเป็นหลายด้าน ให้ฝึกหัดไพร่พล ทัพเรือเหนือใต้จัดไว้พร้อมทั้งทางหนีและทีไล่
            ฝ่ายองค์มเหสีสุวรรณมาลีให้กองทะเลเสนารีบเดินทางไปกรุงรัตนา เชิญพระอภัยกลับแล้วแต่งสารถึงองค์วัณฬา ให้เสนีนายทหารถือสารไป เมื่อไปถึงฟากฝั่งลังกาเห็นเรือรบจอดอยู่เรียงราย พวกกองทัพจับตัวมาถามแล้วคุมตัวขึ้นไปเฝ้า พระมังคลา พระมังคลาถามเสนีที่ถือหนังสือมาว่า ความในสารนั้นมีเนื้อความว่ากระไร ฝ่ายข้าเฝ้าชาวผลึกจึงตอบว่า จะไปให้ถึงวังตามพระเสาวนีย์
ถวายองค์นงเยาว์เจ้าสิงหล ไม่ให้คนอื่นอ่านเรื่องสารศรี
อย่าทานทัดขัดขวางทางไมตรี จะเสียทีอย่างเยี่ยงพระเวียงชัย ฯ
            พระมังคลาว่าตนเป็นจอมพลเจ้าสิงหล ควรจะได้รับสารแทนมารดา ให้ทหารค้นสารมาแล้วฉีกตราอ่านเนื้อความว่า เราพี่น้องครองสัตย์ไม่มีราคีเคือง เสาวคนธ์ได้ขอเพชรเอกไป นัดดาวายุพัฒน์กับหัสกัน ไปรบเมืองการะเวกแล้วเผาเมือง เอาแก้วคืนมาแล้ว เอาข้าวของเงินทองกวาดต้อน ผู้คนมาเมืองลังกา
แม่ก็รู้อยู่ว่ากรุงการะเวก ร่วมภิเษกสืบเนื้อเป็นเชื้อไข
ขืนคิดทำย่ำยีดังนี้ไซร้ เขาว่าไว้หยิกเล็บแล้วเจ็บเนื้อ
จะตัดญาติขาดมิตรไม่คิดบ้าง เหมือนลบล้างเหล่ากอไม่หลอเหลือ
อนึ่งหน่อวรนาถเป็นชาติเชื้อ ไม่ไว้เยื่อใยติดผิดโบราณ
            ไม่รู้ว่าองค์วัณฬารู้เห็นเป็นใจหรือไม่ พิเคราะห์ดูแล้วยังไม่แจ้งจึงแต่งสารมา ให้ทราบเรื่องที่เคืองรำคาญ ควรจะสมานไมตรีที่มีมาไว้ ถ้าแม้เห็นดีไม่ได้คิดถึงญาติ ก็ควรขาดราชวงศ์เผ่าพงศา สามประเทศที่อยู่บนแผ่นดินเดียวกัน ก็จะขาดไมตรีกับลังกา จึงขอให้องค์วัณฬาดำริตริตรองดู เพราะถ้าเกิดศึกแล้ว ผู้คนทั้งหลายไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ ไพร่ผู้ดีก็จะพากันเดือดร้อนไปทั่ว
พี่กับเจ้าเล่าก็จิตสนิทนัก จึงลอบลักเล่าแจ้งแถลงไข
ถึงลูกเต้าเบาความส่วนทรามวัย เป็นผู้ใหญ่อย่าให้มีราคีเคือง ฯ
            พอจบสารพระมังคลาก็ดาลเดือด หาว่าองค์สุวรรณมาลีพูดเข้าข้างชาวเมืองการะเวก แล้วตามอนุชาวายุพัฒน์กับหัสกันว่า มีความเห็นอย่างไร ทั้งสามองค์ก็เห็นด้วยกับพระมังคลา พระมังคลาจึงให้จำผู้นำสาร แล้วปรึกษาน้องกับสองนัดดาว่า ถ้าแม้กองทัพกลับมาเมืองผลึก คงจะเกิดศึกมาถึงกรุงลังกา พระบิดากับพระอาทั้งสองเมืองจะรุมตีเมืองลังกา
            พระอนุชาเห็นว่าจะต้องแก้การโดยยกกำลังไปรุกรบ จับเอาพงศ์พันธุ์พวกพ้องของทั้งสองเมือง มาขังไว้ให้เป็นห่วงเหมือน หน่วงศึกให้ได้เป็นต่อ พระมังคลาเห็นด้วยจึงให้แยกกันไปจัดพลคนละกอง ให้อนุชาไปรมจักร สองนัดดายกไปเมืองผลึก
  ฝ่ายวายุพัฒน์จัดพลเป็นกลศึก  เอาเรือผลึกล่วงไปก่อนซ่อนทหาร
ทั้งสามลำนำตำบลชลธาร ไปประมาณครึ่งวันตามสัญญา
ฯลฯ
            แล้วหัสกันคุมกองเรือสองร้อย สะกดรอยเรียงรายไปทั้งซ้ายขวา พอลับตาวายุพัฒน์ก็ออกเรือสามร้อยลำแล่นตามไป ฝ่ายทัพพระอนุชามีเรือห้าร้อยลำ ก็ออกเรือรีบรุดไปเมืองรมจักร
            ฝ่ายกองหน้าวายุพัฒน์แล่นเรือมาได้สิบห้าคืน ก็เข้าปากอ่าวเมืองผลึก ชาวตระเวนเห็นแต่ไกลจำได้ว่า เป็นเรือของผู้ถือหนังสือ เดินทางกลับมาจึงไม่ห้ามปรามถามทัก คิดว่ารู้จักแน่ปล่อยให้เรือแล่นเข้าถึงหน้าเมืองผลึก ตอนดึกสามยาม
ขึ้นฝั่งลำละพันแยกกันออก เข้าทางตรอกบ้านช่องท้องสนาม
เที่ยวจุดไฟไหม้โขมงพลุ่งโพลงพลาม แสงเพลิงลามลุกรอบขอบบุรี
ฯลฯ
            ฝ่ายองค์พระมเหสีเห็นเพลิงไหม้ใกล้ปราสาทราชฐาน ก็พาพระมารดากับพระธิดาทั้งสองออกมานอกมณเฑียร จะไปไหนก็ไม่พ้นเที่ยววนเวียนอยู่
            ฝ่ายพวกกองตระเวนเห็นกำปั่นแล่น หลามมาตามหลังจึงยิงปืนใหญ่ห้ามไว้ แต่ข้าศึกก็ไม่ฟัง เมื่อเห็นว่าตัวมีกำลังน้อย จึงถอยเข้าอ่าวปากน้ำ เห็นเพลิงไหม้อยู่รอบปราการ และพวกข้าศึกโห่ร้องอยู่กึกก้อง ต่างก็ไม่หาญรบ หลบขึ้นตลิ่งวิ่งหลบหนีไป พอรุ่งเช้าพวกฝรั่งก็ขึ้นบกมาคับคั่ง ชาวเมืองหนีกระจัดพลัดพรายไป พวกกองทัพลังกาตั้งล้อมรอบกำแพงไว้ วายุพัฒน์จัดทหารถือขวานระดมฟันประตูวังพังทลายลง
  ฝ่ายองค์พระมเหสีถือตัวสู้ ขวางประตูห้ามฝรั่งสิ้นทั้งหลาย
จะเข้ามาว่ากระไรใครเป็นนาย อย่าวุ่นวายบอกเราให้เข้าใจ
ฯลฯ
            หัสกันถามว่า พระมเหสีกับพระธิดาอยู่ที่ไหน บอกว่าเจ้ากรุงลังกามีบัญชาให้รับไปด้วย เป็นวงศ์เผ่าพงศ์พันธุ์ พระมเหสีทราบว่าฝรั่งมาตั้งรบ จะหลีกหลบไปเห็นไม่พ้น จึงว่าเจ้าลังกานั้น ถ้านับกันก็เป็นน้องของสองพระบุตรี แล้วตรัสว่า
เหตุไฉนไม่คิดถึงปิตุราช มาองอาจรบพุ่งถึงกรุงศรี
ตัวเราหรือชื่อสุวรรณมาลี นี่บุตรีสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา
ถ้าแม้หน่อวรนาถรักชาติเชื้อ จะก่อเกื้อเชื้อวงศ์เผ่าพงศา
จงเลิกทัพกลับหลังไปลังกา จะเห็นว่าสุจริตต่อบิดร ฯ
             หัสกันว่าบรรดาโยธาหาญนั้นเป็นพวกเจ้าละมานมาเผาเมือง ตนจึงรีบร้อนมารับองค์พระมเหสีกับพระบุตรีไปให้พอรู้จักศักดิ์ตระกูลประยูรวงศ์ แล้วจะมาส่งกลับเมืองในไม่ช้า
  นางรู้ท่าเข้าใจแต่ไม่ตรัส ถ้าขืนขัดจะไม่กลับทัพทหาร
ไปตามเคราะห์เพราะไม่พ้นพวกคนพาล จึงกราบกรานชนนีชลีลา
ฯลฯ
แล้วกลืนกลั้นกันแสนเทวษ พระชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา
ชวนลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา ลีลามานอกเขตนิเวศน์วัง
ฯลฯ
  วายุพัฒน์หัสกันก็ลั่นฆ้อง เรียกพวกพ้องพลนิกายทั้งซ้ายขวา
โยธาทัพจับเหล่าชาวพารา ทั้งเสนานายไพร่ไล่ลงเรือ
ฯลฯ
  ฝ่ายโยธาข้าเฝ้าชาวผลึก เมื่อเกิดศึกซ่อนหนีตามวิสัย
ครั้นทัพกลับลับลี้ต่างดีใจ ทั้งนายไพร่กลับมาเข้าธานี
ฯลฯ
  พวกเสนาสารภาพกราบพระบาท ขอรับราชอาญาถึงอาสัญ
ด้วยศัตรูจู่มาไล่ฆ่าฟัน ใครไม่ทันรู้ทั่วทุกตัวคน
ครั้นเพลิงไหม้ไพร่นายพรัดพรายหมู่ ข้ารบสู้ไม่ถนัดจึงขัดสน
ซึ่งเสียพระมเหสีนีฤมล ความผิดล้นพ้นที่จะพรรณนา
ถ้าใส่บทกฎหมายตายทั้งโคตร แม้ยกโทษข้าทั้งหลายหมายอาสา
ไปรบรับจับฝรั่งเกาะลังกา พิฆาตฆ่าโคตรมันให้บรรลัย ฯ
            ฝ่ายกองทัพฝรั่งลังกาเมื่อกลับมาถึงท่าเรือฟากฝั่งลังกา สองนัดดาพากันขึ้นไปเฝ้ากราบทูลเจ้าลังกาว่าได้เผาเมืองผลึก และได้องค์สุวรรณมาลีกับสองพระบุตรีมา พระมังคลาได้ฟังก็ตรัสสรรเสริญแล้วให้จัดแจงแต่งโต๊ะตั้งสุราเลี้ยงโยธากับขุนนางให้รางวัลประทานเครื่องประดับเนื่องเนาวรัตน์ล้วนแก่สองนัดดา สำหรับองค์พระมเหสีกับสองพระธิดาพร้อมทั้งครัวบรรดานายได้ไพร่มานั้น
ให้ส่งไปไว้ที่ด่านดงตาลตั้ง ทหารพรั่งพร้อมพรักอยู่รักษา
เกณฑ์ชายใช้ไขน้ำตั้งทำนา หญิงเย็บผ้าเสื้อหมวกแจกพวกพล ฯ
            ฝ่ายองค์พระวลายุดาคุมกำปั่นแล่นไปได้เดือนครึ่งจึงเข้าอ่าวเมืองรมจักร ให้หยุดพักพลนิกายกองซ้ายขวา ให้ปลอมตนแต่งตัวเป็นชาวเมือง ใครถามให้ตอบว่าเป็นข้าเฝ้าของท้าวอุเทน
กองละร้อยคอยตามกันสามทัพ ปืนสำหรับรบทั้งโล่ดั้งเขน
รับใช้ขับไปพอปะกองตระเวน หัสเกนสั่งให้ไพร่ใส่แว่นตา
            แล้วยิงปืนกลบนอากาศเป็นควันคลุ้มมืดมัวไปทั่วทะเลและเวหา กองตระเวนเมืองผลึกหยุดเรือไม่รู้ว่าใต้เหนือจึงต้องทอดเรือราย แต่พวกฝรั่งยังเห็นทางด้วยมีแว่นจึงเข้าไปในด่านได้
พอกองทัพขับพลขึ้นบนฝั่ง เข้าในวังโห่ลั่นเสียงหวั่นไหว
พวกข้าเฝ้าเจ้าพระยาเสนาใน ไม่มีใครรบสู้ทั้งบูรี
ฯลฯ
แล้วเชิญองค์ทรงศักดิ์กับอัคราช ประยูรญาติวงศ์ท้าวสาวสนม
ลงกำปั่นลั่นฆ้องกลองระดม ชาวเมืองรมจักรตื่นเสียงครื้นครึก
ฯลฯ
ล่องออกจากปากน้ำพบกำปั่น คอยหนุนทัพรับกันต่างหรรษา
กราบทูลพระวลายุดานุชา ดังได้ท้าวเจ้าพาราฝูงนารี ฯ
              พระวลายุดาชื่นชมโสมนัส แล้วตรัสสั่งไม่ให้กักขังให้ขุ่นข้องหมองศรี สั่งให้ใช้ไปแล่นกำปั่นกลับไปยังกรุงลังกา
  ฝ่ายบุตรพราหมณ์สามนายเป็นชายฉลาด ล้วนทรงศาสตร์ไสยเวทวิเศษขยัน
ที่ลูกยาสานนอุบลนั้น ชื่อยุขันความคิดเหมือนบิดร
คนหนึ่งนามพราหมณ์มะหุดบุตรวิเชียร พ่อให้เรียนรบสู้ธนูศร
บุตรเจ้าโมราพราหมณ์นามมังกร เหมือนบิดรชำนาญในทางกล
เมื่อศรีสุวรรณนั้นจะไปมิได้สั่ง พี่เลี้ยงทั้งสามประเทศเกรงเหตุผล
ต่างเกณฑ์ไพร่ให้เจ้าพราหมณ์บุตรสามคน คุมพวกพลคนละพันป้องกันเมือง ฯ
  ทั้งศรีสุดานารีมีโอรส กับทรงยศศรีสุวรรณผิวพรรณเหลือง
ชื่อองค์พระกฤษณาเดชาเรือง อยู่นอกเมืองมีวังลำพังเธอ
ฯลฯ
              บุตรพราหมณ์ทั้งสามนายกับหน่อนาถรักใคร่ไปหากันอยู่เสมอ เมื่อโยธาฝรั่งเข้าวังเห็นหมอกควันมืดสิ้นทุกถิ่นฐาน ทหารไม่เห็นทางด้วยตาฟางเฟือน ต่อรุ่งเช้าจึงรู้ว่าเสียกษัตริย์ถูกพาองค์ไปก็ตกใจ
  พระกฤษณาว่าพึ่งกลับดอก ยังไม่ออกลึกซึ้งไปถึงไหน
เร็วเถิดเราเจ้าพราหมณ์รีบตามไป เห็นพร้อมใจจัดแจงแต่งนาวา
ฯลฯ
                มีพลประจำกำปั่นรบลำละพัน จำนวนสี่ลำแล่นติดตามกองทัพฝ่ายลังกาไป
                ฝ่ายวิเชียร โมรากับสานนท์รู้ว่าเสียเมืองแล้วแขกชวา พระองค์กษัตริย์พร้อมพระมเหสีไปจากเมือง ก็ตกใจ จึงเกณฑ์พลรีบมายังธานี สอบถามอำมาตย์ได้ความว่า หน่อนาถกับลูกชายออกติดตามไปแล้ว จึงพากันลงกำปั่นคนละลำล่องน้ำไป
พอออกจากปากอ่าวเห็นชาวด่าน เกณฑ์ทหารให้รีบนำสายน้ำไหล
เป็นนาวาห้าสิบสามตามหน่อไท รับใช้ไปตามคลื่นทุกคืนวัน ฯ
                ฝ่ายองค์พระกฤษณากับบุตรของสามพราหมณ์แล่นเรือมาได้สิบห้าวันก็ทันฝรั่งพวกลังกาไม่เห็นว่าเป็นแขก แต่ล้วนเป็นฝรั่ง ครั้นแล่นเข้าไปใกล้จึงให้ล่ามถามว่า ได้พาพระอัยกามาหรือไม่ ให้เร่งส่งคืนสองกษัตริย์ ถ้าไม่ส่งจะจุดไฟเผาเรือไม่ให้เหลือตาย
            ฝ่ายพระวลายุดาได้ฟังก็ถามกลับไปบ้างว่าที่เรียกอัยกา แสดงว่าเป็นหลานชาย แต่กลับมาคิดร้ายตนผู้มีคุณ
แขกชวาพาหนีเราตีได้ ด้วยนับในญาติเชื้อช่วยเกื้อหนุน
จะพาไปไว้พาราด้วยการุญ ยังมาวุ่นวายว่าจะราวี
อันเราหรือชื่อวลายุดานาถ โอรสราชรมจักรทรงศักดิ์ศรี
ตัวมาตามนามใดไพร่ผู้ดี เมื่อแขกตีเมืองทำไมจึงไม่ชิง
ฯลฯ
  ฝ่ายองค์พระกฤษณาฟังฝรั่ง รู้ความหลังตอบความตามประสงค์
ตัวเราหรือคือโอรสยศยง ชื่อว่าองค์กฤษณาอยู่ธานี
อันน้องข้าเจ้าวลายุดานั้น เกิดกับครรภ์มารดารำภาสะหรี
แม้จริงจังดังว่าเหมือนพาที เราเป็นพี่มิใช่ใครหาไหนมา
ฯลฯ
            ฝ่ายวลายุดารู้ว่าพระกฤษณาเป็นพี่ จึงตอบว่าตนตั้งใจจะไปอภิวาทบาทยุคล แต่เดี๋ยวนี้องค์พระทรงภพไปปลงศพสองกษัตริย์อยู่จะรอท่าช้านานไป จะเป็นกังวลกับทางวังลังกา ทั้งสองท้าวก็นับญาติอยากให้รักกันให้มาก จะพาไปให้สนิทกันจนกว่าพระบิดาเสด็จกลับเมือง ขอให้ทูลพระบิดาอีกปีหนึ่ง จะเชิญทั้งสององค์กลับไปส่งนครเรศนิเวศน์วัง
พี่กลับไปไอศวรรย์ฟังฉันว่า แขกชวามันจะยกเข้าวกหลัง
เหมือนคราวนี้พี่ประมาทจึงพลาดพลั้ง อย่ารอรั้งกลับกองทัพไป ฯ
            พระกฤษณาได้ฟังจึงตรัสปรึกษาพราหมณ์ พวกพราหมณ์ไม่เชื่อพระอนุชา เห็นว่า
แม้น้องรักต้องเคารพนอบนบพี่ นี่ท่วงทีถือชาตินอกศาสนา
แม้มิส่งองค์พระอัยกา มันเป็นข้าศึกแน่มาแกมือ
ถึงรบพุ่งกรุงไกรอ้ายฝรั่ง แกล้งทำดังแขกเหรื่ออย่าเชื่อถือ
ข้าจะอ่านอาคมให้ลมฮือ พัดกระพือทวนทัพให้กลับไป
ฯลฯ
            แล้วให้ฝ่ายเราเข้าเรือเหนือลมไล่เผาเรือฝรั่งให้ตายสิ้น พระกฤษณาเห็นด้วยกับพราหมณ์จึงร้องบอกแก่อนุชาว่าสองกษัตริย์ไม่ควรพลัดพระนิเวศน์เขตสถาน ถ้านับถือซื่อตรงเป็นวงศ์วาน ก็อย่าทำเกินพระราชอาญา
จงรอรั้งยั้งหยุดพระนุชน้อง คืนส่งของทรงเดชให้เชษฐา
แม้ขืนขัดตัดขาดญาติกา ก็เป็นข้าศึกจะได้ผิดใจกัน ฯ
            ฝ่ายฝรั่งได้ฟังคำจึงตอบว่า ได้บอกความจริงไปแล้วก็ยังไม่ผ่อนผันและ
จะคิดข้อก่อกวนชวนวิวาท เราก็ชาติชายใช่วิสัยหญิง
มิฟังห้ามลามล่วงจะช่วงชิง ก็เห็นจริงที่จะขาดญาติวงศ์วาน ฯ
            พระกฤษณาได้ฟังก็คั่งแค้น สั่งให้พลรบเตรียมคบไว้ แล้วให้ยุขันอ่านอาคมาเรียกลม
เปิดมหาวาโยเตโชธาตุ นภากาศวิปริตเห็นผิดผัน
โพยมพยับเป็นพายุขึ้นปัจจุบัน ทวนกำปั่นพวกฝรั่งถอยหลังมา ฯ
            เรือบุตรพราหมณ์สามนายกับหน่อกษัตริย์ต่างหลีกลัดแล่นรายไปซ้ายขวาขึ้นเหนือลม แล้วสั่งให้เสนามัดฟาง ชุ่มชันน้ำมันยาง โยนเชื้อไฟใส่เรือกำปั่น ไหม้เป็นควันพลุ่งโพลงติดใบเพลาเสากระโดง บ้างจมบ้างคลื่นซ้ำคล่ำไป เรือฝรั่งที่เหลือระดมปืน ยิงสนั่นหวั่นไหว พระกฤษณาแกว่งคบไฟเข้าจุดไหม้ในเรือของวายุดา เรือต่างกระแทกกันแตกจมลงเป็นอันมาก
พอพลบค่ำกำลังลมยังพัด แตกกระจัดกระจายกันเสียงหวั่นไหว
สักสองยามพราหมณ์ยุขันกลับพลั่นใจ บันดาลให้ลมหายเคลื่อนคลายลง ฯ
            เรือฝ่ายเมืองผลึกเหลืออยู่เจ็ดลำ แต่เรือของข้าศึกยังเหลืออยู่หลายร้อยลำ ฝ่ายเมืองผลึกจึงหยุดจอดทอดสมอเรือ แล้วปรึกษากันที่จะคิดหักหาญศึก
            ฝ่ายพวกสามพรามหณ์ พี่เลี้ยงออกเดินทางไปได้สิบห้าวันก็พบกับลูกยาทั้งสามพร้อมกับพระกฤษณา จึงสอบถามถึงพระอัยกาว่าแขกชวาพาไปแห่งหนตำบลใด
  หน่อนราฝรั่งสิ้นทั้งนั้น อย่าสำคัญแขกชวาหามิได้
แล้วเล่าความตามจริงเหมือนชิงชัย เข้าลุยไล่ไฟจุดไม่หยุดยั้ง
ฯลฯ
            บอกว่าเกือบจับแม่ทัพได้และเรือจมน้ำจึงรอดไปได้ แล้วเล่าเรื่องที่ได้พูดจากับวลายุดา
  พราหมณ์ฟังว่าข้าเจ้ายังเยาว์นัก จะหาญหักรบรอนต้องผ่อนผัน
นี่ทำด้วยมุทะลุดุเดือดดัน ไม่เป็นอันจะได้องค์พระทรงยศ
ฯลฯ
ครั้นเสร็จสอนถอนสมอไม่รอรั้ง รีบเข้ายังนคเรศเขตสถาน
เขียนบอกกล่าวข่าวนครที่รอนราญ ไปทูลสารสองกษัตริย์เมืองรัตนา ฯ
  ฝ่ายฝรั่งทั้งหลายแล่นพรายพลัด เที่ยวเลี้ยวลัดเกาะแก่งแสวงหา
แต่ลำทรงองค์ท้าวเจ้าพารา มันรีบพาไปทางกลางทะเล
ฯลฯ
  ฝ่ายองค์วลายุดานั้น ทอดกำปั่นรอรับพวกทัพหลัง
สัญญาปืนครื้นเครงส่งเสียงดัง มาพร้อมพรั่งพลเรือที่เหลือไฟ
ฯลฯ
            เมื่อรวบรวมกันได้แล้วก็ออกเดินทางกลับเข้าลังกา ไปเฝ้าพระมังคลากราบทูลเรื่องการรบให้ทราบ พระมังคลาได้ทราบเรื่องก็ตรัสชมเชย แล้วปลดเปลื้องเครื่องกษัตริย์ให้ พร้อมทั้งรางวัลพวกไพร่พล ตรัสสั่งให้พาสองท้าวและข้าไทไปรักษาไว้ที่ป่าตาล แล้วให้หัสเกนคอยตระเวณด่านในทะเล

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |